It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๑๐

บทที่ ๑๐

หงส์หยกส่งรูปของลูกชายเธอมาให้ดู ฉันเห็นแล้วก็ อดยิ้มไม่ได้ เด็กตัวน้อยๆ ในอ้อมกอดแม่ ตัวยังแดงๆ อยู่เลย

ฉันนึกถึงคำพูดของแม่ที่ว่าหงส์หยกต้องท้องลูกชายแล้วก็ อดทึ่งที่แม่รู้ได้ไงง่าเด็กในท้องของหงส์หยกเป็นผู้ชายจริงๆ ฉันว่าผู้ใหญ่มักพุดอะไรที่เด็กๆ อย่างเราไม่รู้เรื่อง และก็เป็นความจริงด้วยสิ ถ้าฉันโตขึ้นฉันจะเป็นเหมือนแม่ที่รู้ในเรื่องที่ฉันไม่เคยรู้ให้ได้

“ดูรูปนี้สิขวัญหงส์ให้นมลูกด้วย” ฉันหยิบรูปใบหนึ่งให้ขวัญหทัยดู เป็นรูปที่หงส์หยกให้ลูกดูดนมจากอกของเธอ

“หงส์นี่ช่างกล้าถ่ายรูปเน๊อะ” ขวัญหทัยมองดูรูปนั้นแล้วขำ

“เราว่าดีออกเวลาลูกโตจะได้เห็นว่าเค้าก็เคยกินนมจากอกแม่ เราก็อยากเห็นเวลาเรากินนมแม่เหมือนกัน แต่แม่คงไม่กล้าถ่ายแบบนี้” ฉันยิ้มปลื้มกับรูปของหงส์ ที่เป็นแม่คนเต็มตัว

“เหรอถ้าอาไปกินตอนนี้ แม่อาคงตายแน่ๆ เพราะว่าอาตัวโตแม่คงนมหมดตัวซีดไปเลย” ขวัญหทัยล้อเลียนฉัน

จะว่าอุปทานหรือเรื่องจริงก็ไม่รู้ได้ ตั้งแต่ปิดเทอมฉันสูงเพิ่มขึ้นมาอีกสี่เซ็น ฉันในตอนนี้ดูตัวโตกว่าเมื่อปีที่แล้ว จากที่ฉันเคย แบกเบสแล้วหนักอึ้งก็ไม่หนักอย่างที่เคยเป็น เรี่ยวแรงของฉันมีมากขึ้นกว่าเก่า ฉันยังดื่มนมทุกวัน พร้อมๆ กับการไปว่ายน้ำในวันหยุดอยู่เรื่อยๆ

พี่แสงอุษาเองก็โตขึ้นเมื่อเทียบกับฉัน ดูเธอจะเป็นสาวมากว่าฉันด้วยซ้ำไป ฉันเริ่มติดกับการไว้ผมสั้น เวลาทำอะไรมันค่อนข้างสะดวกกว่าการไว้ผมยาว

ฉันสระผมได้บ่อยๆ ไม่ต้องรอให้ผมแห้งเหมือนเมื่อก่อน และไม่เสียเวลากับการต้องมาแปรงผมไม่ให้พันกันตอนที่สระผมเสร็จ

ที่สำคัญไม่เปลืองแชมพูและครีมนวดผมอีกด้วย

เวลาในการทำอะไรต่างๆ ของฉันก็มากขึ้น ตอนนี้พี่ภาไม่ต้องมาบังคับฉันให้ทำการบ้านเหมือนเคยเพราะฉันทำการบ้านเอง

ฉันช่วยพี่ภาทำงานบ้านได้มากขึ้นวันนี้ฝนตก ฉันออกไปเก็บผ้าที่ตากเอาไว้นอกระเบียงบ้าน แล้วก็ให้ขัดใจเพราะฉันเก็บมาได้ไม่มาก ฝนก็เทลงมาจนผ้าเปียกหมด

พี่ภาเห็นฉันแล้วก็ขำ เดินมาบอกฉันว่า

“อาเวลาตากผ้าด้วยไม้แขวนน่ะ เราต้องแขวนให้ไม้ไปทางเดียวกัน”

ฉันค่อนข้างงงกับสิ่งที่พี่ภาพูด

“ก็นี่ไงอา เวลาตากอาก็หันด้านที่ใช้แขวนไปในทางเดียวกัน เวลาแจะเก็บอาก็รวบมาไว้ที่เดียวแล้วก็หยิบมันขึ้นมาพร้อมกัน ถ้าอาตากสลับไปสลับมาแบบนี้เวลาอาไปเก็บมันก็จะขัดกันเองหยิบได้ไม่กี่อัน แบบนี้ไง” พี่ภาจับไม้แขวนเสื้อในมือฉันมาทำให้ดู โดยการสาธิตแบบให้เห็นกันง่ายๆ

พี่ภาหันไม้แขวนไปในทางเดียวกัน และรวบให้ดูมันง่ายอย่างที่พี่ภาบอกจริงๆ ฉันก็พึงจะรู้ว่าการตากผ้าที่ซักแล้วมันก็มีเทคนิคที่ฉันเองก็ไม่เคยคิดว่าจะมี

จากนั้นฉันก็ไปรีดผ้าเอง พี่ภาปูผ้ารองรีดไว้ที่พื้น แล้วก็รีดเสื้อกับกระโปรงของเธออย่างง่ายดาย ฉันเองปีนี้ก็ต้องทำงานบ้านซักรีดเสื้อผ้าของตัวเอง เพราะแม่บอกว่าโตแล้วอย่าให้พี่ภาต้องมาทำอะไรให้ฉันอีก

แต่เมื่อฉันรีดเสื้อของตัวเองก็ต้องโมโห เพราะฉันรีดหน้ายับหลัง รีดหลังยับหน้า เป็นแบบนี้อยู่หลายรอบจนพี่ภาทนไม่ได้

“อาเวลารีดผ้าอย่างเสื้อของอา อาต้องรีดปกเสื้อก่อน แล้วก็รีดแขนทีละข้างแบบนี้” พี่ภาแย่งเตารีดในมือของฉันไปและเอาเสื้อของฉันมารีดให้ดู

“จากนั้นอาก็ทำแบบนี้ เอาเสื้อมาวางไว้แล้วรีดด้านหลังก่อนพอรีดเสร็จก็ค่อยมารีดด้านหน้าแบบนี้” พี่ภาวางเสื้อของฉันที่รีดปกกับแขนเสร็จแล้ว และเริ่มลงมือรีดเสื้อจากด้านในโดยรีดด้านหลังเสื้อก่อน เมื่อรีดเสร็จก็พับเสื้อด้านหน้ามาวางทับด้านหลังและรีดทับไปอีกรอบ

พี่ภาทำดูเหมือนง่ายแต่สำหรับฉันมองแล้วมันค่อนข้างจะยากไปสักนิด และฉันก็เริ่มรีดเสื้ออีกตัวตามวิธีที่พี่ภาสอน มันก็ง่ายกว่าที่ฉันรีดเอง

จากนั้นก็ต้องมารีดกระโปรงที่ฉันเอือมระอากับการรีดเป็นที่สุด หากเลือกได้ฉันจะใส่กระโปรงตัวเดียวทั้งสัปดาห์ เพราะการขี้เกียจรีดนี่แหละ แต่ฉันก็ทำไม่ได้เพราะว่าฉันใส่เสื้อผ้าค่อนข้างจะสกปรก

แล้วพี่ภาก็ต้องมาสอนฉันอีกครั้ง เธอจับกระโปรงจีบรอบตัวของฉันมาวางไว้แล้วค่อยๆ บรรจงจับจีบให้เข้าที่เข้าทางจากด้านหลังมาด้านหน้า

พี่ภาทำอะไรดูเหมือนง่ายไปหมดทุกอย่าง แต่สำหรับฉันมันค่อนข้างยากที่ต้องมาทำอะไรละเอียดแบบนี้ แต่ก็ดีที่พี่ภาสอนฉัน ฉันมีความรู้เรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งๆ ที่เห็นพี่ภากับแม่รีดผ้าบ่อยๆ แต่ก็ไม่เคยจะสังเกตว่าการรีดผ้าต้องมีเทคนิคมากมายขนาดนี้

ฉันหยิบผ้าเช็ดหน้ามาจะรีดพี่ภาก็ร้องบอกว่า

“รีดอย่างอื่นให้เสร็จก่อนสิอาแล้วค่อยรีดผ้าเช็ดหน้าทีหลัง”

“ทำไมหละพี่ภา” ฉันก็ต้องแปลกใจอีกครั้งว่าทำไมต้องรีดผ้าเช็ดหน้าหลังสุด

“เอาน่ารีดไปก่อนแล้วเดี๋ยวพี่จะบอกว่าทำไม”

ฉันรีดผ้าอื่นๆ จนเสร็จหมดก็หันไปถามพี่ภา

“รีดผ้าเช็ดหน้าได้หรือยัง”

“ได้แล้วถอดปลั๊คออกด้วย”

“ถอดทำไมหละ”

“ก็มันเปลืองไฟไง ผ้าเช็ดหน้าบางจะตายไป เวลารีดไม่ต้องเสียบปลั๊คไว้หรอก ทับๆ ไปทีเดียวก็เรียบแล้ว นี่ไง” พี่ภาถอดปลั๊คแล้วก็รีดผ้าเช็ดหน้าให้ฉันดู มันเรียบเหมือนกับตอนที่เสียบปลั๊คไว้อย่างที่พี่ภาบอกจริงๆ ด้วย

“ทำไมมันเรียบหละพี่ภาทั้งๆ ที่เราไม่ได้เสียบปลั๊คไฟ”

“ก็เตามันยังร้อนอยู่เลยนี่อา เวลาเรารีดผ้าไปพอจะเสร็จเตารีดมันก็ยังร้อนอยู่ ไม่เชื่อลองจับดูสิ”

“บรื้อๆๆ ไม่เอาอะมันร้อนจนทำมืออาพองไปหลายทีแล้ว” ฉันรู้สึกเข็ดขยาดกับการโดนเตารีดนาบ เพราะเท่าที่ฉันรีดผ้าในตอนนี้มือฉันก็แทบจะพองเพราะเผลอไปโดนเตารีดอยู่หลายครั้ง

“ก็มันร้อนอยู่ไง เราก็เอามารีดผ้าเช็ดหน้าก่อนที่เตารีดมันจะเย็น เป็นการประหยัดไฟไปในตัวด้วย”

“อ่อเข้าใจแล้ว” ฉันพยักหน้าหงึกๆ

“แล้วอีกอย่างนะ เวลาเรารีดผ้า เอาผ้าบางๆ แบบเสื้อนักเรียนกับเสื้ออื่นๆ รีดก่อน อันไหนที่ใช้ไฟอ่อนเราก็เอามารีดก่อนรีดแบบอาสักวันผ้าจะไหม้”

“ทำไมหละพี่ภา?” เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมามากมายบนใบหน้าของฉัน

“ก็เพราะว่าผ้าแต่ละอย่างมันใช้ไฟไม่เท่ากันนะอา ผ้าไฟอ่อนก็เอามารีดก่อนผ้าไฟแรงก็รีดสุดท้าย” พี่ภาค่อยๆ อธิบายฉันอย่างใจเย็น

“แล้วเราจะรู้ได้ไงหละพี่ภาว่าอันไหนใช้ไฟอ่อนไฟแรง”

“ก็ดูจากเนื้อผ้าสิ อันไหนหนาๆ ก็ใช้ไฟแรงอันไหนบางๆ ก็ใช้ไฟอ่อน”

“อาเข้าใจแล้ว ต่อไปอาจะดูว่าผ้าไหนใช้ไฟอ่อนไฟแรงแล้วอาก็จะรีดตามที่พี่ภาบอก”

สองวันต่อมาฉันก็นั่งรีดเสื้อของแม่อยู่นานรีดเท่าไหร่ก็ไม่เรียบ ทั้งๆ ที่เป็นผ้าบางๆ จนฉันโมโห เดินไปหาแม่

“แม่เสื้อของแม่ตัวนี้รีดยากชะมะยาดเลยน่ะอาไม่รีดแล้ว” ฉันยื่นเสื้อในมือให้แม่ดู

“งั้นอาก็รีดตัวอื่นไปก่อนแล้วพรมน้ำเสื้อตัวนี้ทิ้งไว้ก่อนแล้วกัน ภาลูกเดี๋ยวออกมาสอนน้องรีดเสื้อแม่ด้วยนะ” แม่บอกฉันเท่านั้นก็หันไปทำกับข้าวต่อ

พี่ภาก็ออกมาดูฉันนั่งรีดผ้าไปจนหมดตะกร้าแล้วเสื้อแม่ฉันก็ไม่ได้หยิบมารีด

“อ้าวแล้วเสื้อแม่หละไม่รีดเหรอ”

“ไม่หละให้พี่ภารีด” ฉันปฏิเสธในทันทีเพราะไม่อยากรีดแล้วเสื้อเจ้าปัญหาของแม่ตัวนี้

“เสื้อตัวนี้มันเป็นผ้าลินินรีดยากหน่อยเท่านั้นเอง แต่มันมีวิธี” พี่ภาบอกฉันแล้วก็นั่งลงข้างๆ ฉัน

“มันต้องพรมน้ำให้ชุ่มก่อนแล้วใช้ไฟแรงๆ” พี่ภาพรมน้ำบนเสื้อของแม่อีกรอบ

“ก็ไหนพี่ภาบอกว่าผ้าบางๆ มันต้องรีดไฟอ่อนไง” อาคิรามีคำถามผุดขึ้นมาอีกแล้ว

“ใช่ไงแต่เมื่อมีกฎก็ต้องมีข้อยกเว้น”

“อ้าวไหงงั้นหละพี่”

“ก็นี่มันเป็นผ้าลินินรีดยากหน่อยแวลาเรารีดต้องใช้ไฟแรงๆ นิดนึง แล้วพรมให้ผ้าชุ่มนิดหน่อย เห็นไหมมันรีดง่ายกว่าที่อารีดเมื่อกี้เยอะเลย” พี่ภาลงมือรีดเสื้อของแม่อย่างง่ายดาย และเรียบเร็วราวกับว่าเสกให้ผ้าเรียบได้ในพริบตา

“ยุ่งยากเหมือนกันเน๊อะการรีดผ้านี่” ฉันไม่วายแอบบ่น

“ไม่หรอกอาไม่ยากเลย แค่เรารู้ว่าผ้าแบบไหนต้องรีดยังไง มันก็ไม่ยากแล้ว เอ๊าอาลองรีดดูสิ” พี่ภาขยับให้ฉันลองรีดเสื้อของแม่ และฉันก็สามารถรีดได้ง่ายๆ ไม่เหมือนการรีดในตอนแรก

ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าการทำงานบ้านซักผ้ารีดผ้ามันต้องมีเทคนิคมากมายที่ฉันต้องเรียนรู้อีกเยอะ และคนที่จะสอนฉันได้ดีที่สุดก็คือพี่ภาพี่สาวคนเดียวของฉันคนนี้

รักพี่ภาที่สุดในโลกเล๊ย พี่ภาสุดที่รักของอาคิรา

.........................

ปีนี้ฉันก็กลายเป็นรุ่นพี่มอสองมีรุ่นน้องเข้ามาจากที่อื่นและรุ่นน้องทั้เคยคุ้นหนาคุ้นตาเข้ามาเรียนมอหนึ่งอีกหลายคน

โรงเรียนของฉันเป็นโรงเรียนหญิงล้วนอย่างที่เคยบอกไปแล้ว และก็เป็นโรงเรียนเล็กๆ ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมาย

นักเรียนทุกคนแทบจะรู้จักกันหมด (ถ้าไม่มุดตัวเองอยู่ในถ้ำแบบฉัน) ปีนี้พ่อซื้อรถมอเตอร์ไซด์คันใหม่ให้กับพี่ภา เพราะพี่ภาต้องไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษตอนเช้าก่อนมาโรงเรียน เราสองคนก็เลยไปโรงเรียนในเวลาที่แตกต่างกันและแยกย้ายไปเรียนคนละเวลา

ฉันไม่มีความคิดที่จะลาออกจากโรงเรียนอย่างที่เคยคิดอีกเลย ในตอนนี้ฉันสนุกกับการเรียนและเริ่มรู้สึกว่าการเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ก็สร้างสีสันให้กับชีวิตได้มากมายเหมือนกับการเรียนที่โรงเรียนอื่นๆ

พิธีไหว้ครูก็มีอีกครั้งหนึ่ง ปีนี้ฉันไม่ได้ถือพานเหมือนเมื่อปีก่อน เพราะนักดนตรีจะต้องไปนั่งบรรเลงเพลงอยู่บนชั้นที่ยกระดับด้านหลังห้องประชุมใหญ่ ดังนั้นคนที่เป็นหัวหน้าห้องและรองหัวหน้าห้องก็ต้องทำงานของเธอไปโดยปริยาย

เกวลีและขวัญหทัยทำหน้าที่ของเธอได้อย่างดีเยี่ยม แน่นอนปีนี้ฉันจำได้ดีว่าดอกมะเขือนั้นเหี่ยวเร็วขนาดไหน ฉันไม่ลืมเก็บดอกมะเขือหลังบ้านมาเมื่อเช้า ดอกมะเขือมีน้อยหลือเกินในปีนี้

เมื่อเช้าพี่ภามาบอกว่าขอดอกมะเขื่อที่ฉันเก็บบ้างเพราะพานห้องของพี่ภาดอกไม้เหี่ยวเหมือนกัน ฉันก็ยิ้มๆ และแบ่งให้ ฉันเห็นพี่แสงอุษาหิ้วถุงดอกมะเขือมาด้วยเช่นกัน เธอชูถุงดอกมะเขือเหมือนถามฉันว่าจะเอาหรือเปล่า ฉันส่ายหน้าและชูถุงในมือเธอเห็น เป็นการบอกว่าฉันก็เอามาด้วยเช่นกัน

กว่าฉันและเพื่อนๆ จะทำพานเรียบร้อยเมื่อคืนก็เกือบสองทุ่ม พี่ภากลับบ้านไปก่อนแล้ว เพราะพี่ภาต้องไปช่วยแม่ทำงานบ้าน ฉันว่าฉันเป็นลูกที่ไม่ค่อยจะทำงานบ้านมากเท่าไหร่นัก จะว่าโชคดีหรือเปล่าฉันก็ไม่รู้แต่ที่แน่ๆ ฉันสบายสุดในบ้าน จะรับผิดชอบเฉพาะงานของฉันเอง ทั้งเสื้อผ้าและของใช้

แม่ไม่ยอมให้ฉันได้อยู่นิ่งๆ มากนักหรอกค่ะ ในวันหยุดฉันต้องซักผ้าปูที่นอนเอง รองเท้าผ้าใบก็ต้องซักเอง และไม่ลืมที่จะเอากระดาษชำระมาโป๊ะไว้ก่อนตอนตากเพราะถ้าไม่โป๊ะไว้ รองเท้าฉันจะมีคราบเหลืองๆ โผล่มาให้เห็นอยู่เป็นประจำ (แอบกระซิบว่าพี่ภาบอกเคล็ดลับนี้ให้ฉันอีกแล้วนะนี่)

ฉันนั่งบรรเลงเพลงไปเรื่อยๆ จนเมื่อนักเรียนทุกคนเดินเข้ามาในห้องประชุมเรียบร้อย พิธีการก็เป็นไปเหมือนเดิมเช่นทุกปี แต่ปีนี้มีการแจกใบประกาศเกียรติคุณให้กับนักเรียนที่เรียนดี กีฬาเด่น กิจกรรมเลิศ ดนตรีดัง

ครูจะไม่เคยบอกหรือประกาศให้นักเรียนได้ทราบนอกจากนักเรียนที่เรียนจบไปแล้วและออกจากโรงเรียนเท่านั้นที่จะได้รู้ เพราะต้องเดินทางกลับมารับใบประกาศ

การประกาศก็เริ่มต้นขึ้นฉันรู้อยู่แน่ๆ ว่าพี่ภาต้องได้นักเรียนดีเด่นแน่นอนอยู่แล้ว เพราะพี่ภาเรียนแก่ง ไม่เคยจะหลุดจากโผ การแจกก็แจกตั้งแต่ชั้นปอหนึ่งไปจนถึงชั้นมอสาม บรรดาเด็กเก่งก็ออกมายืนออกันอยู่ที่หน้าห้องประชุม ให้ครูได้ถ่ายรูป

จากนั้นก็เป็นการแจกประกาศสำหรับนักกีฬาดีเด่นประจำปี เพื่อนของพี่แสงได้รับประกาศเกี่ยวกับการกีฬาซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอีกเช่นกันเพราะพี่ปูเธอเก่งกีฬาทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นกีฬาประเภทไหนเธอเล่นเก่งทุกอย่าง จนเป็นที่ฮ๊อตของรุ่นน้องและรุ่นพี่

พี่ปูออกไปหน้าห้องประชุมก็เรียกเสียงกรี๊ดจากบรรดาคนปลื้มพี่ปูได้ไม่น้อย ไม่ว่าพี่ปูจะหันซ้ายหันขวา หรือเดินสะดุดขาตัวเองเพราะความเขิน ยิ่งพี่ปูเขินมากเท่าไหร่ คนปลื้มพี่ปูก็กรี๊ดพี่ปูมากขึ้นเท่านั้น

สำหรับนักกิจกรรมก็ไม่พ้นพี่แสงอุษา รายนี้ก็เรียเสียงกรี๊ดได้จากรุ่นน้องที่แอบปลื้มพี่แสงที่สวยสะดุดตา ปีนี้ครูที่คุมวงบอกว่าจะเลือกพี่แสงอุษามาเป็นดรัมเยอร์ แทนรุ่นพี่ที่จบไปแล้ว ฉันว่าเธอก็สวยสมกับการเป็นดรัมเยอร์ไม้หนึ่งของโรงเรียนอยู่เหมือนกัน

ก็ใครจะไม่ปลื้มคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของเราเองหละจริงไหมคะ

การประกาศก็เป็นไปตามหมายกำหนดการเรื่อยๆ จนมาถึงการะประกาศนักดนตรีดีเด่น ชื่อของฉันถูกประกาศขึ้นมา ในตอนแรกฉันก็ไม่ได้ทันตั้งใจฟังเพราะมัวแต่นั่งฟังซาวอะเบ้าท์อยู่ แต่เมื่อภรณีมาสะกิด

“อารีบลงไปรับใบประกาศสิ”

“หืออะไรเหรอณี” ฉันถอดหูซาวอะเบ้าท์ออกและหันไปถามภรณีที่มาสะกิด

“ก็อาได้นักดนตรีเด่นนะรีบลงไปสิ” ภรณีบอกฉันอีกรอบ

“เอ๊ยบ้าน่า” ฉันที่คิดว่าภรณีที่ชอบแกล้งพวกเราอำฉันเล่นๆ

“เด็กหญิงอาคิรา เอื้ออังกูร อยู่หรือเปล่าคะ ขอให้ลงมารับใบประกาศด้วยค่ะ” เสียงของครูที่ประกาศผ่านลำโพงดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ได้ยินเต็มหูหรือยังรีบไปเร็ว” ภรณีรับเบสไปจากตัวฉันและรีบบอกให้ฉันวิ่งลงไปรับใบประกาศ

ฉันรีบวิ่งลงไปแบบไม่คิดชีวิต เพราะจากหลังห้องประชุมไปด้านหน้านั้นไกลไม่ใช่เล่น กว่าจะวิ่งลงจากชั้นลอยไปด้านหน้าห้องประชุมได้ก็เล่นเอาฉันเหนื่อยหอบ ชายเสื้อของฉันหลุดลุ่ยออกมาจากกระโปรง ครูศยามนเดินมาข้างหลังฉันที่รอเรียกอีกครั้ง

“อาคิรา เธอใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยหน่อยสิ มันหลุดลุ่ยถ่ายรูปออกมาจะไม่สวยนะ” ครูศยามนจับชายเสื้อของฉันใส่ลงไปในกระโปรง เพราะเห็นท่าทางงุ่มง่ามของฉันแล้วท่านคนจะรู้สึกขัดใจ

เมื่อจัดแจงเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ฉันก็เดินไปรับรางวัลจากมือของครูใหญ่ นี่เป็นใบประกาศใบแรกในชีวิตของฉันที่ได้รับ เป็นเหมือนเครื่องการันตีว่าฉันก็พอมีความเก่งอยู่บ้างฉันภูมิใจกับใบประกาศใบนี้ของฉันเหลือเกิน

พี่ภาเดินมายืนอยู่ด้านซ้ายของฉันและพี่แสงอุษาก็มาอยู่ทางด้านขวาของฉัน เราสามคนถ่ายรูปเป็นที่ระลึกในงานวันไหว้ครูปีนี้ สามคนจากความสามารถสามด้าน ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมครูถึงได้เลือกฉันให้เป็นนักดนตรีดีเด่นในปีนี้ หรือเพราะว่าครูเห็นใจฉันที่ต้องแบกเครื่องดนตรีที่ใหญ่ที่สุดในวงก็อาจเป็นได้

แต่จะเลือกฉันด้วยเรื่องอะไรในตอนนี้ฉันไม่สนหรอกคะ ฉันรู้เพียงแต่ว่าฉันปลื้มใจที่ได้ใบประกาศนี้มา และฉันก็เอาไปอวดให้พ่อกับแม่ได้เห็น ซึ่งก็เหมือนเดิมที่เมื่อพ่อเห็นแล้วก็ยิ้ม แม่เห็นแล้วก็หัวเราะ และไม่ได้ยินดียินร้ายอะไรกับใบประกาศของฉัน

ฉันรู้แต่ว่าวันนั้นกับข้าวมีมากกว่าวันทั่วไป และมีกับข้าวที่ฉันกับพี่ภาชอบทั้งหมด และฉันก็กินอิ่มนอนหลับไปอย่างสบายอารมณ์

.......................................

ปีนี้มีหนังสือนอกเวลาที่พวกฉันต้องอ่านเล่มใหม่ ฉันบอกตรงๆ ว่าฉันไม่ค่อยชอบอ่านหนังสือมากเท่าไหร่ แต่ด้วยความจำเป็นฉันก็ต้องอ่านไปตามเรื่องตามราว

ครูสั่งให้ฉันอ่านหนังสือนอกเวลาสองเล่มในห้องสมุดก็มีไม่ครบจำนวนนักเรียนหรอกค่ะ ต้องรอคิวเวียนกันยืมมาอ่าน ด้วยจำนวนหนังสือที่น้อยนิด ทำให้ฉันต้องไปห้องสมุดประชาชนกับพี่ภา พี่ภาเป็นสมาชิกที่ห้องสมุดประชาชนมาหลายปีแล้วเพราะพี่ภาชอบอ่านนวนิยายของนักเขียนหลายๆ คน

ที่ฉันเห็นพี่ภาชอบอ่านบ่อยๆ ก็ของ ว.ณ ประมวลมารค ฉันก็หยิบหนังสือนิยายของพี่ภามาอ่านโดยไม่ได้ตั้งใจ และลืมที่จะอ่านหนังสือนอกเวลาของฉันไปโดยสิ้นเชิง

พี่ภายืม ปริศนา รัตนาวดี เจ้าสาวของอานนท์ มาอ่าน ฉันอ่านไปเรื่อยๆ ก็เริ่มรู้สึกว่านวนิยายนี้สนุก ให้การจินตนาการของฉันได้โลดแล่นไปตามเรื่องของผู้แต่ง เมื่ออ่านปริศนา ฉันก็อยากเป็นพลีสของท่านชายพจน์ เมื่ออ่าน รัตนาวดี ฉันก็อยากเป็นท่านหญิงรัตน และเมื่ออ่านเจ้าสาวของอานนท์ ฉันก็อยากเป็นสุ ที่ทั้งเก่งและแสนซน

ฉันคิดเข้าข้างตัวเองว่าสุตัวละครในนิยายเรื่องเจ้าสาวของอานนท์ออกจะเหมือนฉันอยู่บ้าง ทั้งแก่นแก้วแสนซน และที่สำคัญออกจะห้าวนิดๆ ฉันหลงอยู่กับการอ่านนวนิยายในวันว่างทั้งวัน ไม่ไปไหน นั่งจมอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ แต่ก็ไม่ลืมที่จะทำการบ้านจนเสร็จ

จากวันนั้นเป็นต้นมาอาคิราก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับอวภาส์พี่น้องสองศรีชอบอ่านนิยายเหมือนกัน แวะเวียนไปยืมนิยายที่ห้องสมุดประชาชนทุกอาทิตย์

จนแล้วจนรอดหนังสือที่ฉันต้องอ่าน “ข้างหลังภาพ” ก็ยังไม่ถูกเปิดอ่าน ฉันยืมมาทุกครั้งที่ต้องเอาไปคืน เพราะหนังสือเล่มนี้ฉันโดนบังคับให้อ่านก็เลยไม่มีจิตใจนึกอยากจะอ่านมัน

พี่ภาถามฉันว่าทำไมยืมหลายหนฉันได้แต่ตอบเลี่ยงๆ ว่าเพราะว่ายังไม่มีอารมณ์ที่จะอ่าน

“อ่านสิสนุกนะ แต่ต้องเตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้ด้วยหละ” พี่ภาบอกฉัน และนั่นก็ทำให้ฉันต้องหันกลับมาหยิบนิยายเล่มนั้นขึ้นมาอ่าน ก็พี่ภาบอกว่าสนุก มันก็คงจะสนุกมั๊ง

คืนนั้นฉันนอนอ่านเรื่อง “ข้างหลังภาพ” ไม่ยอมวางมือ กว่าจะอ่านจบก็เกือบรุ่งสาง หนังสือเรื่องนี้สนุกจริงๆ ฉันอยากรู้จังว่า ศรีบูรพา เขียนเรื่องนี้จากชีวิตจริงหรือเปล่า

มีประโยคประทับใจฉันอยู่หนึ่งประโยคที่คุณหญิงกีรติเขียนฝากไว้ก่อนตายว่า

“ฉันตายโดยปราศจากคนที่รักฉัน แต่ฉันก็อิ่มใจว่า ฉันมีคนที่ฉันรัก”

หนังสือเล่มนี้มีภาษาแปลกๆ ที่ฉันไม่ค่อยได้พบเจอในชีวิตประจำวัน และคุณหญิงกีรติที่ฉันอ่านเธอก็เป็นกุลสตรีที่ดีงาม เป็นคนที่ผดุงจริยธรรมได้ดีมากๆ ไม่เคยคิดที่จะแหกคอกเพื่อความรักของเธอเอง ฉันว่าเธอก็คงจะเจ็บปวดรวดร้าวใจเมื่อรับรู้ข่าวว่า นพพรคนรักของเธอต้องไปแต่งานกับหญิงอื่น

ใครจะว่าฉันว่าบ้านวนิยายฉันก็ไม่สนใจ ฉันเก็บเรื่องราวของคุณหญิงกีรติไว้ในใจและจดประโยคที่ฉันชอบไว้ในสมุดเล่มเล็กๆ ของฉัน เดี๋ยวนี้ฉันมีสมุดจดอะไรที่ฉันชอบเก็บไว้อ่านเมื่อยามที่ฉันลืม และไม่ลืมจดที่มาที่ไปของสิ่งที่ฉันจดเหล่านั้นไว้ด้วยว่าได้ยินหรือไปอ่านพบมาจากที่ไหน

ฉันไปโรงเรียนด้วยดวงตาที่บวมบูดและแดงก่ำ เพราะการอดหลับอดนอนและการร้องไห้เพราะฉันมีจินตนาการร่วมไปกับตัวละครที่ฉันอ่าน

นี่ฉันบ้าไปแล้วหรือเปล่าเนี๊ยะอาคิรา

.................................

“ไปทำอะไรมานะอาตาบวมอย่างกับร้องไห้มาทั้งคืน” พี่แสงอุษาทักฉันเมื่อเธอเห็นหน้าฉัน

“อืมอาร้องไห้มา”

“เอ๊าโกรธกับพ่ออีกเหรอ” พี่แสงอุษาตกใจที่ฉันตอบว่าร้องไห้มาและสิ่งที่ทำให้ฉันร้องไห้ได้สำหรับพี่แสงอุษาก็คือฉันทะเลาะกับพ่อ

“เปล่า” ฉันส่ายหน้าปฏิเสธ

“อ้าวแล้วทำไมร้องไห้หละ”

ฉันยื่นหนังสือเรื่องข้างหลังภาพที่อยู่ในมือฉันให้พี่แสงอุษาดู เมื่อเธอเห็นแล้วก็หัวเราะ

“ฮ่าๆๆ นึกว่าร้องไห้ทำไม ที่แท้ก็ข้างหลังภาพทำพิษนี่เอง”

“ยังจะมาหัวเราะอาอีกนะพี่ษา” ฉันชักจะรู้สึกว่างอนพี่แสงอุษาแล้วหละสิตอนนี้

“ก็ไม่ได้ว่าอะไร เราก็นึกห่วงนึกว่าร้องไห้เพราะทะเลาะกับพ่ออีกที่ไหนได้อารมณ์แปรปรวนเพราะนวนิยาย โธ่เอ๊ยเด็กน้อย” พี่แสงอุษายกมือขึ้นลูบศรีษะของฉัน แสดงความห่วงใยออกมาทางสายตา

“ก็อาว่าเรื่องนี้น่าสงสารนางเอกนี่นาพี่ษา ดูสิจะบอกรักก็ยังไม่กล้าเอ่ยปาก จะตายอยู่แล้วถึงได้กล้าบอก แบบนี้ไม่ดีเลยนะพี่ เป็นผู้หญิงแท้จริงแสนลำบากแบบนี้เองเหรอ”

“นั่นมันเมื่อสมัยห้าสิบปีมาแล้ว ผู้หญิงสมัยนี้เค้าทันสมัยจะตายไป พี่เห็นเดินจับมือผู้ชายกันให้ทั่วไปหมด”

“แล้วพี่ษาอยากเป็นผู้หญิงสมัยนี้หรือผู้หญิงโบราณหละ”

“ก็อยากเป็นทั้งสองอย่าง เวลาอยู่ต่อหน้าคนมากๆ พี่ก็เป็นผู้หญิงโบราณ แต่เวลาอยู่กับอาสองคนพี่ก็เป็นผู้หญิงสมัยใหม่”

“อ่อพี่ษาเป็นจิงจกนี่เอง ยี้ๆๆ น่ากลัวจิ้งจกเปลี่ยนสี” ฉันเย้าพี่แสงอุษาและเธอก็รู้ดีว่าฉันนั้นกลัวจิ้งจกแค่ไหน

“เปล่าพี่ไม่ได้เป็นจิ้งจก แต่พี่รู้จักการปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมต่างหากเล่าเด็กน้อย และอีกอย่างบอกใครเค้าไปเราก็ไม่ได้มีผลดีอะไรขึ้นมา ก็อย่างที่อาบอกพี่ เราคบกันสองคน คนอื่นไม่ได้มาเกี่ยวข้องอะไรด้วย พี่เข้าใจที่อาพูดนะ และก็กำลังทำตามที่อาบอกพี่ ก็เรารักกันไม่ใช่เหรอเด็กน้อย”

ฉันกับพี่แสงอุษามองตากันและก็รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในใจของเราสองคนไม่ได้แตกต่างกันเลยสักนิด

ความรักไม่ได้น้อยลงมันยังคงพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ แต่การกระทำกลับต้องสวนทางกัน หรือเราสองคนจะเป็นเหมือนคุณหญิงกีรติด้วยกันทั้งคู่

เมื่อไหร่ฉันกับพี่แสงอุษาจะเปิดเผยให้ใครรู้ได้นะ

เป็นปัญหาที่ฉันเองก็ตอบไม่ได้ในตอนนี้

.......... จบบทที่ ๑๐ ……….



Create Date : 18 พฤษภาคม 2551
Last Update : 18 พฤษภาคม 2551 16:16:37 น. 0 comments
Counter : 447 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.