It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๗

บทที่ ๗

“อาหยุดก่อน”

ฉันหันหลังกลับไปดูพี่กิ้มที่ส่งเสียงเรียกฉันขณะกำลังเดินไปเข้าห้องน้ำ

“ทำไมเหรอพี่กิ้ม”

“ก็เรื่องที่บอกไงว่าจะจีบน้องษาตอนนี้ไม่แล้วนะ”

“อ้าวทำไมหละพี่หรือว่าปอดไปแล้ว”

“ก็รู้แล้วว่าน้องษาเป็นแฟนใครขอโทษด้วยนะที่ทำให้ไม่สบายใจ” พี่กิ้มจับหัวไหล่ฉัน ถึงแม้ว่าฉันจะตัวสูงเมื่อเทียบกับเพื่อนๆ แต่เมื่อมายืนอยู่ต่อหน้าพี่กิ้มฉันกลับตัวเล็กลงไปถนัดใจ

“พี่รู้แล้วเหรอ”

“ใช่ษาบอกแล้วว่าเป็นแฟนอา พี่ไม่รู้จริงๆ ขอโทษด้วย”

“ไม่เป็นไรพี่ เรื่องแค่นี้ก็พี่ยังไม่ได้จีบพี่ษาจริงๆ สักหน่อยแค่เริ่มต้นเฉยๆ”

“เกือบอยู่เหมือนกัน แต่พอษาบอกว่าเป็นแฟนอาพี่ก็เลยจอดสนิท ไปไหนไม่รอดเลย เก่งเหมือนกันนะเรานี่แฟนสวยเชียวอิจฉาเว่ย” แล้วพี่กิ้มก็หัวเราะเสียงดัง จนใครๆ แถวนั้นหันมามอง

ฉันก็ยืนบิดไปบิดมาอยู่ตรงหน้าห้องน้ำ

“เป็นอะไรบิดไปบิดมาเขินอะไรพี่หละอา พี่น้องกันไม่ต้องมาขงมาเขินอะไรหรอก” พี่กิ้มก็ยังคงเป็นพี่กิ้ม

“เปล่าไม่ได้เขินพี่ แต่ตอนนี้อาปวดท้องนะพี่ ไปก่อนนะ” ฉันรีบวิ่งจากพี่กิ้มมาแบบไม่คิดชีวิต เป้าหมายคือห้องน้ำห้องไหนก็ได้ที่ยังว่างอยู่ เพราะว่าฉันทนไม่ไหวแล้ว

.........................

หลังจากหมดงานฤดูหนาวไปแล้วงานต่อไปก็มีเพียงงานวันคริสต์มาสเท่านั้น ทุกๆ ปีก็เหมือนกันที่โรงเรียนของเราต้องจัดงาน ครูฤทัยที่สอนวิชาภาษาอังกฤษก็เข้ามาถามหานักเรียนไปแสดงละครภาษาอังกฤษ เรื่องคิงโซเลอมอน (King Solomon)

ฉันก็ไม่รู้หรือว่าคิงคนนี้เป็นใครมาจากไหน และครูก็เกณฑ์พวกฉันให้ไปยืนเป็นทหารถือไม้พลอง เป็นแถวยาวๆ เพื่อประกอบการแสดง บางคนก็เป็นต้นไม้ดอกไม้ตามแต่ท้องเรื่องจะพาไป

ฉันมารู้ในตอนหลังว่ากษัตริย์โซโลมอน เป็นกษัตริย์ของอาณาจักรฮิบรูหรือปาเลสไตน์ในปัจจุบันช่วงเวลาที่พระองค์ปกครองเมืองอยู่นี้ ปาเลสไตน์มั่งคั่งทางการค้ามาก พระองค์ทรงสั่งให้สร้างโบสถ์อันงดงามที่นครเยรูซาเลม แทนวิหารเก่าของชาวฮิบรู ทั้งยังทรงสร้างพระราชวังหรูหราเป็นที่ประทับ ในช่วงก่อนคริสตกาล

และไม้ในโบสถ์แห่งนี้ของพระองค์ในเวลาต่อมาก็คือไม้ที่ใช้สำหรับตรึงกางเขนของพระเยซูเจ้าในอีกหลายร้อยปีต่อมา (ตำนานเขาเล่าว่า)

ส่วนเรื่องที่พวกฉันเล่นก็เป็นตอนที่ กษัตริย์ โซโลมอนเสด็จประพาสดินแดนของราชินีชีบา ราชินีชีบาตัดสินใจลองภูมิกษัตริย์โซโลมอนด้วยการทดสอบและปริศนาหลายครั้งหลายข้อ แต่กษัตริย์โซโลมอนทรงสามารถผ่านการทดสอบและปริศนาแต่ละอย่างแต่ละครั้งแต่ละข้ออย่างง่ายดาย

จนกระทั่งพระนางชีบาทรงพาพระองค์ไปยังห้องหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้ พระราชินีทรงมีบัญชาให้ช่างฝีมือชั้นยอด และนักมายากลในอาณาจักร สร้างดอกไม้ขึ้นมาให้ดูเหมือนดอกไม้จริงๆ ในสวน

พระราชินีทรงตรัสว่า "การทดสอบข้อต่อไปก็คือขอให้พระองค์ทรงให้หาดอกไม้จริงๆ ที่มีเพียงดอกเดียวท่ามกลางดอกไม้ปลอมๆ ทั้งหมดที่มีอยู่ในห้องนี้ให้พบ"

กษัตริย์โซโลมอนทรงทอดพระเนตรมองดูดอกไม้แต่ละดอกอยู่นาน ทรงพยายามมองหาความแตกต่างเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ไม่พบข้อแตกต่าง แม้พระองค์จะพยายามดมกลิ่นก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าคือดอกไหน เพราะห้องทั้งห้องกรุ่นกลิ่นหอมอบอวลไปหมด และไม่นานพระองค์ก็ทรงตรัสขึ้นมาว่า

"กรุณาเถิดพระนางด้วยว่าห้องนี้ร้อนนัก เราเปิดม่านให้อากาศเข้ามาจะได้ไหม อากาศสดชื่นจะช่วยให้สมองของข้าปลอดโปร่งยิ่งขึ้น"

ราชินีชีบาทรงยินยอมด้วยดี และในไม่กี่นาทีหลังจาก ม่านเปิดออกแล้ว กษัตริย์โซโลมอนทรงรู้ว่าดอกไหนเป็นดอกไม้จริงดอกเดียวท่ามกลางดอกไม้มากมาย

นักแสดงตัดฉากนั้นลงและหันมาถามผู้ชมที่นั่งดูอยู่อย่างตั้งใจว่า

“พวกคุณรู้หรือไม่ว่าพระองค์ทรงทราบได้อย่างไรว่าดอกไม้ดอกไหนคือดอกไม้จริง”

นักเรียนทุกคนมองหน้ากันและไม่มีคำตอบแต่อย่างใด

จากนั้นก็มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่แสดงเป็นผึ้งตัวน้อยๆ โบกโบยบินไปมาเพื่อไปดอมดมดอกไม้ที่เพื่อนฉันคนหนึ่งแสดงเป็นดอกไม้ดอกนั้น

ทุกคนก็เดินทางมาถึงบางอ้อกันเป็นแถว เพราะผึ้งนี่เองที่เป็นตัวบ่งบอกว่าดอกไม้ดอกไหนคือดอกไม้จริง

การแสดงจบลงเพียงเท่านั้นเหล่านักเรียนที่ร่วมแสดงก็ออกมาโค้งคำนับผู้ชมที่นั่งดูอยู่รวมถึงฉันด้วย

.....................................

วันนี้ก็เหมือนกับทุกปีไม่มีการเรียนการสอนมีแต่กิจกรรมให้พวกเราได้เล่นกันอย่างสนุกสนาน สอยดาว เล่นบิงโก ปาเป้า เก้าอี้ดนตรี โยนห่วงครอบขวด ปากระป๋อง

รางวัลใหญ่ก็เหมือนเดิมคือตุ๊กตาตัวโตๆ เด็กผู้หญิงคนไหนบ้างจะไม่ชอบตุ๊กตา ถึงแม้ฉันจะดูห้าวๆ ไปสักนิดแต่ตุ๊กตากอดได้ตัวนิ่มๆ ฉันก็ยังชอบอยู่กับเขาเหมือนกัน

เล่นกันทั้งวันจนเบื่อการเล่นฉันกับเพื่อนๆ ก็เดินออกไปซื้อน้ำแข็งใส นานๆ ในโรงเรียนจะมีน้ำแข็งใสสีสวยๆ ราดด้วยน้ำข้นมาขายสักครั้ง ก็คิดดูแล้วกันคะ น้ำอัดลมก็ไม่มีขาย เด็กๆ ก็มักจะชอบกินน้ำที่มีรสหวานมากว่าน้ำเปล่า หรือน้ำผลไม้จริงไหมคะ

เราถือถ้วยน้ำแข็งใสออกมานั่งกินที่โต๊ะในโรงอาหารและก็กินไปบ่นไป

“หว๊าน หวาน สุดยอดจริงๆ” รมณที่ร้องออกมาดังๆ ทำเอาเพื่อนๆ ขำกับท่าทางของเธอ

“มากไปแล้วมนอะไรจะขนาดนั้น ก็แค่น้ำแข็งใส” ภรณีวันนี้แต่งตัวได้หล่อมากๆ ตามสไตล์ของเธอแอบแขวะรมณ

“ก็จะไม่ให้พูดได้ไงหละฉันนะเด็กหอเว่ย กว่าจะได้กินอะไรแบบนี้เรียกได้ว่ารอแล้วรออีกจนฉันจะกลายเป็นแมลงสาปตากแห้งแล้ว” รมณพูดซะจนพวกฉันเห็นภาพ

“แกก็เกินไป” ขวัญหทัยคัดค้านในทันที

“ก็จริงนี่แก ฉันนะกินแต่อาหารหลุมอย่างกับเป็นหมู กินข้าวในราง”

“พูดดีไปเถอะเดี๋ยวป้าแม่บ้านได้ยินแกได้กินอาหารหมูแน่ๆ ไอ้มน”

“กินไม่กลัวกลัวไม่ได้กินเว่ย” รมณยังทำท่าซ่าไปตามเรื่องตามราว

ฉันเข้าใจจิตใจของรมณดีเพราะรมณมาบอกฉันเสมอๆ ว่าเธอเบื่อกับข้าวของโรงเรียน บางครั้งพวกฉันก็ต้องซื้อขนมอร่อยๆ มาฝากเธอบ้าง เพราะเอามาแลกกับการลอกการบ้าน ที่รมณเป็นต้นฉบับ

เด็กหอก็มักจะเรียนเก่งแบบนี้ เข้านอนเป็นเวลา กินเป็นเวลา อาบน้ำเป็นเวลา และทำอะไรเป็นเวลามาตลอด ฉันเคยถามรมณว่าทำไมไม่ย้ายออกไปอยู่หอนอก คำตอบเดียวที่เธอตอบมาก็คือ “พ่อไม่ให้”

ตั้งแต่เกิดเรื่องของหงส์หยก พวกเราก็โดนจับตามองกันอยู่เสมอๆ เพราะกลัวว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอย ฉันว่าไอ้ที่ซ้ำรอยนะอาจซ้ำ แต่จะเป็นการซ้ำกับเพศเดียวกันมากกว่า

การที่พ่อแม่ไม่ยอมให้พวกเราไปคบหาพวกผู้ชาย นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่งที่พวกเราไปไหนมาไหนกันเอง ความสนิทสนมมากกว่าคำว่าเพื่อนก็เกิดขึ้นกับหลายๆ คู่ในโรงเรียนฉัน

รมณเคยมาเล่าแบบติดตลกว่าเด็กหอหลายๆ คู่มีอะไรกันในหอนอน พวกฉันก็อยากรู้อยากเห็นว่าเค้าทำอะไรกัน

“รู้ว่ามีอะไรกันแต่ไม่เห็นนะ พวกเค้าคลุมโปงนะแก ได้ยินเสียง ซี๊ด ซ๊าด ตอนแรกก็นึกว่าใครแอบมากินลาบในห้องนอนเว่ย ที่ไหนได้พอพวกฉันย่องไปดูกลับกิน ส้มกันซะงั้น”

“แล้วไงกินส้มแล้วเปรี้ยวซี๊ดซ๊าดปากมันผิดตรงไหนหละมณ” ฉันที่ไม่เข้าใจความหมายที่รมณสื่อก็ถามขึ้นเพราะมันไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยสักนิด

“ไอ้อาแกไปมุดอยู่โข่ไหนมานี่ ที่ฉันเรียกว่าส้มนะมันคือน้องหนูเว่ยเพื่อน งี่เง่าจริงๆ เลยเพื่อนตรู”

เพื่อนในกลุ่มหันมามองหน้าฉัน ที่ไม่เข้าใจความหมายหรือคำศัพท์อะไรกับเขาเลยสักครั้ง หากว่าพวกเราพูดทะลึ่งทะเล้นอะไรฉันก็ไม่เคยจะเข้าใจกับใครสักเรื่องจนเพื่อนๆ ต้องหันมาอธิบายฉันตัวต่อตัวมาโดยตลอด

“อะหรือแกไม่เคยกิน” ภรณีหันมาถามคำถามฉันบ้าง

ฉันส่ายหน้าและหน้าแดงขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะตอบว่า “ไม่เคย”

“เอ๊ย!!! ทำไมช้านักระวัง โดนคนอื่นงาบนะเพื่อน” ภรณีร้องลั่น

“ตกใจอะไรนักหนา ไม่เคยจริงๆ เพื่อน มันยังไม่ถึงเวลาของฉัน” ฉันชักหมั่นไส้ภรณีขึ้นมาตะหงิดๆ จะมาทำเป็นรู้มากรู้ดีไปกว่าฉันได้ไง

“เวลาอะไรของแกวะอา หรือว่ารอเวลาตกไข่ ฮ่าๆๆๆ”

“เอาน่ายังไม่ถึงเวลาก็แล้วกัน” ฉันตัดบทเพราะยิ่งพูดก็ยิ่งเข้าตัว

ใครจะรู้สึกเหมือนฉันหรือเปล่านะว่าความรักมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความใคร่เพียงอย่างเดียว

.........................

ใกล้วันเข้าค่ายเนตรนารีของโรงเรียนอีกครั้ง ครูบอกว่าทุกคนต้องมีไม้ง่าม ฉันเดินไปสวนหลังบ้านไปตัดกิ่งฝรั่งที่ดูยาวๆ มาสองกิ่งแล้วก็เอามาวางไว้ข้างบ้าน เผื่อพี่ภาด้วยอีกกิ่งนึง

พี่ภาปีนี้สูงกว่าปีที่แล้วเกือบสิบเซ็นเรียกว่าสูงปรี๊ด จนฉันไล่ตามไม่ทัน พี่ภาดื่มนมทุกวัน เห็นได้ชัดว่าสูงแบบเสาไฟฟ้าเลย ฉันเห็นพี่ภาสูงขึ้นก็เลยดื่มนมกับพี่ภาบ้าง มันอาจจะไม่ทันการแต่ก็พอช่วยได้บ้าง

แม่เคยบอกว่าเพราะฉันไว้ผมยาวเกินไป ก็เลยไม่รู้จักโตอาหารที่กินเข้าไปเอาไปเลี้ยงผมหมด ส่วนพี่ภาผมไม่ยาวมากเท่าฉันเปียได้สองสามข้อพี่ภาก็พอใจแล้ว แต่ฉันสิผมยาวถึงเอว กว่าจะหวีผมเปียปมเสร็จก็เล่นเอาเสียเวลาไปนานในตอนเช้า

“แม่จ๋าอาจะตัดผม”

“อ้าวทำไมหละอาไหนว่าชอบไว้ผมยาว” แม่หันมาถามฉันเพราะฉันไม่เคยตัดผมมานานหลายปีแล้ว

“อาอยากสูงแบบพี่ภาบ้างนะแม่ ตอนนี้อาเตี้ยแล้วพี่ภาสูงอย่างกะเสาไฟ อาไม่ยอมอะแม่อาจะสูงแม่ตัดผมให้อาเลยนะ” ฉันอ้อนแม่

“แล้วตอนนี้อาสูงเท่าไหร่แล้ว”

“สูงร้อยหกสิบเองแม่แต่พี่ภาสิสูงตั้งร้อยหกสิบห้า”

“เอาตัดก็ตัดแล้วอย่ามาโทษแม่นะว่าแม่ตัดสั้น แล้วอาจะเอาสั้นแค่ไหน” แม่ถามฉันอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ

“เท่าติ่งหูเลยแม่ เอาสั้นๆ เลย” ฉันบอกแม่ ทำเอาแม่ฉันแทบถลนตาใส่

“จริงเหรออา ตัดสั้นขนาดนั้นเลยเหรอ” แม่ถามย้ำ และหยิบกรรไกรมาถือไว้ในมือ

“สั้นแบบนั้นเลยแม่ แต่ให้มัดจุกได้ก็แล้วกัน” ฉันหลับปี๊ตาขณะที่แม่ตัดผมให้

เสียงกรรไกรดัง “ขวับๆ” ตลอดเวลาที่ฉันนั่งหลับตาอยู่ มันช่างเสียดแทงไปถึงหัวใจ ฉันรักผมมากพอๆ กับรักการปีนป่ายเล่นบนต้นมะม่วงหลังบ้าน

“เอ๊าเสร็จแล้วลืมตาแล้วไปล้างผมได้แล้วอา” แม่บอกฉัน

ฉันเดินหัวเบาๆ เข้าห้องน้ำไปและก็ต้องพบกับความแปลกใหม่เมื่อฉันก้มลงเพื่อที่จะล้างผม น้ำตาแทบร่วง ผมฉันหายไปแล้วตอนนี้ ไม่เป็นไร สั้นได้ก็ยาวได้อาคิรา

ฉันได้แต่บอกตัวเองแบบนี้เพื่อเป็นการปลอบใจ

ล้างผมเสร็จฉันก็ออกไปเกลาไม้ฝรั่งที่ตัดมาทำให้พี่ภาก่อนแล้วกัน

“พี่ภาออกมาหน่อยมาวัดไม้ง่ามหน่อย” ฉันจะโกนเรียกพี่ภาที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ในบ้าน

พี่ภามายืนวัดไม้ง่ามอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดว่า

“ตัดผมสั้นๆ แบบนี้นี่จะเป็นทอมบอยหรือไงอา หรือจะเลียนแบบพี่ปุ๊” พี่ภาพูดถึงนักร้องขวัญใจของพวกเราที่ท่าทางออกมาดทอมบอย และมีเอกลักษณ์ของตัวเองเด่นชัด

“เปล่านี่อายสูงแบบพี่ภาต่างหาก แม่บอกว่าให้อาตัดสั้นๆ อาหารที่กินเข้าไปมันจะได้ไม่ไปเลี้ยงผม มาเลี้ยงกระดูกอาให้สูงเท่าพี่ภาเร็วๆ ไงหละ”

“อ่อเหรอ นึกว่าอยากเป็นทอมบอยแบบณี งั้นก็แล้วไป แล้วจะทาสีเมื่อไหร่ก็บอกพี่แล้วกัน พี่ไปทำการบ้านต่อก่อนนะ”

“สีคงทาพรุ่งนี้หละพี่ วันนี้คงทาไม่ได้เพราะไม้มันยังไม่แห้งเลย”

ฉันก็หันมาเกลาไม้ง่ามอันของฉันต่อ เพราะตอนนี้เหลืองานนี้เพียงงานเดียวเท่านั้นที่ฉันต้องทำ เพราะงานอื่นๆ เสร็จไปแล้วตั้งแต่อยู่ที่โรงเรียน เพราะฉันไม่ได้ซ้อมดนตรีเวลาว่างก็เลยมีมากขึ้น

....................

เพื่อนๆ มองหน้าฉันที่ตอนนี้ไม่มีผมเปียเลียใบตอง พระตีกลองตะลุมตุ่มโมงอีกต่อไปแล้ว ฉันกลายเป็นไอ้จุกผูกโบว์น้ำเงินไปแล้ว

“เฮ้ยไปตัดผมทำไม” ภรณีวิ่งหน้าตื่นมาหาฉัน

“หรือว่าพี่เค้าตัดรักแกเลยตัดผมเหมือนตัดสวาท”

“เปล่า อยากสูง”

“ห๊าว่าไงนะ ที่ไปตัดผมนี่เพราะว่าอยากสูงเหรอ”

“อืมใช่สิ ฉันอยากสูง” ฉันพยักหน้า

“เออคิดอะไรแปลกๆ นะแก แปลกคนดี ตัดผมเพราะอยากสูง ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะนี่ นึกว่าแบบในหนังจีนตัดผมเหมือนตัดสวาท” ภรณีเดินหันหลังกลับไปแล้วก็บ่นไปเรื่อยเปื่อย

พี่แสงอุษาเดินมาหาฉันและจับท้ายทอยที่ไร้เส้นผมของฉันลูบและบีบเบาๆ

“ตัดผมมาเหรอ ได้ยินว่าอยากสูงทำไมหละ” เธอถามฉันด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกถึงความเอ็นดูเหมือนว่าฉันเป็นน้องแท้ๆ ของเธอจริงๆ

“ก็พี่ภานะสิสูงเรื่อยๆ ส่วนอาไม่ยอมสูงสักที ก็เลยตัดผม เผื่อมันจะโตกับเค้าบ้าง เพราะตั้งแต่ขึ้นมอหนึ่งมานี่อาไม่สูงขึ้นเลยสักเซ็นเดียว”

“แค่นี้ก็โตแล้ว จะโตเท่าไหนอีกนี่พี่ก็ต้องไปตัดบ้างสินะจะได้สูงด้วยเพราะพี่ก็ไม่สูงขึ้นเหมือนกัน”

“อย่าตัดนะ อาชอบให้พี่ไว้ผมยาว”

“เอ๊าทีอายังไปตัดผมได้ไม่ถามพี่สักคำว่าพี่ชอบอาไว้ผมสั้นหรือผมยาว แล้วพี่จะไปตัดบ้างอาจะมาห้ามพี่ได้เหรอ”

“นั่นสินะ อาจะไปห้ามพี่ได้เหรอ งั้นแล้วแต่พี่เถอะค่ะ อาไม่ห้ามพี่แล้วก็ได้ แต่อาเสียดายเท่านั้นเอง” ฉันเสียงอ่อยลงไปมาก

เสียงกริ่งให้เข้าแถวเคารพธงชาติตอนเช้าดังขึ้นแล้ว ฉันยืนเข้าแถวประจำที่และพี่แสงอุษาก็เดินกลับไปที่แถวของเธอ ยังไงฉันก็ไม่คุ้นกับผมที่ตัดให้สั้นแบบนี้อยู่ดี ต่อให้คิดเข้าข้างตัวเองว่าหัวมันไม่หนักแบบเดิมแล้วก็ตาม

.........................

ฉันกลับบ้านพร้อมพี่ภาเพราะพี่ษาบอกว่าเธอต้องอยู่เรียนคำสอน ฉันก็ไม่เข้าใจว่าคำสอนคืออะไร ไว้พรุ่งนี้ค่อยถามพี่ษาก็แล้วกันว่าคำสอนที่ต้องเรียนนั้นเป็นคำสอนของใคร และต้องเรียนไปทำไม

ฉันกลับมาที่บ้านและลงมือทาสีไม้ง่ามเพราะกลัวว่าจะแห้งไม่ทันใช้ในวันพฤหัส นี่ก็วันอังคารแล้ว หากไม่รีบทาก็คงไม่แห้งแน่ๆ ฉันเดินหาสีน้ำมันสีขาวจากหลังบ้านมาทาเพราะจำได้ว่าปีที่แล้วฉันเอามาเก็บไว้ที่นี่ แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง ในลังไม้ มันก็คือลูกข่างที่ฉันไม่ได้เล่นมานานแล้ว

ลูกข่างอันนี้จำได้ว่าเมื่อปล่อยให้มันหมุนรอบตัวเองมันจะมีเสียงวิ้งๆ ออกมาด้วย ฉันเก็บลูกข่างไว้ในกระเป๋ากางเกง และตั้งใจว่ามาสีเสร็จจะกลับมาเล่นลูกข่างซะหน่อยเพราะว่าตอนนี้ฟ้ายังไม่มืดเลย ตั้งแต่กลับบ้านเร็วๆ ฉันก็เหมือนคนไม่มีอะไรทำ

กว่าจะขัดไม้ง่ามด้วยกระดาษทรายเสร็จก็เล่นเอาฉันเหงื่อตก ฉันให้พี่ภามาช่วยกันทำ คำตอบคือไม่ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนว่าถ้าฉันทำไม้ง่ามให้ พี่ภาจะรีดผ้าให้ฉัน

ข้อต่อรองแบบนี้มีหรืออาคิราจะปฏิเสธ เพราะเรื่องรีดผ้าสำหรับฉันเป็นงานช้างนะไม่ใช่งานหมู กว่าจะรีดกระโปรงเสร็จแต่ละจีบ มันยากกว่าการเอากระดาษทรายมาขัดไม้เป็นไหนๆ

ถึงขั้นตอนต้องทาสีแล้วเพราะไม้ง่ามนั้นจัดจนเกลี้ยง ไม่มีเสี้ยนให้ตำมือ ของมันแน่อยู่แล้วก็อาคราซะอย่างสบายไปร้อยแปดอย่าง

อุ้ย ยกหางตัวเองอีกแล้วแม่อาคิราสุดสวย

ไม้ง่ามฝีมือของฉันก็เสร็จสมบูรณ์ลงทุกกระบวนความ

เสียงรถมอเตอร์ไซด์แล่นเข้ามาในบ้าน ฉันก็ไม่ได้สนใจเพราะว่าฉันอยู่หลังบ้าน สักพักก็ได้ยินเสียงคุ้นๆ ทักทายแม่ฉัน และถามหาฉันว่าอยู่ที่ไหนได้ยินเสียงพี่ภาตอบว่าอยู่หลังบ้าน แล้วเสียงสนทนาก็เงียบลง

“อาทำอะไร” เสียงทักทายทำเอาฉันสะดุ้งโหยง

“กำลังทาสีไม้ง่าม” ฉันตอบไปโดยที่ไม่ได้หันหลังกลับมาดูว่าใครเป็นคนถาม

“ไม่ทักทายกันเลยนะเพื่อน” เท่านั้นฉันก็หันกลับไปเห็นหงส์หยก เธอยืนใส่ชุดคลุมท้องอยู่ข้างหลังฉัน

“เอ๊ยหงส์มาได้ไง อย่าบอกนะว่าขี่มอไซด์มา”

เธอไม่ตอบแต่พยักหน้าช้าๆ

“ตายแล้วหงส์ท้องไส้ขี่มอไซด์มาได้ไงกัน แล้วนี่แกแข็งแรงดีแล้วเหรอ ยังแพ้ท้องอยากกินมะม่วงอีกหรือเปล่าฉันจะได้ไปเก็บมาให้ จะเอากี่ลูกหละ” ฉันกำลังจะหันหลังเดินไปหลังบ้านเพื่อเก็บมะม่วงให้หงส์ แต่เธอก็ฉูดข้อมือของฉันเอาไว้

“ไม่ต้องหรอกอา เราจะมาบอกอาว่าเราจะไปอยู่ฮ่องกง เรามาลาเพื่อนก่อนไป”

“ทำไมต้องไปด้วยหละหงส์ แล้วไปอยู่ที่โน่นหงส์จะไปทำอะไร” ฉันถามเพื่อนด้วยความเป็นห่วง

“ไปทำร้านอาหาร อาปาเค้ามีพี่ชายทำอยู่พวกเราจะย้ายกันไปหมดบ้านนี่แหละ” หงส์บอกฉันสีหน้าเศร้าๆ

“ฉันเข้าใจดีหงส์ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันทำให้ครอบครัวของหงส์อยู่ไม่ได้ แต่หงส์จะไปฟังคำคนอื่นทำไมกัน ไม่เอาไอ้หมอนั่นเข้าตารางไปเลยหละก่อนไป” ฉันยังคงอาฆาตผู้ชายเฮงซวยคนนั้นอยู่ดี

“ช่างมันเถอะอา เรื่องมันผ่านไปแล้ว ทุกวันนี้เราก็อยู่เพื่อลูกของเรา นี่กำลังเริ่มจะดิ้นแล้วนะอา” เธอจับมือฉันไปวางไว้ที่ท้องของเธอ และฉันก็รู้สึกว่ามีอะไรดิ้นดุ๊กดิ๊กอยู่ในนั้น

“อุ้ยดิ้นได้ด้วย เจ็บรึเปล่านี่” ฉันรู้สึกตื่นเต้นเพราะไม่เคยจับท้องของใครที่มีเด็กอยู่ในท้องแบบนี้

“ไม่เจ็บหรอก แค่ตึงๆ”

“กี่เดือนแล้วหงส์แล้วนี่จะคลอดเมื่อไหร่” ฉันแหงหน้าที่กำลังก้มลงไปดูท้องของหงส์ขึ้นมามองหน้าเธอ ประจวบกับหงส์ก้มลงมาดูฉันพอดี จมูกของเราสองคนก็เลยเฉียดแก้มกันไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

“ขอโทษนะเราไม่ได้ตั้งใจนะหงส์”

“ไม่เป็นไรเพื่อน อาไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เรื่องแค่นี้สำหรับเพื่อนสบายมากไม่ต้องกังวล ตอนนี้ก็หกเดือนแล้ว อีกสามเดือนเราก็คลอดแต่คงไปคลอดที่โน่นราวๆ มีนาเมษาก็คงคลอดแล้ว ไม่ได้คลอดเมืองไทยหรอก”

“ทำไมต้องไปคลอดที่โน่นหละหงส์ เด็กก็ไม่ได้เป็นคนไทยสิ”

“ไงเราเองก็ไม่ได้เป็นคนไทยอยู่แล้วนี่อา เพราะปาเราก็เป็นคนฮ่องกง แม่เราก็เป็นคนจีน เราต่างหากมาเกิดเมืองไทย ปาบอกว่าเราจะกลับไปบ้านเมืองของเรา เราคงคิดถึงอากับเพื่อนๆ มากเลยหละ”

“แล้วนี่จะไปเมื่อไหร่ก่อนไป พวกเราไปกินข้าวบ้านหงส์ได้หรือเปล่าไปวันเสาร์ก็ได้”

“ไม่ทันแล้วหละเราจะไปพรุ่งนี้แล้ว เรามาลาอาคนเดียวเท่านั้นและเราฝากนี่ไว้ให้เพื่อนๆ ได้อ่านด้วย ขอบคุณมากๆ นะที่ช่วยเรา ถ้าไม่มีพวกอาเราก็คงไม่มีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้”

“เราเข้าใจเพื่อน เราเข้าใจดีเลยหละ” ฉันบีบมือหงส์หยกแน่นน้ำตาของเพื่อนสองคนไหลออกมาไม่หยุด

“เราคงต้องไปแล้วเพื่อนลาก่อน” หงส์หยกลุกขึ้นและทำท่าจะเดินจากไป ฉันคว้าหงส์หยกเข้ามากอดและตบหลังเธอไปเบาๆ

“ลาก่อนเพื่อนแล้วเขียนจดหมายมาบ้างนะถ้ามีเวลา”

ฉันเดินไปส่งหงส์ที่รถของเธอ ท่าทางของหงส์ดูอุ้ยอ้าย แม้ว่าจะท้องได้แค่เพียงหกเดือน แต่ท้องก็ดูใหญ่โตจริงๆ

ฉันยืนมองหงส์ที่ขี่มอเตอร์ไซด์ออกจากบ้านฉันไปจนลับตา และเดินกลับเข้าบ้าน

“สงสัยจะลูกผู้ชายนะนี่” แม่พูดขึ้น

“ทำไมหละแม่แล้วแม่รู้ได้ไงว่าคะว่าเด็กจะเป็นผู้ชาย”

“ก็ท้องแหลมขนาดนั้น ไม่กลมๆ แม่ท้องลูกสาวมาสองคนไม่เห็นเหมือนท้องของหงส์ แหลมๆ แบบนี้แม่ว่าผู้ชายแน่ๆ เลย”

แม่อธิบายให้ฉันได้เข้าใจ เพราะฉันเองก็แปลกใจว่าผู้ใหญ่เค้าดูเด็กว่าเป็นเพศไหนได้ตั้งแต่อยู่ในท้องเลยหรอนี่ ช่างเก่งจริงๆ

“แล้วหงส์มาทำไม” พี่ภาที่นั่งอยู่กับแม่ก็ถามฉันอีก

“หงส์เค้ามาลา หงส์จะไปอยู่ฮ่องกงพรุ่งนี้แล้ว หงส์ฝากสมุดมาให้เพื่อนๆ อ่าน” ฉันยื่นสมุดในมือให้พี่ภา

เธอพยักหน้ารับรู้แล้วก็เปิดอ่านผ่านๆ

ฉันเดินกลับมาที่หน้าบ้านแหงนหน้ามมองท้องฟ้า คืนนี้ฟ้าไร้เดือนมีแสงดาวพร่างพราย ระยิยระยับเต็มท้องฟ้าไปหมด แสงดาวสวยแต่ทำไมจิตใจของฉันห่อเหี่ยวอย่างบอกไม่ถูกแบบนี้นะ

...... จบบทที่ ๗ ......



Create Date : 14 พฤษภาคม 2551
Last Update : 18 พฤษภาคม 2551 16:20:38 น. 8 comments
Counter : 365 Pageviews.

 
แวะมาทักทาย เป็นเด็กวงฯเหมือนกันเลย ^__^+ อ่านแล้วนึกถึงวัยเด็ก ยังดีที่เครื่องที่ฉันเป่าไม่ใหญ่อย่างของคุณ ไม่งั้นคงเดินไปเป็นลมไป
จะตามอ่านต่อไปค่ะ เรื่องนี้โดนใจฉันจริงๆ


โดย: ภัทร IP: 129.2.165.67 วันที่: 15 พฤษภาคม 2551 เวลา:8:49:50 น.  

 
คุณภัทร

คุณเป่าอะไรคะ เดาว่าคาริเนท หรือไม่ก็ทรัมแปต ถ้าไม่ใหญ่อย่างซูซ่าโฟน

เพราะเป็นเครื่องดนตรีที่ฮ๊อตที่สุดใครๆ ก็อยากเป่า ยกเว้นฮอร์น เพราะปีบปากจนปวดแก้มไปหมด


โดย: รันหณ์ วันที่: 15 พฤษภาคม 2551 เวลา:13:01:39 น.  

 
ฉันเล่นทรัมเป็ดค่ะ ตอนฉันหัดมันไม่ได้ฮิตเลยค่ะ แต่ก็ไม่มีทางเลือกเท่าไหร่ ที่ฮ๊อตจริงๆต้องเป็นพวกfluteหรือsax แต่ฉันก็ไม่มีวาสนาต่อมันค่ะ แต่เล่นไปนานๆเราก็รักของเราจริงไหมคะคุณ ^__^+

ทรัมเป็ดก็บีบปากจนเมื่อยเหมือนกันค่ะ แถมต้องเล่นนำตลอด เป่าไม่หยุดและต้องเป่าดังๆ เล่นเสร็จฉันแทบหมดลมทุกที


โดย: ภัทร IP: 129.2.165.67 วันที่: 15 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:02:44 น.  

 
ส่วนของฉัน เป่าตอดค่ะ ตอดไปเรื่อยๆ ไม่เป่าทั้งเพลง ไม่บีบปาก แต่หมดลมหายใจเหมือนกัน

กว่าจะเป่าได้แทบขาดใจ


โดย: รันหณ์ วันที่: 15 พฤษภาคม 2551 เวลา:22:26:04 น.  

 
เพื่อนสนิทฉันก็เล่นทูบ้าค่ะ เธอบ่นเหมือนที่คุณเขียนเลย
วันนึงที่เราซ้อมแถวกันมีน้องผู้หญิงเดินผ่านแล้วพากันชี้เธอว่า นี่เธอดูสิๆพี่คนนี้เขาบึกบึนจัง... ไม่รู้จะสงสารหรือฮาเธอดี
ตอนที่โรงเรียนซื้อทูบ้าตัวใหม่ให้เธอซึ่งใหญ่มากจนฉันไม่สามารถยกได้ เธอโอดครวญกับอาจาย์อยู่นานว่าเธอเป็นผู้หญิงนะ แต่ในที่สุดก็ยกเดินเล่นได้สบาย -__-"
พูดเรื่องพวกนี้ทีไรแล้วคุยได้ไม่หยุดจริงๆนะเนี่ย ^^


โดย: ภัทร IP: 129.2.165.67 วันที่: 16 พฤษภาคม 2551 เวลา:6:30:25 น.  

 
คุณภัทร

เค้าว่ากันว่าคนที่คุยเรื่องเก่าๆ นี่ก็คือคนที่สูงอายุแล้ว

ฉันก็ยอมรับค่ะ ว่าเวลาคุยเรื่องเก่าๆ จะสนุกมากๆ

เมื่อสองเดือนก่อนฉันกลับไปพบเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันตั้งแต่เรียนจบชั่น ม.3 เราคุยกะนตั้งแต่ 4โมงเย็นจนถึงเที่ยงคืน (แอบจิบไปด้วยเล็กๆ)

คุยตั้งแต่เรื่องเรียน เรื่องเพื่อน เรื่องซ้อมดนตรี วีรกรรมของแต่ละคน บางเรื่องฉํนก็ลืมไปแล้ว พอเธอพูดถึงก็ทำให้นึกขึ้นได้

แฟนของเธอแซวพวกฉันว่า ตั้งแต่ที่นั่งฟังพี่ๆ คุยกันมาไม่เห็นคุยเรื่องอื่นนอกจากเรื่องเก่าๆ

เพื่อนฉันเธอไม่เปลี่ยนเลยค่ะ รูปร่างหน้าตายังเหมือนเดิมเพิ่มมาแต่รอยตีนกาเล็กๆ ที่หางตา แต่ฉันสิ เป็นใหญ่เป็นโตเหลือเกิน

พอคุยกันเรื่องดนตรี เธอก็หยิบเอาฟลุ๊ตออกมาแล้วถามว่ายังเป่าได้หรือเปล่า จริงๆ จะเรียกว่าฟลุ๊ต ก็คงไม่ได้ แต่เป็นเครื่องดนตรีที่เวลาเป่าต้องเป่าแบบเดียวกับฟลุ๊ต คือใช้ริมฝีปากเป่าลมให้ผ่านเข้าไป มันเป็นท่อเหล็กกลมๆ มีรูให้กดปิดช่องลม

ฉันมองแล้วก็ลองขยับๆ ดูในที่สุดก็รื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆ ได้ เป่าออกมาเป็นเพลงได้ แต่ไม่พริ้วเหมือนเมื่อสมัยยังเด็ก นิ้วของฉันแข็งไปหมดแล้วค่ะ

เธอถามว่ายังจำเพลงเก่าๆ ที่เคยเล่นได้หรือเปล้า ฉันตอบไปคำเดียวเลย จำบ่อล่าย เธอขำฉันใหญ่บอกว่าแก่แล้วก็ขี้ลืม

ฉันก็บอกว่า ให้เอาเบสมาสิจะเล่นให้ฟัง กาลครั้งนั้นก็เลยต้องหยิยกีต้าร์ออกมาแล้วก็เลยร้องรำทำเพลง(โบราณสมัยยังรุ่นๆ)

เราสองคนนั่งกันที่หน้าบ้านของเธอยุงหามกันไปหลายตัว

พอคุยเรื่องนี้จบฉันก็เลยคิดอยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับสมัยอดีต เหมือนอิงชีวิตจริง แต่ก็แต่งเติมอะไรบางอย่างลงไปบ้าง ก็เลยกลายมาเป็นเรื่องนี้หละค่ะ

คุณภัทรมีเรื่องอะไรสนุกๆ เล่าให้ฉันได้อ่านบ้างหือเปล่าคะ ถ้ามีเล่าสู่กันฟังบ้างก็คงจะดี เพราะฉันก็หลงๆ ลืมๆ เรื่อราวในอดีตบางเรื่องไปบ้างแล้่วเหมือนกัน


โดย: รันหณ์ วันที่: 16 พฤษภาคม 2551 เวลา:11:19:35 น.  

 
อ้าวคุยเรื่องเก่าแล้วสูงอายุเลยเหรอคะ อย่างนี้เปลี่ยนเรื่องค่ะเปลี่ยนเรื่อง ฉันยังอ่อนค่ะ ไม่ยอมรับ อิอิ

ฉันไม่ได้เขียนblog หรือนิยานค่ะ เลยไม่รู้ว่าจะเล่าให้คุณฟังได้อย่างไร ขอเป็นคนอ่านอย่างเดิมคงจะเหมาะกับฉันมากกว่า

เพื่อนที่เล่นดนตรีด้วยกันมาคือเพื่อนสนิทที่สุดของฉันค่ะ ทุกวันนี้ยังไปมาหาสู่กันอย่างเหนียวแน่น ส่วนวีรกรรมคงมีไม่น้อยกว่าคุณเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าสิ่งที่พวกฉันทำมักออกแนวบ้าบอไร้สาระไปซะมากกว่า เรียกได้ว่าพวกเรารวมตัวกันเมื่อไหร่ฮาอย่างเดียวค่ะ แย่งกันพูดแย่งกันเผาไม่มีเหลือ

เป็นกำลังใจให้คนแต่งต่อไปนะคะ อ่านแล้วเหมือนเห็นชีวิตวัยเด็กอีกครั้ง รู้สึกดีมากๆเลยค่ะคุณ


โดย: ภัทร IP: 129.2.165.67 วันที่: 17 พฤษภาคม 2551 เวลา:0:30:53 น.  

 
แหม่ นึกว่าจะได้อ่านเรื่องของคุณบ้าง

อดเลยฉัน

ไม่เป็นไรค่ะ แค่แวะมาคุยก็ดีใจแล้ว

ขอบคุณคะ


โดย: รันหณ์ วันที่: 17 พฤษภาคม 2551 เวลา:4:29:35 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.