It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องยาวแนวยูริ : อรุณรุ่งในดวงใจ บทที่ ๒๒

บทที่ ๒๒ ๗.๐๕ น.

พ่อพาพี่ษากับพี่ภามาเยี่ยมฉันในตอนเช้า และเอาชุดมาเปลี่ยนให้แม่ ฉันพึ่งเห็นว่าแม่อยู่ในชุดนอนเมื่อคืนทุกคนคงตกใจที่ฉันไม่สบายก็เลยออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า

“วันนี้พ่อโทรไปลางานให้แม่ด้วยนะสักสองวัน”

“จ้าแม่พ่อจะโทรให้บอกว่าลิงที่บ้านไม่สบายต้องนอนโรงพยาบาล”

“พ่ออะว่าอาเป็นลิง โอ๊ย” ฉันพูดงอนๆ พ่อ แล้วก็เสียวแปล๊บที่ท้องของฉันจนต้องร้องออกมา

“เป็นไงว่าพ่อว่าเชื้อกรรมตามสนอง” พ่อยังหันมาพูดเล่นกับฉัน

“ไงอาสมน้ำหน้ากินไปดิเม็ดฝรั่ง กินอีกมะพี่จะซื้อมาฝาก” พี่ภาเหมือนจะเยอะเย้ยฉันอีกแล้วคร๊าบท่าน

“ไม่กิน” ฉันตอบห้วนๆ งอนทั้งพ่อทั้งพี่

“ไปล้อน้องแค่นี้ก็เข็ดจนตายแล้ว” แม่เข้าข้างฉัน

“แม่ก็ภาบอกน้องแล้วนะว่าอย่ากินๆ แต่น้องไม่เชื่อภาเองนี่แม่”

“เออภาบอครูของน้องด้วยนะว่าน้องลาป่วยอาทิตย์นึง”

“ค่ะแม่”

“แล้วเรากับษาก็ไปโรงเรียนได้แล้วเดี๋ยวไปสายถูกทำโทษ แล้วนี่มากันยังไงมากับพ่อหรือว่าเอารถมาเอง”

“มากันเองค่ะแม่ เอารถมาสองคันเพราะตอนเย็นภามีเรียนภาษาอังกฤษ” พี่ภาตอบแม่

“ดีนะคนเราน้องไม่สบายยังมีแก่ใจไปเรียนพิเศษอีก” ฉันยังพอมีแรงกัดพี่ภาอยู่บ้างก็ไม่ละเลิกเมื่อมีช่องทาง

“ก็ใช่นะสิ เรานะมีคนดูแลอยู่แล้ว ต้องห่วงไปทำไมกัน ห่วงตัวเองดีกว่า” พี่ภากระแทกเสียงใส่ฉันกลับมาบ้างเหมือนเป็นการเอาคืน

“พอๆ พี่น้องคู่นี้ไปภาไปโรงเรียนได้แล้ว พ่อก็จะไปทำงานแล้วด้วยเหมือนกัน แม่เดี๋ยวตอนเย็นพ่อมาเปลี่ยนเฝ้าแทนแม่แล้วกัน เจอกันตอนเย็นนะอาพ่อไปก่อน” พ่อห้ามศึกระหว่างฉันกับพี่ภาและก็หันไปบอกแม่จากนั้น ทั้งหมดก็เปิดประตูออกไปจากห้องคนป่วย

พี่ษาหันมามองหน้าฉันเหมือนบอกว่าเย็นนี้เจอกันนะ ฉันพยักหน้ารับ

หลังจากที่พ่อออกไปไม่นานหมอก็เข้ามาในห้อง

“เป็นไงเด็กน้อยยังปวดแผลอยู่หรือเปล่า”

“ปวดค่ะหมอ เจ็บจี๊ดๆ”

“ต้องลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำบ้างนะ เดี๋ยวหมอจะเอาสายสวนออกแล้ว ตอนกลางวันก็ดื่มน้ำซุปได้ อาหารอ่อนๆ ก็น่าจะได้แล้วพรุ่งนี้ คุณแม่ค่ะถ้าน้องผายลมก็บอกพยาบาลด้วยนะคะ จะได้รู้ว่าลำไส้ทำงานแล้ว”

“ค่ะคุณหมอ”

“อีกสองสามวันก็กลับบ้านได้แล้วคนเก่ง” หมอบอกกับฉัน

“ค่ะหมอ”

“แต่กลับไปก็อย่าพึ่งไปปีนต้นไม้อีกนะเดี๋ยวแผลปริหมอไม่รู้ด้วยน้า”

หมอคนสวยคนเดิมที่เคยรักษาฉันเมื่อตอนที่ตกจากต้นไม้คราวก่อน ยังสัพยอกฉันอีกด้วย หมอคงเห็นฉันเป็นลิงเป็นค่างตามที่พ่อกับแม่เห็นจริงๆ แล้วมังนี่

ฉันได้แต่นั่งหน้ามุ่ยบอกบุญไม่รับอยู่ที่เตียงคนไข้ เจ็บตัวก็เจ็บ เจ็บใจก็เจ็บ ไม่รู้ว่าจะพูดออกมาเป็นคำพูดได้ว่าอย่างไร

ตอนเย็นพี่ษามาหาฉันก่อนใครๆ พร้อมกับพาเอาตัวแสบภรณีกับรมณมาด้วย ดูเหมือนว่าเพื่อนๆ จะแวะมาเยี่ยมฉันไม่ขาดระยะจนทำให้ฉันแทบไม่ได้นอน

ก็จะอะไรซะอีกเล่า ก็ภรณีนะสิ ซื้อใส้กรอกทอดมาแถมกลิ่นยังยั่วน้ำลายของฉันอย่างหนัก แต่สิ่งที่ฉันต้องกินก็แค่น้ำซุปใสๆ เท่านั้น

“ไอ้ณีแกไปไกลๆ ฉันเลยไป” ฉันไล่ภรณีเห็นๆ

“อะไรวะเพื่อนมาเยี่ยมดันมาไล่”

“ก็ที่แกถือติดมือมาด้วยน่ะนะมันยั่วน้ำลายฉันเว่ย” ฉันบอกสาเหตุของการไล่เพื่อนออกจากห้อง

“ทำไมหิวเหรอแกกินสิฉันไม่หวง” ภรณียังมีหน้ายื่นใสกรอกทอดในมือของเธอมาให้ฉัน

“อย่ากินนะอาเดี๋ยวแผลแตก” พี่ษาขัดคอฉันที่กำลังตะบะแตกเพราะใส้กรอกของภรณี

และสิ่งที่ไม่คิดไม่ฝันก็เกิดขึ้น

“ปู๊ดดดดดดดดดดดด” เสียงผายลมของฉันทั้งดังและยาวมากๆ ฉันเองไม่ได้ตั้งใจแต่มันบังคับไม่ได้ อายก็อาย ขายขี้หน้าที่สุดเท่าที่เคยเกิดเป็นอาคิรามาสิบสามปี

“ฮ่าๆๆ ไอ้อาตดเว่ย กร๊ากกกก ตอนนี้แกไม่ไล่ฉัน ฉันก็ไปวะไอ้อา เหม็นเว้ย” ภรณีพูดจบก็วิ่งเปิดประตูออกไปจากห้องคนไข้ แถมยังทำสีหน้าท่าทางว่าเหม็นกลิ่นที่ฉันปล่อยออกมาจนทนไม่ไหว

ขวัญหทัย ศสิมา รวิภา ตุลา สกุนา นิพาดา นันท์นลิน พรสวรรค์ ศุภดา วีรวรรณ กันตา เพื่อนๆ ในกลุ่มเนตรนารีของฉัน และใครๆ อีกหลายคน ที่แวะมาเยี่ยมฉันขำกลิ้งกันไปหมด มันไม่มีกลิ่นอย่างที่ภรณีทำท่าทางหรอกค่ะ แต่เพราะเสียงที่ดังและความนานของการปล่อยออกมาทำให้ภรณีแกล้งให้ฉันหน้าแตก

ฉันจะหัวเราะก็ไม่ได้มันเจ็บแผล ครั้งจะโวยวายก็ใช่ที่เพราะฉันยังมีสภาพไม่เต็มร้อย

และเสียงสวรรค์ของแม่ก็พูดกับพี่ษาว่า

“ษาจ๋าแม่วานอะไรหน่อยสิลูก”

“คะแม่”

“เดินไปบอกคุณพยาบาลที่ว่าน้องผายลมแล้ว เดี๋ยวให้คุณหมอมาดูน้องด้วย”

“ค่ะแม่” พี่ษารับคำแม่แล้วก็เดินออกไปจากห้องไปบอกพยาบาล

“ทำไมต้องบอกพยาบาลด้วยคะแม่” รมณที่ไม่เข้าใจถามแม่ของฉัน

“พอดีหมอบอกว่าถ้าอาปล่อยลมออกมาได้ให้ไปบอกหมอ แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอาจเพราะจะดูว่าลำไส้ทำงานแล้วหรือยังมั๊ง เพราะอาเค้าท้องมีแต่ลม ดูสิป่องลมเลย เคาะไปได้ยินเสียงเหมือนกลอง”

“ถ้าท้องอาปล่อยลมได้ขนาดนี้นะค่ะแม่ พุงอาคงเป็นกลองปุนจา หรือไม่ก็กลองศึกแล้วค่ะแม่” รมณเข้าใจเปรียบเทียบ แถมยังทำให้เพื่อนๆ หัวเราะกันครืนอีกรอบ

“ขำอะไรกันขอขำด้วยคนดิ” ภรณีตัวแสบกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับพี่ษา

“ขำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับแกไอ้ตัวยุ่ง” ฉันบ่นภรณี

“เอ๊ะก็อยากขำนี่หว่า มณบอกเราหน่อยดิว่าขำอะไรกัน”

“ขำที่แม่บอกว่าท้องอามีลมเสียงเหมือนกลอง พวกเราเลยว่าถ้าอาปล่อยลมได้ขนาดนั้นคงเป็นกลองปุนจาหรือไม่ก็กลองศึก” รมณบอกที่มาที่ไปของอาการขำของเพื่อนๆ ทั้งหมด

“เออจริงด้วยอา ฉันว่าไม่ใช่แค่กลองศึกอย่างเดียวนะแก อย่างนี้ต้องกลองหลวงแล้วแกเอ๊ย”

ฉันจะขำก็ขำไม่ออก จะโกรธก็โกรธไม่ลง ได้แต่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน และพูดว่า

“ฝากไว้ก่อนเถอะไอ้ณี ฉันหายดีเมื่อไหร่แกตายแน่”

“รับฝากไว้ชั่วชีวิตเลยแกเอ๊ย เพื่อนรักพร้อมเมื่อไหร่ฉันรอแกมาเอาคืนและจะบวกดอกเบี้ยค่าฝากให้ด้วยถ้าแกมีปัญญา” ภรณียังมีหน้ามาท้ารบกับฉันอีกรอบ

ฉันทำอะไรไม่ได้ก็เลยเอนตัวพิงหัวเตียง ประกอบกับคุณหมอคนสวยเดินเข้ามาในห้องเพื่อนๆ ทั้งหมดก็เลยขอตัวกลับบ้าน ปล่อยให้ฉันอยู่กับแม่ พี่ษาและคุณหมอคนสวยเท่านั้น

.............................

เมื่อพ่อกับพี่ภาตามมาสมทบตอนหลัง แม่ก็เตียมตัวกลับบ้าน เพื่อผลัดให้พ่อเป็นคนเฝ้าฉันแทน

“พ่อแม่ค่ะ ถ้าพ่อแม่ไม่ว่าอะไรษาของเฝ้าน้องเอง” พี่ษาบอกพ่อกับแม่

พ่อกับแม่มองหน้ากันแล้วแม่ก็บอกว่า

“ก็ได้ษาเพราะตอนนี้อาการน้องไม่น่าเป็นห่วงอะไรแล้ว จะมียุ่งนิดๆ หน่อยๆ ก็ตอนเดินไปเข้าห้องน้ำเท่านั้น ษาดูแลน้องได้แน่นะ”

“ค่ะแม่ษาดูแลน้องได้ค่ะแม่” พี่ษาตอบรับคำแม่ท่าทางจริงจัง

“งั้นแม่ฝากน้องไว้กับษาแล้วกันปะพ่อ เรากลับบ้านกันเถอะ” แม่แตะแขนพ่อแล้วก็เดินนำหน้าพ่อออกไปจากห้อง

“ษาเดี๋ยวเราเอาชุดมาให้ษาแล้วกันนะพรุ่งนี้แม่คงมาเปลี่ยนษาแต่เช้า”

“ขอบใจนะภา”

“ไม่เป็นไรเพื่อน ษาเฝ้าน้องไปเราจะได้ไม่ต้องเฝ้าแม่ลิงอา ก็ดีเหมือนกัน แล้วษาทำการบ้านเสร็จหรือยัง”

“ยังเลยแต่เดี๋ยวเราจะทำ”

“อาอย่ากวนษามากนักล่ะรู้ไหมษามีการบ้านต้องทำเข้าใจหรือเปล่า”

“เข้าใจแล้วน่าพี่ภาทำอย่างกับอาเป็นเด็กๆ ไปได้ โด่ อารู้หรอกนะอะไรควรอะไรไม่ควร”

“ขอให้จริงเถอะ งั้นเดี๋ยวเรามานะภา จะเอาอะไรอีกหรือเปล่า”

จากนั้นพี่ษาก็บอกรายการที่เธอต้องการให้กับพี่ภาและไม่ลืมสั่งหนังสือและการบ้านที่พี่ษายังไม่ได้ส่งให้พี่ภาเอามาให้พี่ษาด้วย จากนั้นพี่ภาก็กลับบ้าน ไม่นานก็กลับมาอีกครั้งพร้อมกับของที่พี่ษาสั่งไม่ขาดตกบกพร่องไปสักรายการเดียว

“นี่ถ้าใครเป็นแฟนภาคงปลื้มน่าดูเลยเน๊อะเรียบร้อยดีจังเลย”

“แฟนเราหรอ ท่าทางจะยังไม่เกิด หรือไมเกิดแล้วก็ยังไม่เจอกัน ไม่โชคดีเหมือนษาเน๊อะได้เจอเนื้อคู่กระดูคู่ตั้งแต่เด็กๆ แต่เราว่าเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะษาขืนมาเป็นแฟนยายอาตั้งแต่ตอนนี้ ตอนโตไปจะเสียใจว่าไม่น่าเล๊ย ไม่น่าหลงผิดมาชอบยายนี่เลย”

“เอาน่าไหนๆ ก็หลวมตัวมาแล้วอดหลวมตัวไปอีกหลายๆ ปีจะเป็นไรไป ขอบใจนะภาที่เอาของมาให้เรา”

“ไม่เป็นไรษาเราไปก่อนนะ อาอย่าไปกวนษาล่ะนอนหลับฝันดีทั้งคู่ บั๊ยบาย” พี่ภาพูดจบก็เดินจากไปปล่อยให้ฉันกับพี่ษาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง

“พี่ษากินอะไรมาหรือยัง”

“ยังเลยพี่ไม่หิว”

“อะนี่พี่ส้มกินรองท้องไปก่อน” ฉันยื่นส้มในตะกร้า ที่เพื่อนแม่เอาเมาเยี่ยมฉันให้กับพี่ษา

“อากินไม่ได้นี่เน๊อะเสียดายจัง”

“หมอบอกว่าสักสองสามวันอาก็กินได้ปกติแล้วพี่แต่ต้องเป็นอาหารอ่อนๆ เท่านั้น”

“อืมพี่ก็ว่างั้น กินอ่อนๆ ไปก่อนดีกว่า เพราะเกิดกินอะไรแข็งๆ ลงไปแล้วใส้แตกอีกจะยุ่งไปเปล่าๆ”

“พี่ษาทำการบ้านเถอะไม่ต้องห่วงอา เดี๋ยวอาอ่านสมุดจดของมณก่อน ไม่ได้ไปเรียนกลัวตามเพื่อนไม่ทันเหมือนกัน” ฉันบอกกับพี่ษาแล้วก็หยิบสมุดจดของรมณขึ้นมาอ่า

ฤดูหนาวก็ยังเหมือนเดิม มืดเร็วเหมือนเดิม อากาศหนาวๆ เหมือนเดิม

สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็คือตอนนี้ฉันมีร่างกายไม่ครบแบบคนอื่นทั่วไป ฉันหันไปมองขวดเก็บใส้ติ่งที่หมอเอามาให้แม่เก็บไว้เป็นที่ระลึก มองไปแล้วก็ดูน่ากลัว นี่เหรอใส้ติ่งที่ใครบอกว่าไม่มีประโยชน์

ฉันมองไปก็นึกถึงขันทีสมัยโบราณที่ต้องตัดชิ้นส่วนสำคัญของร่างกายออกไปตั้งแต่ยังเป็นเด็ก “เป่าเป้ย” ของขันทีก็คงมีลักษณะคล้ายใส้ติ่งของฉันที่ถูกแช่อยู่ในขวดนี้แน่ๆ เลย

“พี่ษาๆ” ฉันเรียกพี่ษาที่นั่งทำการบ้านอยู่ที่โซฟา

“อาจะเข้าห้องน้ำเหรอ” พี่ษาเดินมาหาฉันที่เตียงแล้วถาม

“เปล่าหรอกพี่ อาจะถามพี่ว่าอาต้องเก็บใส้ติ่งของอาไว้หรือเปล่า”

“ถามทำไมอะ อาอยากเก็บก็เก็บไว้สิ”

“ก็อาเห็นในหนังจีนเวลาที่ขันทีโดนตอนเค้าบอกว่าต้องเก็บเป่าเป้ยไว้ ไม่อย่างนั้นจะเกิดมาในชาติหน้าไม่ได้ เพราะตอนตายไปไม่ครบร่างกายเดิม อาก็เลยอยากรู้ไง”

“แล้วอาเก็บฟังน้ำนมของอาไว้หรือเปล่า”

“ไม่ได้เก็บแม่ให้เอาฟันบนขุดหลุมฝัง เอาฟันล่างโยนขึ้นไปบนหลังคา พี่ษาถามทำไมเหรอ”

“ก็เพราะมันคงเหมือนฟันมั๊ง อะไรที่เราไม่ได้ใช้มันก็คงไม่ต้องเก็บ แต่เรื่องขันทีมันคงเป็นความเชื่อของคนสมัยนั้นว่าหากมาเท่าไหร่ก็ต้องไปเท่านั้น อีกอย่างเห็นพี่ๆ ที่เค้าไปแปลงเพศ เค้าก็ไม่ได้เก็บอะไรไว้นะ ไม่เห็นเค้าจะกลัวว่าเกิดชาติหน้าจะออกมาไม่ครบอย่างพวกขันทีเลยนี่เน๊อะ”

“นั่นสิพี่” ฉันวางขวดใส้ติ่งไว้บนโต๊ะข้างเตียงเหมือนเดิมแล้วก็เลิกนึกถึงเรื่องที่โดนตัดใส้ติ่งไป

“พี่ษาๆ” ฉันเรียกพี่ษาอีกครั้ง

“ว่างัยจ๊ะเด็กน้อย”

“อาปวดฉิ้งฉ่องพาอาไปห้องน้ำหน่อยสิ” ฉันขยับตัวจะลุกขึ้นจากเตียงเองแต่พี่ษาก็ห้ามไว้

“ช้าๆ อา รอเดี๋ยว” พี่ษาเข้ามาประคองฉันให้ลุกนั่งบนเตียงตั้งตัวก่อนที่จะลงเดินไปห้องน้ำ พี่ษาเดินประคองฉันเข้ามาและเอาสายน้ำเกลือแขวนไว้ให้ และเดินออกไปยืนรออยู่ที่หน้าห้องน้ำ

“ไม่ต้องปิดประตูนะอาเสร็จแล้วเรียกพี่”

และในห้องน้ำครั้งนี้ การระบายลมยาวๆ ของฉันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ฉันอดนึกถึงไม่ได้ว่าครั้งหนึ่งเคยได้ยินคนพูดเสมอว่า ผู้ใหญ่ทำเป็นการระบายลม ถ้าเด็กๆ แบบฉันทำจะเป็นการเสียมารยาท ทำไมต้องมาจำกัดสิทธิเสรีภาพของเด็กด้วยก็ไม่รู้

ครั้งนี้ไม่มีเสียงหัวเราะของพี่ษาเหมือนเสียงหัวเราะของภรณี พี่ษาที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำเปิดประตูมามองฉันแล้วก็ยิ้มๆ ก่อนที่จะพูดว่า

“ดีขึ้นไหมหายแน่นท้องหรือเปล่า”

“ค่อยยังชั่วขึ้นเยอะเลยพี่”

“ดีแล้วไม่ต้องเกรงใจพี่นะถ้ามันจะออกมาอีกพี่ไม่ว่าอะไรหรอกพี่เข้าใจ” พี่ษาเข้ามาพยุงฉันออกจากห้องน้ำ และพาไปที่เตียงจัดการห่มผ้าให้เรียบร้อย ก่อนที่เธอจะเดินกลับไปที่โซฟาและทำการบ้านต่อ

จากนั้นฉันก็หลับตาลงด้วยความง่วงอีกครั้ง ก่อนจะหลับจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนแม่มาลูบผมที่หน้าผากฉันและจูบที่แก้มฉัน และบอกฉันว่า “หลับฝันดีนะคนดี”

.......................

ฉันหยุดเรียนไปหนึ่งสัปดาห์เพราะฉันไม่มีแรงที่จะลุกเดิน เดินแต่ละครั้งก็เสียวแปล๊บๆ ที่ท้องที่แผล แต่หมอสั่งให้ฉันเดินบ้าง ลำไส้จะได้ทำงานเป็นปกติ แผลผ่าตัดประมานนิ้วกว่าๆ ที่พุงด้านขวาของฉัน ทำให้ฉันไม่สามารถที่จะไปเล่นดนตรีได้อีก

อย่าว่าแต่เล่นดนตรีเลยค่ะ ให้ฉันเดินไปเดินมาฉันยังไม่อยากเดินเลย ปีนี้งานฤดูหนาวฉันก็เลยไม่ได้ไปเล่นอะไรแบบเพื่อนๆ ทำตัวเป็นเด็กเรียบร้อยที่เก็บกด หัวเราะมากๆ ก็ไม่ได้ เจ๊บเจ็บ เดินมากๆ ก็ไม่ได้โคตาระเจ็บ

ฉันกลายเป็น “คนพิเศษ” ไม่ต้องไปเข้าค่ายที่จะมีอีก สองสามวันที่จะถึง ปีนี้ตุลาก็เลยเป็นหัวหน้าหมู่แทนฉัน

เหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดี ฉันเริ่มเบื่อที่ทำอะไรก็ต้องช้าๆ เดินช้าๆ กินช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด ที่ต้องทำตามหมอสั่งก็เพราะฉันเข็ดไม่อยากเจ็บตัวซ้ำสอง หมอบอกว่าถ้าแผลปริแล้วเศษอาหารตกลงไปในช่องท้องต้องทำการล้างท้องยุ่งยาก นึกแล้วก็บรื้อๆๆ น้องศรีธนนชัยของจริงแน่ๆ เลยอาคิรา

ฉันได้แต่นั่งมองเพื่อนๆ ซ้อมดนตรีเดินแถวจนเหนื่อยเหงื่อตกไปตามๆ กัน และก็ต้องมองดูเพื่อนๆ เล่นกระโดนหนังยาง ยังโชคดีที่พี่ภากับพี่ษาไม่ทิ้งฉัน หาหนังสือนิยายและการ์ตูนมาให้ฉันอ่านเวลาที่ฉันเบื่อๆ พี่ทั้งสองเอาใจใส่ฉันมากกว่าที่เคยโดยเฉพาะพี่ภา

“วันนี้เราจะกินอะไร โจ๊กอีกหรือเปล่า” พี่ภาถามฉันเมื่อเรากลับมาถึงที่บ้าน

“ไม่เอาอะอาเบื่อแล้ว อาอยากกินข้าวต้มกับไข่เยี่ยวม้า”

“มันมีที่ไหนเล่าไข่เยี่ยวมา มีแต่หมูหยองกับผักกาดกระป๋อง”

“ก็อาไม่อยากกินหมูหยองนี่นา มันเบื่อแล้ว”

“มีอันนี้จะกินอันโน้น มีอันโน้นจะกินอันนู้น คนอะไรวะ” พี่ภาบ่นฉันแต่เธอก็เอารถมอเตอร์ไซด์ออก

“แล้วพี่ภาจะไปไหน”

“ก็จะไปซื้อไข่เยี่ยวม้าไงเล่า จะเอาอะไรกับฉันอีกแม่ตัวดี” พี่ภาตะคอกใส่ฉันแล้วก็ขี่รถออกไปจากบ้าน

“อานี่นะไปแกล้งภา” พี่ษาบ่นฉันอีกคนแล้ว

“ก็อาไม่อยากกินหมูหยองจริงๆ นี่พี่ษา” ฉันนั่งหน้ามุ่ยเหมือนเด็กโดนขัดใจ (อีกแล้ว)

“ก็ตามใจ แล้ววันนี้ทำการบ้านเสร็จหรือยัง”

“ยังเลยพี่ษา อาเอากลับมาทำที่บ้าน เมื่อกลางวันอ่านนิยายค้างไว้ก็เลยรีบอ่านให้จบ”

“สนใจเรียนบ้างนะเราไม่ใช่อ่านแต่นิยาย”

“แล้วใครอะที่ยืมนิยายมาให้อาอ่าน”

“อะพี่ผิดเองก็ได้ ที่ยืมนิยายมาให้อาอ่าน” พี่ษาคงเริ่มรู้สึกเบื่อเด็กเอาแต่ใจแบบฉันขึ้นมาแล้วบ้างเหมือนกัน

“เสาร์นี้พี่ต้องไปสอบที่เชียงใหม่นะอาคงไม่ได้อยู่กับอาหรอก”

“เหรอว๊าแย่จังเลย พี่ษาใกล้จะไปอยู่เชียงใหม่แล้เหรอ น่าเสียดายจังเลยเวลาที่เราจะอยู่ด้วยกันมันเริ่มน้อยลงทุกทีแล้วเน๊อะพี่ษา”

“ใช่สิอา เพราะฉะนั้นเราสองคนต้องพูดคุยกันให้รู้เรื่องอย่างทำตัวงี่เง่า เพราะเวลาของเราสองคนมันน้อยลงทุกที”

“ขอให้พี่ษาสอบผ่านนะคะจะได้ไปเรียนสมใจ”

“พี่ยังไม่อยากผ่านเลยอาพี่กลัวจะต้องจากอาไปไกลๆ พี่ไม่อยากจากอาไปไหนจริงๆ นะ”

“นั่นแน่พี่ษางี่เง่าแล้ว” ถึงแม้ในใจของฉันจะรู้สึกท้อใจเมื่อต้องจากไกลกัน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดสิ่งหนึ่งที่ฉันต้องทำก็คือให้กำลังใจคนที่ฉันรัก ไม่ให้เธอท้อ

“ภามาแล้วอา กินข้าวได้แล้วเดี๋ยวพี่ตักข้าวต้มให้แล้วกัน” พี่ษาเปลี่ยนเรื่องเมื่อได้ยินเสียงรถของพี่ภาเล่นเข้ามาในบ้าน

“เอานี่ไข่เยี่ยวม้าอยากกินนักก็กินซะ แต่อย่ากินเยอะนะเดี๋ยวลมในท้องเยอะอย่าหาว่าพี่ไม่เตือน” พี่ภายังคงเบรกฉันเช่นเดิม

ข้าวมื้อนั้นก็เลยเป็นการกินที่ฉันต้องกินสิ่งที่ไม่ชอบปะปนกับสิ่งที่ชอบไปด้วย

..............

พี่ษาอ่านหนังสือทั้งคืนฉันเห็นแล้วก็รู้สึกเหนื่อยแทน ขนาดฉันอ่านหนังสือนิยายยังรู้สึกเหนื่อยเมื่อยล้า ลูกตาจนแทบจะหลับอยู่แล้ว

ฉันเดินไปหยิบนมกระป๋องที่มีคนเอามาเยี่ยมฉันเมื่อตอนอยู่โรงพยาลาน นมกระป๋องนี้มีโฆษณาว่าเพื่อคนที่คุณรักและตัวคุณเอง เจาะนมกระป๋องนั้นรินใส่แก้วและยกไปให้พี่ษาดื่ม

“เพื่อคนที่คุณรักและตัวคุณเอง” ฉันยื่นให้พร้อมกับบอกข้อความโฆษณานั้นไปด้วย

“ขอบใจนะอา” พี่ษารับแก้วนมไปดื่ม “แล้วอาไม่ดื่มนมเหรอ”

“ไม่อะพี่อากลัวจะอืดท้อง พี่ษาดื่มแล้วก็อ่านต่อเถอะอาไปนอนแล้ว อย่านอนดึกนักนะพี่เดี๋ยวจะไม่สบายไปก่อนที่จะไปสอบ” ฉันเดินกลับไปที่เตียงนอนและล้มตัวลงนอน

เสียงพี่ษาไอค๊อกๆ แค๊กๆ จนฉันต้องตื่นขึ้นมากลางดึก

“พี่ษาไม่สบายหรือเปล่า”

“พี่ไอนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเองไม่มีอะไรหรอก”

“พี่ษาไม่ได้นอนทั้งคืนเลยเหรอ แล้วทำไมไม่ใส่เสื้อผ้าที่มันหนากว่านี้ใส่บางๆ แบบนี้มันก็หนาวแย่สิพี่” ฉันเห็นพี่ษายังคงนั่งอ่านหนังสือและเธอก็ใส่แค่เสื้อคลุมบางๆ ไม่ได้ใส่เสื้อกันหนาว แถมยังเปิดหน้าต่างให้ลมโกรกเข้ามา หนาวๆ แบบนี้ยังอดทนอ่านหนังสือ

“ไม่เป็นไรหรอกอา นอนต่อเถอะ”

“พี่นั่นแหละมานอนได้แล้ว ไม่ต้องอ่านแล้ว พรุ่งนี้ค่อยตื่นขึ้นมาอ่าน” ฉันฉุดพี่ษาให้ลุกจากเก้าอี้มานอนกับฉันที่เตียง

“อ่านได้แต่อย่าบ้าอ่านนะพี่ษา อ่านแบบพี่สุขภาพเสื่อมหมด นอนเถอะคนดี เรามีเวลานอนกอดกันแบบนี้น้อยลงทุกวันแล้วนะพี่” ฉันบอกคนในอ้อมกอดที่ตัวเย็นเหมือนน้ำแข็ง

“ดูสิตัวเย็นไปหมดเลย ไม่สบายไปจะว่าไงนี่พี่ษา” ฉันบ่น

“อาตัวอุ่นจังเลย” พี่ษากอดฉันแน่นกว่าเดิม

“อุ่นก็กอดอาไว้สิพี่แล้วก็หลับซะ ฝันดีค่ะพี่ษา”

“ฝันดีเด็กน้อย” เราสองคนหลบตาลงพร้อมๆ กัน ฉันถ่ายไออุ่นให้เธอเพื่อให้เธอคลายหนาว ฉันอยากโอบกอดเธอไว้แบบนี้ทุกวัน แต่มันก็คงทำไม่ได้ เพราะอีกไม่กี่วันเธอก็ต้องจากฉันไป

ฉันไม่ได้ตีตนไปก่อนไข้ แต่เรื่องที่ฉันคิดมันต้องเป็นเรื่องจริง พี่ษาเรียนเก่งขนาดนี้จะสอบไม่ติดได้อย่างไร ถ้าพี่ษาสอบไม่ติดแสดงว่าพี่ษาตั้งใจที่จะทำให้ไม่ติด

ใจหนึ่งก็อยากให้คนรักอยู่ใกล้ๆ แต่อีกใจก็อยากให้เธอเดินไปตามเส้นทางของพ่อเธอที่ขีดเส้นเอาไว้ เพราะถึงพี่ษาสอบไม่ติดจริงๆ ฉันว่าพ่อพี่ษาก็ต้องทำให้พี่ษาเข้าเรียนในโรงเรียนนั้นจนได้ล่ะน่า เพราะฉันรู้มาว่าพ่อพี่ษามีเส้นสายอยู่ในโรงเรียนนั้นบ้างเหมือนกัน อย่างน้อยพ่อพี่ษาก็เคยเป็นศิษย์เก่าที่นั่นด้วยอาจจะพอมีลู่ทางให้ลูกของเขาได้เข้าเรียนสมใจ

............................

งานกีฬาฤดูหนาวปีนี้มีช้ากว่าทุกปี ฉันไม่ได้ร่วมกิจกรรมอะไรเลยสักอย่าง ได้แต่นั่งเชียร์เงียบๆ ไม่ลุกไปไหน พี่ษายังคงเป็นเชียร์ลีดเดอร์เหมือนเคย ปีนี้พี่ษาสวยอย่าบอกใคร เป็นสาวกว่าปีที่แล้วมาก ฉันนั่งร้องเพลงเชียร์อยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ

ตุ๊กตาน้อยลงแข่งเหมือนปีที่แล้ว และฉันก็รู้ว่าเธอต้องชนะเหมือนเดิม พี่ปูเจ็บก่อนที่จะลงแข่งขันรายการนี้ พี่ปูบอกว่ากล้ามเนื้อต้นขงคงจะอักเสบเพราะพี่ปูออกกลังมากเกินไป

ปีนี้คนมาเป็นที่หนึ่งก็คงหนีไม่พ้นตุ๊กตาน้อยเพื่อนคนเก่งของฉัน

เพื่อนๆ แสดงดนตรีคั่นเวลาเสร็จแล้วก็กลับมานั่งที่อัฒจรรย์ ภรณีกับรมณดูจะเครียดๆ ด้วยกันทั้งคู่ รมณบอกว่ามีน้องมาจีบภรณี แล้วก็เอาดอกไม้มาให้ ภรณีก็รับไว้ แถมยังยอมให้น้องหอมแก้มไปด้วย รมณเลยโกรธภรณีเอามากๆ

ภรณีพยายามง้อรมณอยู่นานจนฉันเองก็อ่อนใจแทนภรณี เพราะฉันว่าเพื่อนของฉันไม่ผิดที่มีเด็กๆ มาแอบปลื้ม

อีกอย่างรมณก็ขี้หึงจนออกนอกหน้า ทั้งๆ ที่อยู่บ้านเดียวกันแถมยังไปไหนต่อไหนด้วยกัน ตัวติดกันยิ่งกว่าแม่เหล็ก แล้วภรณีจะไปมีโอกาสที่จะนอกใจรมณได้อย่างไรกัน

ฉันเห็นเพื่อนทั้งคู่แล้วก็อยากที่จะเอาค้อนไปทุบที่สำหรับใส่หมวกของทั้งคู่จังเลย ทุบแล้วเอาออกมาดูว่ามีขี้เถ้าอยู่ในนั้นบ้างหรือเปล่า ทำไมถึงได้คิดอะไรแปลกๆ

“แกสองคนนี้นะบ้านก็อยู่ด้วยกัน นอนก็นอนด้วยกัน เรียนก็เรียนด้วยกัน ยังจะมาตามหึงตามหวงกันอีก” ฉันบ่นสองเพื่อนซี้

“ก็ณีนะสิอาเล่นให้น้องหอมแก้มต่อหน้าต่อตาเรา”

“แล้วจะให้ไอ้ณีลากน้องไปหอมแก้มในห้องน้ำหรือไงมณ มันทำอะไรให้มณเห็นต่อหน้าอะดีแล้วดีกว่าทำลับๆ ล่อๆ ปกปิด” ฉันเตือนสติเพื่อนรัก

“ใช่ๆๆ อาพูดถูก” ภรณีรีบสนับสนุนคำพูดฉันทันที

“รีบเชียวไอ้กะล่อน”

“ก็ถ้าณีไม่ไปทำท่าทางว่าชอบน้องเค้า เค้าจะกล้ามาหอมแก้มณีเหรอ”

“เราไปทำตอนไหนมณ เพราะเปล่าทำสักหน่อยน้องเค้าเอาดอกไม้มาให้เราเอง แล้วเราก็ไม่ได้ไปแสดงทีท่าว่าเราชอบอะไรน้องเค้าเลย อย่าพูดแบบนี้อีกนะมณเราไม่ชอบ มีอะไรไว้ไปคุยกันที่บ้านดีกว่าเสียงดังแบบนี้อายเค้า”

“ใช่สิ เรามันคิดมากไปเอง เรามันของตายแล้วนี่ณีไม่รักเราแล้วไปรักเด็กๆ ใช่ไหม ก็ดีงั้นเราจะออกจากบ้านณีวันนี้เลยก็ได้ เราจะไปอยู่หอ”

“ไปกันใหญ่แล้วมณ” ฉันรีบห้ามทั้งสองคนให้เลิกทะเลาะกัน กีฬาอะไรไม่ได้ดูทั้งนั้น เพราะตอนนี้ทั้งคู่เถียงกันจนเสียงดัง เด็กๆ น้องๆ หันมามองกันเป็นตาเดียว

ฉันลากทั้งคู่ให้ลงมาจากอัฒจรรย์ก่อนที่น้องๆ เพื่อนๆ พี่ๆ จะรู้เรื่องต่างๆ ไปมากกว่านี้

แน่ล่ะ ฉันไม่อยากให้ใครรับรู้เรื่องของเพื่อนฉันมากมายนัก

การเป็นเรื่องพูดติดปากของคนอื่นในทางที่เสื่อมเสีย เพราะมันจะลือกระฉ่อนแบบที่หงส์หยกเคยโดนมาแล้ว

เรื่องไม่เป็นเรื่องกำลังจะเป็นเรื่องในไม่ช้า ฉันไม่อาจคาดเดาได้ว่าหากเกิดเรื่องขึ้นทั้งสองคนจะรับมือกับเรื่องเหล่านั้นได้อย่างไร

และพ่อแม่ของทั้งคู่จะรับได้หรือไม่

คำถามที่ฉันเองตอบแทนใครไม่ได้ ที่แน่ๆ กันไว้ดีกว่าแก้ ถ้าแย่แล้วจะแก้ไม่ทัน

....จบบทที่ ๒๒ .....



Create Date : 03 กรกฎาคม 2551
Last Update : 4 กรกฎาคม 2551 8:17:49 น. 1 comments
Counter : 325 Pageviews.

 
น่ารัก


โดย: ไก่ IP: 117.47.204.4 วันที่: 16 ตุลาคม 2551 เวลา:18:26:51 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.