It's not easy to be me
Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องแนวยูริ : อรุณรุ่้งในดวงใจ บทที่ ๓๐

บทที่ ๓๐ ๗.๔๕ น.

กีฬาสีของโรงเรียนใหม่เริ่มต้นขึ้น ปีนี้เป็นปีแรกที่ฉันได้มีโอกาสที่จะได้ดูการแข่งขันกีฬาของที่โรงเรียนแห่งนี้ ที่นี่ไม่ได้จัดให้ห้องใดห้องหนึ่งเป็นสีใดสีหนึ่ง แต่ให้จัดนักเรียนตามเลขท้ายของเลขประจำตัวนักเรียน ดังนั้นโรงเรียนของพวกเราจึงมีถึงสิบสีด้วยกัน

แต่การแข่งขันก็ยังแบ่งไปตามระดับมัธยมต้นและมัธยมปลาย แบ่งเป็นชายกับหญิง ฉันไม่ได้เล่นกีฬาอะไรเลยเหมือนเช่นที่ผ่านมา ก็มีเพื่อนๆ ในห้องที่เป็นนักกีฬาอยู่บ้างโดยเฉพาะพวกผู้ชาย แม้ว่าจะมีอยู่น้อยนิดในห้องแต่ก็เล่นกันแทบทุกคน

ใครที่ดูหวานๆ หน่อยก็ไปเล่นวอลเล่บอล ใครที่ดูแข็งแรงก็ไปเล่นบาสกับฟุตบอล ส่วนผู้หญิงก็มีกีฬาปิงปองกับวิ่ง มีไม่กี่คนหรอกค่ะ เพราะห้องของฉันไม่ค่อยจะทำกิจกรรมอะไร แต่หากเป็นงานแข่งขันทางด้านวิชาการห้องของฉันจะให้ความสนใจเป็นพิเศษกว่าห้องอื่นๆ

สุภนัยดูจะเป็นคนเด่นคนดังในเรื่องกีฬาของห้องฉัน เพราะสุภนัยเป็นตัวทำคะแนนและตัวเด่นของห้องฉัน ส่วนขวัญหทัยปีนี้เธอได้นั่งรถของสีถ้าเป็นงานลอยกระทงที่ผ่านมาขวัญหทัยอาจจะได้เป็นนางนพมาศไปแล้วก็ได้ โชคดีที่ฉันกับขวัญหทัยได้อยู่สีเดียวกัน แถมยังพ่วงสุภนัยและนัยนามาด้วย การเข้าสีของฉันก็เลยไม่ขาดสีสันไปมากเท่าไรนัก

ฉันโดนจับให้ไปเป็น Staff ของสีในกลุ่มชั้นมอสี่ ไม่แปลกอะไรที่ฉันจะโดนเพราะฉันเป็นเด็กใหม่ถูกชักจูงได้ง่ายๆ ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่มานานมีวิธีหลบเลี่ยงกันได้ง่ายๆ เรื่องเป็นตัวแทนมันไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากมายก็เพียงแค่เป็นคนเก็บเงินเพื่อนๆ คนละห้าบาทมาเป็นทุนในการตบแต่งรถสีและเอามาใช้เป็นค่าเครื่องตบแต่งอัฒจรรย์ของสีเพื่อเข้าร่วมประกวดก็เท่านั้น

ฉันไปช่วยเพื่อนๆ ห้องอื่นที่อยู่สีเดียวกันตกแต่งรถสีของพวกเรา และก็ได้รู้จักกับรุ่นพี่อีกหลายๆ คน ที่เป็นเพื่อนกับพี่ษา เพราะพี่ษามาช่วยงานฉันด้วย กว่าจะแต่งรถเสร็จพวกเราก็เหนื่อยกันไปตามๆ กัน เสื้อ Staff ก็มีเพื่อนๆ และรุ่นพี่บางคนที่เก็งทำ Silk screen ช่วยทำให้กับพวกเรา และเราก็เอามาบล๊อคมานั่งปาดสีลงไปบนเสื้อกีฬาสีของพวกเราเอง ทั้งที่แขนเสื้อและที่ด้านหลังของเสื้อ

ฝีมือของพวกเราไม่ได้ดีเริดแต่ก็พอใช้ได้ อย่างน้อยก็มีความแตกต่างกันของพวก Staff กับคนที่ไม่ได้เป็น Staff ก็แล้วกัน

การแข่งขันรอบคัดเลือกในกีฬาชนิดต่างๆ ผ่านพ้นไปแล้วในวันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันแข่งขันจริงๆ ของพวกเราและจะเป็นวันสุดท้ายของการแข่งขันกีฬาสีของเด็กๆ ในโรงเรียน ขวัญหทัยตามติดไปเชียร์สุภนัยแข่งทุกนัด ชนะบ้างแพ้บ้างก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ฉันเห็นการเอาใจใส่ของขวัญหทัยกับสุภนัยแล้วก็คิดว่าสองคนนี้คงจะต้องเป็นแฟนกันในสักวัน
รถสีของพวกเรามีการประดับประดาเป็นสวนหย่อมทำน้ำตกไหลผ่านลงมาจากหน้าผาน้อยๆ ที่เราเอาปั๊มตัวเล็กๆ ไปติดไว้ มีแอ่งน้ำ มีนกกระยางที่ฉันแอบหยิบมาจากสวนหน้าบ้านของพี่ประธานสีมาประดับอยู่ข้างๆ มีขวัญหทัยนั่งเป็นนางเงือกน้อยอยู่บนโขดหินที่อยู่ด้านหน้าของน้ำตก

แต่นางเงือกของพวกฉันไม่ได้โป๊ด้านบนแบบนางเงือกทั่วไป เพราะพวกเราให้ขวัญหทัยใส่เสื้อสีขาวรัดรูปแขนยาว ทาตัวขวัญหทัยที่โผล่พ้นออกมาจากเสื้อด้วยสีขาวทั้งตัว และนั่นหมายถึงน้องๆ และพี่ๆ ที่นั่งรวมเป็นนางเงือกน้อยกับขวัญหทัยด้วย

รถของเราก็เลยกลายเป็นรถที่น่าขบขันมากกว่าที่จะตบแต่งแบบสวยงาม ขบวนเริ่มจากบริเวณสนามของโรงเรียนแล้วก็เดินวนรอบเวียงรอบเล็กๆ หนึ่งรอบก่อนที่จะมาจบในสนามของโรงเรียนเช่นเดิม เด็กๆ เป็นลมกันก็มาก

ฉันที่เป็น Staff สีที่ดีก็ต้องคอยช่วยดูแลน้องๆ ที่เดินอยู่ในแถวให้ได้รับความสะดวกสบายที่สุด ฉันยังคิดในใจเลยว่าก็ดีกว่าแบกเครื่องดนตรีและเป่าไปเรื่อยๆ แบบเมื่อก่อนตั้งเยอะ เดินแค่นี้ไม่เท่าไรหรอกน้องเอ๊ย พี่เคยมาแล้วหายใจหายคอไม่เคยออกเลยน้องอดทนอีกนิดเถอะ

แต่กว่าจะจบกระบวนความทุกคนก็แทบแย่ กว่าประธานจะเปิดพิธีเสร็จเด็กๆ ก็อ่วม ทำไมน้อการเปิดพิธีอะไรสักอย่างมันถึงได้เยิ่นเย้อ พูดมากกันอยู่ได้ไม่รู้เลยเหรอว่าที่พวกคุณๆ นั่งสบายๆ กันอยู่ มีเด็กอีกกี่ร้อยชีวิตที่ต้องเหนื่อยเพราะการเดินตากแดด เหนื่อยเพราะการยืนจนเมื่อยและเหนื่อยเพราะต้องมาทนฟังคุณๆ เหล่านั้นพูดพล่ามไปเรื่อยๆ

ฉันยังเคยพูดเล่นกับเพื่อนเมื่อสมัยที่ฉันยังเป็นวงโยฯ อยู่ว่าเมื่อไหร่พวกประธานจะสำลักน้ำลายตัวเองตายไปสักที น้ำสักหยดก็ไม่มีให้ดื่ม แถมยังต้องเดินและยืนตากแดดอีกตั้งหลายชั่วโมงเพื่อรอให้ประธานเปิดพิธีที่เย่นเย้อยาวนานอีก เหนื่อยนะขอบอกไม่ใช่ไม่เหนื่อยเฟ้ย

คนเรานี่ก็แปลกนะคะดูแลแต่คนใหญ่คนโตไม่เคยสนใจเด็กๆ เล็กๆ แบบพวกฉัน เห็นพวกฉันเป็นหุ่นยนต์หรืออย่างไร ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ฉันไม่สนใจหรอกคะว่าแถวของฉันมันจะไม่เป็นระเบียบ ฉันกับพี่ษาช่วยกันแบกกระติกน้ำใบโตและแก้วน้ำพลาสติกอีกหลายใบเดินแจกจ่ายน้องๆ ที่ยืนหน้าซีดหน้าเหลือง ให้ได้คลายร้อนปล่อยให้ประธานพล่ามต่อไป

ฉันอดขำไม่ได้ที่เห็นประธานยืนเหงื่อไหลเต็มใบหน้าและเต็มหัวเหม่งที่เกือบจะล้านของเขา ก็เพราะว่ามันร้อนขนาดนี้ยังพูดอะไรก็ไม่รู้ไปเรื่อยเปื่อยอย่าหวังเลยว่าฉันจะสนใจประธานฉันสนใจน้องๆ ในสีของฉันมากกว่า หลังจากให้น้องดื่มน้ำแล้วก็แจกลูกอมให้ไปอีกคนละหลายๆ เม็ด เผื่อน้องจะอยากได้น้ำตาลไปหล่อเลี้ยงบ้าง

สรุปว่าพาเหรดสีน้ำเงินแต่ทุกคนลิ้นแดงกันเป็นแถว อะไม่เห็นแปลกอะไรเลยถ้าน้ำเงินจะเจือแดงบ้างจริงไหมจ๊ะ

เสร็จพิธีทุกคนก็มารวมตัวกันที่อัฒจรรย์ส่งเสียงร้องเพลงไปเรื่อยๆ โชคยังดีที่น้องที่นั่งบนอัฒจรรย์กับน้องๆ ที่เดินในขบวนไม่ใช่กลุ่มเดียวกัน ดังนั้นก็เลยไม่ต้องมาทำงานสองเด้งแบบที่พวก Staff อย่างพวกฉันต้องทำ

พี่ษาแม้ไม่ได้เป็นนักเรียนโรงเรียนของฉันเธอก็คอยช่วยเหลือฉันทำงานทุกอย่างราวกับว่าเธอเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกับฉัน ฉันรู้ว่ามันผิดกฎของโรงเรียนที่เอาคนนอกมาช่วยงานแต่จะทำอย่างไรได้ก็เพราะว่าเพื่อนๆ ฉันที่อยู่สีเดียวกันไม่ใครมีน้ำใจที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเลยสักนิด แถมวันนี้ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้เห็นหน้าเพื่อนๆ ร่วมห้องบางคนที่อยู่สีเดียวกับฉันเลยด้วยซ้ำไป

ฉันไม่ได้บ่นอะไรใดๆ ให้ใครฟังหรอกค่ะก็แค่รู้ซึ้งในน้ำใจของเพื่อนๆ ก็แค่นั้นเอง

“เหนื่อยไหมอา” พี่ษาถามฉันที่มานั่งหลบอยู่หลังอัฒจรรย์ของสี

“ไม่เหนื่อยหรอกพี่ษาเรื่องแค่นี้จิ๊บๆ” ฉันตอบแต่ก็เหงื่อแตกไปทั่วทั้งตัว เพราะความร้อนที่แผดเผาตั้งแต่เช้า พี่ษาเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อให้ฉันและยื่นขวดยาดมกลิ่นเดิมที่เธอเคยใช้เป็นประจำให้ฉัน ฉันรับมาพร้อมกับรอยยิ้ม

“ขอบคุณคะพี่แล้วพี่ล่ะเหนื่อยมากไหม”

“พี่ไม่ได้เหนื่อยอะไรนี่นิดๆ หน่อยๆ แล้วนี่น้องๆ ได้ข้าวกล่องกินตอนเที่ยงกันหรือยัง” พี่ษาถามฉันเรื่องข้าวกล่องที่ยังไม่เห็นวี่แวว

“เออจริงสินี่ก็ใกล้เที่ยงแล้วทำไมไม่มีใครเอาข้าวมาส่ง” ฉันรีบเดินไปถามพี่ประธานสีที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดการเรื่องต่างๆ ภายในสี

“พี่คะแล้วข้าวของน้องๆ ล่ะพี่”

“เออนั่นสิมีใครไปเอามาหรือยัง” พี่ประธานถามฉันกลับ แล้วงานนี้ฉันจะไปถามใครเล่า

“อ้าวแล้วกันอามาถามพี่ไม่ได้ให้พี่มาถามอา”

“เอ๊าก็พี่ไม่รู้นี่หว่าใครทำสเบียงล่ะพี่ไม่ได้ดูเรื่องอาหารมัวแต่ยุ่งเรื่องอื่นอยู่ แล้วคราวนี้ทำไงล่ะ เฮ้ยไอ้ตั้วใครดูเรื่องข้าวกลางวันวะ” พี่ประธานหันไปถามเพื่อนอีกคนของเขา งานนี้ตายแน่ๆ ถ้าน้องๆ ไม่มีข้าวกินโลกต้องระเบิดชัวร์

แต่ถือว่ายังโชคดีที่อีกไม่นานพี่ๆ ที่ดูแลเรื่องอาหารก็ช่วยกันแบกข้าวกล่องเข้ามาให้พวกเรา ฉันถอนหายใจอย่างโล่งอก และชักชวนพี่ษาออกมาหาอะไรกินที่โรงอาหารที่ยังพอมีแม่ค้ามาขายอาหารอยู่บ้างสองสามเจ้า ฉันไม่อยากไปแย่งข้าวของน้องๆ กิน

อีกอย่างฉันเข็ดกระผัดกระเพรารสชาติเผ็ดๆ ของแถมสียังชอบสั่งกับข้าวสิ้นคิด ไม่ผัดกะเพราราดข้าวโป๊ะไข่ดาว ข้าวผัดสารพัดชนิด หรือไม่ก็ผัดผักรวมมิตรราดข้าว มันดูน่าเบื่อเอามากๆ ที่จะต้องมากินกับข้าวจำเจแบบที่เคยๆ กินอยู่เป็นประจำในกล่องที่ชุ่มโชกไปด้วยไอน้ำ และข้าวแฉะๆ แถมบางครั้งยังเปื้อนไข่ดาวที่แตกๆ เต็มกล่องหรือไม่ก็น้ำปลาที่เลอะอยู่ข้างๆ กล่องอีกเล่นเอาเหม็นไปทั้งมือ

จะว่าฉันเรื่องมากก็คงจะใช่ถึงแม้ฉันจะเป็นคนงกนิดหน่อยแต่ฉันก็เลือกที่จะทำอะไรแบบที่สบายๆ มากกว่า ถึงกินไปก็เท่านั้นไม่ได้มีความอร่อยแค่ข้าวไม่กี่สตางค์ให้น้องๆ กินไปดีกว่า เพราะเหมือนจะเจริญอาหารเพราะใช้แรงใช้เสียงเชียร์กันอยู่ตลอดเวลาให้น้องๆ เหล่านั้นได้เบิ้ลกันคนละกล่องสองกล่อง

“ทำไมไม่กินข้าวที่สีแจกล่ะอามากินข้าวที่โรงอาหารทำไม” ขวัญหทัยถามฉันทันทีที่เห็นฉันนั่งกินข้าวอยู่กับพี่ษาที่โรงอาหาร

“ขี้เกียจไปแย่งข้าวน้องๆ เดี๋ยวไม่พอกินแล้วขวัญกับเป้อล่ะมากินที่โรงอาหารทำไม” ฉันถามกลับขวัญหทัยไปบ้าง

“ขี้เกียจไปแย่งน้องเหมือนกันกำลังกินกำลังนอนน้องบางคนกินตั้งสองกล่องแน่ะ” ขวัญหทัยตอบฉัน

“อากินอะไร” สุภนัยถามฉันเพราะอาหารของฉันหมดไปแล้ว

“สุกี้แห้งทะเล”

“เหรอดีๆ ก๊อปเมนูเลยแล้วกันขวัญเอาด้วยหรือเปล่า” สุภนัยหันไปถามขวัญหทัย

“ก็ดีหิวตาจะลายอยู่แล้วตอนนี้ไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากน้ำกับลูกอมที่อาเอามาให้” ขวัญหทัยหันไปตอบสุภนัย

“นี่นายเป้อนายจะไม่คิดอะไรเลยใช่ไหมนี่ ลอกตั้งแต่การบ้าน ข้อสอบยันเมนูอาหาร” ฉันบ่นสุภนัย

ส่วนสุภนัยได้แต่ยิ้มแหยๆ และรีบเดินไปสั่งอาหาร ขวัญหทัยเองก็เดินไปซื้อน้ำหวานกลับมานั่งรออาหารตามสั่งจากป้าร้านประจำที่พวกเราสั่งกินกันเสมอๆ

“แล้วนี่นาหายไปไหน” ขวัญหทัยถามฉันเพราะปกตินัยนาจะติดฉันแจเป็นฝาแฝดอินจัน

“สงสัยไปกับพี่วัฒน์มั๊งไม่รู้สิวันนี้เราเห็นนาแค่ตอนที่อยู่ในสนามแค่นั้นเอง” ฉันตอบไปเพราะไม่รู้จริงๆ เพราะหลังจากที่ฉันเข้าประชุมสีคราวก่อนนัยนากับพี่สุวัฒน์ที่ต้องทำงานด้วยกันบ่อยๆ ก็ติดกันแจเป็นเงาตามตัว

“เหรอคงงั้นมั๊งเราเองก็ไม่เห็นเหมือนกันมัวแต่ไปดูเป้อแข่งบาส”

“แล้วเป็นไงชนะไหม” พี่ษาที่กินสุกี้แห้งหมดไปแล้วก็ถามขวัญหทัย

“ชนะพี่แต่กว่าจะชนะก็เล่นเอาคนเชียร์หืดขึ้นคอ”

“ฮ่าๆๆ เพื่อนขนาดนั้นเลยเหรอ” ฉันขำที่ขวัญหทัยพูด เพราะเท่าที่ผ่านมาขวัญหทัยไม่เคยจะไปเชียร์อะไรที่ติดขอบสนามแบบครั้งนี้มาก่อน

“ก็ใช่สิเหนื่อยแทบตายหัวใจแทบจะวายตาย”

“เป็นเอามากเว่ยเพื่อนเรา” ฉันบ่นไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็หยุดบ่นเพราะสุภนัยถือจานสุกี้แห้งควันฉุยกลับมาที่โต๊ะที่ฉันนั่งอยู่

ฉันสะกิดให้พี่ษาดูความเอื้ออาทรต่อกันและกันระหว่างสุภนัยกับขวัญหทัย ดูน่ารักตามที่ควรจะเป็น ดูเหมือนว่าสุภนัยจะมีใจให้กับขวัญหทัยเพื่อนของฉันแล้วสิท่า พี่ษาหันมายิ้มกับฉันเราสองคนยิ้มให้กันและกัน และนั่งมองสุภนัยกับขวัญหทัยกินสุกกี้ไปเรื่อยๆ อย่างน้อยก็มีเพื่อนสนิทของฉันคนหนึ่งที่เมื่อก่อนเคยชอบพอกับผู้หญิงด้วยกันและตอนนี้เธอก็หลุดพ้นไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย

ฉันกับพี่ษาจะคอยตามดูความรักของเพื่อนไปเรื่อยๆ ตราบที่เพื่อนยังคงคบฉันเป็นเพื่อนก็แค่นั้น

..............

งานกีฬาสีผ่านไปด้วยดีรถสีที่พวกฉันทำได้รางวัลตลกขบขันอันดับที่สองและได้ถ้วยรวมเหรียญกีฬาเป็นที่สองอีกเช่นกัน แค่นี้ก็ทำให้พวกเราดีใจกันมากแล้ว แม้ไม่ได้เป็นที่หนึ่งแต่ก็ยังดีที่ได้ตั้งที่สอง พี่ประธานสีบอกพวกเราว่าจะมีงานเลี้ยงฉลองกันที่บ้านของพี่ประธานในเย็นวันนี้ให้ Staff ทุกคนไปร่วมฉลองกันที่บ้านของพี่ประธานสีด้วย

ขวัญหทัยมาชักชวนฉันกับพี่ษาให้ไปด้วยแต่เราสองคนปฏิเสธ

“ไม่ไปหรอกขวัญไปเถอะ”

“ทำไมล่ะอาไปสิเหนื่อยมาด้วยกันก็ต้องไปฉลองด้วยกันสิ”

“ไม่ดีกว่าเราจะสอบเทียบอีกแล้วเราจะกลับไปอ่านหนังสือดีกว่าแค่นี้เราก็สนุกมากๆ แล้วล่ะขวัญ ตัวไปสนุกกับพี่ๆ เค้าเถอะ อีกอย่างเราก็ไม่ได้ช่วยงานอะไรมากมายขอบใจนะขวัญเต็มที่เพื่อน” ฉันบอกกับขวัญหทัยและจูงมือพี่ษาเดินออกมาจากสนามฟุตบอลของโรงเรียน

งานวันนี้สนุกและเหนื่อยฉันที่ไม่เคยทำงานร่วมกับคนหมู่มากแบบนี้มาก่อนก็ได้ประสบการณ์ที่ดีไว้เป็นบทเรียนของชีวิตว่าครั้งหนึ่งก็เคยทำงานร่วมกิจกรรมกับคนในโรงเรียนแห่งใหม่ มีน้อยคนนักที่จะยอมทำงานที่ไม่ได้ค่าจ้างค่าออนอะไรแบบนี้

ไม่ได้เงินแต่ก็สร้างความสามัคคีกันในกลุ่มรุ่นพี่รุ่นน้องอย่างน้อยๆ รุ่นพี่ก็เคยเรียกชื่ออาคิราติดปากอยู่บ้าง ประสบการณ์ที่ไม่สอนที่ไหนในที่แห่งใด สิ่งที่ฉันได้มาจากการทำงานในครั้งนี้ก็คือมิตรภาพใหม่ๆ ของคนในโรงเรียน ได้รู้จักคนมากมายได้เห็นน้ำใจของคนที่ยังมีอยู่บนโลกใบนี้

และที่สำคัญได้เห็นคนที่ฉันรักช่วยเหลืองานฉันไม่มีคำบ่นสักคำออกมาจากปากของเธอ ไม่มีคำว่าไม่ทำไม่อยากทำ มีแต่ไปด้วยสิอา พี่อยากไปช่วย ฉันเคยคิดว่าหากวันใดสักวันฉันไม่มีพี่ษาอยู่ข้างกายแบบนี้ฉันคงเหงายิ่งกว่าเหงาและฉันก็คงจะคิดถึงเธอกมากๆ หากว่าพี่ษาต้องจากฉันไปไกลๆ แบบที่พี่ภาต้องไป

อาคิราจะอยู่คนเดียวโดยไม่มีหัวใจอยู่ด้วยได้หรือเปล่านะ ต้องคิดกันหน่อยแล้ว

.............

เทศกาลสอบก็โผล่มาเรื่อยๆ ฉันไปสอบเทียบวิชาสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว และอาทิตย์หน้าก็มีสอบ Pre Entrance ของบริษัทแห่งหนึ่งที่ทำหนังสือพวกเตรียมสอบขาย ฉันสมัครไว้เพราะพี่ษาบอกว่าให้ลองสอบดูมันเป็นเหมือนการลองลงสนามของฉันและจะได้รู้ว่าเมื่อฉันจะต้องเลือกลงสอบ Entrance จริงๆ จะเลือกลงคณะอะไรดี เพราะมันก็คงคล้ายๆ กับที่ฉันจะไปสอบ

คะแนนจะถูกส่งกลับมาให้เราอีกไม่กี่สัปดห์หลังจากที่เราไปสอบและเราจะได้รู้ว่าคะแนนวิชาอะไรที่เราสอบได้น้อยจะได้เตรียมตัวอ่านในวิชานั้นๆ ให้ได้มากขึ้น หรือไม่ก็จะได้เตรียมทำคะแนนให้ดีในวิชาที่เราคิดว่าทำคะแนนได้ดีอยู่แล้วเพิ่มขึ้นไปอีก

พี่ษาสมัครสอบกับฉันด้วยเพราะเธอไม่ได้กลับไปที่เชียงใหม่ ดังนั้นเราก็เลยอ่านหนังสือด้วยกัน พวกฉันย้ายไปอ่านหนังสือใต้ถุนบ้านของแม่ฉัน พ่อทำกระดานดำไว้ให้พวกเราและเอาไม้ที่เหลือจากทำบ้านสีน้ำเงินมาต่อเป็นโต๊ะยาวๆ ที่มีเก้าอี้ติดไว้ด้วยสองตัว ให้พวกเราได้นั่งติววิชากันอย่างสบายๆ

จากที่เคยมีกันแค่สี่คนในตอนนี้ก็มีเพื่อนๆ ของฉันและของนัยนามาร่วมวงเรียนติวกันอีกสามสี่คน ดังนั้นวงก็เลยใหญ่ขึ้น แม่ฉันก็ใจดีทำกับข้าวให้พวกเรากินกันอยู่เรื่อยๆ คนที่ติวให้โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นพี่ษาเป็นตัวตั้งตัวตีในการหาโน่นนี่มาให้เราทำ ฉันว่าการทำแบบนี้ดีกว่าการไปเรียนพิเศษของครูเสียอีก แต่สำหรับคนอื่นๆ ฉันไม่รู้

ขวัญหทัยถึงกับลาออกจากการไปเรียนพิเศษกับครูที่ใครๆ ก็บอกว่าเก่งที่สุดและเข้าเรียนยากมากๆ เพราะที่จะเข้าไปเรียนนั้นเต็ม เธอมาให้พี่ษาติวให้แถมแม่ของขวัญหทัยก็มักจะหอบเอาขนมนมเนยมาแจกจ่ายพวกเราที่นั่งติวกันจนอิ่มกันทั่วหน้าอีกด้วย

พี่สาวของนัยนากลับมาที่บ้านและก็มาช่วยพี่ษาติวในบางวิชาที่พี่ษาไม่ถนัดเช่นภาษาไทยกับสังคม พี่อ้อนเก่งทางด้านภาษาเพราะพี่อ้อนเรียนศิลป์ภาษาที่โรงเรียนเตรียมอุดม พี่อ้อนมาช่วยเราติววิชาภาษาทั้งหมดที่เราต้องสอบ ส่วนพี่ษาก็สอนวิชาเลขให้กับพี่อ้อนไปด้วย

กลุ่มเล็กๆ ของเราเตรียมพร้อมแล้วสำหรับการสอบไล่ปลายภาค พี่ษากลับไปสอบที่โรงเรียนของเธอ พี่อ้อนก็กลับไปกรุงเทพ ส่วนพวกฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาสอบในสิ่งที่พวกฉันเตรียมตัวกันมาเป็นอย่างดี

ผลสอบเทียบของฉันออกมาแล้วสรุปว่าฉันสอบผ่าน ดูเหมือนว่าแม่จะดีใจมากกว่าพ่อเป็นไหนๆ แม่ขอบอกขอบใจพี่ษายกใหญ่ว่าพี่ษาทำให้ฉันสอบเทียบผ่าน ทั้งๆ ที่ฉันตั้งใจอ่านหนังสือมาโดยตลอดแต่แม่กลับไม่ได้ยกย่องว่าฉันเก่ง กลับไปบอกพี่ษาว่าพี่ษาเก่งที่สอนฉันให้สอบผ่าน เป็นงั้นไปแม่ฉัน

ผลสอบ Pre Entrance ของฉันออกมาว่าคะแนนของฉันมันช่างน้อยนิดไม่สามารถที่จะเรียนวิศวะหรือสถาปัตย์ได้อย่างที่ตั้งใจไว้ พี่ษาบอกว่าวิชาที่ทำให้ฉันต้องคะแนนตกก็คือเคมีกับภาษาไทย ฉันก็เลยต้องอ่านเคมีมากกว่าเดิม และท่องจำภาษาไทยสังคมมากว่าที่เคยอ่านมา

พ่อบอกกับพวกฉันว่าหลังจากที่พวกฉันสอบ Entrance เสร็จเรียบร้อยแล้วพ่อจะพาพวกเรายกโขยงไปหาพี่ภาที่สวีเดน ทำให้ฉันกับพี่ษาตื่นเต้นมากๆ เพราะจะเป็นการเดินทางไปเมืองนอกไกลๆ ของพวกเราทุกคน แต่พ่อบอกว่าเราจะต้องไปกับทัวร์เพราะพ่อต้องไปกับเพื่อนนักเรียนที่เรียนเสธอะไรสักอย่างของพ่อมันได้ราคาที่ถูกกว่าไปซื้อทัวร์เอง และเราคงไม่ไปทำความลำบากให้กับ Fam ของพี่ภาที่โน่น

แม่เตรียมของฝากไปให้ Fam ของพี่ภาอีกเช่นเคย ฉันก็ช่วยแม่จัดเตรียมโน่นนี่ลงกระเป๋า จากนั้นฉันก็เตียมตัวไปสอบ Entrance ครั้งแรกในชีวิตที่เชียงใหม่ ตื่นเต้นแต่ก็ไม่แสดงออก อ่านหนังสือสอบเกือบทั้งวันในวันที่ว่างๆ และก็ไปสอบด้วยหัวใจที่มุ่งมั่น ฉันเลือกคณะเรียงคะแนนเป็นอย่างดี โดยมีพี่ษาเป็นที่ปรึกษาที่ดีข้างๆ กายฉัน

หลังจากสอบเสร็จฉันไม่ได้รอฟังผลการสอบเพราะพ่อซื้อทัวร์ให้กับพวกเราเรียบร้อยแล้ว พ่อเป็นผู้ปกครองแทนพ่อของพี่ษาและรับรองพี่ษาในการของวีซ่าไปเที่ยวครั้งนี้ ฉันก็พึ่งจะรู้ว่าการไปเมืองนอกมันต้องขอวีซ่า และที่สำคัญฉันก็พึ่งจะรู้ว่าพี่ษามีเงินฝากมากมายในบัญชีของเธอ ถึงขนาดที่ว่าพ่อเห็นสมุดบัญชีเงินฝากพี่ษาแล้วถึงกับตะลึง

พี่ษาบอกว่าแม่ของเธอฝากไว้ให้เมื่อครั้งที่แม่ของเธอยังอยู่และแม่ก็โอนเข้ามาให้เสมอๆ พี่ษาหวังไว้ว่าเธอจะได้เจอแม่ของเธอที่ไปเปิดร้านอาหารไทยที่โน่นด้วย ฉันก็ได้แต่หวังว่าพี่ษาจะได้เจอกับแม่ของเธอบ้าง อย่างน้อยแม่ลูกที่จากกันไปนานแล้วก็จะได้กอดกัน แม้เพียงสักครั้งก็ยังดี

...................

สุภนัยไปสอบเข้าทหารอากาศอย่างที่เขาตั้งใจไว้ ผลสอบที่ขวัญหทัยบอกมานั้นทำให้ฉันที่ได้รับฟังก็ยิ้มแก้มแทบปริ เพราะสุภนัยสอบผ่านข้อเขียนไปแล้ว คงไม่ยากสักเท่าไรนักสำหรับสุภนัยหากจะต้องสอบวิ่งและว่ายน้ำ

ขวัญหทัยดูจะเป็นปลื้มกับสุภนัยเป็นอย่างมากเธอยังบอกฉันอีกว่าเธอจะสอบเข้าพยาบาลทหารอากาศให้ได้ ดูเหมือนว่าคู่นี้จะชอบเหลือเกินกับการได้มีปีกบินเป็นเทวดานางฟ้ากันไปหมด

ใกล้เวลาเดินทางแล้วพ่อโทรไปบอกพี่ษาว่าให้เก็บของลงกระเป๋าอันไหนที่ไม่ได้ใช้พ่อจะหิ้วกลับมาให้เพราะพวกเราไปกันหลายคนและไม่ได้มีอะไรไปมากมายนอกจากเสื้อผ้าของพวกเราเองและของฝากหากว่าพี่ภาต้องขนกลับมาเองคงจะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการขนของกลับมาสูงมากๆ แม่สนับสนุนความคิดของพ่อและโทรเร่งให้พี่ภาเก็บของลงกระเป๋าก่อนที่พวกเราจะไปถึงสวีเดน

สนามบินคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย นั่นรวมถึงเพื่อนร่วมรุ่นของพ่อเราด้วย บางคนที่ยังไม่แต่งงานก็มาเดี่ยว บางคนก็ยกกันมาทั้งครอบครัวแบบที่บ้านฉันยกโขยงกันมาเรียกว่าเครื่องบินเกือบทั้งลำเป็นเพื่อนๆ และครอบครัวของเพื่อนพ่อทั้งนั้น

เสียงคุยกันดังไปทั้งห้องโดยสาร การเดินทางได้ได้เงียบเหงา พ่อบอกว่าคนที่เสียงดังคุยโหวกเหวกให้พวกเราได้หัวเราะก็คือลุงสุจินต์เพื่อนที่เป็นประธานรุ่นของพ่อ ลุงสุจินต์จะมีมุขตลกๆ ให้พวกเราเด็กๆ ได้ขำกันไปได้ตลอดการเดินทาง

ที่ฝรั่งเศสมีภรรยาของเพื่อนพ่อลงไปซื้อของพวกเสื้อผ้ามากมายหอบถุงใหญ่ๆ กันคนละหลายๆ ใบ ลุงสุจินต์ก็เข้าไปขอดูของในถุงนั้น

“ไหนๆ คุณนายผมขอดูหน่อย โห นี่ร้านชื่อดังเลยนะนี่” ลุงสุจินต์หยิบเสื้อผ้า Brnad name ชื่อดังของประเทศนั้นออกมาดู แล้วก็พลิกไปพลิกมา

“ใช่สิคะผู้กับกับนี่นะชื่อดังมากๆ เลยฉันอยากได้มานานแล้วอยู่เมืองไทยซื้อไม่ได้เลยนะมันแพงจนไม่กล้าจับ” คุณน้าเจ้าของถุงเสื้อบอกกับลุงสุจินต์ด้วยท่าทางภูมิใจที่ได้ซื้อเสื้อผ้าที่เธอใฝ่ฝันจะได้มานานแล้ว

“เหรออะนี่มันป้ายอะไรคุณนายไหนลองอ่านให้ผมฟังสิตาผมไม่ค่อยดี” ลุงสุจินต์พลิกป้ายด้านหลังชื่อที่มีสติ๊กเกอร์แปะอยู่ให้คุณน้าเจ้าของเสื้ออ่าน

เมื่อคุณน้าได้เห็นป้ายนั้นก็ถึงกับหน้าซีด ฉันเดินไปดูกับเขาด้วย เพราะฉํนก็อยากรู้อยากเห็น และสิ่งที่ได้เห็นก็ทำเอาฉันแอบขำกับสิ่งที่ได้อ่านข้อความตรงหน้า

“Made in Thailand”

สติ๊กเกอร์ตัวไม่โตมากแต่ก็เห็นได้ชัดเจนฉันไม่ต้องใส่แว่นก็มองเห็น ฉันรีบเดินออกมาเมื่อได้เห็นข้อความนั้น แต่คุณน้าเจ้าของเสื้อถึงกับเข่าอ่อน เพราะเธอซื้อเสื้อตัวนั้นมาด้วยราคาเกือบสิบหมื่น ไม่เข่าอ่อนวันนี้จะไปเข่าอ่อนตอนไหนกัน

ฉันเอาเรื่องที่ได้เห็นมาเล่าให้แม่กับพ่อและพี่ษาฟัง ทั้งสามคนหัวเราะจนปิดไม่มิด

“พ่อว่าลุงสุจินต์คงแกล้งคุณน้าเคามากกว่า” พ่อบอกพวกฉัน

“พ่อรู้ได้ไงว่าลุงสุจินต์หลอกคุณน้าคะ” ฉันถามด้วยความสงสัย

“ก็พ่อเห็นลุงสุจินต์ลงทุนไปสั่งทำสติ๊กเกอร์ Made in Thailand มาอยู่หลายแผง สงสัยอยู่เหมือนกันว่าจะเอามาทำอะไรตอนแรก แต่ตอนนี้พ่อรู้แล้วว่าเอามาทำอะไร เออช่างคิดนะพี่สุจินต์” พ่อพูดไปก็ขำไป

ฉันอยากจะไปบอกคุณน้าเจ้าของเสื้อตัวนั้นจังเลยว่าคุณน้าโดนหลอกแต่ก็ไม่อาจทำได้ เพราะเธอนั่งดมยาดมอยู่ที่ทางเท้าข้างๆ ร้านเสื้อผ้าชื่อดังนั้นโดยมีสามีของเธอนั่งพัดให้อยู่ไม่ห่าง หากฉันเข้าไปบอกตอนนี้ลุงสุจินต์คงโดนเพื่อนของเขาไล่เตะแน่ๆ เรื่องแบบนี้อาคิราทำเฉยๆ ไปจะดีกว่าที่จะสอเสือใส่เกือกหาเรื่องใส่ตัว

เมื่อคณะทัวร์เรามาถึงประเทศสวีสพ่อก็พาพวกเราไปซื้อนาฬิกาและไม่ลืมที่จะซื้อให้พี่ภาด้วยอีกหนึ่งเรือน

“อะอานี่ของขวัญสำหรับการเรียนดีของลูก” พ่อยื่นกล่องนาฬิการาคาแพงให้กับฉัน

“โหพ่อมันแพงไปสำหรับอานะพ่อไม่เอาดีกว่าอากลัวทำหาย” ฉันบอกปัดพ่อไปเพราะเมื่อเห็นราคาที่ตีเป็นเงินไทยแล้วเกือบสี่พันบาทเล่นเอาฉันไม่กล้าแม้แต่จะใส่มันลงไปบนข้อมือของฉัน

“เอาไปเถอะอาพ่อซื้อให้ทุกคนแหละอะนี่ของษาของขวัญสำหรับการช่วยติวให้น้องรับไปเถอะลูกไม่ต้องคิดมาก” พ่อเห็นท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ที่จะรับกล่องนาฬิกาจากมือพ่อของพี่ษาแล้วก็พูดขึ้น

“ษาไม่เอาหรอกค่ะพ่อษาเต็มใจที่จะติวให้น้อง”

“รับเถอะษาพ่อเค้าซื้อสองแถมหนึ่งเหมือนกันเป๊ะสามเรือนไม่ต้องคิดมากหรอกลูก” แม่บอกพี่ษาให้รีบๆ รับกล่องนาฬิกาเรือนนั้น

จะจริงหรือเปล่าฉันก็ไม่รู้กับสิ่งที่แม่พูด แต่ก็เป็นคำพูดที่ทำให้พี่ษารับกล่องนาฬิกานั้นไปอยู่ในมือของเธอได้ และแม่ยังช่วยใส่ให้ที่ข้อมือของพี่ษาอีกด้วย แต่สำหรับฉันที่เป็นลูกกลับต้องแกะกล่องเปิดเอานาฬิกามาใส่เอง คิดดูก็แล้วกันลำเอียงกันเห็นๆ แม่ฉัน

ทัวร์ยุโรปของคณะของพ่อก็ต้องจบลงที่ประเทศสวิสแห่งนี้ แต่พ่อได้ติดต่อให้เจ้าของทัวร์ซื้อตั๋วไปสวีเดนให้กับพวกเราแล้ววันนี้เราก็เลยต้องนั่งเครื่องไปสวีเดนเพื่อไปหาพี่ภากัน ใช้เวลาเดินทางไม่นานเท่าขาที่เรามาจากเมืองไทยและเราก็ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจาก Fam ของพี่ภา

ฉันเห็นพี่ภายืนตัวขาวฟันขาวรอรับพวกเราอยู่ที่ด้านหน้า ฉันวิ่งไปกอดพี่สาวสุดที่รักของฉันทันทีเมื่อเห็นพี่ภา ไม่สนใจรถเข็นกระเป๋าที่หิ้วมาทิ้งให้พ่อต้องเป็นคนเข็นต่อ

“พี่ภาดีใจจังคิดถึงพี่ภาที่สุดในโลกเลย” ฉันกระโดดกอดพี่ภาและหอมแก้มซ้ายขวาให้สมกับความคิดถึงที่ฉันมีต่อพี่ภา จนพี่ภาแทบทรุดลืมทั้งยืน

“ไอ้น้องบ้านึกว่าจะโตแล้วที่ไหนได้โตแต่ตัวใจยังเป็นเด็กเล็กๆ อยู่เลยปล่อยพี่นะพี่จะไปกอดแม่” พี่ภาว่าฉันและพยายามจะปลดแขนฉันที่กอดเธอให้พ้นตัว

“บอกให้ปล่อย” พี่ภาตวาดฉันแว๊ดๆ

“ไม่ปล่อยก็คนมันคิดถึงนี่” ฉันยังล็อคพี่ภาไว้ในอ้อมแขนไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ

ส่วนพ่อก็เดินไปจับมือกับพ่อใน Fam ของพี่ภาและแม่เองก็เช่นกัน ส่งภาษากันให้ดังไปหมด พี่ษาได้แต่ยืนยิ้มมองดูฉันกับพี่ภาทะเลาะกันจนพ่อทักทางเสร็จก็เรียกฉันให้ไปทักทายกับพ่อ Fam พี่ภา ฉันยกมือสวัสดีด้วยคสามเคยชินเมื่อต้องทักทายกับผู้ใหญ่แต่พ่อก็ยื่นมือมาให้ฉัน ครั้นพอฉันจะยื่นมือไปให้พ่อจับ พ่อก็กลับยกมือทำท่าทางสวัสดีแบบเก้ๆ กังๆ สลับกันไปมาอยู่อย่างนั้น จนเราสองคนหัวเราะกันขำกลิ้งกับการทักทายที่สลับกันไปมา

จากนั้นการทักทายก็จบลงที่พ่อยื่นมือค้างไว้ให้ฉันได้จับนั่นแหละถึงได้ยุติความวุ่นวายลงไปได้ พวกเราเข็นรถไปที่รถของพ่อ Fam และท่านก็พาเราไปที่ Farm ของท่านให้ได้เห็นการเป็นอยู่ของพี่ภาว่าอยู่อย่างไรที่เมืองไกลเมืองนี้

ฉันว่าพี่ภาได้รับการปฏิบัติที่ดีครอบครัวนี้เลี้ยงดูพี่ภาราวกับเป็นลูกของเขาและแถมยังสนับสนุนพี่ภาหลายๆ อย่างในการเรียนเสริมเพิ่มเติม พี่ภาแนะนำลูกชายของบ้านนี้ให้พวกเราได้รู้จัก พี่จิมพูดภาษาไทยได้บ้างเล็กๆ น้อยๆ เพราะพี่ภาช่วยสอนให้ และพี่จิมก็สอนภาษาสวีดีสให้กับพี่ภาเป็นการแลกเปลี่ยน

แต่สิ่งที่ฉันได้เห็นก็คือสายตาที่พี่จิมมองพี่ภามันมากกว่าสายตาของพี่กับน้องที่สนิทกัน มันเป็นเหมือนสายตาของฉันที่มองพี่ษา ในใจฉันคิดว่าฉันคงเสียดุลการค้าเสียพี่สาวสุดที่รักให้กับฝรั่งผมทองตาน้ำข้าวแล้วแน่ๆ อาการหวงพี่สาวของฉันปรากฏขึ้นได้อย่างชัดเจนจนพี่ษาต้องคอยสะกิด

“อาอย่าทำหน้าแบบนั้นสิ”

“ก็อาไม่ชอบนี่พี่ษาใครจะมาแย่งพี่ภาไปจากอาไม่ได้”

“แล้วอาไม่คิดกลับกันบ้างเหรอถ้าภาเค้ามาทำท่าทางแบบนี้กับพี่บ้างอาจะรู้สึกอึดอัดไหม”

“ก็มันไม่เหมือนกันนี่นาพี่ษา พี่ษาเป็นเพื่อนพี่ภาแต่หมอนี่มันเป็นฝรั่งตาน้ำข้าวพูดกันคนละภาษาแถมยังฟังกันไม่รู้เรื่องอีก”

“ความรักมันมีพรมแดนเหรออาถ้ามันห้ามกันได้พวกเราก็คงไม่ได้รักกันแล้ว” พี่ษาพยายามเตือนสติฉันให้ได้ยั้งคิด

ฉันได้แต่นิ่งเงียบ เพราะอย่างไรคืนนี้พวกเราก็ต้องค้างที่ Fam แห่งนี้หนึ่งคืนก่อนที่พรุ่งนี้เราจะเดินทางไปค้างในตัวเมืองในโรงแรมที่พี่ภาได้ติดต่อไว้ให้กับพวกเราจากความช่วยเหลือของพี่จิมฉันไม่ชอบแต่ก็ต้องฝืนใจ

คืนนี้ฉันนอนไม่ได้นอนกอดพี่ภาอย่างที่ได้ตั้งใจไว้เพราะพี่ภาไปนอนกอดพ่อกับแม่ให้หายคิดถึง ส่วนฉันที่เป็นน้องต้องรอต่อคิวในคืนถัดไป ช่วยไม่ได้เกิดที่หลังก็ต้องเป็นตัวสำรองแบบนี้แหละเฮ้อ... อาคิรา

.... จบบทที่ ๓๐ ...



Create Date : 19 กรกฎาคม 2551
Last Update : 19 กรกฎาคม 2551 18:39:11 น. 2 comments
Counter : 337 Pageviews.

 
เห็นพี่น้องรักกันแล้วอิจฉา เรามันลูกคนเดียวซะด้วย
อยากมีพี่สาวบ้างจัง!
อาคิรานี่ยังไม่ทันฟังอะไรก็หวงพี่ซะละ
อยากเห็นตอนหวงแฟนบ้างจังว่าจะขนาดไหน?


โดย: ไอ IP: 203.155.228.152 วันที่: 20 กรกฎาคม 2551 เวลา:13:48:29 น.  

 
คุณไอ

อาน่าจะมีเหตุผลมากกว่านี้เน๊อะ แย่ ๆๆๆ น้องอา ชอบทำเรื่องให้ผู้ใหญ่ปวดหัวจริงๆ เล๊ย


โดย: รันหณ์ วันที่: 20 กรกฎาคม 2551 เวลา:15:21:15 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

รันหณ์
Location :
ปทุมธานี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ฉันคือฉัน
ฉันรักเสียงเพลง
ฉันรักสายลม
ฉันรักท้องฟ้า
ฉันรักอิสระ
ฉันคนไร้ราก
ผิงดาวยามไร้เดือน

คืนนี้ถ้าเธอหนาว ร่วมผิงดาวบนท้องฟ้า
จากรักจากศรัทธา....ของเรา

เป็นอะไรก็ได้มิใช่หรือ
แค่เป็นคนดีก็คงเีพียงพอ
[Add รันหณ์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.