แต่ก็เชื่อว่ามีอีกหลายคนที่ไม่ได้วางแผนไปเที่ยวต่างประเทศที่ไหน หรือเลือกที่จะอยู่เฝ้ากรุงเทพฯ แล้วขับรถเล่นทั่วกรุงเทพฯ ก็น่าสนุกไปอีกแบบ ดังนั้นช่วงนี้ทาง The EM District ศูนย์รวมแห่งความสุขใจกลางสุขุมวิท ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่ตอบทุกโจทย์ของทุก Lifestyle ซึ่งมีทั้ง The Emporium และ น้องใหม่ The EmQuartier ให้เลือกช็อป เลือกชิม ได้ตามใจชอบ และตอนนี้ทาง The EM District กำลังจัดกิจกรรม Worlds Pop Up Beach ซึ่งจะจำลองบรรยากาศริมชายหาดมาไว้ที่ใจกลาง The EmQuartier ซึ่งมีร้านต่างๆ มาเปิดเป็น Pop Up ให้เลือกชิลๆ กัน ซึ่งจะหมุนเวียนเปลี่ยนกันไปทุกสัปดาห์ ตลอดทั้ง 7 สัปดาห์ตั้งแต่ วันที่ 10 มีนาคม ไปจนถึง 27 เมษายน 2559 กันเลยครับ
และหนึ่งในกิจกรรมของงานนี้ก็คือ ร้านอาหารต่างๆ ที่เข้ามาร่วมจัดเมนูพิเศษให้เข้ากับบรรยากาศช่วงหน้าร้อนแบบนี้กับคอนเซ็ป Destination-inspired Special Menu ซึ่งแต่ละเมนูก็เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจจากแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ ทั่วโลก โดยมีร้านอาหารและคาเฟ่ชื่อดังเข้าร่วมถึง 11 ร้าน มีร้านอะไรบ้าง และแต่ละร้านจะมีเมนูไหนที่เป็นเมนูพิเศษกันบ้าง และน่าทานแค่ไหนไปชมกันเลยครับ
ก่อนอื่นขอเริ่มจากร้าน TWG Tea Salon & Boutique ซึ่งอยู่ทางฝากฝั่ง The Emporium มานำเสนอก่อนนะครับ ซึ่งขอเริ่มด้วยเมนูจิบชายามบ่าย เบาๆ เรียกน้ำย่อยกันก่อนกับเมนู Vacationer Set (440++) เป็นเซ็ทของหวานกับน้ำชาหอมๆ โดยของหวานเสิร์ฟเป็น Ivory Venetian Panna Cotta พานนา คอตต้า สีขาวนวลตัดกับสีแดงของเยลลี่ที่ทำมาจากชา และเติมความสดชื่นด้วย Mixed Berries ผลไม้เมืองหนาว ที่มาพร้อมกับ mini TWG Tea Macaronsทานคู่กับชาหอม Weekend in Venice Tea ซึ่งจะเลือกรับเป็นชาร้อน หรือชาเย็นก็ได้ตามใจชอบ แน่นอนว่าที่ TWG Tea ขึ้นชื่อเรื่องความหอมและรสชาติของชาชั้นดีอยู่แล้ว ทำให้เมนูนี้เป็นเมนูที่ช่วยเติมความสดชื่น ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากการนั่งจิบชาชิลๆ ในเมืองเวนิช ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นเมืองที่ถือว่าโรแมนติกที่สุดเมืองหนึ่งในยุโรป แค่นี้ก็เพลิดเพลินไปกับของหวานเนียนนุ่มละมุนลิ้น และความหอมของชา ได้อย่างลงตัว ทำให้ลืมความร้อนที่อยู่ด้านนอกได้ดีทีเดียวครับใครที่ชื่นชอบเมนู Dessert Set น่าทานของ TWG Tea ต้องรีบหน่อยนะครับ เพราะเมนูนี้มีถึงแค่เพียงวันที่ 31 มีนาคมนี้เท่านั้น
หลังจากเติมความสดชื่นกันแล้วก็ข้ามฝั่งมาที่ The EmQuartier กันบ้างนะครับ ซึ่งที่นี่เป็นที่ที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษเพราะมีร้านอาหารให้เลือกอร่อยหลากหลายทีเดียวครับ ดังนั้นขอมาต่อที่ร้านอาหารญี่ปุ่นกันบ้างครับ โดยขอพาไปที่ร้าน Hokkai-Don (ฮอกไกด้ง) ร้านอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ที่ขึ้นชื่อเรื่องเมนูปลาดิบ ซูชิ และเมนูข้าวหน้าต่างๆ ซึ่งร้านอยู่ที่ชั้น 6 โซน The Helix ซึ่งนำเสนอเมนูพิเศษที่ชื่อว่า Nebuta Set ซึ่งเป็นเมนูที่ได้แรงบันดาลใจจากการไปเที่ยวญี่ปุ่น เพราะเป็นเมนูอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม ที่รวมมาทั้งปลาไหลรสชาติดี หัวปลาแซลมอนต้มซีอิ๊วสูตรพิเศษของร้านที่ยังไม่เคยทำออกมาขายมาก่อนซึ่งพิเศษเฉพาะช่วงเทศกาลนี้จริงๆ รวมทั้งปลาหมึกกับเมนไทโกะ และที่ผมชื่นชอบเป็นพิเศษนั่นก็คือเต้าหู้สูตรดั้งเดิมที่มีงาและนมเป็นส่วนผสม หอมกลิ่นงาอ่อน เหนียวหนึบอร่อยมากครับ ที่สำคัญเมนูนี้ราคาเพียง 550 บาท และมีโปรโมชั่นพิเศษลดเหลือเพียง 399 บาท หากสั่งพร้อมกับเมนู Donburi หรือ Sushi Set ครับ และที่พิเศษสำหรับ Hokkai-Don ก็คือเมนูต่างๆ สามารถสั่งได้จาก IPad ซึ่งจะส่งตรงไปยังส่วนครัวทันทีครับ ไม่ต้องเสียเวลารับออเดอร์ให้วุ่นวายด้วยครับ
ยังคงวนเวียนอยู่ที่ญี่ปุ่นเช่นเดิมแต่ขอย้ายร้านมาที่ Ginza Shabu-Ten ซึ่งอยู่ที่ชั้น 8 โซน The Helix เช่นเดียวกัน ซึ่งร้านนี้เป็นร้านที่เหมือนอยู่ในญี่ปุ่นจริงๆ บรรยากาศจะเหมือนอยู่ใจกลางเมืองโตเกียวย่านกินซ่ายังไงยังงั้น ซึ่งแน่นอนว่าแรงบันดาลใจก็หนีไปพ้นการไปทานอาหารอยู่ใจกลางโตเกียวของประเทศญี่ปุ่นนั่นเอง โดยเมนูพิเศษก็เป็นเมนูในแบบฉบับญี่ปุ่นดั้งเดิม กับเมนู Shabu Vacationer Course ซึ่งเป็นชาบูคอร์สพิเศษที่รวมเอาของดีจากญี่ปุ่นมาไว้ด้วยกัน ทั้งหมูคุโรบูตะที่เนื้อนุ่มอร่อยถูกใจ และเนื้อคุโรเกะวากิว ซึ่งทานกับซอสงา ซอสพอนซึ และซอสเผ็ด ซึ่งเป็นซอสใหม่ของร้านที่เปิดตัวสำหรับกิจกรรมนี้โดยเฉพาะ โดยมาพร้อมกับชุดผักและเห็ด ถือว่าเป็นชาบูที่รสชาติดี น้ำซุปกลมกล่อมแถมทั้งเนื้อหมูและเนื้อวัวนั้นก็นุ่มลิ้น อร่อยเพลินๆ คิดซะว่าทานอยู่ในโตเกียวจริงๆ นอกจากนี้ยังมีไข่ปลาแซลมอน กุ้ง หอยเซลล์ และเต้าหู้สูตรดั้งเดิมที่มีงาและนมเป็นส่วนผสม มาทานรองท้องระหว่างรอน้ำชาบูเดือดได้ที่ไปพลางๆ อีกด้วย และปิดท้ายด้วยของหวานตามแบบฉบับญี่ปุ่น ถือว่าเป็นคอร์สที่จัดเต็มความเป็นญี่ปุ่นได้ดีจริงๆ ครับ
ยังคงพาไปทานอาหารญี่ปุ่นกันต่อครับ แต่ร้านนี้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นสไตล์ฟิวชั่นฟู้ดนั่นก็คือร้านShioYoshoku ซึ่งอยู่ที่ชั้น 8 โซน The Helix เช่นเดียวกัน โดยร้านนี้นำเสนอเมนูพิเศษที่ชื่อว่า Nami ซึ่งก็แปลว่าคลื่นทะเลนั่นเองครับ แต่แรงบันดาลใจของ Shio นั้นไม่ได้อยู่ที่ญี่ปุ่น แต่ได้รับมากจากการไปเที่ยวทะเลมัลดีฟส์ ซึ่งถือว่าเป็นสวรรค์ของคนที่ชอบทะเลเลยก็ว่าได้ ซึ่งเมนูนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากการที่ดำน้ำลงไปใต้ทะเลแล้วเห็นสิ่งมีชีวิตใต้น้ำต่างๆ มากมาย ดูแล้วน่ารัก น่าตื่นตาตื่นใจ จึงได้มาเป็นเมนู Nami นั่นเองครับ ซึ่งหน้าตาก็ดูน่าทาน และสวยงามไม่แพ้กับใต้ทะเลจริงๆ ครับ โดยมีแซลมอน ไข่ปลาแซลมอน หอยเชลล์ มะเขือเทศ สาหร่ายไคโซว อยู่ในหัวไชเท้าสด ซึ่งเปรียบเสมือนเกลียวคลื่นที่อยู่รอบๆ และเติมรสชาติด้วยซอสพอนสึ ทำให้เมนูนี้มีสีสันเพิ่มขึ้น ซึ่งเมนูนี้ทานแล้วได้รับความรู้สึกเย็นๆ ในปาก คล้ายกับอยู่ใต้ทะเลจริงๆ เป็นอีกเมนูที่น่าสนใจมากๆ ครับ
จากนั้นก็ขอพาไปร้าน Crab and Craw ชั้น 7 โซน The Helix กันต่อนะครับ ซึ่งร้านนี้เป็นร้านที่หลายๆ คนน่าจะรู้จักและเป็นที่ชื่นชอบอย่างดี รวมทั้งตัวผมด้วยครับ สำหรับร้าน Crab and Craw นั้นเป็นร้านอาหารทะเลสไตล์อเมริกัน ซึ่งมีความโดดเด่นในเมนูของล๊อปสเตอร์และปูทะเลเป็นพิเศษ ดังนั้นเมนูที่ทางร้านนำเสนอก็คือ Maine Lobster Top Class หรือล๊อปสเตอร์อบกับเนยไข่หอยเม่น ที่เป็นสุดยอดของอาหารมื้อพิเศษแบบนี้ ซึ่งก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากรัฐเมน สหรัฐอเมริกา ที่เป็นแหล่งรวมอาหารทะเลที่อร่อยและอุดมสมบูรณ์ติดอันดับโลกเลยทีเดียว ซึ่งเนื้อล๊อปสเตอร์ที่หวานนุ่ม แน่น ตัวโต แถมด้วยความอร่อยมันจากไข่หอยเม่นและไข่ปลาบิน ถ้าได้ทานเมนูนี้รับรองว่าฟินแน่นอนครับ
จากนั้นก็พาไปปิดท้ายกับของหวานน่าทานจากร้าน La Baguette ร้านเบเกอรี่และของหวานสไตล์ฝรั่งเศส ที่โด่งดังมาจากพัทยา จนขยายสาขามาเปิดเพิ่มที่ชั้น G ตึก The Glass Quartier ดังนั้นอย่าเพิ่งอิ่มจากของคาวมากเกินไปนะครับ เพราะว่าที่ The EmQuartier นี้มีร้านของหวานให้เลือกอร่อยเพียบ โดยเฉพาะที่ La Baguette ที่จัดเต็มเรื่องเบเกอรี่ มีให้เลือกหลากหลาย แค่บรรยากาศของร้านก็ชวนให้พาตัวเองเข้าไปนั่งเลือกเค้กอร่อยๆ ได้อย่างไม่ยากเลยทีเดียว และสำหรับช่วงนี้ทางร้านมีเมนูพิเศษที่จัดขึ้นมาถึง 3 เมนู เริ่มที่เครื่องดื่มกันก่อนกับเมนู Smooth Ice Van Houten Chocolate รับรองถูกใจคนที่ชอบช็อกโกแลต เพราะเมนูนี้เป็นเครื่องดื่มดาร์คช็อกโกแลตเข้มข้นปั่นเสิร์ฟพร้อมวิปปิ้ง วนิลลา ไซรัป และกราโนร่า ที่โรยอยู่ด้านบน นอกจากสีสัน หน้าตาจะน่าดื่มแล้ว ยังเป็นเมนูที่ช่วยคลายร้อน และเพิ่มความสดชื่นได้ดีทีเดียวครับ
จากนั้นก็มาต่อด้วย Profiteroles (โปรฟิเทอร์โรล) หรือชูว์ครีม ของหวานสไตล์ฝรั่งเศส ที่เสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวนิลลา ราดด้วยซอสช็อกโกแลตอุ่นๆ รับรองว่าเป็นของหวานที่นอกจากจะดูดีแล้ว รสชาติยังหวานนุ่ม ละมุนลิ้นอีกด้วยนะครับ
แต่ใช่ว่าที่ La Baguette จะเสิร์ฟของหวานอย่างเดียวนะครับ ยังมีเมนูของคาวอย่าง Brittany Crepe เป็นเมนูที่ดัดแปลงจากเครปที่ใช้เสิร์ฟเป็นของหวานมาห่อหุ้มเห็นสามอย่างอบชีสซึ่งอยู่ด้านใน โดยท็อปปิ้งด้วยเห็ดชานเทอเรลล์ และไข่คลุกเกล็ดขนมปังทอด รสชาติอร่อยนัว อย่าบอกใครเลยครับ ซึ่งทั้งสามเมนูนี้ถือว่าเป็นเมนูที่ดูน่าทาน สวยงาม ซึ่งก็ได้แรงบันดาลใจมากจากเมืองชายฝั่งทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่สวยงาม และน่าไปเที่ยวมากที่สุดอีกประเทศในยุโรป
นอกจากทั้ง 6 ร้านแล้วยังมีร้านที่เข้าร่วมแคมเปญ Destination-inspired Special Menu อีกหลายร้านไม่ว่าจะเป็น ร้านไอศกรีม Emack & Bolios ที่มอบเมนูไอศกรีม 5 ลูก บนโคนพิเศษมาร์ชเมโล่ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากตึกสูงเสียดฟ้าในอเมริกา, ร้าน La Monita Mexican Urban Cantina ร้านอาหารสไตล์เม็กซิกัน ที่เสิร์ฟเมนูMexican Platter อาหารที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการเดินทางไปยังแคลิฟอร์เนียและเม็กซิโก, ร้าน Le Dalat ร้านอาหารเวียดนาม พร้อมเสิร์ฟ ไก่กระทงสอดไส้แป๊ะก๊วย เกาลัด และเม็ดบัว เมนูพิเศษที่ได้รับแรงบันดาลใจจากการที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ฝรั่งเศส, ร้าน Scruffy Apron by Hyde & Seek พร้อมเสิร์ฟ The Big Island Loco Moco! ข้าวหน้าเนื้อวากิวอาหารพื้นเมืองของชาวฮาวาย และร้าน Mokuola Hawaii ที่ต้อนรับฤดูร้อนด้วยเมนู Aloha Set เมนูที่ผสมผสานความเป็นญี่ปุ่นและฮาวายเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งทานแล้วจะได้ความรู้สึกเหมือนท่องเที่ยวอยู่ในฮาวายชั่วขณะครับ
แค่นี้ก็ทำให้หน้าร้อนนี้เป็นหน้าร้อนที่แสนพิเศษ เพราะแค่แวะมาที่ The EM District ก็เหมือนได้เดินทางไปทานอาหารอยู่ต่างประเทศกับเมนูพิเศษที่แต่ละร้านพร้อมเสิร์ฟความอร่อยแล้วครับ นอกจากร้านอาหารต่างๆ พื้นที่จัดกิจกรรมด้านล่างของ The EmQuartier มีกิจกรรมพิเศษที่มีร้านต่างๆ มาให้บริการในบรรยากาศริมทะเล ซึ่งมีตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม ถึง 27 เมษายน นี้นะครับ ใครว่างๆ ก็ชวนเพื่อนหรือครอบครัวไปคลายร้อนกันได้เลยครับ