Tough Time Never Last ...But Tough People Do
Group Blog
 
All Blogs
 

5>ก้าวข้ามธรณี ไปอีกฝั่งของชีวิต

ธรณีประตูนี้มันสูงเหลือเกิน กว่าจะก้าว จะข้ามได้

ก็มีการวัดใจกันเป็นระยะ ๆ เหมือนทดสอบเราทั้งสอง

โจทย์แต่ละข้อ ไม่ใช่เพียงหาคำตอบให้เจอ แต่จะ

ต้องหาวิธีการหาที่ถูกก่อนเสมอ ความถูกต้องนั้นหลาย

ครั้งที่ต้องมาทีหลังความถูกใจ ครอบครัวลักษณะเชิงซ้อน

มีความอบอุ่นดี ก็ใช่ ที่บ้านมีญาติเยอะ จนอยากเปลี่ยน

ชื่อเป็น ยุ้ย family tree ต้นใหญ่ กิ่งก้านแผ่กว้างไกล

อาม่า อากิ๋ม อาซ้อ อาเตี๋ย อาเหล่าซิ้ม เหล่าโจวเจ๊ก

เหล่าโจวอี้ม .....


กิจกรรมของตระกูลครั้งนี้ ทำให้ความอบอุ่นที่ได้รับ

กลับเป็นความรุ่มร้อน หลายความคิดเห็น หลายความ

หวังดี พุ่งเป้ามายังพิธีแต่งานของเรา ประกอบกับคำ

ทำนายของผู้หยั่งรู้ฟ้า รู้ดิน ยิ่งก่อให้เกิดการรวมตัว

ของญาติ ๆ โจษจันท์ พร้อมหาวิธีแก้ไขอย่างประสงค์

ดี ลองดูนะคะว่า คุณช่า คุณช้าง ต้องเผชิญอะไรบ้าง

ก่อนไปถึงอีกฟากของชีวิต....
--------------------------

หลาย ๆ คนที่ผ่านการมีงานแต่งงานมาแล้ว อาจพอนึกภาพออกจากเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้
แต่หากใครที่กำลังจะมีงานก็ไม่ต้องสลด หดหู่ใจนะคะ เพราะงานแต่ง ท้ายสุดก็เป็นเพียง
ฉาก ๆ หนึ่งที่เราอาจจะต้องทำเพื่อหน้าตาพ่อแม่เขากับพ่อแม่เรา ส่วนพิธีกรรม หรือ
ขนบธรรมเนียม ประเพณีที่ต้องมี ต้องใช้ อาจจำเป็นบ้าง ไม่จำเป็นบ้างก็ให้คิดว่าผู้ใหญ่
เหล่านั้น ท่านอยากให้เราได้ดี มีครอบครัวที่สมบูรณ์มีความสุข ถือไม้เท้ายอดทอง
กระบองยอดเพชร จึงมีการบังคับ หรือขู่เข็ญให้เราต้องปฏิบัติตาม อย่างน้อย ๆ
ท่านจะได้มั่นใจและอุ่นใจ คุณพระ คุณเจ้าจะพาเราทั้งสองและครอบครัวไปกันตลอดรอดฝั่ง



บางครั้งครอบครัวฝ่ายหญิงอาจมีขนบธรรมเนียมต่างกับครอบครัวฝ่ายชาย
ต่างฝ่ายก็จะถือยึดธรรมเนียม ประเพณีของตนอย่างเหนียวแน่นเคร่งครัดสุดฤทธิ์
ซี่งเหตุการณ์นี้ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับคนไทยเชื้อสายจีนแทบทั้งสิ้น พ่อแม่ทั้งสองฝ่าย
พบหน้ากันตอนแรก ก็ดี ๆ อยู่ แต่พอใกล้วันแต่ง ต่างก็จะเริ่มมีสิ่งนี้ต้องทำ สิ่งนั้นต้องซื้อ
สิ่งโน้นขาดไม่ได้ สิ่งโน๊น ต้องไม่ลืม บวกกับความเชื่อในแต่ละเรื่อง จนโทนเสียงสนทนา
เริ่มสูงขึ้น สูงขึ้น พร้อม ๆ กับห้วนลง หัวนลงและ
หางเสียงเริ่มหายไป


มาว่าถึงกรณีของคุณช่ากับคุณช้าง ธรรมเนียมพิธีกรรม การแต่งงาน ต่าง ๆ ที่ต้องผ่าน
ที่ต้องทำ ก็ไม่ได้น้อยหน้ากว่าใครอื่น ๆ เราทั้งสองเป็นเชื้อสายจีน 100 % ทั้งคู่ คราวนี้ก็
เริ่มสนุกซิ เพราะปกติเท่าที่ทราบธรรมเนียมไทยจะค่อนข้างเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนมาก
แต่คนจีน เนื่องจากเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้าง ฉะนั้นพิธีกรรม และความเชื่อก็จะมา
แตกต่างตามภูมิประเทศ บ้านเกิดที่เมืองจีน เช่น จากซัวเถา จากเท้งไฮ้ หรือเตี่ยเอี๋ย
ภาษาพูดจะมีคำและสำเนียงที่ต่าง รวมทั้งประเพณีต่าง ๆ อีกซ้ำการแต่งงานของลูก
ไม่ว่าจะหญิงหรือชายของคนจีนนั้น ยิ่งเมื่ออยู่เมืองไทยกันแล้วโดยเฉพาะลูกชายคนโต
จะเป็นการแสดงออกถึงหน้าตาของครัวครอบด้วย เพราะฉะนั้นอาการ ไม่มีใครยอมใคร ก็เกิดขึ้น


ขอตัดกลับมาที่ว่าไปขอฤกษ์แต่งงานแล้ว ใคร ๆ ก็ว่า คุณช่า ไม่เหมาะกับคุณช้างด้วยประการ
ทั้งปวง แต่ที่จะต้องขอเล่าสู่กันฟังให้ดี ก็คือ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี สบายใจ
กันทั้งหมด ก็ต้องทำบุญ และ แก้เคล็ดสิ่งที่ต้องทำเพื่อแก้เคล็ดนั้นก็ยาวเป็นหางว่าว….


ฟังนะ...


เริ่มตั้งแต่คนแต่งหน้าทำผมและคนตัดชุดเจ้าสาว ต้องเป็นคนเกิดปีกุน เท่านั้น…
คนจัดการเรื่องพิธีกรรมต่าง ๆ ห้ามคนเกิดปี มะแม มะโรง และ ระกา และ … และ…
มายุ่งเกี่ยว วันลองชุดเจ้าสาวต้องเป็นวันพุธ กลางวัน ขนมหวาน ผลไม้ ต้องให้มีผล
ที่เป็นแฝด โดยเฉพาะอย่างยิ่งส้มต้องตัดจากกิ่งที่มีส้มคู่กัน เครือกล้วยก็ต้องมีแฝด
ไข่ไก่ต้องมีไข่แดงสองใบในฟองเดียวกัน ขาหมูที่ใช้ในวันส่งตัวต้องเป็นขาจากหมูตัวเดียว
กันทั้งสี่ข้าง และรถที่มารับเจ้าสาวที่บ้านต้องนำเนื้อหมู หนึ่งชิ้นหนัก 4.4 ขีด แขวน
ไว้ด้านหน้ากระจังรถ นัยว่าเอาหมูล่อเสือขาวเข้าบ้าน พอมาถึงหน้าบ้านฝ่ายชายแล้ว
ให้ผู้อาวุโสที่สุดที่ไม่เกิดในปี … หรือปี … โยนชิ้นเนื้อข้ามศรีษะไปทางด้านหลังที่ทิศตะวัน
ออกเฉียงเหนือ นอกเหนือจากนั้น แม่ทั้งสองต้องมาอ่านมนต์แผ่สวดกุศลที่วัดจีนแห่งนั้น
ก่อนวันแต่งจริงเป็นเวลา 49 วัน และนั่นเป็นสิ่งที่โกวเนี้ยย้ำว่าต้องมาปฏิบัติให้ได้


ไม่เคยรู้สึกรักแม่เท่านั้นมาก่อน แม่ทำทุกอย่าง ( ยังอีก ยังมีตอนคลอดลูกยิ่งรักแม่มากขึ้นอีก )
ยอมคุกเข่าคู่ที่เคยบ่นว่าปวดและมีเสียงกึกกั๊กบ่อย ๆ คราวนี้ต้องลุกขึ้น ลุกลง
หลายครั้งหลายหน เพียงเพื่ออ้อนวอน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ดูแลคุ้มครองเรา ยอมเหนื่อย
ยอมบริจาค ยอมทำตามทุกอย่างที่โกวเนี้ยว่าและอื่น ๆ มากมายเพื่อแก้เคล็ดให้
ที่จริงเรื่องสวดมนต์ 49 วัน แม่ไม่ยอมเล่าให้ฟัง จนกระทั่งเราได้ลูกชายแฝดในการท้อง
ครั้งที่สอง แม่มาพูดถึงเรื่องนี้หลังจากนั้นหลายปีว่า รู้ทั้งรู้ว่าอาจเป็นการทำการตลาดจาก
วัดจีนนั้น แต่ก็ไม่อยากให้ชีวิตลูกต้องเสี่ยง แม่ถึงต้องยอม เพื่อความสบายใจ


อันนี้ยังไม่ได้นับถึงพิธีไหว้ พิธีขอพรเทวดาฟ้าดิน ต้องกิน
ตับหมู ไข่ต้มทีเดียวทั้งฟอง
ต้นกระเทียม เต้าหู้เหลือง และอื่น ๆ ซึ่งล้วนมีชื่อเป็นมงคล ออกจากบ้านมีคนถือตะเกียง
กระเป๋าเสื้อผ้า2-3 กระเป๋าใหญ่ เครื่องใช้ ไฟฟ้า กระโถนกาละมัง กรรไกร ไม้วัดผ้า
เมล็ดพันธ์พืช ฯลฯ ของเหล่านั้น บัดนี้ยังอยู่ดีในกล่อง


งานเลี้ยงฉลองเป็นโต๊ะจีนอาหารทะเล 75 โต๊ะ ยังไม่ได้
เล่านะคะ ว่ามันวุ่นวายเพียงใด


ถือว่าเป็นบทซ้อมใหญ่ของการใช้ชีวิคู่ ใครจะรู้ว่าปัญหาที่เราเจอในวันนี้ อาจเป็นเพียง
เรื่องเล็กแค่ขี้เล็บ เมื่อต้องสร้างครอบครัวของเราเองจริง ๆ ต้องแก้ปัญหาเรื่องใหญ่
กว่านี้อีกเยอะ แล้วก็เป็นเรื่องจริง มาถึงวันนี้ เมื่อนึกย้อนหลัง ก็ได้แต่ส่ายหัว ยักไหล่
เทียบกันไม่ได้เลย มันเป็นเรื่องขี้ผงแท้ ๆ




 

Create Date : 28 มกราคม 2550    
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:02:31 น.
Counter : 452 Pageviews.  

4>คู่แล้ว คู่เลย.... ภาคคุณ ๆ ขอร้อง

ก็จัดให้ตามเสียงเรียกร้องทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์

อยากฝากไว้อย่างนึงก็คือ เพื่อนบ้างคนบอกว่า

ทำไมดื้อจัง ทำไมไม่กลัวเหรอ หากว่าดวงไม่ไป

ด้วยกัน แล้วเกิดไปกันไม่รอด จริง ๆ จะทำงัยล่ะ



ส่วนตัวก็คิดว่า คบกันมานาน พบเห็นอะไรกันมาก็

พอควร ทำไมกับสิ่งที่เขาทักทายประโยคเดียว ทำ

ให้เราต้องแยกกัน อย่างนั้นหรือ ก็ไม่ได้ลบหลู่นะ

เพียงขอให้พิสูจน์กันหน่อย หากในที่สุดไปกันไม่ได้

ต้องแยกกัน ก็ถือว่าเราทั้งสองได้พยายามแล้ว จะไม่

ดีกว่าเหรอ ที่จะให้โอกาสกับทั้งสอง แทนที่จะยอมให้คำ

นายนั้นแม่นยำ(ทันที) โดยที่เราไม่ทำอะไรเลย


ต่อเลยดีกว่าค่ะ
------------------------
คราวที่แล้ว ก็จบเรื่องลอยกระทงที่หน้าสระจุฬา ทีนี้ คนที่หมายปองคุณช่าคนนี้ก็ปรากฏว่า
มักจะขาดเรียนบ่อยมาก เพราะต้องทำงานเลี้ยงตัวเองไปด้วยเรียนไปด้วย ถึงแม้จะเข้าเรียน
ก็มักจะเข้าห้องสาย จนเป็นที่เขม่นของอาจารย์ประจำวิชามาก เวลาเข้ามาในห้องแล้วก็มักจะ
มานั่งใกล้ ๆ เพราะขอยืมสมุด lecture ต่อ บ่อย ๆ เข้าด้วยความที่กลัวว่าสมุดของเราจะหาย
ก็เลยอาสาทำ copy ให้อีกหนึ่งชุด คำว่า copy มิได้หมายความว่าจะไปถ่ายเอกสารให้นะ
( สมัยนั้นแผ่นละ 3-5 บาท แพงมากเมื่อเทียบกับตอนนี้ )



แต่จะเอา กระดาษคาร์บอนสีน้ำเงิน ( รู้จักกันไหมเนี่ยะ ) รองกับกระดาษเวลา lecture
ก็จะได้ 2 หน้าทันทีงัย เพราะเขาบอกว่าไม่มีเงินจ่ายค่า xerox เราก็เลยต้องเปลี่ยน
สมุดธรรมดามาเป็นแบบ Note Pad คือแบบอัดกาวที่สันด้านบนแทน เพื่อว่าตอนจด
lecture เวลาเปลี่ยนหน้าใหม่ เอากระดาษคาร์บอนรองจะสะดวกและเร็วกว่า คล้ายเวลา
เขียนบิลใบเสร็จอ่ะนะ


เสร็จวิชาหนึ่ง ๆ แล้วก็แยกเป็นสองชุด เราหนึ่งชุด เขาหนึ่งชุด แยก file ไว้ที่ Locker
ถึงเวลาเขาก็มาหยิบไปสะดวกดี อาจมีคนถามว่าลำบากแบบนี้แล้วทำไปทำไม ก็….
มีใจให้อยู่บ้างแล้วนะซิ ถึงได้ยอมให้ขนาดนี้ อิอิ


แค่ lecture ไม่พอ ยังต้องเป็นตัวแทนทำรายงานอีก ประมาณว่า two in one
เวลาอาจารย์ให้จับกลุ่มก็จำต้องให้เขามาเข้าชื่ออยู่ด้วย เราก็ต้องทำงานหนักเป็น 2 เท่า
เพื่อน ๆ รู้ว่าเขาไม่ได้มีส่วนร่วมด้วยเท่าไร แต่ก็หลับตาข้างหนึ่งซะ เราก็รับไปเต็ม ๆ
อย่างที่บอก เหนื่อยค่ะ แต่ก็เพื่อ จุด จุด จุด เอาล่ะ ยอมอีก แต่เนื่องจากว่าเขาต้อง
ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วยก็ต้องเป็นกำลังใจให้กันหน่อย



มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาคิดอยากจะตอบแทนสิ่งที่เราพยายามช่วยเขาเรียน ก็ออกปากว่าจะพา
ไปกินข้าว ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ชวนตั้งแต่คบกันมา เพราะปกติแล้ว เขาออกจะเป็นคน
มัธยัสถ์ ไม่เคยเลี้ยงข้าวใครแม้แต่คนเดียว เป็นที่เลื่องลือในหมู่เพื่อน ๆ เราเองก็อด
แปลกใจไม่ได้ แต่ก็ไปค่ะ ก็เขาบอกว่าเลี้ยงขอบคุณนี่นา พอถึงเที่ยง ก็ชวนไป
คณะบัญชี ระหว่างทางเดินไป เขาก็อวดว่า


“ ผมว่า ที่จะไปกินน่ะ คุณคงไม่เคยไปแน่ ๆ เพราะผมไม่ค่อยเห็นใครขายได้แบบนี้ ”


เราก็ออกปลื้มเล็ก ๆ ว่าแหม ก็คงเป็นที่พิเศษมาก ๆ ประมาณว่า


“ เชลล์ชวนชิม เหรอ ” “ ไม่บอก เดี๋ยวก็รู้เอง”



ก็ปรากฎว่าสิ่งที่ได้พาเราไปก็คือที่โรงอาหารคณะบัญชี และอาหารมื้อนั้นก็คือ


” ข้าวพะโล้ จานละหนึ่งบาท”


( ราคาข้าวแกงเมื่อประมาณ 26 ปีที่แล้วตกอยู่ที่ 7-10 บาท ) และสิ่งที่ปรากฏบนจาน
เคลือบขาวขอบน้ำเงิน ช้อนเคลือบสีเขียว นั้นก็คือ ข้าว 1 ทัพพี ราดโชกด้วยน้ำพะโล้สี
น้ำตาลอ่อน พร้อมเต้าหู้พวงหั่นครี่ง 1 ชิ้น !!!



“ คุณไม่เคยเห็นใช่ไหมแบบนี้ ผมวันก่อนมา ว่าแปลกดี ก็เลยชวนมา ถือโอกาสขอบคุณด้วยครับ ”


เป็นการเลี้ยงข้าวมื้อแรกจากเขาที่น่าประทับใจมาก และจดจำมาได้จนบัดนี้ เป็นมื้อที่ถูก
ที่สุดในชีวิต ทำให้รู้จักเขามากขึ้น และขอบอกว่าชีวิตคู่ทุกวันนี้ก็ไม่รู้สึกอึดอัดกับความ
เป็นเขาในด้านนี้ ทั้งที่ตัวเราเองออกจะทำตัวในสิ่งที่ตรงข้ามเลยทีเดียว อยากกินของดี
แพงสักหน่อยก็ยอม ค่อนข้างเลือกมาก นอกจากนี้เราสองคนก็มีเรื่องที่ไม่เหมือนกันอีกมากมาย


ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการฟังเพลง คุณช่าประเภทนิยมเพลงสากล สมัย ’60, ’70
แต่พ่อคุณจะชอบเพลงคุณสุเทพ คุณผ่องศรี และเพลงลูกทุ่งต่าง ๆ เราคลั่งไคล้หนังฝรั่ง
ขณะที่เขาไม่ชอบดูหนัง แต่จะนั่งหลับแทนเพียงเพราะต้องการเป็นเพื่อนดูหนังด้วย
เราชอบแต่งตัวที่ค่อนข้างตามสมัยบ้าง แต่เขามักชอบเสื้อผ้าตัวเดิม ๆ เก่า ๆ โดยอ้างว่า
ใส่สบายกว่าเนื้อผ้านิ่มกว่ากันเยอะ ด้านการเมืองเราจะชอบพรรคการเมืองต่างพรรคกัน
เลือกตั้งเสร็จไม่ยอมบอกด้วยว่าเลือกใคร
ด้านการทำงานความคิดเห็นก็ไม่ค่อยตรงกันเท่าไร รวมทั้งอื่นๆ และที่ต่างอีกอย่างคือ...


เรารักเขา แต่เขากลับรักเราแทน


อันนี้ชอบ ชอบ !!


เราเริ่มตั้งงบประมาณการเที่ยวหลังจากที่ได้ตกลงกันว่ามันเป็นการไม่สมควรที่จะต้องให้
ฝ่ายชายเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายแต่ฝ่ายเดียวในการเที่ยว กินข้าว ดูหนัง แต่เหตุผลลึก ๆ
ก็คือ หากให้เขารับผิดชอบคนเดียว เราคงต้องกินข้าวพะโล้จานละบาท ก๋วยเตี๋ยวเรือ
ชามละ 2 บาท โรงหนังชั้นสองที่ฉาย 2 เรื่องควบ เป็นแน่แท้


โดยมีกติกาก็คือ ทุกเดือนต่างคนต้องใส่เงินลงในกองกลางคนละ 250 บาท
ในเงิน 500 บาทนี้ก็ใช้เหมือนมีกิจกรรมร่วมกันทั้งหมด หากเดือนไหนใช้หมดก่อน
สิ้นเดือน หมายความว่าหลังจากวันที่เงินหมดก็ไม่ต้องเที่ยวไปไหนทั้งสิ้น เรียน
เสร็จก็กลับบ้าน แต่ในทางกลับกันหากเดือนไหนสิ้นเดือนแล้วยังมีเงินเหลือ เช่นช่วง
ใกล้สอบ ไม่ค่อยไปซ่าส์ที่ไหนเท่าไรก็เก็บเงินนั้นไว้ที่ธนาคารเป็นกองกลางอีก
ซึ่งตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจว่าจะใช้ทำอะไร แต่ตอนหลังเงินที่เก็บนี้ก็มาเป็นส่วนหนึ่งของ
แหวนแต่งงานเราสองคน จริง ๆ แล้วไม่ได้มากมายอะไรนัก
แต่ก็เป็นอะไรที่น่จดจำอีกเรื่องหนึ่ง มันคือสัญญลักษณ์
ของความรู้สึกที่ช่วยกันสร้างสมมาต่างหาก


ตอนหน้าจะพูดถึงเรื่องแต่งงานแล้วนะ อย่าพลาด สุข เศร้า เคล้าน้ำตามาก ขอบอก ..




 

Create Date : 28 มกราคม 2550    
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:02:05 น.
Counter : 492 Pageviews.  

3>คู่แล้วคู่เลย

คราวที่แล้ว เล่าถึงตอนสอบเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยสามย่านได้แล้ว ก็ขอข้ามช๊อตมาถึง
เป็นเฟรชชี่แล้วกันนะคะ เล่าเรื่องเด็ด ๆ เลย วันลอยกระทง เพิ่งผ่านไปหยก ๆ
เริ่มเลยนะคะ...


ประมาณว่าเป็นคนไม่ชอบงานฝีมือมาแต่เด็ก ๆ แล้วล่ะ
เมื่อไรก็ตามที่ต้องถักขอบ
ผ้าเช็ดหน้าหรือมีงานปักล่ะก้อ คนที่เดือดร้อนก็ไม่พ้นพี่สาว และอามาที่แสนน่ารัก
ทำให้มีงานไปส่งคุณครูการฝีมือได้คะแนนมาทุกที เอาตัวรอดมาได้จนเข้ามหาวิทยาลัย


วันนั้นก็เหมือนกัน พี่ ๆ สั่งให้ทำคนละกระทงสำหรับถือในขบวนแห่นางนพมาศในวันนี้
ซึ่งเป็นกิจกรรมที่น้องปีหนึ่งทุกคนต้องทำเตรียมไว้ก่อนช่วงเย็น เพื่อตั้งขบวนแล้ว
เดินเป็นแถวสวยงามเข้าไปในเมือง ( หมายเหตุ คณะนิเทศตั้งอยู่อีกฝั่งของถนน
ด้านเดียวกับมาบุญครอง หากเป็นฝั่งที่มีคณะหลัก ๆ ตั้งอยู่เช่น คณะอักษร หรือคณะวิศวะ
ก็เรียกว่าในเมือง ) ก็อย่างที่บอก ของแบบนี้มันไม่ถนัด ก็หนีไปเที่ยวที่สยามแควร์ดีกว่า
ดูหนังสักรอบ บ่ายแก่ ๆ ค่อยกลับมา


ไม่เข้าแถวตั้งขบวนที่คณะสักคน พี่ๆ คงไม่ทันสังเกตหรอกน่า เสร็จจากดูหนังก็จะเข้าไป
ในเมืองเลยทีเดียวเพราะได้ยินว่างานสนุกทุกปี ปีนี้ก็ขอเข้าไปเที่ยวในฐานะนิสิต
มหาวิทยาลัยของตัวเอง โก้ไม่หยอก


แหม !! หนังไม่สนุกเลย ซ้ำร้ายไม่มีเพื่อนในก๊วนมาด้วยซักคน เพราะ บางคนไปหา
ชุดไทยมาแต่ง จะได้เดินหัวขบวน ตามหลังขบวนนางนพมาศของคณะฯ บ้างก็อยาก
สนุกที่จะทำกระทง ซึ่งพี่ๆ ได้เตรียมอุปกรณ์ไว้ให้อย่างไม่มีตกหล่น ไม่ว่าจะเป็นใบตอง
ดอกไม้ หยวกกล้วย ไม้กลัด ธูปเทียน ยกเว้นเงินเหรียญที่ต้องใส่ไว้ในกระทง ก็ต้องตัวใคร
ตัวมันจัดการกันเอง นส ช่า เลยฉายเดี่ยวเพราะอย่างที่บอกว่าไม่อยากประดิษฐ์กระทง


ครั้นจะเข้าเมืองตอนนั้นมันก็ยังไม่เย็นมากนัก เกรงว่าจะหาเพื่อนไม่เจอ อย่ากระนั้นเลย
ไปที่คณะฯ ก่อนดีกว่า จะได้ไปพร้อมเพื่อน ๆ โดยลืมเรื่องที่ต้องเตรียมซะสนิท


“ยัยช่า มีกระทงหรือยังจ๊ะ”

เสียงรุ่นพี่ทักมาแต่ไกล หวายยย... ตายล่ะหว่า หนีไปตอนนี้ก็คงไม่ทัน โรงอาหารใต้ถุน
คณะด้านติดกับครุอาร์ต ก็เห็นเสลี่ยงนางนพมาศที่ประกอบกันเสร็จแล้วสวยงาม
แต่คงเพิ่งจะทำเสร็จมั้งเพราะยังมีเศษไม้ ค้อนและตะปูที่ยังวางระเกะระกะอยู่


กวาดสายตามาแถวโต๊ะในโรงอาหารที่ใช้กินข้าว เม้าท์เพื่อน ลอกการบ้าน ก็มีเศษ
ใบตอง กลีบดอกไม้เหลือ ๆ กระดาษสีต่าง ๆ วางทิ้งกันเกลื่อน เพื่อน ๆ คงทำเสร็จ
กันหมดแล้วแหละ


“ ไปไหนมาล่ะ เร็วเข้า ๆ เดี๋ยวก็จะตั้งแถวกัน แล้ว”

จะหนีหลบไปตอนนี้ก็คงไม่ทันซะแล้ว เห็นเพื่อน ๆ เริ่มแต่งหน้าทาปาก แต่ละคนมีกระทง
ที่ทำด้วยฝีมือตัวเองวางอยู่ข้าง ๆ เกือบทุกคน เอาล่ะวะ ที่จริงก็ไม่ยากเท่าไรนี่นา
หาหยวกกล้วยทำฐานรองสักอัน !!



โห… เวน กำ ที่มีอยู่ก็ไม่ได้รูปเลย ใหญ่ หนา และหน้าตัดไม่เสมอกัน เอียงลงมาข้าง
หนึ่งเกือบ 2 นิ้ว คัตเตอร์ก็ไม่มี เอาแบบนี้แหละ ก็มีแต่ของเหลือ ๆ เศษ ๆ ทั้งนั้น
เอ้า เอาเศษใบตองจีบเข้าไป เป็นสามเหลี่ยมเหมือนใบไม้ ใบเล็ก บ้างใหญ่บ้างก็ไม่เป็นไร


เอ้าไหน ..ไม้กลัด....ปักให้ติดกับหยวกกล้วยนี่แหละ ทำให้ได้สัก 2 –3 รอบ เศษกลีบ
ไม้ใบโรย ๆ โปะ ๆ ให้ดูเต็ม ๆ ธูปและเทียนปักเข้าไป ฉึก !! ก็เสร็จ เอ.. แต่ไม้กลัด
มีไม่พอกับกลีบใบตอง แล้วจะทำอย่างไรให้ติดกับหยวกกล้วยได้


นั่น … นั่น ข้างเสลี่ยงนางนพมาศยังมีตะปูตัวเล็ก ๆ พอใช้แทนกันได้ ใส่เข้าไปตะปู
ประมาณ 25-30ตัว ..... รอดอีกแล้วเราคราวนี้


“ไม่ต้องมายิ้มทะเล้นนะคนเนี้ยะ ทำไมเพิ่งมา แล้ว โห ทำไมทำกระทงซะอันยักษ์เป็นเขียงแบบนี้ล่ะ ”


กระทงที่ทำเสร็จนาทีสุดท้าย มาจากผลงานของเศษวัสดุของเหลือที่อยู่ตามโต๊ะในโรงอาหาร
ก็ประมาณเส้นผ่าศูนย์กลาง ฟุตกว่า ๆ ในขณะที่เพื่อน ๆ ถืออันเล็ก ๆ เหมาะกับตัว
น่าเอ็นดู


“ จะได้บุญเยอะ ๆ งัย พี่ ขอโทษเจ้าแม่คงคาแบบจริงใจหน่อย อันโต ๆ แหละดี ”
พูดเสร็จก็รู้สึก เจ็บสีข้าง เล็ก ๆ …..


ตอนเดินแถวเข้าไปในเมือง ก็มีเพื่อนผู้ชายปีหนึ่งด้วยกันเดินมาใกล้ ๆ ชวนคุยตลอด
ได้ยินว่าจริง ๆ แล้วคนนี้เป็นรุ่นพี่ ใช้ความพยายามในการเอ็นทรานซ์ 2 ครั้ง เพิ่งมาสอบ
ติดปีนี้ ขณะที่เพื่อนมัธยมปลายของเขาอยู่ปี 3 แล้ว เพื่อน ๆ ใน
ก๊วนบอกว่าเขามาจีบ แต่ นส ช่าไม่ค่อยได้สังเกต เพิ่งรู้สึกชัด ๆ เอาวันนี้แหละ


เอ้า... ดูซิ เดินไม่ห่างเราจริง ๆ จนเพื่อน ๆ เริ่มล้อว่าคู่นี้เป็นแฟนกัน แซวตลอดว่าให้
ลอยกระทงด้วยกัน จะได้เป็นเนื้อคู่


หลังจากส่งนางนพมาศกันแล้ว พวกเราก็จะไปลอยกระทงที่สระน้ำหน้าจุฬา ขณะที่ยืนเก้ ๆ
กัง ๆ ไม่รู้จะลงไปลอยกระทงอย่างไร เพราะคนเยอะ มาก และน้ำก็ไม่เต็มสระเท่าไร
ลึกห่างจากขอบค่อนข้างมาก


“อธิษฐาน ซิครับ เดี๋ยวผมเอาลงไปลอยให้ “ ก็คนที่เพื่อนยกให้เป็นแฟนบอก


“เอ้า อายหน้าแดงก็เป็นด้วยเหรอ เห็นเฮี้ยว ๆ แบบนี้ “ เพื่อนเริ่มแซว


ใครว่าล่ะ อายฝีมือกระทงตัวเองนะซิ ใหญ่เท่ากล่องกะลามังใบย่อม โห.. จะเอาหน้า
ไปซุกไว้ไหนล่ะทีนี้ จำไม่ได้หรอกว่าปากที่ขมุบขมิบนั้น อธิษฐานอะไร แต่หลังจาก
ที่มอบกระทงยักษ์ให้ชายหนุ่ม ซึ่งชายหนุ่มก็ได้เอาขึ้นมาอธิษฐาน หันมายิ้มให้ แล้วก็
บรรจงวางกระทงไว้ขอบสระน้ำเพื่อให้ลอยออกไปนั้น ระหว่างนี้มีเสียงเพื่อนผิวปาก
ปรบมือบ้าง ร้องโห่ บ้าง เป็นแบคกราวน์ ปรากฏว่า....


กระทงใหญ่ยักษ์รูปลักษณ์ออกเบี้ยว ๆ และมีตะปูอัดไว้เต็มกว่า 30 อันที่ใช้ตรึง
ใบกล้วยแทนไม้กลัด เริ่มจมลง ..จมลง.. เพราะน้ำหนักที่ไม่ได้ส่วน แม้กระทั่งเด็กๆ
ที่ลอยคออยู่ในสระ คอยเก็บเศษเหรียญที่มีอยู่ในกระทงต่าง ๆ ยังเก็บไม่ทันเลย
คือมันจมลงไป ต่อหน้าต่อตา

บุ๋ง ๆ ๆ …..

แล้วเทียนที่จุดไว้ก็ดับก่อนที่ตัวกระทงจะดิ่งลงไปที่ก้นสระ




 

Create Date : 28 มกราคม 2550    
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:01:27 น.
Counter : 466 Pageviews.  

2>การสืบสันดาน 2

ตอนนี้ก็จะพูดถึงส่วนการเรียนและชีวิตวัยรุ่น เรื่องเรียนก็อย่างที่บอกไป
เป็นคนไม่ชอบเรียนแต่ชอบนั่งข้างหน้าห้อง เวลาประกาศผลสอบ หากไล่ชื่อจากท้าย
แผ่นประกาศ จะเจอได้เร็วกว่า ไล่จากอันดับแรก ๆ ลงไป ซึ่งก็บอกตรง ๆ ว่า
หลายครั้งก็โกรธตัวเองว่า ทำไมเรียนไม่เก่ง ทำไมดูหนังสือแล้วต้องง่วงนอนทุกครั้ง
ในห้องก็ต้องโดนครูเรียกก่อนเพื่อน ๆทุกครั้งเวลาให้ขึ้นมาทำเลขบนกระดาน หรือท่องศัพท์


ตอนประถมเล็ก ก็เรียนที่ รร เผยอิง ซึ่งแต่ก่อนนับว่าเป็น รร เกรด ต้น ๆ เรียนภาษาจีนจนถึง
ป. 4 (จนเด๋วนี้ก็ยังพูดได้อยู่ หลักก็คือ แต้จิ๋ว ส่วนแมนดาริน กับกวางตุ้งก็ได้บ้าง นิดโหน้ยยย
ส่วนเรื่องเขียน ก็ได้บ้าง ชื่อและแซ่ตัวเองได้อยู่แล้ว )

ตอนประถมปลาย ก็เรียนได้ดีขึ้นบ้าง จำได้ว่า ป. 7
( หลายคนคงไม่ทันรุ่น ป 7 )
สอบได้ที่ 2 ได้รางวัลเป็นสมุดโรงเรียน 1 โหล ดีใจมาก เพราะบนหน้าปกสมุดจะมีตราประทับ
ไว้เลยเป็นเลขไทยว่า อันดับ ๒ เวลาใช้แล้วปลื้มสุด ๆ

ส่วนมัธยมต้นก็เป็นเด็กชอบทำกิจกรรม โรงเรียนมีกีฬาสี หรือ ทำหนังสือรุ่น ดญ ช่า
ต้องมีส่วนร่วมทุกครั้ง ทำให้การเรียนตกลงไปมาก แล้วโรงเรียนเป็นสตรีล้วน
ก็เลยทำตัวเป็นทอม นั่งจีบน้องผู้หญิง ทำตัวเป็นผู้คุ้มครอง บุหรี่ เหล้า กัญชา
ได้หมด ไม่สนใจเรียนเลยจนขึ้นมัธยมปลาย เพื่อน ๆ สอบได้ที่โรงเรียนเตรียมอุดม
เป็นแถว ๆ ส่วนตัวเองได้ไปอยู่โรงเรียนรัฐบาลแถวเทเวศร์

อายเพื่อน ๆ มาก !!!

เริ่มคิดได้ว่าทำไมไม่เรียนให้ดี อาปา กับอามา ไม่ค่อยมายุ่งเรื่องเรียนเพราะสมัยนั้น
ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะรู้ว่าลูกต้องเรียนอย่างไร เรียนไหนดี ดังนั้นการตัดสินใจเรียนต่อ
ก็จะตามเพื่อน ๆ ไป ไม่เหมือนสมัยนี้ ผู้ปกครองกัโรงเรียนมีการติดต่อ และ ดูแลเรื่อง
การเรียนลูกดีขึ้นมาก มีสมาคมผู้ปกครอง มีกิจกรรมร่วมกัน แต่ก่อนนี้ เรื่องเหล่านี้มีน้อย

เริ่มฮึดสู้ และ ตั้งใจเรียนมาก ๆ ตอนมัธยมปลาย วางแผนว่าจะเรียนมหาวิทยาลัยให้ได้
ตอนนั้นตัดขาดเพื่อนฝูง เขียนตารางดูหนังสือเอง ซื้อข้อสอบเก่าแถว ๆสนามหลวง
มาทุกวิชา วางไว้ว่าแต่ละอาทิตย์นี้อ่านวิชาอะไร อาทิตย์ถัดไปก็ลองสอบจากข้อสอบเก่า
หากทำข้อสอบได้ไม่เต็มต้องกลับไปอ่านใหม่ แล้วย้อนมาสอบเองอีกที ทำแบบนี้
แต่ละวิชาๆ ปิดห้องขังตัวเอง บอกอาปา กับอามาว่าต่อไปนี้คงไม่ได้ช่วยงานบ้านนะ
แล้วไม่ต้องห่วงว่าจะไปมีเรื่องกับใครอีก อยากเรียนหนังสือ ! ! !

ตกตะลึงกันหมดบ้าน

ลื้อกินอารายเข้าไปหรือปล่าวว วา ... มีอารายสิง หรืองายย


ทุกวันตีสี่ ไฟที่โต๊ะ จะเปิด ดูหนังสือตามตารางที่วางไว้ถึงหกโมงเช้าเริ่มเตรียมตัวไป
โรงเรียน เสร็จกลับมาตอนเย็น ทำธุระส่วนตัวเสร็จ เก็บตัวอยู่ในห้องกระทั่งห้าทุ่ม
ทำแบบนี้ทุกวัน ถ้าเป็นวันหยุดก็ขังตัวเองยาวเลย จะออกมาก็ตอนที่บ้านเรียกกินข้าวเท่านั้น
ตัวขาวซีด ยังกับจิ้งจกแน่ะ ตอนนั้น

นส ช่า เรียนมัธยมปลายเพียงสองปี แล้วสอบเทียบผู้ใหญ่ เอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย
ก่อนเพื่อน ๆ สารภาพว่า จำชื่อเพื่อนในช่วงนี้ไม่ได้สักคน เพราะไม่ได้คบใครเลย
ผิดกับเพื่อน ๆ ช่วงประถมและมัธยมต้น เพราะซ่าส์ส์ส์ มากเพื่อนเยอะ มีวีรกรรมด้วย
กันจำได้ไม่หมด ที่สำคัญก็ยังได้นัดเจอกันอยู่บ่อย ๆ ครั้งหลังสุดก็เมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมานี้เอง
มีเกือบ 30 คนแน่ะ


เรื่องเรียนตอนนั้น แน่นมาก ขอคุยว่า ข้อสอบเอนทรานส์ทุกปีทำทุกข้อ ทำไม่ได้ข้อไหน
ก็จะไม่ผ่าน ต้องทำความเข้าใจ หรือถามครูให้รู้เรื่อง ตอนทำข้อสอบจริงเสร็จสามารถนับ
ได้เลยว่าตัวเองได้คะแนนเท่าไร เมื่อรวมคะแนนทุกวิชาแล้ว เทียบกับคะแนนสอบเข้า
ได้ในปีที่ผ่าน ๆ มา แทบจะบอกตัวเองได้ว่า สอบเอนทรานส์ได้คณะไหนด้วยซ้ำ


แล้วก็ได้ตามนั้นจริง ๆ !!!


นึกย้อนหลังไปก็อยากจะบอกว่า จากจุดนี้ก็ทำให้รู้ว่า คนเราหากจะรักดี ต้องคิดได้เอง
ด้วยสถานการณ์บังคับหรือสร้างขึ้นเองก็แล้วแต่ อีกอย่างก็คือรู้จัการให้โอกาสกับตัวเอง
และคนอื่นทุกอย่างพัฒนาได้หากตั้งใจ ท้ายสุดคือความมีระเบียบและอดทน
ซึ่งสำคัญมาก ( อันนี้ย้ำเสมอ )


ที่ต้องปูพื้นกันก่อนเข้าเรื่องจริง ๆ ก็เป็นแบบนี้ เวลาเลี้ยงลูกมักนำสิ่งที่เป็นแนวคิดที่เป็น
เหตุและผลเราประสบกับตัวเอง ตัวเราเองต้องเป็นแบบอย่างที่ดีก่อน อย่าหวังพึ่งคนอื่น
พึ่งครู หรือญาติพี่น้องหลักต้องอยู่ที่เรา คำว่า เลี้ยงลูก มันลึกซึ้งกว่าที่จะ แค่เลี้ยงให้เขา
อิ่มท้อง จริง ๆ เรากำลังสร้างคน คนที่เป็นเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้ เพราะทุก ๆ คน
มีหน่วยเดียวเท่านั้น ไม่มีใครซ้ำได้ และในเมื่อเรามีหน้าที่ในการที่จะ “สร้างคน” ทำไมแค่จะ
“ปั่มปั้ม”เขาขึ้นมาได้เกิดล่ะ แต่ต้องทำให้เขา “อยู่ได้บนโลกนี้อย่างมีเกราะคุ้มกันจิตใจที่ดี”


เคยได้ยินหลายคนพูดว่า “เลี้ยงลูกเอาไว้คุย ( โอ้อวด )” แรก ๆ ฟังก็รู้สึก หมั่นไส้ คนพูดนะ
แต่คิด ๆ ไปก็ออกจะเห็นด้วย เพราะลูกดี มีคนชื่นชม เราก็ปลื้มใจ ดังนั้นคุณเป็นคนเลือก
เองตั้งแต่ต้นว่า


“เลี้ยงลูกไว้อวด” หรือจะ “เลี้ยงลูกแล้วไว้ได้อาย” ก็ลองคิดดู

เคยเขียนไว้ว่า การเลี้ยงคนๆ หนึ่งขึ้นมา เหมือนมีดินก้อนหนึ่งในมือเรา ซึ่งดินก้อนนี้อยู่ใน
สภาวะแวดล้อมปกติ คือเมื่อเวลาผ่านไป มันพร้อมจะแห้งและฟอร์มตัวเองตามมือที่เราปั้น
แต่งไปอยู่ตลอดเวลา การตั้งใจที่จะปั้นควรจะเริ่มแต่ต้นเลยก่อนก้อนดินจะแห้งและหมด
โอกาสได้รูปร่างอย่างที่เราต้องการ เนื่องจากเราละเลยแต่แรก เนื่องจากเราคิดว่า

“ลูกยังเล็กเกินไปมั่ง ไว้ให้โต และพูดรู้เรื่องกว่านี้ก่อน ค่อยมาว่ากันใหม่ ”

ซึ่งมันอาจไม่ทันการเสียแล้วก็ได้

หรือบางคนเปรียบว่า ลูกแรกเกิดเหมือนผ้าขาว ก็ใช่อีก ถ้าเราต้องการภาพวาดที่สวยงาม
มีการวางน้ำหนักภาพที่สมดุล การวางส่วนประกอบภาพตั้งแต่ต้น ก่อนจะจุ่มสี และวาด
สะบัด ด้วยปลายพู่กันครั้งแรกนั้น สำคัญที่สุด เราคงอยากได้ภาพที่งดงามนั้นไว้ติดฝาบ้าน
ที่ห้องรับแขก มากกว่าจะที่ซ่อนภาพในไว้ห้องเก็บของ หรือไม่อยากให้ใคร ๆ เขากล่าว
หรือถามถึงภาพวาดโดยมือเราว่า

“อย่าไปพูดถึงมันเลย ”

แต่บังเอิญ.... บังเอิญว่า มันไม่ได้ง่ายแบบนั้นเลย ลูกเรามีชีวิต มีความรู้สึก ไม่ใช่แค่ก้อนดิน
หรือ ผ้าขาวที่เขาเปรียบ ระหว่างที่เราปั้น ระหว่างที่เราวางวาดพู่กันลงไป ต้องดูเนื้อดินให้ดี
ดินนี้ต้องการน้ำมากหรือน้อย ต้องเผาด้วยความร้อนเท่าไร ต้องเคลือบด้วยน้ำยาอะไร
เพื่อให้เงางาม ถึงจะสวยผ้าใบ ผืนใหญ่นี้ล่ะ บาง หนา รับสีได้มากหรือน้อย สีที่ผสมเราเอง
ก็ต้องรู้ทฤษฎีอยู่บ้างว่า ใช้อะไรบนผืนผ้าขาวนี้ สีน้ำ สีน้ำมัน หรือว่า....


ลึกซึ้งกว่านั้นและสิ่งที่ต้องทำก็คือ ทำอย่างไรให้เขาคิดเองได้ แก้ปัญหาเองได้ และอยู่
ได้ด้วยตัวตนของเขาเอง เผื่อไว้เลยว่า ถ้าพรุ่งนี้ เขาไม่มีใครเรา ลูกจะอยู่รอดได้อย่างไร
สร้างและฝึกฝนให้เขารู้สึกดิ้นรนเองบ้าง ทุกข์ และลำบากระดับหนึ่ง การพัฒนาเพื่อให้มี
ชีวิตรอด ไม่เพียงแต่ให้เขาอ่านออก เขียนได้ กินข้าว ใส่เสื้อผ้าเองเท่านั้น การแก้ปัญหา
เฉพาะหน้า การตัดสินใจ และพร้อมที่จะแก้ไขตัวเอง เป็นสิ่งที่ละเลย หรือ รอเวลาไม่ได้เด็ดขาด

การมีทีมเวอร์ค ก็ต้องพูดไว้ในที่นี้ก่อน ครอบครัวแบบไทย ๆ จีน ๆ เราอยู่รวมกันเป็น
กลุ่มใหญ่ จึงมันจะต้องมีญาติผู้ใหญ่เข้ามามีส่วนร่วมช่วยเลี้ยงด้วยเสมอ ดังนั้นต้องขาย
แนวคิดการเลี้ยงลูกให้อยู่ได้อย่างยั่งยืนให้ได้ รู้ค่ะ ว่าลำบาก แต่ต้องพยายามผ่าน
ด่านนี้ให้ได้ค่ะ เอาใจช่วยนะคะ




 

Create Date : 26 มกราคม 2550    
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:00:17 น.
Counter : 447 Pageviews.  

1>การสืบสันดาน 1

ก่อนอื่นต้องออกตัว หรือทำความเข้าใจกับสิ่งที่กำลังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ว่า นำไปใช้ได้เพียงแนวคิด ( เอ๊ะ คุ้น ๆ ไหมน่ะคำนี้ อิอิ ) เพราะการบ่มเพาะมนุษย์นี้ ต้องเกี่ยวข้องกับการสืบสันดานเดิม ( ไม่หยาบนะ ไม่หยาบ ) สิ่งแวดล้อม ทั้งผู้คน จังหวะโอกาส สิ่งสุดท้ายคือ กรรมเดิม ที่มีติดตัวกันมา


พื้นฐานเดิมนั้น เป็นครอบครัวคนจีน พ่อแม่เป็นครู ฐานปานกลาง อยู่โรงงิ้วและโรงหนัง ( คือฉายหนังสลับกับเล่นงิ้ว ) ปลายถนนเยาวราช แถววังบูรพา ใกล้โรงหนังคิงส์ โรงหนังควีนส์ และโรงหนังแกรนด์ มีพี่น้อง 7 คนเป็นคนกลาง ( wednesday child นะคะ เห็นไหมเป็นเด็กมีปัญหาแต่เกิดเลย ) คือคนที่ 4 ซึ่งก็เป็นคนผิดแปลก พี่ ๆ น้อง ๆ คือแฮ้วว แต่เล็ก แม่กับพ่อ ก็เอือมระอามาก บ่นอยู่เรื่อย ๆ ว่าไม่รู้เอานิสัยนี้มาจากไหน ญาติพี่น้องก็พูดเข้าหูบ่อย ๆ ว่า สงสัยเก็บมาจากถังขยะ ( สมัยก่อนใช้คำนี้กันมากกับเด็ก ๆ ที่ชอบถามว่า เขาเกิดมาได้อย่างงัย แต่กรณีนี้ ก็ประมาณว่า เขาไม่เลี้ยง ก็เลยมาทิ้งไว้ที่กองขยะ )


เคยถามอาปา (พ่อ) ว่า แล้วจะเอาไปคืนที่กองขยะอย่างเก่าไหม อาปาบอกว่า

“เราตัวใหญ่เกินถังแล้วนี่เรา แต่อย่าซนอีกนะ อาปา จะหาถังขยะใบใหญ่พอใส่ตัวหนูได้ ก็จะเอาไปทิ้งจริง ๆ คราวนี้ ทิ้งไกล ๆ เลย ไม่เอาแล้ว ซนนักเราน่ะ”

วันหนึ่ง รถขยะมาจอดหน้าบ้าน ดญ ช่า หันไปมองอาปา พลางคิดว่า อันนี้ถือว่าเป็นถังขยะอันใหญ่ได้หรือเปล่าหนอ อาปาก็สบตาด้วยทันที แต่ไม่ทันจะพูดอะไร ดญ ก็วิ่งหนีสุดชีวิต จนพ้นสายตาคนเป็นพ่อ ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะตามหลังมา..


ได้บทนี้ ดญ ช่า ก็เลิกซนไปพักใหญ่ แต่ด้วยความที่เป็นคนอยู่นิ่งได้ไม่เกิน 2 นาที เห็นเด็กแจกใบปลิวหน้าโรงหนัง ( อย่างที่กล่าวข้างต้น แถวบ้านโรงหนัง โรงงิ้ว เยอะ ) ซึ่งสมัยนั้น เวลาโฆษณา
หนังเรื่องใหม่ ก็จะแจกใบปลิว ซึ่งจะพิมพ์ใส่กระดาษสีหลากหลายประมาณใหญ่กว่า A4 นิดนึง แล้วเดินเร็ว ๆ แจกคนเดินผ่าน หรือไม่ก็โยนเข้าร้านค้า ที่อยู่ริมถนนทั่ว ๆ ไป


ดูแล้วน่าสนุกแฮ่ะ แต่ทำไมคนที่วิ่งแจกใบปลิว ไม่ใส่รองเท้าล่ะ ง่ามนิ้วเท้าดำเพราะเยียบน้ำท่อ และ เล็บยาว สกปรก น่าสงสาร ทันใดนั้น เท้าก็ก้าวยาวไปหา พูดไปโดยลืมว่าแม่ไม่ให้พูดกับคนแปลกหน้าโดยเฉพาะกับคน...

“ เราช่วยแจกด้วยนะ ขอเยอะ ๆ แล้วต้องเดินไปตรงไหนบ้าง”
“ ก็วิ่งและโยนไปเรื่อย ๆ แหละ จะได้หมดเร็ว ๆ”

พูดสะบัด ๆ ไม่มองหน้า โยนใส่มือให้ปึกนึง แล้วก็วิ่งแจกต่อไป...


ดญ ช่า ไม่ประสบความสำเร็จในคราวแรก เพราะหน้าตาอาจจะจิ้มลิ้มเกิน ผู้แกะสองข้าง ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย เวลาแจกก็ยิ้มไปเรื่อย ๆ ( เหมือนนางงาม จริง ๆ แล้วประมาณว่ากลัวชาวบ้านว่าเอา ) คนเขาไม่รับใบปลิวเราเลย เวลาเข้าตามร้านค้า ก็เอาไปวางไว้บนโต๊ะอย่างดี แต่เขาก็ไล่

“ไป ๆ ไอ้หนู ไม่เอา ไม่เอา อย่าเอากระดาษมาทิ้งแถวนี้ เลอะเทอะ”


อืมมม.. เกิดความคิดปิ๊ง และแล้วก็หันหลังกลับเข้าบ้านไปแปลงร่าง เปลี่ยนเสื้อตัวโทรมที่สุดที่มีอยู่ รองเท้าถอดสะบัดทิ้ง เดินไปย่ำท่อน้ำ เหม็น ๆ หลังบ้าน พอให้ง่ามนิ้วมีรอยขี้ท่อสกปรก ฉวยปึกใบปลิว วิ่งออกหน้าบ้านไป ได้ยินเสียงอามาเรียกจากไกลๆ


“ จะไปไหนอีกแล้ว ทำไมไม่ใส่รองเท้า กลับมานี่ ... ดูซิ เฮอออ”


ไปแล้ว ดญ ช่า ไปโน้นแล้ว วิ่ง ไปเอาใบปลิวยัดใส่มือ คนเดินผ่าน โยนใส่ร้านค้า ไม่ต้องสนว่า จะหล่นอยู่แถวไหน ไม่ต้องเก็บให้เขา วิ่งไป....โยนไป อุ้ย สนุก


และแล้วก็เดินไปชน ผู้หญิงคนหนึ่งเข้า

“ อ้าว ช่านี่ ทำไรเนี่ยะแถวนี้ โอ้ยย มานี่ มานี่ แล้ว วิ่งออกนอกถนน แบบนี้เด๋วก็รถชนตาย ha’ หรอก ”


อาอี๊ ที่อยู่ข้างบ้านนั่นเอง ดญ ช่า ตัวบาง โดนหิ้วแขนลอย ย ย ย ..ไปถึงบ้าน อาอี๊เล่าให้อามาฟัง ผลลัพธ์ก็คือ หลังจากโดนไม้ขัดหม้อ เหวี่ยงไปที่น่องเล็ก ๆ 3 ที ทำให้เกิดแนวรับ เอ๊ยย ไม่ใช่ แนวรอยไม้แดง ๆ 3 รอยแล้ว อามายังเอาหินก้อนเล็ก ๆ ขีดใส่พื้นซีเมนต์หน้าบ้านเป็นเส้นวงกลม


“ ยืนคาบไม้บรรทัด ตรงนี้นะ ไม่ให้ไปไหนเกินวงนี้ ถ้าออกไปอีก ที่นี้จะฟ้องให้อาปาตีเอง”
ทุกคนที่บ้านรู้ว่า ถ้าอาปาได้ลงมือตีเองละก้อ โหยย...ขนลุก


แต่ตอนนี้ความเจ็บที่น่อง ไม่เท่าความอายที่เพื่อนบ้านเด็ก ๆ มาล้อ แย้วว ๆ แลบลิ้น ปลิ้นตาใส่ ประมาณว่าสมน้ำหน้า ๆ โดนแม่ตี โถ อามานะ อามา เข้าใจลงโทษให้ได้อายจริง ๆ ให้ยืนหน้าบ้าน นอกจากตากแดดแล้วยังโดนไอ้เพื่อนตัวเล็กข้างบ้านมาเย้ยย ถากถางซะอีก เจ็บใจจริง ๆ


รู้สึกพาเข้ารกเข้าพง งัยไม่รู้จากตอนแรก บังเอิญว่าอยากเล่าอ่ะ
แล้วก็ทำให้คิดว่า ด้วยความเป็นเด็กเว่อร์ ๆ กระมัง ก็เลยทำให้
เป็นแม่คนเว่อร์ ๆ ในเวลาต่อมา

หัวข้อสืบสันดาน คงมีอีก ตอนหนึ่ง แล้วก็ขึ้นหัวใหม่แล้ว
เพราะขืนเอาชีวิตวัยเยาว์มาเล่าจริง ๆ ก็เกรงว่าจะทำให้หัวข้อใหญ่
บิดเบี้ยวไป ตอนนี้ เป็นอะไรที่ไม่เคยลืมเลย อยู่ช่วงเด็กเหมือนกัน
นึกขึ้นมาทีไร ก็อดขำตัวเองไม่ได้เวลาถูกลูกทำอะไรที่คล้าย ๆ กัน
จะคิดในใจว่า ไม่ต้องไปว่าใครเร้ยยย ลูกแม่ นิสัยนี้เป็นของแม่แท้ ๆ
ก็ไม่น่าเชื่อว่า บางสิ่งบางอย่างสามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
น่าอัศจรรย์จริง ๆ มีเรื่องประมาณนี้เยอะมากค่ะ แล้วจะค่อย ๆ เล่านะคะ...

ด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้โรงหนังเยอะ แล้วภาพยนตร์ในตอนนั้นก็จะฮิตหนังฝรั่ง
เวลาจะดูหนัง ก็ขอคนตรวจตั๋วเข้าไป ก็ราคาตั๋วมันตั้ง 3, 7, บาท
ส่วนถ้าเป็นชั้นบนที่มียื่น ๆ ออกมา ( เขาเรียกบันบ๊อก มาจากคำเดิมว่ารัยก็ไม่รู้นะ อย่าถามแล้วกัน )
ก็จะราคา 9 บาท ไปโรงเรียนทีนึง
อาปาให้มา 3 สลึง แล้วจะมีปัญญาที่ไหนมาดูหนัง
วิธีตีซี้กับคนเดินตั๋ว จึง
เป็นกลยุทธที่ ดญ ช่า เอามาใช้บ่อย ๆ

ชื่อหนังจำไม่ได้ แต่มีฉากหนึ่งของหนังที่นางเอกคือ คุณมาราลีน มอนโร ซึ่งมีภาพที่เห็นเจนตา
ก็คือ ผู้หญิงฝรั่ง ผมขาวหยิกเป็นลอนสวย มีไฝที่ริมฝึปากบนซ้าย มือสองข้างปิดด้านหน้าของกระโปรงขาว
ขณะที่กระโปรงด้านหลังถูกลมทะลึ่งพัดเปิดให้คนลุ้นระทึก นึกภาพไปถึงไหนต่อไหน

แต่คราวนี้ฉากที่เล่นคือคุณเธอแช่ตัวในอ่างอาบน้ำสีขาว แล้วมีฟองสบู่เต็มอ่างเลย นึกออกไหม
คือไอ้ฟอง ๆ มันปิด ส่วนโป๊ ๆ เอาไว้ เวลาอาบเธอ ก็ยื่นขาข้างหนึ่งออกมาจากฟองในอ่างน้ำ
แล้วค่อย ๆ ยื่นมืออันเรียวสวย ลูบไล้ ๆ ขายาว ๆ ไปมา เสร็จจากขา ก็เป็นแขน
ช้อนฟองสบู่ขึ้นมาเป่า เห็นลูกโป่งเล็ก ๆ ลอยฟู่ออกไป แล้วก็ลูบไปตามขาและแขนทั้งสองข้าง
สลับกันไปช้า ๆ แล้วก็ร้องเพลงไปเบา ๆ สักพักพระเอก ก็เข้ามาเจอ
( ทำไมไม่ปิดประตูก็ไม่รู้เนอะ เอะ หรือว่าตั้งใจ ) นางเอกตกใจ ฉากต่อไปจำไม่ได้ล่ะ

ที่ชอบมากเลย ก็คือ อ่างอาบน้ำ ดญ ช่า ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย จำได้ตั้งแต่เกิด ก็มีแค่ขัน
กับโอ่ง ตักราด ตักราด ซู่ ๆ เอาสบู่มากลิ้ง ๆ ในมือ แล้วก็ถู ๆ ให้ลื่น ๆ ทั้งตัว
ตักน้ำจากโอ่งราดใส่ตัว หรือไม่ก็ใช้ สายยาง แขวน กับตะปูขอเกียวไว้สูง ๆ
ให้น้ำเป็นสายลงใส่หัว แค่นี้ ก็หนุกหนานมากแล้ว


อยากทำแบบนางเอกในหนังบ้างจังเลยยย ... เอางัยดี

ที่บ้านจะมีโอ่งหลายใบ แต่ละใบ ก็จะมีหน้าที่ต่างกันไป โอ่งดินอยู่ในห้องน้ำ
โอ่งกระเบื้องน้ำไว้กิน และโอ่งมังกรใบโตก็เก็บน้ำไว้ใช้ ( ซักผ้า ถูบ้าน ) ก็ว่ากันไป
ทีนี้ไอ้ใบสวยสุด ก็คือ โอ่งที่เป็นกระเบื้องสีนวล มีลายเล็ก ๆ จำไม่ได้แน่ว่า ลายอะไร
แต่อาปาเคยบอกว่า เอามาจากเมืองจีน ใบนี้เก็บน้ำสำหรับกิน เพราะเคยเห็นอามารองน้ำ
แล้วเอาสารส้มแกว่ง มีฝาไม้ปิด

ฮั่นแน่ ใบนี้แหละ ท่าจะเหมาะ ดูเหมือนอ่างน้ำในหนังมากที่สุด
เพียงแต่เป็นแนวตั้งเหมือนโอ่งทั่ว ๆ ไป ไม่ได้เป็นแนวนอน ไม่เป็นไร ๆ แล้วก็หยิบสบู่สีเขียวก้อนโต
ก็เอามาแกว่ง ๆ ๆ พักใหญ่ ก็เอ๊ะ ..ไม่เห็นเป็นฟองเลย ซ้ำน้ำในอ่าง ก็ไม่ใสแล้ว
เป็นฝ้า ๆ ขาว ๆ เหลือบไปเห็น กล่องแฟ๊บสีฟ้า ตรายี่ห้อสีแดง ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงสะสมชิ้นส่วนด้วย
หนึ่งกล่องมีหนึ่งใบ ใครมีทั้งหมดครบ 4ใบ4 สี ขาว เหลือง ฟ้า และ เขียว จะมีรางวัลเป็น
รถกะบะ หรือยังงัยนี่แหละ ที่บ้านซื้อมาเยอะ เอามาเทใส่กล่องใบใหญ่ เพื่อลุ้นดูว่า
แต่ละกล่องที่ได้มา มีสีที่ขาดไปไหม ฮือฮามาก ช่วงนั้น


ถึงไหนแล้ว มัวแต่แวะเล่าเรื่องอื่น .... อ้อ ถึงตอนว่าทำไม น้ำในโอ่งสวยไม่มีฟอง
ที่นี่พอเห็นผงซักฟอกแฟ๊บ นี่แหละ คือคำตอบสุดท้ายเลย เอามาเลย โฆษณาว่า
ฟองมาก ขาวสะอาด ดี ดีเอามาโรยใส่โอ่งกระเบื้อง โรย แล้วก็เอามือ ตี ๆ สุดแรงมือ
โห ฟองเยอะ เลย เหมือนกันแล้วคราวนี้เหมือนในหนังแล้ว ฮ่า ฮา ดีใจ ๆ ฟองขาว เป่าฟู่ ๆ ได้อีก

เอาฟองมาวางบนมือ บนแขน ลูบไล้ไปมา ๆ
เออ ขาดอะไรหว่า ...
ใช่ ๆ ต้องร้องเพลง ไปด้วย เอ้า ร้องเพลง ร้อง ๆ จำไม่ได้ว่าร้องอะไรไป แต่ต้องช้า ๆ
แต่ แหม มันไม่สะใจเลย แล้วไม่ได้ลูบขา ที่ต้องยื่น ๆ ออกมาจากอ่างน้ำเหมือนในหนัง

มองซ้าย มองขวา แล้ว ก็ขวับมามองซ้ายอีกที....
เอาเก้าอี้ไม้สี่เหลี่ยม มาเทียบข้างโอ่ง ก้าวเท้าเยียบบนเก้าอี้
ส่งตัวเอง เข้าไปในโอ่งกระเบื้องใบสวยนั้น
ขาขวาก้าวลง ปลายเท้าสัมผัสพื้นโอ่งได้นิดหน่อย เพราะยังตัวเล็ก
แต่ก็เก็บขาอีกข้างเข้ามาในโอ่งสวยได้สำเร็จ

ตอนได้สัมผัสฟองแฟ๊บ โอ้ยยย สนุกจริง ๆ
เอาล่ะ น้องช่า ก็ได้เป็น มารารีน สมใจอยาก

เล่นได้สักพัก ก็รู้สึกหนาวและเนื้อหนังเริ่มเหี่ยว เท่านั้นไม่พอ มันรู้สึกคัน ๆ
ทั้งนอกร่มผ้า และในร่มผ้า มันไม่สนุกแล้ว คันยิบ ๆ เลย

โอ้ยย.... คัน ๆ ๆ ๆ เกา ๆ ๆ
“อามา อามา ฮื่อออ แง แง ” ตะโกนลั่น สุดเสียง
จะออกมาจากโอ่ง ก็ทำไม่เป็น เพราะขอบโอ่งสูงประมาณ
หน้าอก พอดี ตอนลง ทำได้ ตอนขึ้นไม่มีแรง แถม ลื่น มาก ๆ
ด้วย ( ก็แหม ใส่ประเคนแฟ๊บลงไป ขนาดนั้น ) ตัดสินใจ
แหกปากร้องไห้ ร้องให้ช่วย พร้อมน้ำตาเต็มหน้า มือไปขยี้ตาเข้า

เอ้า !!!! แสบตา โอ้ยยย อามา มา มา นี่เร็ว แฟ๊บเข้าตาอีก

“ ลื้อเข้าไปทำอะไรในน้านนนน หา !!!! ”

อามาวิ่งมาอย่างเร็ว หลังจากเห็นภาพที่เกิดขึ้น พอถึงโอ่ง ก็ตกใจพลางดึงตัว ดญ ออกมาจากโอ่ง
แล้ว ดญ ก็โดนมืออามาฟาดตามตัวซึ่งเปียก เจ็บก็เจ็บ คันก็คันมาก
ร้องไห้ มือขยี้ตา ก็แสบมาก ก ก ก ถึงมากที่สุด

ที่บ้านต้องเปลี่ยนโอ่งน้ำกินใบใหม่ มันไม่สวยเท่าใบเก่าซึ่งใช้ไม่ได้แล้ว เพราะมีแฟ๊บที่ล้างเท่าไร
ก็ไม่ออก จะใส่น้ำกิน อามาคิดว่าคงอันตราย ก็เลยย้ายไปเป็นโอ่งน้ำใช้

งานนี้ ดญ ต้องไปหาหมอ เพราะว่า ถูกแฟ๊บกัด ทั้งตัว ซ้ำเข้าตา ขยี้จนตาแดง
มีทั้งยากิน ยาทาป่วยไม่ได้ไปโรงเรียนหลายวัน หลังจากเรื่องนี้ พอได้เห็นมาลารีน
ไม่ว่าหนังหรือ โปสเตอร์ ก็จะนึกถึงวีรกรรมของตัวเองทุกครั้งไม่น่าเลย ตรู


เรื่องประมาณนี้มีเยอะ จำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง รู้แต่ คนที่บ้านเอือมระอา กับอิฉันมากเลย
พี่น้องคนอื่น ๆ จะเรียบร้อย พูดน้อย เรียนเก่ง ส่วนตัวอิฉันนี่ ตรงข้ามกับเขาทุกอย่าง
พูดได้ทั้งวัน ไม่ยอมเรียนหนังสือ ทำอะไรก็แผลง ๆ จนเดือดร้อนกันบ่อย ๆ

ส่วนสามี ก็สมมติว่า ชื่อ พี่ช้าง แล้วกันนะคะ ( ช่า กับ ช้าง อิอิ )
คุณช้าง เป็นคนผู้ชายที่เรียบร้อยที่บ้านทำธุรกิจครอบครัวประเภทขนส่ง ( พวกที่ต้องรอ 10 โมงอ่ะนะ )
เป็นพี่ชายคนโตของน้อง ๆ รับผิดชอบสูง และมัธยัสถ์ มาก ถึงมากที่สุด อาจเป็นเพราะ
การอบรมจากพ่อแม่ ซึ่ง แต่ลำบากมาก่อนจากเมืองจีน ส่วนเจอกันกับพี่ช้างอย่างไร
เมื่อไร ก็ไว้ค่อย ๆ เล่าไปล่ะกันนะคะ




 

Create Date : 26 มกราคม 2550    
Last Update : 28 มกราคม 2550 19:59:11 น.
Counter : 568 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

ชราร่า
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




");}
Friends' blogs
[Add ชราร่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.