|
4>คู่แล้ว คู่เลย.... ภาคคุณ ๆ ขอร้อง
ก็จัดให้ตามเสียงเรียกร้องทั้งหน้าไมค์และหลังไมค์
อยากฝากไว้อย่างนึงก็คือ เพื่อนบ้างคนบอกว่า
ทำไมดื้อจัง ทำไมไม่กลัวเหรอ หากว่าดวงไม่ไป
ด้วยกัน แล้วเกิดไปกันไม่รอด จริง ๆ จะทำงัยล่ะ
ส่วนตัวก็คิดว่า คบกันมานาน พบเห็นอะไรกันมาก็
พอควร ทำไมกับสิ่งที่เขาทักทายประโยคเดียว ทำ
ให้เราต้องแยกกัน อย่างนั้นหรือ ก็ไม่ได้ลบหลู่นะ
เพียงขอให้พิสูจน์กันหน่อย หากในที่สุดไปกันไม่ได้
ต้องแยกกัน ก็ถือว่าเราทั้งสองได้พยายามแล้ว จะไม่
ดีกว่าเหรอ ที่จะให้โอกาสกับทั้งสอง แทนที่จะยอมให้คำ
นายนั้นแม่นยำ(ทันที) โดยที่เราไม่ทำอะไรเลย
ต่อเลยดีกว่าค่ะ ------------------------ คราวที่แล้ว ก็จบเรื่องลอยกระทงที่หน้าสระจุฬา ทีนี้ คนที่หมายปองคุณช่าคนนี้ก็ปรากฏว่า มักจะขาดเรียนบ่อยมาก เพราะต้องทำงานเลี้ยงตัวเองไปด้วยเรียนไปด้วย ถึงแม้จะเข้าเรียน ก็มักจะเข้าห้องสาย จนเป็นที่เขม่นของอาจารย์ประจำวิชามาก เวลาเข้ามาในห้องแล้วก็มักจะ มานั่งใกล้ ๆ เพราะขอยืมสมุด lecture ต่อ บ่อย ๆ เข้าด้วยความที่กลัวว่าสมุดของเราจะหาย ก็เลยอาสาทำ copy ให้อีกหนึ่งชุด คำว่า copy มิได้หมายความว่าจะไปถ่ายเอกสารให้นะ ( สมัยนั้นแผ่นละ 3-5 บาท แพงมากเมื่อเทียบกับตอนนี้ )
แต่จะเอา กระดาษคาร์บอนสีน้ำเงิน ( รู้จักกันไหมเนี่ยะ ) รองกับกระดาษเวลา lecture ก็จะได้ 2 หน้าทันทีงัย เพราะเขาบอกว่าไม่มีเงินจ่ายค่า xerox เราก็เลยต้องเปลี่ยน สมุดธรรมดามาเป็นแบบ Note Pad คือแบบอัดกาวที่สันด้านบนแทน เพื่อว่าตอนจด lecture เวลาเปลี่ยนหน้าใหม่ เอากระดาษคาร์บอนรองจะสะดวกและเร็วกว่า คล้ายเวลา เขียนบิลใบเสร็จอ่ะนะ
เสร็จวิชาหนึ่ง ๆ แล้วก็แยกเป็นสองชุด เราหนึ่งชุด เขาหนึ่งชุด แยก file ไว้ที่ Locker ถึงเวลาเขาก็มาหยิบไปสะดวกดี อาจมีคนถามว่าลำบากแบบนี้แล้วทำไปทำไม ก็
. มีใจให้อยู่บ้างแล้วนะซิ ถึงได้ยอมให้ขนาดนี้ อิอิ
แค่ lecture ไม่พอ ยังต้องเป็นตัวแทนทำรายงานอีก ประมาณว่า two in one เวลาอาจารย์ให้จับกลุ่มก็จำต้องให้เขามาเข้าชื่ออยู่ด้วย เราก็ต้องทำงานหนักเป็น 2 เท่า เพื่อน ๆ รู้ว่าเขาไม่ได้มีส่วนร่วมด้วยเท่าไร แต่ก็หลับตาข้างหนึ่งซะ เราก็รับไปเต็ม ๆ อย่างที่บอก เหนื่อยค่ะ แต่ก็เพื่อ จุด จุด จุด เอาล่ะ ยอมอีก แต่เนื่องจากว่าเขาต้อง ทำงานไปด้วย เรียนไปด้วยก็ต้องเป็นกำลังใจให้กันหน่อย
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาคิดอยากจะตอบแทนสิ่งที่เราพยายามช่วยเขาเรียน ก็ออกปากว่าจะพา ไปกินข้าว ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ชวนตั้งแต่คบกันมา เพราะปกติแล้ว เขาออกจะเป็นคน มัธยัสถ์ ไม่เคยเลี้ยงข้าวใครแม้แต่คนเดียว เป็นที่เลื่องลือในหมู่เพื่อน ๆ เราเองก็อด แปลกใจไม่ได้ แต่ก็ไปค่ะ ก็เขาบอกว่าเลี้ยงขอบคุณนี่นา พอถึงเที่ยง ก็ชวนไป คณะบัญชี ระหว่างทางเดินไป เขาก็อวดว่า
ผมว่า ที่จะไปกินน่ะ คุณคงไม่เคยไปแน่ ๆ เพราะผมไม่ค่อยเห็นใครขายได้แบบนี้
เราก็ออกปลื้มเล็ก ๆ ว่าแหม ก็คงเป็นที่พิเศษมาก ๆ ประมาณว่า
เชลล์ชวนชิม เหรอ ไม่บอก เดี๋ยวก็รู้เอง
ก็ปรากฎว่าสิ่งที่ได้พาเราไปก็คือที่โรงอาหารคณะบัญชี และอาหารมื้อนั้นก็คือ
ข้าวพะโล้ จานละหนึ่งบาท
( ราคาข้าวแกงเมื่อประมาณ 26 ปีที่แล้วตกอยู่ที่ 7-10 บาท ) และสิ่งที่ปรากฏบนจาน เคลือบขาวขอบน้ำเงิน ช้อนเคลือบสีเขียว นั้นก็คือ ข้าว 1 ทัพพี ราดโชกด้วยน้ำพะโล้สี น้ำตาลอ่อน พร้อมเต้าหู้พวงหั่นครี่ง 1 ชิ้น !!!
คุณไม่เคยเห็นใช่ไหมแบบนี้ ผมวันก่อนมา ว่าแปลกดี ก็เลยชวนมา ถือโอกาสขอบคุณด้วยครับ
เป็นการเลี้ยงข้าวมื้อแรกจากเขาที่น่าประทับใจมาก และจดจำมาได้จนบัดนี้ เป็นมื้อที่ถูก ที่สุดในชีวิต ทำให้รู้จักเขามากขึ้น และขอบอกว่าชีวิตคู่ทุกวันนี้ก็ไม่รู้สึกอึดอัดกับความ เป็นเขาในด้านนี้ ทั้งที่ตัวเราเองออกจะทำตัวในสิ่งที่ตรงข้ามเลยทีเดียว อยากกินของดี แพงสักหน่อยก็ยอม ค่อนข้างเลือกมาก นอกจากนี้เราสองคนก็มีเรื่องที่ไม่เหมือนกันอีกมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการฟังเพลง คุณช่าประเภทนิยมเพลงสากล สมัย 60, 70 แต่พ่อคุณจะชอบเพลงคุณสุเทพ คุณผ่องศรี และเพลงลูกทุ่งต่าง ๆ เราคลั่งไคล้หนังฝรั่ง ขณะที่เขาไม่ชอบดูหนัง แต่จะนั่งหลับแทนเพียงเพราะต้องการเป็นเพื่อนดูหนังด้วย เราชอบแต่งตัวที่ค่อนข้างตามสมัยบ้าง แต่เขามักชอบเสื้อผ้าตัวเดิม ๆ เก่า ๆ โดยอ้างว่า ใส่สบายกว่าเนื้อผ้านิ่มกว่ากันเยอะ ด้านการเมืองเราจะชอบพรรคการเมืองต่างพรรคกัน เลือกตั้งเสร็จไม่ยอมบอกด้วยว่าเลือกใคร ด้านการทำงานความคิดเห็นก็ไม่ค่อยตรงกันเท่าไร รวมทั้งอื่นๆ และที่ต่างอีกอย่างคือ...
เรารักเขา แต่เขากลับรักเราแทน
อันนี้ชอบ ชอบ !!
เราเริ่มตั้งงบประมาณการเที่ยวหลังจากที่ได้ตกลงกันว่ามันเป็นการไม่สมควรที่จะต้องให้ ฝ่ายชายเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายแต่ฝ่ายเดียวในการเที่ยว กินข้าว ดูหนัง แต่เหตุผลลึก ๆ ก็คือ หากให้เขารับผิดชอบคนเดียว เราคงต้องกินข้าวพะโล้จานละบาท ก๋วยเตี๋ยวเรือ ชามละ 2 บาท โรงหนังชั้นสองที่ฉาย 2 เรื่องควบ เป็นแน่แท้
โดยมีกติกาก็คือ ทุกเดือนต่างคนต้องใส่เงินลงในกองกลางคนละ 250 บาท ในเงิน 500 บาทนี้ก็ใช้เหมือนมีกิจกรรมร่วมกันทั้งหมด หากเดือนไหนใช้หมดก่อน สิ้นเดือน หมายความว่าหลังจากวันที่เงินหมดก็ไม่ต้องเที่ยวไปไหนทั้งสิ้น เรียน เสร็จก็กลับบ้าน แต่ในทางกลับกันหากเดือนไหนสิ้นเดือนแล้วยังมีเงินเหลือ เช่นช่วง ใกล้สอบ ไม่ค่อยไปซ่าส์ที่ไหนเท่าไรก็เก็บเงินนั้นไว้ที่ธนาคารเป็นกองกลางอีก ซึ่งตอนนั้นไม่ได้ตั้งใจว่าจะใช้ทำอะไร แต่ตอนหลังเงินที่เก็บนี้ก็มาเป็นส่วนหนึ่งของ แหวนแต่งงานเราสองคน จริง ๆ แล้วไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ก็เป็นอะไรที่น่จดจำอีกเรื่องหนึ่ง มันคือสัญญลักษณ์ ของความรู้สึกที่ช่วยกันสร้างสมมาต่างหาก
ตอนหน้าจะพูดถึงเรื่องแต่งงานแล้วนะ อย่าพลาด สุข เศร้า เคล้าน้ำตามาก ขอบอก ..
Create Date : 28 มกราคม 2550 |
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:02:05 น. |
|
0 comments
|
Counter : 486 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|