Tough Time Never Last ...But Tough People Do
Group Blog
 
All Blogs
 
17>คนข้างตัวลูก ใช่คุณหรือเปล่า

วิกฤต สร้างวีรบุรุษเสมอ ฉะนั้น อย่าสลดหดหู่

กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับแหล่งทำมาค้าขายเพื่อความอิสรภาพ

ทางการเงินของพวกเราเมื่อวานนี้ ตกมาด้ายย 108.xx จุด

ต้องดีใจว่า เออ เนอะ เราก็เป็นผู้อยู่ร่วมเหตุการณ์ด้วย

เหมือนกัน ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตคล้าย ๆ กับ

รุ่นสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือ 14 ตุลา หรือ 9/11

อะไรประมาณนี้ แต่โชคดีตรงที่พวกเราคง

เสียหายน้อยกว่าคนอื่น ๆ เขา ด้วยกลยุทธ DSM

( lead เข้าเรื่องเก่งม่ะ อิ อิ )


วันนี้เอาบทใหม่มาลง ก็ไม่รู้มีกะจิดกะใจอ่านกันหรือ

เปล่านะคะ ไม่เป็นไร เอาไว้อ่านตอนสบายใจแล้ว หรือ

คิดว่าอ่านอะไรเล่น ๆ ขำ ๆ แล้วกัน

ก็ have a nice day ชีวิตมีขึ้น แล้วก็มีลง ระหว่างทาง

เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไว้ให้ดีแล้ว โชคดีทุกคนค่ะ



จากคุณ : ชราร่า - [ 20 ธ.ค. 49 09:25:13 ]




--------------------------------------------------------------------------------

หน้าหลัก แจ้งลบ bookmark ส่งต่อกระทู้ พิมพ์ โหวตกระทู้ เก็บเข้าคลังกระทู้ กระทู้ก่อนหน้า กระทู้ถัดไป








--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 1

ต่อจากคราวที่แล้ว จบตรงที่ว่าลูก ๆ ล้วนแต่ดูเหมือนเด็กมีปัญหา.. ไม่เรียน ไม่มีระเบียบ
ไม่สนใจ ไม่อะไรทั้งสิ้น ทั้ง ๆ ที่ได้อยู่โรงเรียนมัธยมดังแถวลาดพร้าว ซึ่งนอกจาก
ใกล้บ้านแล้ว ตัวแม่ช่าก็พูดคุยกับอาจารย์ที่โรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งเมื่อมีจดหมาย
เรียกประชุมผู้ปกครองก็ไม่เคยขาดการประชุม เวลาไปก็ไปกับพ่อช้าง เพราะต้องแยก
ไปคนละชั้นเรียน ของปันห้องหนึ่ง ของปูนไปป์ ก็อีกห้องแยกออกไป


ตอนประชุม ก็อยู่ในห้องเรียนของลูกนั่นแหละ โดยคุณครูให้นั่งโต๊ะของลูกใครลูกเขา
ซึ่งผู้ปกครองทุกคนก็ถือโอกาสสำรวจความเรียบร้อยของโต๊ะและลิ้นชักลูกทิ้งหนังสือไว้
ที่โรงเรียนไหม ในลิ้นชักมีขนม หรือขยะเยอะหรือเปล่า ซึ่งระหว่างนั้น คุณครูประจำชั้น
ก็จะพูดถึงผลการเรียนในแต่ละวิชาของห้องที่ลูกเรียนอยู่ พร้อมกับประมาณว่า “ฟ้อง”
ถึงพฤติกรรมของนักเรียนที่เริ่มมีปัญหาในการเรียน ปัญหาในการอยู่ร่วมกับเพื่อนฝูง
(ผู้ปกครองกลุ่มนี้ก็จะหน้าหุบ )


อีกส่วนหนึ่งก็จะ”ชื่นชม”นักเรียนที่เรียนดี ความประพฤติเรียบร้อย การให้ความ
ร่วมมือในการทำกิจกรรม( ผู้ปกครองหน้าบาน ) ซึ่ระหว่างที่ประชุม ก็มีผู้ปกครองถามถึง
ลูกของตน ที่คุณครูอาจจะไม่ได้กล่าวถึง เพราะจำนวนเด็กมีอยู่มาก ท้ายสุดคุณครูประจำชั้น
ก็จะแจ้งให้ทราบถึงตารางการเรียน การสอบ และกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียนในครั้งต่อ ๆ
ไปพร้อมตอบคำถามจากผู้ปกครอง หากมี


แม่ช่าชอบวิธีการนี้มากค่ะ เหมือนกับได้ร่วมกันรับรู้ความเป็นไปของโรงเรียน รับรู้การเรียน
การสอนในแต่ละห้องเรียน และการอยู่ร่วมพร้อมผลการเรียนของลูก ๆ ซึ่งปรากฏว่าการ
ประชุมแต่ละครั้ง คุณครูประจำชั้น จะไม่เคย ฟ้อง หรือชื่นชมลูกเรา ออกไมค์เลย จนแม่ช่า
ต้องตั้งคำถาม


“ไปป์ อยู่ในห้องเป็นงัยบ้างคะครู”

“แฝดทั้งสองคน ก็เป็นเด็กเรียบร้อยค่ะ มีน้ำใจ และที่สำคัญชอบช่วยงานครู ชอบทำ
กิจกรรม ไม่มีปัญหาค่ะ คุณแม่ไม่ต้องห่วง”

“และผลการเรียนล่ะคะ รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร สอบได้ที่ต่ำกว่า 30 ทั้งสองคนทุกครั้งเลย”
ฉันบ่นเล็กน้อย “จากนักเรียนห้องนี้ 55 คนทั้งหมด ครูก็ถือว่าอยู่ระดับปานกลางนะคะ
คุณแม่ คงต้องใช้เวลาบ้าง ....”


ฉันเดินออกจากห้องแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่.... สงสัยต้องให้เรียนเป็นสายอาชีพหาก
ลูกไม่ถนัดด้านวิชาการ หรือเป็นนักกีฬาให้เก่งไปเลย จะได้โค้วต้า เข้าเรียนระดับอุดมศึกษาได้


มานึกย้อนหลังดูว่าฉันพลาดอะไร หรือฉันไม่ได้ใส่ใจลูกตรงไหน จึงทำให้เป็นเด็ก ๆ
ที่จะเก่งก็ไม่ จะเกเร ก็ไม่ เฉย ๆ กลาง ๆ อารมณ์ก็ดี สดชื่น แต่ไม่กระตือรือร้น เหมือน
คนอื่น ๆ เขา รู้ค่ะ ว่าการไปเปรียบเทียบมันไม่ดี แต่ก็ไม่เคยพูดให้ลูกฟัง คุณครูบอกว่า
ต้องใช้เวลาสักหน่อย ก็สงสัยว่า ใช้เวลาทำอะไรเหรอ ขณะที่หลาน ๆ หรือลูกพี่ลูกน้อง
เรียนเก่งกันทุกคน เวลาพูดถึงการเรียนของลูก ๆ ในวันพบญาติ ฉันต้องภาวนาอย่าให้
ใครมาถามเรื่องเรียนของลูกเลย ไม่ใช่ว่าอายจนไม่อยากพูดถึง หากแต่ไม่อยากตอกย้ำลูก ๆ อีก


“หมิง หมิง เทอมนี้ได้เกรด 4 ทุกตัว แล้ว ปันละคราวนี้ได้ 4 กี่ตัว”
“ได้ 3 ตัวหนึ่ง นอกนั้น 2 หมด” ลูกรักก้มหน้าตอบเสียงเบา และเนิบ


ยิ่งเรียนไม่ดี ลูก ๆ ยิ่งไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีความภูมิใจที่จะพูด และไม่มีเรื่อง
อื่น ๆ ที่จะอวด หรือเป็นประเด็นที่จะสร้างจุดเด่นในตัวเองขึ้นมา ซึ่งฉันก็มานั่งคิดว่า แล้ว
ทำไมเราไม่สร้างขึ้นเองล่ะ ทำไมให้คนอื่นมาสรุป หรือมามองในมุมว่าลูกเป็นอย่างที่เขาคิด


ต้องรีบทำก่อนที่ลูกจะสร้างความเป็นตัวตนของเขาออกมาเองในทางที่ผิด !!

จากคุณ : ชราร่า - [ 20 ธ.ค. 49 09:33:11 ]






ความคิดเห็นที่ 2

ฉันมั่นใจ ที่จะเป็นคนดึงศักยภาพของลูก ๆออกมาให้ปรากฎเอง ไม่ว่าจะใช้เวลา
จะใช้เงินตรา หรือจะใช้พลังมากมายแค่ไหน เพื่อให้ลูกได้ภูมิใจในศักยภาพของตัวเขา
โดยฉันต้องเริ่มก่อน เริ่มสร้างความรู้สึกที่ดีๆ กับตัวลูก โดยการให้ความใกล้ชิดและ
ชื่นชมทุกครั้งที่ลูกทำการบ้าน หรือมีกิจกรรมทั้งของที่บ้าน และ ที่โรงเรียน


“โห ทำเสร็จแล้ว เก่งจังเลย นี่ตอนแม่อายุเท่าลูกยังทำไม่ได้ขนาดนี้เลย..” อะไรก็ไม่รู้นะ
แต่ ยอ ๆ ไปก่อน

“แม่ภูมิใจตัวลูกมากเลยนะ ปัน สอบได้แค่นี้ก็เก่งขึ้นมาเยอะแล้ว มันยากนี่นาวิชานี้”
เมื่อลูกทำเกรดดีขึ้นมาติ๊ดนึงแค่ .025เท่านั้น


เราเริ่มมีงานเลี้ยงฉลองเป็นการภายในบ้านกันเองอยู่บ่อย ๆ เช่นวันนี้มีกับข้าวพิเศษเช่นกุ้งเผา
ซึ่งเป็นของโปรดปูน ก็จะมีการกล่าวชื่นชมเล็กน้อยว่างานนี้เป็นโอกาสที่ปูนทำการบ้าน
ถูกหมดทุกข้อ เย้... พูดเสร็จปรบมือ กัน ( ก็ 4-5 คนนี้แหละ )


เห็นไหม เรื่องปะติ๋ว มาก แต่ทำให้เป็นเรื่องสำคัญซะ ลูกยิ้มแก้มปริ

“ลูกแม่คนนี้ สุดยอดดดด....”

“เก่งจริง ๆ ลูกใครเนี่ยะ...”

“โห อยากร้องไห้ ปลื้มมากเลย ลูกทำได้งัยค่ะ”

“อุ้ย ตกใจ ตกใจ นี่พูดเล่นป่าว วิ่งแข่งได้ที่ห้า จริงเหรอ ๆ เยี่ยม !!”


สารพัด สารพัน จะสรรหามาพูด มาเยินยอ มาสร้างแรงใจให้ได้ภูมิใจ ในวาระและโอกาสที่
แตกต่างกันไป เพื่อให้ลูกได้ปลื้ม แล้วผลก็คือ ลูกเริ่มรู้สึกเป็นคนที่มีความสำคัญ เป็นคน
ที่มีแป้นให้ยืน สามารถยืนอก ท่ามกลางคนอื่น ๆ มากมายได้อย่างสง่า ลูกเริ่มมีเสียงที่ดัง
ดังแบบมั่นใจ และมั่นคงในความคิดของเขาเอง


จริง ๆ สิ่งเหล่านี้ ฉันได้เรียนรู้จากลูก ๆ เองว่า หากเราหยิบยื่นความมั่นใจให้กับเขา
เขาจะไว้ใจเรา ขณะที่หากเราสร้างเสริมความมั่นใจให้กับเขา ก็เช่นกันค่ะ เขาจะมีความ
ไว้ใจในตัวเอง เมื่อได้พิสูจน์ว่ามันใช่ มันถูกต้อง เขาจะกระทำซ้ำอีกครั้ง ด้วยความมุมานะ
และพยายามมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป ที่สำคัญหากเขาเริ่มเองไม่ได้ด้วยสาเหตุใด ๆ ก็แล้วแต่
ขอให้เริ่มที่เราก่อน อย่าให้เขาเริ่มเอง เพราะฉันเกรงว่า สังคมรอบข้าง สื่อต่าง ๆ ที่ขาด
การควบคุมอย่างรุนแรง จะเป็นตัวผลักดันให้ลูกสร้างความมั่นใจหรือหาตัวตนในทางที่
ไม่ถูกไม่ควร เช่น การเล่นเกมส์ แล้วเอาชนะเกมส์ได้ การติดเพื่อน ๆ ที่ชื่นชมในสิ่งที่
อาจจะไม่ถูกต้อง การติดยาเสพติด ติดการพนัน ต่าง ๆ เหล่านี้


ช่วงเวลาก็เป็นสิ่งสำคัญ ระหว่างก่อนวัยรุ่นนี้แหละ ลูกกำลังงง ๆ อยู่ว่าตัวเองยังเด็ก
หรือว่าโตแล้ว บางทีก็ว่า “โตจนป่านนี้ ยัง...” บ้างก็ว่า “ไม่ใช่เรื่องของเด็กนะ
อย่าเพิ่ง...บรา บรา”

งูสองตัวเดินมาชนกันจังโครม !!! แต่ไก่ตามันแตกเป็นชิ้น ๆ


ดังนั้น ความใกล้ชิด จึงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมาก ๆ ใกล้ชิดกับลูกให้มาก ก่อนที่
คนอื่น ๆ เขาจะมาแย่งตำแหน่งที่ควรจะเป็นของเราในจุดนี้ไป ซ้ำมาพูดเรื่องไม่ถูกต้องและ
เลวร้ายกรอกใส่หูลูกก่อนที่เราจะเป็นคนทำ คราวนี้ไม่ใช่ลุกเสียม้า แต่ลุกแล้วลูกจะเสียคน

จากคุณ : ชราร่า - [ 20 ธ.ค. 49 09:40:01 ]






ความคิดเห็นที่ 3

มีเรื่องขำจะเล่าให้ฟัง….

เย็นวันหนึ่ง ลูก ๆ ถามว่า ทำไมผู้ใหญ่ชอบสูบบุหรี่ และ กินเหล้า คุณครูบอกว่าเป็น
เรื่องไม่ดี คนที่สูบหรือกินเหล้า มักจะไม่มีสติ แล้วผู้ใหญ่ก็ยังกินกันอยู่ขณะที่กำลังคิด
ว่าจะตอบอย่างงัยดี


“แม่กับพ่อเคยกินเหล้าไหมครับ..”เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา

“ก็เคยนะลูก มีบ้างเวลาไปที่งานเลี้ยง...”

“แล้วงานเลี้ยงทำไมต้องกินเหล้า..” ว่าแล้วเชียว ซื้อหวยให้ถูกอย่างนี้ซิน่า

“เอางี้นะลูก กินบ้างนิดหน่อย ก็ไม่เป็นไร แต่ส่วนใหญ่กินเยอะ ๆ ก็เมา คุมสติไม่อยู่
เลยเกิดเรื่องไม่ดี…” เป็นงัย คำตอบแม่ช่า ...ไม่เลวเลย พอได้ .. พอได้

“แล้วที่แม่กิน มันอร่อยไหมล่ะ..” “แม่เคยสูบบุหรี่ไหม ทำไมมีควันออกมาด้วย...
มันมีได้อย่างงัยแม่ ไอ้ควัน น่ะ ” เริ่มแย่งกันถาม ไม่รู้ตอบใครก่อน

“แม่ก็พูดไม่ถูกนะ จะว่าอร่อยก็ไม่เชิง เอางี้ ไหน.. ใครอยากลองบ้าง...”

ยกพรึบ ทั้งสามคน เออ นะ DNA ฉันท่าจะแรง ประเภทอยากรู้อยากเห็น ฮ่า ฮา ฮา


ว่าแล้ววันรุ่งขึ้น ฉันก็ไปขอบุหรี่ เพื่อนที่ทำงานมาสองตัว ระหว่างทางกลับบ้านก็ซื้อเบียร์
มาหนึ่งขวดเล็ก ใส่ถุงสีน้ำตาล ซ่อนแอบไว้ในกระเป๋าหนังที่ถือไปทำงานทุกวัน หลังกิน
ข้าวเสร็จ ก็นัดลูกไปที่ห้องทำการบ้าน ต้องแอบเล็กน้อย เดี๋ยวแตกตื่นกันหมดบ้าน
แม่สอนลูกสูบบุหรี่เหรอะ โดยเฉพาะพ่อช้าง รับการกระทำนี้ไม่ได้เด็ดขาด....


แม่และลูกนั่งวงล้อมกัน เด็ก ๆ ตื่นเต้นกันมาก โดยเฉพาะตอนฉันจุดบุหรี่ ให้ปลายม้วน
มีไฟแดงวาบ แกล้งปล่อยควันออกมาเป็นสาย ทุกคนตาโต


“จะลองสูบบ้างแม่ แต่มันก็เหม็นเนอะ..” เด็ก ๆ เริ่มกล้า ๆ กลัว ๆ

“เอาลองก็ได้ สูดเข้าไปลึก ๆ นะลองดูทีละคน...” ฉันไม่พูดอะไรมากกว่านี้

คนแรกก็ยัยปัน ฐานะพี่ใหญ่ ขอใช้สิทธิ์ก่อนน้อง ๆ ผลคือตกหลุมแม่ช่าตามที่วางแผนไว้
ปันไอมาก ๆ เพราะสำลักควันเข้าปอด จนน้ำตาไหล ร้องไห้จ้า แล้วก็อาเจียนออกมา
เจ้าแฝดตกใจ เท่านั้นแหละ วงแตก แต่แม่ช่าจับมือทุกคนไว้ก่อน เอานิ้วชี้แตะริมฝีปาก


“เงียบนะลูก เดี๋ยวพ่อได้ยิน แม่แย่เลย...”

“มันเหม็นอ่ะแม่ โอยย มันเหม็นที่คอ โฮ โฮ !! ” ยัยปันร้องไม่หยุด ต้องให้น้องไปหยิบน้ำมาให้

“แล้วเราสองคนเป็นงัย จะลองดูไหมล่ะ...” ทั้งคู่ส่ายหัวดิกเลยคราวนี้

“เนี่ยะ แล้วในกระเป๋าแม่ ก็มีเบียร์มาด้วย จะลองไหม..”

ปันไม่เอา แต่คุณชายสองคนพยักหน้า แม่ช่าก็เปิดให้กินจากขวดทั้งชืด ๆ แบบนั้น หลังจาก
ดมและซดกันคนละอึก หน้าตาลูกก็เหย่เก รสชาติที่ได้มันคงทุเรศในความรู้สึกของเขาทั้งสองมาก


“พอแล้วแม่ ไม่เอาแล้ว...” หลังจากที่แม่ช่า ถามความสมัครใจอีกครั้ง

“นี่งัย แม่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ผู้ใหญ่บางคนถึงได้ชอบและติดใจของพวกนี้ แม่ก็เคยกิน
แต่ก็ไม่เห็นอร่อยก็เลยไม่กินมันแล้ว ที่นี่เป็นงัย คงไม่ต้องถามแล้วนะ ”


ยอมรับว่าพูดไม่จริงบ้าง พูดไม่หมดบ้างสำหรับเรื่องนี้ แต่ฉันก็คงไม่ได้มีวิธีอื่นที่ดีไปกว่า
ให้เขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง และคิดว่าเขาทั้งสามก็คงไม่ลืมประสบการณ์ตรงที่เขาทั้งสาม
ได้รับในครั้งนี้แน่นอน


ที่สำคัญ สองหนุ่ม ไม่ชอบเหล้า ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ ตอนโตเป็นหนุ่มหลัง ๆ นี้ แม่ช่าชวน
ไปฟังเพลงที่โรงเบียร์ด้วยกัน อยู่ได้ไม่เท่าไร ขอกลับบ้านเพราะไม่สนุก


“อะรัยฟ่ะ ไม่ทันรัยเลย” แม่จอมโวย อิอิ

“ไม่เป็นรัย ปันอยู่เป็นเพื่อนแม่เอง เอารัยดีแม่ กามิกาเซม่ะ คนละเหยือกเลย แม่เอาสีรัย
สีฟ้า หรือสีม่วง ...”


สองหนุ่มก็เอากุญแจรถกลับไปรอที่บ้าน จะมารับอีกที เมื่อสาวสองวัย ใจตรงกันสนุกกัน
พอแล้ว ฉันเคยคิดว่า ดีเหมือนกัน หากตอนนั้น ฉันคะยั้นคะยอให้ปันกินเบียร์ชืด ๆ ขวดนั้นด้วย
ป่านี้คงไม่มีใครเป็นเพื่อนฟังเพลงกับฉันที่โรงเบียร์แน่นอน


สรุปว่า เป็นตอนนี้ชื่อตอน แม่เฮงซวยแล้วกัน เอิ๊ก เอิ๊ก ...

จากคุณ : ชราร่า - [ 20 ธ.ค. 49 09:45:02 ]


ความคิดเห็นที่ 5

อีกเรื่องก่อนจบท้ายบทสรุปของการไว้ใจก่อนที่จะเกิดความมั่นใจ และความมั่นใจ
เป็นตัวผลักดันก่อให้เกิดการแสดงออกที่เหมาะสมกับระดับความมั่นใจที่มีอยู่
( งงไหมเนี่ยะ คงน่าจะงงเนอะ ก็ตรูยังงงเร้ยย..)


มั่นใจเพราะไว้ใจ นั่นแหละ สั้น ๆ !!


ตัวอย่างเช่น........

ตรุษจีนปีหนึ่ง ก็มีการนัดกันในหมู่วงศาคณาญาติไปเที่ยวพัทยากันทุกครอบครัว รวม ๆ
กันก็ประมาณเกือบ 30 ชีวิต เวลาเที่ยว ๆ กันก็พี่ ๆ ดูแลน้อง ๆ แบบนั้น แต่เนื่องจาก
จำนวนน้องมีมากกว่าพี่ ก็มีบ้างที่หลุด ๆ ไป


ยัยลูกสาวแม่ช่า ก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องดูแลตัวเอง แต่ด้วยความประสบการณ์น้อย ก็มีพลาด

ยัยปันจมสระน้ำค่ะ !!!

เรื่องของเรื่องก็คือ ณ รีสอร์ทที่ไปพักที่พัทยาคราวนั้น มีสระน้ำกว้างใหญ่ กระเบื้องสีฟ้า
ใสขับให้น้ำในสระดูน่ากระโดดลงไปว่ายมาก ปันก็รบเร้าแต่เช้าจะไปลงสระ ด้วยเธอใส่
ชุดว่ายน้ำไว้ทั้งวันแต่เมื่อวันแรกที่มาแล้ว คือพร้อมเสมอสำหรับกิจกรรมทางน้ำหากมีใครชวน
เช้านั้นยังมีเด็กรุ่น ๆ เดียวกันยังนอนขี้เกียจอยู่บนเตียงโขลงใหญ่


“เฮียฮั่ง ไปว่ายน้ำด้วยกันหน่อย พาน้องปันไปหน่อย...”
“ปันไปก่อน เดี๋ยวเฮียตามไป..”
พี่ที่มีอายุห่างกันเกือบสิบปีบอกขณะที่กินข้าวเช้าอยู่ ครู่ใหญ่ ๆ เสียงแอะอะโวยวายก็เกิดขึ้น


“ปันจมน้ำ ๆ ไปช่วยเร็ว...”


เฮียฮั่งละจาก ชามโจ๊ก วิ่งไปทางสระน้ำ ซึ่งไม่ห่างจากห้องพักมากนัก กระโดดลงสระ
คว้าน้องปันซึ่งจมน้ำขณะที่มีห่วงยางอยู่บนเอว


มันเกิดขึ้นได้อย่างไรเหรอ ฉันได้รับการบอกเล่าว่า ชุดว่ายน้ำของปันจะครบชุดเสมอ
นอกจากหมวกว่ายน้ำและแว่นตากันน้ำแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือห่วงยางสีหวาน ซึ่งเป็นเรื่อง
ที่ฉันย้ำกับลูกมาตลอด เนื่องด้วยว่า ยังว่ายน้ำไม่แข็งพอ แต่วันนั้นปันจมน้ำได้อย่าง
ไรล่ะ เรื่องก็คือ เวลาเรากระโดดลงสระน้ำ ก็เอาขาลง จะลงทีเดียวสองข้าง หรือทีละข้าง
หรือจะค่อย ๆ จุ่มตัวลงน้ำก็ไม่ว่ากัน นั่นคือเมื่อมีห่วงยางประคองอยู่


แต่คราวนี้ ปันไม่ได้กระโดดเอาขาลง แต่เปลี่ยนท่าเป็นการกระโดดหัวโหม่งลงน้ำ
เหมือนคนว่ายน้ำเป็นแล้ว ฉะนั้น พอเอาหัวลง ห่วงยางที่อยู่บนเอว ก็ทำหน้าที่อย่างดี
เฉกเช่นปกติ ก็คือทำให้ตัวลอยไว้ บังเอิญว่า สิ่งที่ลอยเหนือน้ำกลับไม่ได้ส่วนบนของตัว
แต่เป็นขาสองข้างที่ชี้โด่เด่ขึ้นฟ้า แล้วช่วงลำตัวตั้งแต่ เอว อก และหัวกลับจมอยู่ในน้ำแทน !!!


กินน้ำไปเท่าไรไม่รู้ ดีที่เห็นและคว้าขึ้นมาทัน ถ้าไม่มีคนเห็นก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวจริง ๆ


ตั้งแต่นั้นมาอีกเกือบปี ปันไม่กล้าลงน้ำอีกเลย ไม่ว่ามีห่วงอันใหญ่แค่ไหน หนูจะส่าย
หัวพลางถอยหลังอย่างเดียว ทำหน้าอยากร้องไห้และไม่มีความสุข เมื่ออยู่ใกล้สระน้ำ
หรือชายทะเล.....

โธ่ลูกแม่ กลายเป็นโรคกลัวน้ำไปซะแระ

จากคุณ : ชราร่า - [ 20 ธ.ค. 49 09:51:05 ]






ความคิดเห็นที่ 6

เปิดตลาดแล้ว มือจะเป็นระวิงอ่ะซิ คุณวสัน ฯ

เอาใจช่วยแล้วกัน ... เนอะ สู้ สู้!!!



จากคุณ : ชราร่า - [ 20 ธ.ค. 49 09:52:17 ]






ความคิดเห็นที่ 7

เรื่องว่ายน้ำ ฝึกคาราเต้ และ ขับรถได้ เป็นกิจกรรมที่ฉันวางแผนว่าลูกทุก ๆ คนต้องทำได้
เพื่อสามารถมีชีวิตในสังคมที่หลากหลายอารมณ์นี้ได้ รวมทั้งการเที่ยวอย่างมีความสุข
ป้องกันตัวได้ และมีทักษะในการขับขี่ เวลาเกิดเหตุขึ้น ก็สามารถแบ่งเบาความกังวลไปบ้าง


ดังนั้น ฉันคงไม่สามารถปล่อยให้ปันส่ายหัวปฎิเสธการว่ายน้ำได้นานนัก เริ่มเสาะหาครูสอน
ว่ายน้ำสำหรับเด็กที่เคยประสบการณ์จมน้ำมาก่อน และแล้ว เราก็เจอ ครูแม็ก...


ฉันเล่าทุกอย่างให้ครูแม็กฟัง ครูเองรับฟังด้วยความยิ้มแย้มราวกับได้ฟังเรื่องเหล่านี้
มามากเป็นปกติ และ รู้วิธีรับมือเป็นอย่างดี ราคาค่าเหนื่อยสำหรับครูคนนี้ก็คือ 275 บาท
ต่อชั่วโมง ซึ่งนับเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยเมื่อประมาณ14-15 ปีทีแล้ว ครั้งหนึ่ง ๆ ก็ต้อง
สองชั่วโมง ฉันต้องพาแม่หญิงปันไปพบครูที่สระว่ายน้ำแถวพระราม 9 อสมท ทุกอาทิตย์


2 อาทิตย์แรก ชุดว่ายน้ำและอุปกรณ์ทุกอย่างในตัวปัน ไม่เปียกน้ำเลย จากการสังเกต
การณ์ของฉัน ครูแม็กนั่งคุยกับปัน ตลอดเวลาสองชั่วโมง หนุงหนิงกันโดยไม่เคยเห็นท่าที
ชวนลงสระแต่อย่างใด


หมดสองชั่วโมง แม่ช่าควักกระเป๋า จ่ายไป 550 เพื่อให้นั่งคุยกันเฉย ๆ ฮึ่มม ไม่ถูกเลย
แต่ก็ทนใช้เวลาสองอาทิตย์ที่เป็นแบบนี้


กิจกรรมที่ใช้เวลาอีกสองอาทิตย์ ก็คือ ทั้งครูและศิษย์ นั่งคุยที่ขอบสระน้ำ อืมม
คืบหน้าหน่อยนึง แต่ก็รู้สึกแพงอยู่ดี....

ถัดมา นั่งขอบสระสลับกับยืนคุยในสระน้ำต่อมา นั่งตีขาขอบสระ แล้วเริ่มให้หน้าแตะน้ำ
และหัดเป่าลมบนผิวน้ำต่อมาก็ยอมดำน้ำตีขา และพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ โดยว่ายน้ำได้ในท่า
มาตรฐานคือฟรีสไตล์ ก็ใช้เวลาปีกว่า ๆ ฉันเริ่มรู้ว่ามันคุ้มแล้วล่ะ กับความใจเย็นของครูแม็ก


จากที่สังเกต ครูแม็กไม่เคยเดินหนีจากลูก ยืนตรงไหน ก็อยู่ตรงนั้นเมื่อลูกว่ายน้ำโดยการตีขา
ไปหา ไม่เคยเดินถอยหนีเพื่อให้เขาว่ายได้มากขึ้น เหมือนอย่างที่เรา ๆ ชอบทำกัน สัญญาว่า
จะว่ายน้ำกี่รอบ ก็เท่านั้น ไม่เคยจะเพิ่มหรือผิดคำพูดที่ตกลงกันไว้ ช่วงหลัง ๆ ปันว่ายน้ำ
เป็นปลาเลย แถมว่ายได้สวยด้วย โดยลืมแผลในใจลึก ๆ ที่ติดตรึงในใจเขามาในช่วงอดีต
จนหมด เรื่องการสร้างความไว้ใจ และ ความมั่นใจจากครูแม็กคนนี้แหละที่เป็นอาวุธ
ตกลงได้สอนลูกว่ายน้ำ และ แม่ช่าก็ได้ trick จากการดูแลลูก ก็งานนี้


เริ่มจากการแสดงความปลื้มใจในตัวลูกแบบดัง ๆ ให้ใคร ๆ ได้ยิน ตามด้วยการแสดงความภูมิใจ
อย่างจริงใจและสม่ำเสมอ ให้เชื่อมั่นว่าเขาจะมีเรายืนอยู่ข้างหลังและตรงนั้นทุกครั้งที่เขาหันมา
เพื่อต้องการความช่วยเหลือและคอยปลอบใจเมื่อเขารู้สึกแย่และท้อถอย


นี่แหละความมั่นใจเกิดจากความเชื่อใจ ดังนั้น เมื่อไรที่ท้อใจกับลูกไม่ว่าเรื่องใด ๆ ให้ถาม
ตัวเองว่า ใช่คุณที่ยืนอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า หรือคนแปลกหน้าที่ลูกรู้จักดี !!!!!







Create Date : 28 มกราคม 2550
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:13:45 น. 0 comments
Counter : 381 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ชราร่า
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




");}
Friends' blogs
[Add ชราร่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.