Tough Time Never Last ...But Tough People Do
Group Blog
 
All Blogs
 
22>ผู้ดลใจ ตอนที่ 1

ตอนนี้นอกจากเพื่อนหลายคน ยุให้พิมพ์หนังสือแล้ว

ยังยุ ให้ทำ blog อีก เพราะคนมาทีหลังก็ไม่ทันได้ดู

กระทู้มันตกไปซะก่อน

แม่ช่าขอเวลาอีกนิดนะ เคยทำทิ้ง ๆ ไว้ก็จำไม่ได้แล้ว

อาจจะต้องไปรื้อความจำเสียใหม่ คนแก่ ram น้อยก็

อย่างงี้แหละ

ตอนนี้ก็ยาวสักนิดก็เลยตัดเป็นสองตอนนะคะ

จากคุณ : ชราร่า - [ 26 ม.ค. 50 21:51:07 ]













ความคิดเห็นที่ 1

ไม่ค่อยได้พูดถึงลูกสาวคนนี้เท่าไรนัก ทั้ง ๆ ที่มีเรื่องราวที่

น่าสนใจมากมาย


แต่เนื่องด้วยวัยที่ห่างกันกับน้องแฝดเพียง 18 เดือน

ประกอบกับเป็นเด็กพูดน้อย ในขณะที่แฝดมีเรื่องราวให้

ตื่นเต้นได้ตลอดเวลา น้องปันซึ่งมีฉายาวัยเด็กว่า ปูนิ่ม จึง

เป็นพี่สาวที่มีบทบาทที่ให้ได้กล่าวถึงไม่มากนัก


วัยเยาว์ ปันเป็นเด็กเรียบร้อยอย่างที่บอก พี่ญัติ ซึ่งเป็นพี่

เลี้ยงแสนสะอาด ก็จะแต่งตัวให้น้องปันได้เรี่ยมเร้ เร ไร

ปะแป้งหน้าขาว หวีผมแสกเรียบกริบ เวลาไปโรงเรียน

กระโปรง รองเท้า ถุงเท้าสะอาดเรียบร้อย ที่ประทับใจทุก

คนในบ้านก็คือ ตอนออกจากบ้านไป เนี๊ยบเป็นอย่างไร

กลับมาถึงบ้านก็เนี๊ยบอย่างนั้น ไม่ได้ซกมกแบบเจ้าแฝด

เลย


ช่วงที่ฉันทำงานหนัก ๆ กลับบ้านดึก บ่อย ๆ ก็เป็นช่วงที่

น้องปันน่าสงสารที่สุด เพราะน้องแฝดก็มีกิจกรรมเยอะ พี่

เลี้ยงต้องประกบตลอดเวลา ดังนั้นหากเมื่อไรที่สถานที่ที่

ต้องไปสามารถอำนวยความสะดวกได้บ้าง ฉันก็ไม่เคย

รีรอที่จะมารับลูกจากที่บ้านไปทีทำงานด้วย เช่น ไป

production house เพื่อดูการตัดต่อหนังโฆษณา หรือ

ห้องอัดเสียง ก็มักมีที่ให้นั่งรอ แม้กระทั่ง ไปดูการถ่ายทำ

หนังโฆษณา เมื่อแน่ใจว่าลูกค้าไม่ได้มาด้วย ก็จะดอดไป

อุ้มลูกมาจากบ้านก่อนไปสถานที่ถ่ายทำ และด้วยความ

เรียบร้อยของน้องปันในช่วงนั้น ให้นั่งรอตรงไหน ก็อยู่นิ่ง

ๆ ตรงนั้น กระทั่งงานเสร็จ ก็กลับบ้านด้วยกัน พร้อมต้อง

ตอบคำถามที่เป็นข้อสงสัยมากมายระหว่างทาง หากเผลอ

หลับไปเพราะกว่าจะเสร็จก็เลยเวลานอนไปหลายชั่วโมง

อยู่ก็แบกปันขึ้นรถกลับบ้าน


“ แม่ ทำไมคนแสดงต้องใส่เสื้อสีเขียวด้วยล่ะ ไม่เห็นสวย

เลย...”

“ก็หนังเรื่องนี้โฆษณา ไมโล นี่ลูก ก็ต้องใส่สีเดียวกับ

กระป๋อง คนจะได้จำได้ ถ้าไปใส่สีส้ม ก็ไม่ใช่ไมโล..”

“อ๋อ ก็จะเป็นโอวัลติน ” น้องปันตอบ อืมม.. ไม่เลว

ลูกคิดได้เร็วทีเดียว
---------

“ ทำไมห้องตัดต่อ ต้องหนาวอย่างงี้ล่ะแม่ หนาวกว่าห้อง

อื่น ๆ เลย”

“เขาต้องรักษาคุณภาพของฟิล์มหนัง ถ้าร้อนไป ฟิล์ม

หนังที่ถ่ายมาหลายวันก็เสียได้ ทำให้ฉายไม่ได้งัย .. ” ฉัน

ตอบให้ลูกเข้าใจได้ง่ายที่สุด
-----------


“เขารออะไรกันอยู่ล่ะแม่ ไม่เห็นถ่ายสักที...” หลังจากนั่ง

รอ จนเริ่มไม่สนุกอย่างที่แม่ช่าคุยไว้ว่า จะได้เห็นนางเอก

ละครยอดนิยมคืนนี้ที่โรงถ่าย


“ คนที่ลูกค้าจ้างมาเป็นตัวเอก เขาเป็นดารา พอไม่มา ก็

ถ่ายไม่ได้ ต้องรอก่อน มาถึงก็ต้องแต่งหน้า แต่งตัว ถึง

จะถ่ายได้....”


“พี่คนถ่ายไม่ได้ไปบอกเหรอ เขาถึงไม่ได้มา”

“ บอกซิ ก็ต้องนัดกันก่อน...”



กับเรื่องแบบนี้ ฉันก็ได้โอกาสสอนลูกเรื่องการตรงต่อ

เวลา และความเดือดร้อนของคนอื่น ๆ กับการไม่รักษา

เวลาการนัดหมาย



จากคุณ : ชราร่า - [ 26 ม.ค. 50 21:53:48 ]






ความคิดเห็นที่ 2

หากวันไหนต้องทำงานอยู่เย็นหรือตรงกับช่วงปิดเทอมก็จะ

ไปรับมาที่ทำงานบ้าง เพราะเกรงว่าลูกสาวเราจะไปรบกวน

เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ แม่ช่าจึงมักจะให้ลูกแอบใต้โต๊ะทำ

งาน พร้อมส่งปากกา ดินสอ หลากสี และกระดาษที่ใช้แล้ว

ด้านหนึ่ง ลูกจะได้ขีดเขียน หรือ จะวาดรูปอะไรก็แล้วแต่

เพียงห้ามไม่ให้วุ่นวายเวลาแม่ทำงานเท่านั้น



“โห เจ้านายของแม่เท้าใหญ่จัง..”

วันหนึ่งที่นายฝรั่งมาหาที่โต๊ะ ฉันไม่ทันส่งสัญณาณให้น้อง

ปันไม่ส่งเสียง แต่ที่สุดก็ความแตก โชคดีที่นายฝรั่งก็

เอ็นดูน้องปัน เพราะตัวเองมีแต่ลูกชาย 2 คน เห็นเด็ก

หญิงหน้าตาจิ้มลิ้ม ก็ไปหยิมขนมมาให้ที่โต๊ะ นับแต่วันนั้น

เรื่องที่ฉันพาลูกมาที่ทำงานก็ไม่ใช่เรื่องที่รู้กัน 3-4 คน

แล้ว รู้กันหมดทั่วบริษัท เพราะนายถามถึงอยู่บ่อย ๆ



ช่วงหลัง ๆ นอกจากเลี้ยงลูกตามห้องอัดเสียง ห้องตัดต่อ

หนัง และ ใต้โต๊ะที่ทำงานแล้ว น้องปันยังได้เข้าใจนั่งใน

ห้องประชุมด้วยหลายครั้ง ด้วยความเป็นเด็กที่ไม่วุ่นวาย

แต่มักจะเก็บข้อมูลรอบตัวอยู่สม่ำเสมอ แม่ช่าจึงพาลูกไป

ไหนต่อไหนด้วย ระหว่างทางก็ตอบคำถามที่ลูกสนใจ

บ้าง สอนในเรื่องบางเรื่องที่พอจะเข้าทางและเหมาะสม



“คนนี้ตอนเขาอยู่ในทีวี น้องปันไม่ชอบเลย เขาร๊ายย

ร้าย แม่ แต่เมื่อกี้ที่เขาพูดกับแม่ เขาก็น่ารักดีเนอะ ”


“ในละคร เขาก็ต้องเล่นตามบทน่ะลูก ถ้าเขาเล่นให้เรา

รู้สึกตามนั้นได้ เราเรียกว่าตีบทแตก แสดงว่าเขาเล่น

เก่ง คนเรามองกันแค่ภายนอกไม่ได้หรอก”
----------------------


“น้องปันขำพี่ผู้ชายคนนี้ เวลาเขาอัดเสียง เขาต้องทำมือ

เหมือนสับหมู แล้วหน้าเขาก็ลอยไปลอยมาด้วย น่ะ แม่

เห็นไหม...”



“พี่เขากำลังอินกับบทที่พูดน่ะลูก แต่เห็นไหม พี่เขาพูดชัด

ทุกคำเลย ทั้ง ร. เรือ และ ควบกล้ำ...”
-----------


“สตอรบอร์รี่ปอด เป็นงัยแม่ น้องปันได้ยินที่ห้องประชุม

เมื่อกี้...”

“มีที่ไหน สตอร์บอร์รี่...”

“ก็ที่พี่เขาพูดงัย จะทำสตอร์บอร์รี่ปอด 3 ชุด”

“อ๋อ... เขาเรียกว่า สตอร์รี่บอร์ด ก็คล้ายกับการ์ตูน 4 ช่อง

ที่ลูกชอบอ่าน คือเล่าเรื่องโฆษณาผ่านการวาดรูป

แล้วนำไปเสนอลูกค้า.....”



ช่วงหลังพอโตสักหน่อย ก็ไม่ยอมตามมาที่ทำงานแล้ว มัก

จะมีกิจกรรมกับเพื่อน ๆ ตามประสาวัยอยากห่างไกลพ่อ

แม่

จากคุณ : ชราร่า - [ 26 ม.ค. 50 21:57:23 ]






ความคิดเห็นที่ 3

เรื่องการเรียนตอนประถมถึงมัธยมต้น น้องปันเอง ก็ไม่ได้

แตกต่างจากน้องแฝดสักเท่าไรหรอก สมุดจดการบ้าน

แดงเถือก คุณครูทวงการบ้านทุ๊กวัน การฝีมือไม่ส่ง สุด

ปัญญาที่แม่ช่าจะจัดการได้ ปันมีเพื่อนเยอะ ด้วยความ

เป็นคนช่างเจรจา และ มีมุมส่วนตัวสูง ชอบคิด และช่าง

สงสัย สนใจถามสิ่งรอบตัวไปหมดทุกอย่าง ยกเว้นเรื่อง

เรียน !!


ทุกวิชาเรียนอย่างกระท่อนกระแท่นมาตลอด บางวิชามี

ปัญหากับครูประจำวิชา ถึงขนาดที่ว่า



“ ถ้าครูยังเห็นเธอ นั่งเหม่อ และมองออกนอกห้องใน

ชั่วโมงของครูอีก ก็ไม่ต้องมาสอบในวิชาครูก็แล้วกัน”



ลูกทั้งสามเป็นแบบนี้หมด เก่งแต่เรื่องนอกห้อง พอเข้า

ห้องเรียนก็กลายเป็นคนละคน ง่วงเหงา เศร้าสร้อย และขี้

เกียจ ช่วงที่ทั้งสามไม่สนใจการเรียนเป็นช่วงที่พ่อและแม่

ทุกข์มาก ตอนที่แฝดทั้งสองสนใจที่จะเรียนโน้นนี่เพื่อมา

ชดเชยคะแนน น้องปันไม่คิดจะเรียนอะไรเพิ่มเติมเลย

ชอบเขียนกลอน เป็นศิลปิน อ่านหนังสือนอกเวลาเรียนที่

ทางโรงเรียนแนะนำ อ่านซ้ำแล้วซ้ำอีก ไม่รู้เบื่อ เช่น

ผีเสื้อ และดอกไม้ อีกเรื่องก็คือ เวลาในขวดแก้ว นอกจาก

นี้เรื่องติดเพื่อน ทุกอย่างเห็นดีเห็นงามตามไปหมด อยู่คุย

กันได้ทีละนาน ๆ เป็นหลาย ๆ ชั่วโมง ตามประสาวัยรุ่น



ตอนมัธยม 3 ข่าวร้ายสำหรับน้องปันก็มาถึง !!



ทางโรงเรียนประกาศว่า หากเกรดเฉลี่ยไม่ถึง 2.75 ก็ไม่

สามารถผ่านไปเรียนชั้นมัธยมปีที่ 4 ได้ น้องปันได้เกรด

เพียง 2.38 เท่านั้น สรุปว่าต้องหาโรงเรียนใหม่ ฉันเคย

สงสัยว่ากลุ่มเพื่อนของลูกกลุ่มนี้ล้วนแต่มีเกรดเรียนดี ๆ

ทั้งนั้น แต่ทำไมน้องปันไม่เลียนแบบเพื่อน ๆ บ้าง ตอน

หลังถึงจะรู้ความจริง แต่ตอนนี้ปันเป็นคนเดียวในกลุ่ม

เพื่อนที่จะต้องอัปเปหิ ออกจากโรงเรียนตามลำพัง



ปันร้องไห้อยู่หลายวัน เมื่อรู้ชะตาของตัวเอง บอกแต่ว่าไม่

อยากย้ายไปที่อื่น อยากเรียนที่เดิม เพราะรักเพื่อน ๆ แต่

แม่ช่าก็ได้แต่พูดว่า



“ ถ้าลูกขยันเรียนเหมือนเพื่อน ๆ ก็ไม่ต้องหาโรงเรียนใหม่

แบบนี้...”


ซึ่งโชคร้ายกว่านั้นก็คือ โรงเรียนในเขตพื้นที่บริการนั้น

นอกจากที่เรียนอยู่ก็มีแต่ที่ขึ้นชื่อว่า นักเรียนนักเลง เกือบ

ทั้งนั้น เราไม่มีทางเลือกอื่นเลย ด้วยคะแนนที่มีอยู่ใน

มือ ก็ยากที่จะหาโรงเรียนดี ๆ ที่ลูกอยากได้


แม่ช่าพยายามติดต่อคุณครูใหญ่และผู้อำนวยการเผื่อจะ

ช่วยเหลือได้ ด้วยความที่ลูกเราแม้จะไม่ได้เป็นเด็กเกเร

แต่ก็เคยมีปัญหากับครูสอนเลข ซึ่งชื่อน้องปันก็ถูกบันทึก

ไว้ในรายงานการประชุมของครู การขอรับความช่วยเหลือ

จากครูใหญ่จึงไม่ได้ผล



ในมือของเราตอนนี้มีใบสมัครของสองโรงเรียนใหม่เตรียม

พร้อมอยู่แล้ว แม้ลูกจะร้องไห้ไม่อยากเข้าเรียนโรงเรียนนี้

เราทั้งสองก็หาทางออกอื่นไม่ได้เลย วันที่ฉันเข้าไปหาผู้

อำนวยการใหญ่อีกครั้ง ก็ได้รับความกรุณาว่า เนื่องจากมี

เด็กนักเรียนลาออกไป 1 คน จึงจัดให้มีวันสัมภาษณ์เพื่อ

คัดเลือกเด็กที่ยังค้างอยู่และประสงค์จะเข้ามาเรียนที่

โรงเรียนเดิม ซึ่งมีเด็กจำนวน 6 คนแล้ว หากรวมน้องปัน

ด้วยก็เป็น 7 คน หากจะสัมภาษณ์ด้วยก็ยินดีจัดให้ แต่เด็ก

ต้องช่วยเหลือตัวเองอย่างมาก เพราะการตัดสินอยู่ที่คุณ

ครูที่สัมภาษณ์ทั้ง 4 คน ไม่ใช่ครูใหญ่หรือผู้อำนวยการแต่

อย่างใด



น้องปันพยักหน้าว่าจะสัมภาษณ์ด้วย แม้ความหวังจะมี

ริบหรี่มากก็ตาม....

จากคุณ : ชราร่า - [ 26 ม.ค. 50 22:01:54 ]






ความคิดเห็นที่ 4

ครูผู้สัมภาษณ์นั่งเรียงหน้ากระดาน 4 คน ฝั่งตรงข้ามมีนัก

เรียนเตรียมให้สัมภาษณ์อยู่ 7 คนนั่งเรียงเช่นกัน น้องปัน

เล่าให้ฟัง หลังจากออกจากห้องว่า


“มีน้องปันเป็นผู้หญิงคนเดียว นอกนั้นก็นักเรียนผู้ชายหมด

เลยแม่”

“เวลาคุณครูถามอะไร พวกผู้ชายก้มหน้าอย่างเดียวไม่

ค่อยยอมตอบเท่าไร เวลาครูถามว่าอยากเรียนอะไร ไม่มี

คนตอบ น้องปันก็ยกมือบอกว่า หนูอยากเรียน

นิเทศศาสตร์ค่ะ...”


“คุณครูบางคนก็ยิ้ม บางคนก็หัวเราะ บอกว่า รู้ไหม เรียน

นิเทศศาสตร์ คะแนนสอบเข้าสูงมากเลยพอ ๆ กับอักษร

ศาสตร์ แล้วเกรดอย่างนักเรียน น่าจะไปเรียนอาชีวะดี

กว่า เป็นสายอาชีพ จะได้ทำงานเร็ว ๆ ไม่เหมาะกับเรียน

มหาวิทยาลัยหรอก ”


“ครูคนหนึ่ง ถามว่า ทำไมอยากเรียนนิเทศ น้องปันก็บอก

ไปว่า คุณพ่อก็เรียนนิเทศ คุณแม่ก็เรียนนิเทศ แล้วหนู

เองก็เคยไปพวกโรงถ่าย และห้องอัดเสียงบ่อย ๆ ก็เลย

ชอบ และคิดว่าทำได้ ”


“คุณครูก็ให้น้องปันเล่าว่าอยากทำอะไร หนูก็บอกว่าอยาก

ทำงานเป็นนักโฆษณาเหมือนแม่ ติดต่อลูกค้า แล้วมา

ประชุม แล้วไปถ่ายหนัง ตัดต่อแล้วก็อัดเสียง เสร็จแล้วก็

เอาไปส่งที่โทรทัศน์ให้เขาฉายออกทีวีให้คนดู”



ยังมีอีกหลายคำถามที่แม่ช่าเคยเล่าให้น้องปันฟังในช่วง

เลี้ยงลูกใต้โต๊ะ ไม่คิดเลยว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ กลับมาช่วย

ลูกไว้ได้ อย่างน่าอัศจรรย์ใจ บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่เคยคุย

กัน บางเรื่องก็รู้สึกว่าลูกจะเข้าใจได้เอง เมื่อได้ไปสัมผัส

กับงานจริงในช่วงเวลาหนึ่ง



แล้วลูกก็ได้รับเลือกในตำแหน่งที่เหลือให้นักเรียนเพียง 1

คนสำหรับมัธยมปีที่ 4 ในโรงเรียน !!!



มีหรือแม่ช่าจะทิ้งช่วงโอกาสทองนี้ไป การนั่งเพื่อพูด

คุยอย่างเป็นเรื่องเป็นราวมีการทำกันบ่อย ๆ ซึ่งครั้งนี้ก็เช่น

กัน



“ปัน แม่อยากบอกว่าที่ลูกได้กลับไปเรียน ไม่ใช่ว่าเก่ง

นะ ลูกโชคดีต่างหาก... แล้วแม่ก็ไม่คิดว่า ในชีวิตนี้ลูกจะ

โชคดีแบบนี้ได้บ่อย ๆ ...........ที่ผ่านมาลูกก็รู้ใช่ไหมว่า

ต่อไปนี้ลูกจะต้องทำอะไรบ้าง เวลาเดินหน้าไปเรื่อย ๆ นะ

ลูก ไม่มีใครรอใครอีก ถ้าลูกไม่กลับตัวตั้งใจเรียนหนังสือ

อย่างเต็มที่คราวนี้ แม่ก็คิดว่าคงไม่มีโอกาสอีกแล้ว ไม่ว่า

แม่ หรือใครต่อใครก็ช่วยลูกไม่ได้ เวลาเข้าห้องสอบ ลูก

เข้าได้เพียงคนเดียว ดังนั้นขอให้ตั้งใจและเต็มที่ รับปาก

นะลูก……….”



“ ถ้าต้องซื้อหนังสืออะไร ต้องมีอุปกรณ์อะไรก็บอกแม่ได้

เลย แม่ซื้อให้ และเป็นกำลังใจให้เต็มที่……ปัน แม่อยาก

ให้ลูกเป็นคนใหม่เลย เรามาแต่งห้องใหม่กันไหมลูก มา

จัดชั้นวางหนังสือ แม่จะทาสี ทำเตียงให้ จัดมุมอ่าน

หนังสือใหม่ เอาโป๊ะไฟห้องแม่เอาไหม สวยดีอันนั้น เรา

เปลี่ยนหลอดไฟใหม่แล้วกันนะ ไม่ให้มันแยงตามาก เวลา

อ่านหนังสือนาน ๆ ”



แม่กับลูกไปซื้ออุปกรณ์การเรียน และ อื่น ๆ ที่ศึกษา

ภัณฑ์ ห้องใหม่ของปันมีด้านหนึ่งเป็นแผนที่โลก แผ่น

ใหญ่ อีกด้านหนึ่งเป็นตารางวางแผนดูหนังสือ พร้อมกับมี

กระดาษสี ๆ ตัดเป็นรูปร่างต่าง ๆ กัน เช่น รูปดาว รูป นิ้ว

โป้ง พร้อมคำพูดให้กำลังใจตัวเองว่า...




เวลา วารี ไม่คอยใคร ....


ไม่มีใครตายเพราะเรียนหนังสือ....


เราต้องเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ ..... เป็นต้น




บรรยากาศฮึกเหิมเกริมมาก ลูกชอบห้องใหม่ ก็ตั้งใจ

เรียนมากที่สุด เท่าที่เคยเป็นแม่ลูกกันมา



จากนักเรียนที่มีคะแนนน้อยที่สุดของห้องท้ายสุดในระดับ

ชั้นมัธยมปีที่ 4 คุณน้องปันก็สอบได้เป็นที่ 16 ของห้อง

ศิลป์คำนวณในเทอมแรก..... !!!



และสอบได้เป็นที่ 1 ของห้องเมื่อเทอมที่สองของปีเดียวกัน!!!! ด้วยคะแนน 3.75 !!!



คุณเชื่อสายตาคุณเถอะค่ะ น้องปันได้ที่หนึ่งของห้องจริง

ๆ มหัศจรรย์เกิดขึ้นแล้ว


มันน่าขนลุกไหมล่ะ


แต่............

มันเป็นเรื่องที่เศร้าสำหรับลูกแม่ช่ามากเลย มากขนาดจะ

ขอลาออกจากโรงเรียนเลยทีเดียว ฟังต่อค่ะ

จากคุณ : ชราร่า - [ 26 ม.ค. 50 22:11:12 ]






ความคิดเห็นที่ 5

จะไปหาซื้อแรมให้คุณแม่ก่อนกั๊บ

เพิ่มแรมอีกจะได้อ่านเรื่องเยอะ ๆ กั๊บ

จากคุณ : ดอกไม้ DSM - [ 27 ม.ค. 50 09:54:15 A:221.128.91.125 X: TicketID:125129 ]






ความคิดเห็นที่ 6

สักวันหนึ่งเราคงได้เห็น

"หนังสือถึงแม่มือใหม่จากแม่มือมันส์"


ยิ่งอ่าน ยิ่งน่าติดตามนะครับ...ทุกคนว่าไหม...









จากคุณ : akae - [ 27 ม.ค. 50 10:00:53 ]






ความคิดเห็นที่ 7

เป็นกำลังใจให้ทำ blog เสร็จเร็วๆ จะได้เข้าไปอ่านบ่อยๆ









จากคุณ : wasansem - [ 27 ม.ค. 50 10:08:04 ]






ความคิดเห็นที่ 8

อีกแรงใจให้ แม่ช่า ครับ









จากคุณ : ozzyii - [ 27 ม.ค. 50 10:38:26 ]






ความคิดเห็นที่ 9






จากคุณ : ชราร่า - [ 27 ม.ค. 50 17:14:43 ]









Create Date : 28 มกราคม 2550
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2550 20:00:34 น. 0 comments
Counter : 409 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ชราร่า
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




");}
Friends' blogs
[Add ชราร่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.