Tough Time Never Last ...But Tough People Do
Group Blog
 
All Blogs
 
16>พวกเราทุกคนชอบไปโรงเรียน..ชอบไป..ชอบไปโรงเรียน

ช่วงนี้ห่างไปหน่อยเพราะงานหนูถีบจักรมัน
เกี่ยงไม่ได้ ยังไม่มีอิสรภาพทางการเงิน
เพียงพอ เมื่อไรหนอ จากได้ออกไปเทรด
หุ้นอย่างเดียว คงมีความสุขมาก

อิจฉาเพือน ๆ ในกลุ่มเฮฮา ฯ นะคะ ดูสุขี
ดีจัง ตอนนี้รู้สึกมีเพื่อนใหม่เพิ่มมาหนึ่งคนแล้ว
คือคุณ Rider กระดี๊กระด๊า กันพอควร แรก ๆ ก็นึก
ว่าเสียงดังเฮ ฮา เพราะถอดรหัส DSM กันออกแล้ว


แต่เปล่าหรอก ......


ส่วนใครอยากรู้ว่าเขากระชุ่มกระช่วยด้วยเรื่อง
รัย ก็ลองเข้าไปดูเองนะ จำนวนกระทู้พุ่งกระฉูดทุกวัน

วันนี้คุยเรื่องโรงเรียนให้ฟัง ตาม request ตอนนี้เขียนได้ไม่หมดมีต่อตอนหน้านะคะ....เชิญค่ะ

จากคุณ : ชราร่า - [ 12 ธ.ค. 49 22:50:19 ]




--------------------------------------------------------------------------------

หน้าหลัก แจ้งลบ bookmark ส่งต่อกระทู้ พิมพ์ โหวตกระทู้ เก็บเข้าคลังกระทู้ กระทู้ก่อนหน้า กระทู้ถัดไป








--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 1

ลูก ๆ ทั้งสามคนเข้าเรียนตั้งแต่อายุยังไม่สามขวบดี น้องปันไปโรงเรียนตอน 2 ขวบ 6 เดือน
อันนี้เป็นกลยุทธ์ในการลดภาระในการดูแลนะคะ เพราะเด็กเล็ก 3 คน วัยไล่เลี่ยกัน
ยิ่งอาทิตย์ไหน มีญาติ ฟากคุณช้าง มาเยี่ยม ก็จะเป็นประมาณ 6-7 คน รวมพี่เลี้ยงด้วย
ก็ประมาณเกือบ 10 คน


มันคล้ายเนอร์เซอร์รี่ย่อม ๆ ยังไม่รู้ ตอนกินข้าว ตอนนอน ตอนกินนม อืมม...
ยิ่งตอนไม่สบายพร้อม ๆ กันแล้วละก้อแทบอยากเอาหัวไปซุกถุงปุ๋ย


ก็เลยต้องอัปเปหิคุณลูกสาวไปโรงเรียนก่อนคนแรกตั้งแต่วัยยังไม่ถึงเกณฑ์ หนักใจเหมือน
กันนะ ลูกจะตามเพื่อนทันไหม ลูกจะฟังครูรู้เรื่องไหม อีกอย่างลูกจะยอมไปโรงเรียนไหม
ขืนร้องไห้ทุกเช้า เจ้าน้องแฝด ก็อาจตื่นและร้องตามคงดั่งจะมีวงออแคสตร้า วงย่อมๆ ใน
บ้านขับบรรเลงกันทุก ๆ เช้า ซึ่งไม่น่าเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน เพราะแค่ น้องแบงค์
เด็กข้างบ้าน ซึ่งมีแค่หน่อเดียว ร้องหงุง หงิง ๆ ทุกเช้า เรายังหงุดหงิดปะปนสงสารเลย
แต่นี่ตั้งสามคน !!!


พอจะส่งไปโรงเรียน แน่ เหมือนแช่แป้งที่ต้องคิดว่าไปเรียนที่ไหนดี ครูเก่งไหม
ลูกจะทำเลขได้ดีเขียนได้เร็ว ร้องเพลงได้เพราะหรือเปล่า ให้ลูกได้มีโอกาสแสดงออกมากแค่ไหน


เชื่อไหม แม่ช่าไม่ได้คิดตรงนี้เลย

นึกอย่างเดียว เอาที่เรียนใกล้บ้านที่สุด นั่นแหละดีที่สุด ไม่ต้องมีภาระมากมาย และแล้ว
คุณลูกสาวก็ได้ไปโรงเรียนด้วยรถสามล้อ มีหน้าการ์ตูนที่หน้ารถ พู่ห้อยไว้กับแฮนด์ทั้ง
สองข้าง พร้อมที่กดกระดิ่งเสียงใส


ใกล้ขนาดขี่รถไปทุกวัน !!!! เพราะเป็นโรงเรียนเตรียมอนุบาลเล็ก ๆ หน้าหมู่บ้านห่าง
จากบ้านเราไม่เกินสองร้อยเมตรนี่เอง


ลูกไม่เคยร้องกลับบ้าน ไม่เคยมีปัญหากับเพื่อน ๆ แม้ด้วยวัยที่น้อยกว่า ก่อนตัดสินใจว่า
เอาล่ะ เรียนที่โรงเรียนในหมู่บ้านนี่แหละ ก็ได้พาลูก ๆ ทั้งโขยงมาเล่น เครื่งเล่นในโรงเรียน
เป็นการสร้างความคุ้นเคยซะก่อน มีการเข้าไปนั่งในห้องเรียน ใช้ห้องน้ำ ใช้เครื่องอำนวย
ความสะดวกสักพักใหญ่ ๆ คุณครูก็มาทักทายดี จนลูก ๆ มีความรู้สึกว่า ที่ตรงนี้สนุก
มีเพื่อนเยอะ ครูก็ใจดี ดังนั้น ณ วันแรกที่ไปโรงเรียน ยัยปันจะแต่งตัวสะอาดเรียบร้อย
สะพายกระติกน้ำสีชมพูประตูใหญ่ของบ้านเปิด.....ยัยตัวยุ่งถีบรถสามล้อประจำตำแหน่ง
ออกจากบ้าน โดยมีพี่ญัติ ถือกระเป๋าใบน้อยเดินตามหลังไป


ถึงโรงเรียนก็จอดรถเข้าที่ ใกล้ ๆ รถครูใหญ่ของโรงเรียน หยิบกระเป๋าจากพี่ญัติ ก็เดินเข้า
ห้องไปเลย หันมามองนิดหน่อยแล้วยิ้มเหมือนว่า ไม่ต้องห่วง หลังเลิกเรียนก็ให้มารับแล้วกัน....


ฉันเคยเห็นพ่อกับแม่บางคน ก็จูงมือน้อย ๆ ให้คุณครูแล้ววิ่งหายขึ้นรถไปเลย บ้างก็ใจ
แข็งเดินออกไป แต่ก็ซุ่มแอบมองลูกตามร่องลายอิฐที่เรียงเป็นกำแพงโรงเรียน
บางคนปาดน้ำตาไปด้วยกับวันเข้าโรงเรียนวันแรกในชีวิตลูก คงห่วงและสงสารลูก
หรือไม่ก็ติดลูก แบบไม่เคยห่างกันมาก่อน


ลูกแม่ช่า ไม่ร้องสักแอะ คิดเหมือนกันว่าเราต้องพิจารณาตัวเองแล้วล่ะ สงสัยลูกอยู่บ้าน
ไม่มีความสุขหรือเปล่า ถึงไปโรงเรียนอย่างไม่มีปัญหา


แต่จริง ๆ แล้ว เราคงเตรียมตัวมาดีกระมัง สถานที่ก็เป็นที่คุ้นเคยอยู่แล้ว


หลังเลิกเรียน พี่ญัติก็เดินมารับ คุณลูกสาวก็ขับรถสามล้อคันเดิม เข้าบ้าน รุ่งเช้าก็ตื่นอย่าง
ไม่งอแง คงสนุกกับการถีบรถไป-กลับ ซะมากกว่า



จากคุณ : ชราร่า - [ 12 ธ.ค. 49 22:55:29 ]






ความคิดเห็นที่ 2

เจ้าแฝดโตขึ้นพอรู้เรื่องแล้ว เห็นพี่สาว ได้แต่งตัวและออกบ้านทุกวันด้วยสามล้อถีบ
ตัวเองก็ได้ชะเง้อ ชะแง้ มองตามทุกวัน ระยะหลัง ๆ ก็ขอตามไปด้วย ที่นี่กลายเป็น
ขบวนแห่ ส่งนักเรียนหญิงไปโรงเรียนจนเป็นกิจวัตรไปเลย


การไปเรียนของลูก ๆ ก็เป็นเรื่องสนุกไปโดยปริยาย เจ้าแฝดก็ได้เข้าโรงเรียนเตรียม
อนุบาลใกล้บ้านด้วยวัยไม่ถึงเกณฑ์เหมือนกัน และเป็นเรื่องที่ลูกรบเร้าอยากไปเองด้วยซ้ำ
ก็เป็นความโชคดีของฉัน ที่ไม่มีปัญหาเรื่องนี้ คือบังเอิญมีสถานศึกษาใกล้บ้าน
คุณครูก็เห็นหน้ากันเกือบทุกวัน เพราะโรงเรียนอยู่หน้าหมู่บ้านต้องขับรถผ่านหน้าโรงเรียน
จึงได้ทักทายและพูดคุยกันตลอด


ตอนจะเข้าโรงเรียนประถม ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีปัญหา นั่นคือ ไม่รู้ว่าจะส่งลูกไป
โรงเรียนไหนดี ก็อาศัยจากญาติ ๆ หลาน ๆ แหละว่าเรียนกันที่ไหนบ้าง แค่นั้น ไม่เคยเข้า
ไปเจาะลึก หาข้อมูล เปรียบเทียบ อะไรมากมาย เคยคุยกับคุณพ่อคุณแม่บางคน ก็รู้สึก
ละอายใจมาก พวกเขารู้อะไรต่อมิอะไรเยอะแยะมากมาย เอาเวลาที่ไหนไปหาข้อมูลกันนะ
ฉันเอง แค่ให้ลูกมีที่เรียน ให้โรงเรียนรับลูกเราเข้าไปเรียนก็ดีแล้ว อย่างอื่น ๆ ก็ไม่ต้องไป
คำนึงมากมาย


อยากเขกหัวตัวเองจริง ๆ เลย ที่คิดว่าแค่ให้มีที่เรียนก็พอแล้ว ปัญหาที่เจอที่ภายหลัง
ก็มากมายก่ายกองซะจน เกือบแก้ไขไม่ได้


ถ้าได้อ่านที่เคยเขียนไปเรื่อง “แม่พิมพ์ของลูก” นั่นแหละเป็นสิ่งที่ฉันได้พบ ได้เจอ ตลอด
ระยะเวลาที่ลูกเรียนอยู่ที่โรงเรียนนั้น ช่วงอนุบาลหนึ่งถึง ประถมหก


อย่าให้บอกเลยนะว่าที่ไหน โรงเรียนอะไร มีงานได้ทั้งปี เก็บเงินค่าสังสรรค์โน้นนี่ แล้วตึก
โรงเรียนก็ขยายใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น สูงขึ้น ขณะที่ฉันรู้สึกว่าลูกฉันโง่ลง โง่มาก ถ้าจะใช้คำว่า
ฉลาด ก็จะฉลาดแบบต่ำเตี้ย จริง ๆ


เราสองคนเคยพาลูกไปเรียนรู้สิ่งที่อยู่นอกห้องมา มากมาย และสม่ำเสมอ เหนือจรดใต้
ภูเขา น้ำ ฟ้า ทะเล เรารู้ว่าลูกเรารู้เรื่อง ไม่ใช่ปัญญาล้ำเลิศ แต่ก็ไม่อับทึบจน อ่านอะไร
ไม่ออก จำอะไรไม่ได้ สมุดการบ้านเป็นตัวแก้ไขแดงไปหมด เกือบทุกหน้า ทุกครั้งที่เห็น
สมุดจดการบ้านลูก ก็ถอนหายใจ หนักอกไปซะทุกคราว ลูกเรียนไม่ได้เหรอ ลูกเราเรียน
ไม่รู้เรื่องเลย


เคยคิดว่า การเรียนการสอนมีให้เลือกรูปแบบที่เหมาะกับลูกไหม แบบสาธิตเหรอ แบบ
inter เหรอ ซึ่งก็ไม่ได้มีให้เลือกมากมายเหมือนปัจจุบัน


“ส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี ดีไหม คุณว่า..” ฉันปรึกษาคุณช้าง ด้วยอ่อน
ใจกับคะแนนสอบของลูก จริง ๆ แล้วไม่ใช่ครั้งแรก


“.. ค่าเล่าเรียนต่อเทอมก็หลายหมื่น ถ้าเราจะส่งลูกไปทางนี้ ก็ต้องไปทั้งสามคนเลยนะ..”


จริง ๆ ด้วย แค่รายได้ของเราทั้งสองก็ไม่สามารถส่งเสียให้ลูกเรียนได้ทั้งหมดในโรงเรียน
นานาชาติ ส่วนโรงเรียนสาธิตนั้นก็ไม่รับนักเรียนระหว่างช่วงชั้น


ได้เข้าไปปรึกษาอาจารย์ใหญ่ที่โรงเรียน คุยกันไม่ได้สองคำ ก็โดนชวนให้ซื้อบัตรงาน
ฉลองตึกใหม่ของโรงเรียนอีกแล้ว ซ้ำบอกด้วยว่า


“ ถ้าคุณแม่ซื้อเหมาโต๊ะนะคะ ตอนงานกีฬาสีปลายปี ดิฉันจะจัดที่นั่งให้คุณพ่อคุณแม่
ได้นั่ง แถวที่นั่ง VIP เลยค่ะ จะได้มองเห็นแปรอักษรชัด ๆ ..”


ฉันคิดผิดจริง ๆ ที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องราวโรงเรียนต่าง ๆ ให้ดีเสียก่อนที่จะส่งลูกเข้ามา แต่ก็
ใจเย็นและย้ำเรื่องที่อยากปรึกษา


“.. เด็กอาจเรียนไม่ทัน เอางี้ค่ะ คุณแม่ให้น้องเรียนพิเศษตอนเย็นซิคะ วันละชั่วโมงเดียว
เอาวิชาที่อ่อนหน่อยแล้วกัน หรือจะเป็นเสาร์อาทิตย์ก็ได้ ทางเราจัดเป็นตารางพิเศษออก
มาเลยค่ะ อันนี้ค่ะ.....มีค่าใช้จ่ายบ้างนะคะ”

พร้อมยื่นตารางเรียนพิเศษยาวเยียดมาตรงหน้า


ต๊ายย ตายยย ฉันอยากจะบ้า.....

จากคุณ : ชราร่า - [ 12 ธ.ค. 49 23:05:12 ]






ความคิดเห็นที่ 3

เย็นวันหนึ่ง ลูกบอกว่า มีครูวิชาคณิตศาสตร์รับสอนพิเศษที่บ้าน เพื่อน ๆไปเรียนกันเยอะ
เลย แล้วส่วนใหญ่ก็มักจะได้คะแนนดี หลังจากเรียนติวกับคุณครูคนนี้แล้ว


“แล้วลูกว่างัยล่ะ..” “ก็อยากจะเรียนครับ ครูอาจเพิ่มเติมจากที่ห้องก็ได้...”


ปรากฏว่าสิ่งที่ลูกได้รับจากการไปเรียนติวพิเศษกับคุณครูคนนี้ ก็คือ sheet เยอะแยะ
เต็มไปหมด แล้วที่เด็ดสุดก็คือ ก่อนสอบประมาณ 2 อาทิตย์ ครูก็แจก sheet อีก
ย้ำให้นักเรียนทำเสร็จ มีการเฉลยคำตอบให้เรียบร้อยกว่าทุกครั้ง


ปรากฏว่าเป็นข้อสอบปลายภาคแทบทั้งนั้นเลย ดังนั้น ใครไม่เรียนกับครูก็ย่อมไม่ได้
คะแนนที่ดีซิ ก็เล่นเอาข้อสอบมาให้ทำก่อนซะงั้น....


อ่อนใจหนักเข้าไปอีก ฉันและคุณช้างอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเอาจริง ๆ งานนี้...


อยากจะไปบอกอาจารย์ใหญ่ ก็เกรงว่าจะให้ซื้อบัตรงานแบบเหมาโต๊ะอีก เคยเขียนจด
หมายปิดผนึกไปที่กระทรวงศึกษา ก็หายเงียบ เมื่อทวงถาม คำตอบก็คืออยู่ระหว่างการ
ดำเนินการสอบสวน ซ้ำยังขอหลักฐานจากฉันอีกว่า มีไหม sheet ที่ครูแจก และโจทย์ข้อ
สอบปลายปีที่ว่าตรงกัน ขอดูหน่อย.... โอ้อนาคตของชาติ อยู่ในกำมือของเขาจริง ๆ


ขืนยื่นและยื้อเรื่องต่อเหมือนคุณรัตนา หรือ ยัยไฮ ลูกฉันคงต้องถูกเชิญออกระหว่างภาคเรียนแน่นอน


ตอนเข้ามัธยมต้น ช่วงนั้นย้ายลูกออกมาเลย แม้ว่าจะมีให้เรียนต่อถึงมัธยมปลาย แต่ฉันก็
คงไม่ปล่อยให้ลูกอยู่ในสภาพนั้นแน่นอน ฉันเริ่มศึกษา ฉันหาข้อมูล ใจลึก ๆ ลูกฉันมีสติ
ปัญญาพอที่จะเรียนได้ เพียงแต่หาวิธีการที่เหมาะจริตของลูก ๆ เท่านั้น


แต่จะไปเรียนที่ไหนล่ะ ??


การศึกษาเป็นสิ่งที่ดี และ ต้องติดตัวลูกไปตลอดชีวิตของเขา ดังนั้น ต้องเลือกและใส่ใจ
มาก ๆ ไม่ทำแบบที่ฉันทำกันมาก่อน


แค่ขอให้มีที่เรียนเท่านั้น !!! ผิด ผิด


เรื่องภาษาที่สอง และความเป็นตัวของตัวเอง การมีความมั่นใจในประมาณหนึ่ง เป็นสิ่งที่
ฉันคิดว่าจำเป็นในการมีชีวิตต่อไปในวันข้างหน้า ไม่เพียงแต่จะทำให้การเรียนดีขึ้น
ยังสามารถทำให้เรามีความพร้อมในด้านการงาน ตอนนั้น ฉันคิดว่าแนวทางการเรียนของ
ลูกต่อไปควรจะวางแผนกันอย่างไร


มาตามฟังความคิดของฉันหน่อยปะไร....


ช่วง มัธยมต้น จะให้ไปเรียนที่ประเทศสิงคโปร์ เพราะได้เรื่องของภาษาทั้งอังกฤษและจีน
( ต่อให้เป็น Singlish ก็เหอะ ) รวมทั้งได้ในด้านความมีวินัยระเบียบ และความรับผิด
ชอบสูง ซึ่งเหมาะสมกับช่วงก่อนวัยรุ่น หรือ pre-teen เป็นอย่างมาก


หลังจากนั้น ช่วงมัธยมปลาย ก็จะให้ไปต่อที่ประเทศออสเตรเลีย ลูกจะอยู่ในวัยรุ่น
ซึ่งที่ประเทศนี้ค่อนข้างเงียบ ไม่มีอะไรฟุ้งเฟ้อ อากาศก็ดี เงินก็ไม่แพงมากนัก ที่สำคัญ
การศึกษาและวิชาการต่าง ๆ ก็ค่อนข้างแน่น


หลังจากนั้นเข้าสู่วัยที่พร้อมจะพบเห็นสิ่งต่าง ๆ ในอารยประเทศ ความเจริญและการ
พัฒนาที่นับว่าเป็นอันดับแรก ๆ ของโลก นั่นคือเรียนระดับปริญญาตรี ที่ประเทศอเมริกา
หรือ อังกฤษ ตอนนี้การซึบซับในด้านความคิดนอกกรอบ การแสดงออกอย่างอิสระ
สามารถทำได้อย่างเต็มที่ มีแหล่งข้อมูลให้ค้นคว้าและเสาะหาความรู้ได้อย่างไม่มี
ขีดจำกัด อีกทั้งเรียนรู้การใช้ชีวิตได้อย่างหลากหลาย


ปริญญาใบเดียว คงไม่เพียงพอสำหรับยุคนี้

ฉันว่านะ

จากคุณ : ชราร่า - [ 12 ธ.ค. 49 23:10:08 ]






ความคิดเห็นที่ 4

ดังนั้น จากที่ได้มีความพร้อมในด้านต่าง ๆ ทั้งภาษา ความมีระเบียบวินัย การมี ความมั่นใจ
ในตัวเอง การรู้จักการแสดงออก เรียบร้อยแล้ว ก็ควรที่จะกลับมาเรียนต่อปริญญาโท
ที่ประเทศไทย เนื่องด้วยการทำงานในเมืองไทย ยังมีระบบอุปถัมภ์กันอยู่มาก การมา
มีเพื่อนฝูงในช่วงนี้ จึงน่าที่จะเป็นช่วงที่เหมาะสม ครบถ้วนขบวนความทั้งหมด


อันนี้เป็นความคิดของอิฉันนะคะ ถูกไม่ถูก อันนี้ไม่ทราบ ที่สำคัญก็อย่ามาว่า ว่าเห็นประเทศ
อื่น ๆ ดีกว่าประเทศของตัวเอง ซึ่งแท้จริงแล้ว ก็อยากให้รู้ว่าฉันเพียงแต่อยากให้ไปได้
ศึกษาสิ่งที่ดีงามของชาวบ้านเขา แล้วมาปรับใช้กับของเรา ซึ่งก็อยากจะถามตรงไป
ตรงมา จริง ๆ ว่า


เท่าที่เป็นตัวตนมานี้ คุณพอใจกับระบบการศึกษาในเมืองไทยแค่ไหน.... หรือคะ


คุณก็คงพอจะเข้าใจนะคะ ว่าอิฉันคิดอย่างไร เท่าที่เคยไปสัมผัสกับคนในกระทรวงใบเสมา
อยู่พักใหญ่ ๆ ก็ได้แต่รู้สึกตัวเองและลูก ๆ โชคดีที่ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่มีระบบ แบบแผน
ของการศึกษาที่ดีมาได้ โชคดีจริง ๆ แล้วตกลงการศึกษาต้องอาศัยโชคด้วยเหรอ โอ้ แม่เจ้า !!!


กลับมาเรื่องแผนการเรียนของลูกในความฝัน ที่เล่าให้ฟังตะกี้ อิฉันและคุณช้างไม่สามารถ
ทำได้ค่ะ เนื่องด้วยปริมาณของลูกมีมากกว่าปริมาณของเงินที่จะสามารถบันดาลให้เป็นจริง
ได้ จึงได้แต่ฝัน ฝันไป ตื่นขึ้นมาก็ได้แต่ลุ้น และ ลุ้นให้ลูกผ่านช่วงการเรียนในแต่ละ
ระดับให้ผ่านพ้นไปด้วยดีและราบรื่น


ดังนั้น หากเพื่อน ๆ พอมีปัจจัยและเห็นด้วยกับความคิดฉัน ก็นำไปเป็นแบบอย่างก็ได้นะคะ
ได้เรื่องอย่างไรก็เล่าสู่กันฟังบ้าง มันไม่ใช่สูตรสำเร็จของชีวิตหรอก ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย


ความรักของพ่อและแม่นั่นแหละที่สำคัญที่สุด


กลับมาเรื่องของลูกบ้าง พอตระหนักแล้วว่า อย่าทำตัวรสนิยมสูงรายได้ต่ำประจวบ
กับตอนนั้น การเรียนต่อในชั้นมัธยมมีนโยบายในเรื่องของการให้บริการเขตพื้นที่การศึกษา
ฉันก็ต้องใช้บริการโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้านซึ่งในที่สุดก็ได้เข้าไปเรียนโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง
ซึ่งหลังจากได้ศึกษาคณะครูบาอาจารย์ ( คราวนี้ไม่ให้พลาดอยู่แล้ว ) และแนวการเรียน
แล้วก็คิดว่าน่าจะพอใช้ได้ อย่างน้อย ๆ อาจารย์ใหญ่ก็เป็นคนพูดจารู้เรื่องและมีประวัติค่อนข้างดี


ยัยปัน ก็ได้เข้าไปเรียนเป็นคนแรกในฐานะหนูลองยาของซึ่งเป็นหนึ่งในหลาย ๆ อย่าง
ด้วยความที่เกิดเป็นพี่ใหญ่ เกิดก่อน ก็มีสิทธิ์ถูกทดลองก่อน แต่ก็ไม่นาน เจ้าแฝดก็
ตามมาติด ๆ ในปีต่อไป ปีนั้นโชคดีเขาใช้วิธีจับฉลาก ( เห็นไหม นโยบายการศึกษา
เหมือนชิงโชคเลย ) ทั้งสองคนก็จับฉลากได้ทั้งคู่


ด้วยพื้นฐานการเรียนที่อ่อนยวบ ทำให้คะแนนลูก ๆ ไม่เป็นที่น่าพอใจสักเท่าไร แล้วพอดีเป็น
ช่วงวัยรุ่น ติดเพื่อนค่ะ อะไร ๆ ก็ต้องมี ต้องคิดเหมือนคนอื่นเขาความพยายามของฉันใน
การสร้างแนวคิด สร้างเกราะ สร้างภูมิคุ้มกันการที่ต้องอยู่กับคนหมู่มาก มันหายไป

มันหายไปไหนอ่ะ...


ทั้ง ๆ ที่เราก็ยังไปเที่ยวทุกปิดเทอม ช่วงหลัง ๆ ฉันให้เด็ก ๆ ไปเข้าค่าย YMCA ที่ระยอง
จนลูกจำกิจกรรม จำพี่เลี้ยง จำมุกต่าง ๆ ของการละเล่นได้หมด แต่ลูกก็ยังไม่เป็นคน
ที่มีความมั่นคงในความคิด เยาะแหยะ ไม่กล้าพูด ไม่กล้าคิดนอกกรอบ ทำทุกอย่างที่
เซฟที่สุด ที่สำคัญก็คือ ขาดความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่จริงจังกับทุกอย่าง
ที่อยู่ตรงหน้า


คล้ายคนไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ใด ๆ


แต่เรา ทั้งแม่ช่าและพ่อช้าง ก็ยังคงยืนหยัดให้ความอบอุ่น ให้การสนับสนุนในทุก ๆ
อย่างในทางที่ถูกต้องกับลูก

เพราะเรามั่นใจและทำให้เขารู้ว่าเรามั่นใจในตัวเขา แม้ว่าเขาจะไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลยก็ตาม






Create Date : 28 มกราคม 2550
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:12:37 น. 0 comments
Counter : 434 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ชราร่า
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




");}
Friends' blogs
[Add ชราร่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.