Tough Time Never Last ...But Tough People Do
Group Blog
 
All Blogs
 
15>*** พ่ อ ***

วันนี้ขอยกเว้นเรื่องลูก มาพูดเรื่องพ่อแทนนะคะ

เพื่อน ๆ ที่เป็นพ่อ หรือใกล้จะเป็นพ่อ ได้ไปไหน
หรือเปล่าค่ะ วันนี้ยัยปันและปูนพาพ่อช้างไปกินข้าว
เป็นปีแรกที่ลูกเลี้ยงพ่อด้วยเงินของเขาเอง ภูมิใจค่ะ
ก็หนีบแม่ไปด้วย เพราะแม่จะเป็นคนบอกว่าอยาก
กินอะไร

เห็นม่ะ อย่างงัยแม่ก็สำคัญอยู่ดี อิอิ

ขอให้ทุกคุณพ่อ และว่าที่คุณพ่อ รวมทั้ง
คนที่เป็นเพศพ่อทุกคนมีความสุข สมหวัง
เรียนรู้ DSM ได้กระจ่างแจ้งเร็ว ๆ
( จะได้มาสอนบ้าง ) ที่สำคัญให้มีสุขภาพที่
แข็งและแรงนะคะ

จากคุณ : ชราร่า - [ วันพ่อแห่งชาติ 19:20:10 ]








ในชีวิตีฉันมีคนถึง 4 คนที่ฉันเรียกเขาว่า พ่อ

พ่อคนแรกก็คือในหลวง ร. 9 นี้ ท่านเป็นคนที่ฉันคิดว่าเป็นสุดยอดของทุกอย่างทุกสาขาวิชา
ไม่ว่าเป็นศาสตร์ หรือเป็นศิลป์ ซึ่งหาได้ยากมากในคน ๆ หนึ่ง ส่วนใหญ่จะไปเพียงทางใด
ทางหนึ่ง แต่ท่านสามารถเป็นได้สองอย่างสมเป็นกษัตริย์มหาราชจริง ๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะเพิ่ง
มารักและศรัทธาตามกระแสเอาตอนนี้นะคะ เพราะนอกจากสื่อต่าง ๆ ที่พวกเราคนไทย
ได้พบ ได้อ่านและได้เห็นแล้ว ฉันยังรู้จักพระองค์ท่านผ่านหนังสือหลายเล่ม ทั้งหนังสือ
ที่พิมพ์และขายในเมืองไทย ยังมีหนังสือที่ไม่ได้พิมพ์ในเมืองไทยอีกหลายเล่ม


เอาตั้งแต่เริ่มต้นเลย คืออ่านหนังสือเรื่อง “วันสวรรณคต” เป็นหนังสือที่กล่าวถึงครั้งที่ท่าน
ร.๘ ท่านถูกปืนลั่นขณะที่ประทับอยู่ที่ห้องบรรทมในวังโดยมีท่านในหลวง ร. ๙ อยู่ด้วย หลายคน
คงเคยได้ยินบ้างนะ เล่มต่อมาที่มีโอกาสได้อ่านคือ The Revolutionary King เขียนโดย
William Stevenson หนังสือเล่มนี้อ่านนานเพราะอ่านยาก แต่ก็รู้สึกรักท่านมาก ทั้ง ร. ๘
และ ร. ๙ รวมทั้งสมเด็จย่า รู้เลยว่ากว่าจะมาเป็นกษัตริย์ไทยเพื่อสืบทอดราชวงศ์จักรีใน
ตอนนั้น มีอุปสรรคและปัญหามากมาย เนื่องด้วยมีกลุ่มบุคคลที่ต้องการโค่นล้มระบบกษัตริย์
และตั้งตนเป็นใหญ่ซึ่งคล้ายกับระบบการปกครองแนวตะวันตก สมเด็จย่าเองซึ่งว่าแล้ว
ก็เป็นหญิงสามัญธรรมดาคนหนึ่ง เมื่อรู้ว่าจะต้องเตรียมตัวพาลูก ๆ กลับเมืองไทยเพื่อรับ
สถานภาพเป็นกษัตริย์ ก็มีความเสียสละ อดทน พร่ำอบรมและสั่งสอน และเตรียมพร้อมใน
ทุกสิ่งอย่างเพื่อประเทศไทยจะได้มีองค์กษัตริย์ที่สง่างาม และเป็นที่รักใคร่ของพวกเราทั้ง
สองพระองค์อย่างทุกวันนี้


อีกเล่มที่เพิ่งได้มีโอกาสอ่านเร็ว ๆ นี้ก็คือ The King Never Smile ยิ่งเทอญทูน
และบูชาท่านมากขึ้นมาก ก็ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยพสกนิกรชาวไทยอย่างมากมาย
มีรอยพระบาทประทับไปทั่วทุกแดนดินเพียงเพื่อให้คนไทยทุก ๆ คน ทุก ๆ ระดับมีความ
สุขมากขึ้น คอยรับและแก้ปัญหาไปเสียทุกอย่าง แล้วจะ
ให้ท่านยิ้มออกได้อย่างไร
แต่ฉันมั่นใจว่าหนังสือเล่มนี้ได้ถูกตีพิมพ์ ก่อนวันที่ 6 มิถุนายน 2549 ปีฉลองราชย์ 60 ปี
ไม่งั้นฝรั่งนักข่าวคนเขียนหนังสือเล่มนี้ก็จะเห็นว่า ท่าน smile แล้ว ยิ้มวันที่เห็นคนไทย
ในเสื้อสีเหลืองหลายแสนหลายล้าน มาแสดงความรักภักดีต่อท่านหน้าสีหบัญชรซึ่งฉันก็ขน
ลุกซู่ทุกครั้งที่ดูเทปชุดนี้ เจ้าฝรั่งที่เขียนหนังสือเล่มที่ว่าหากรู้ว่ามีเหตุการณ์ประวัติศาสตร์
แบบนี้คงหักปากกาไม่ทัน


หนังสือ 2 เล่มหลังนี้เข้าใจว่าเป็นหนังสือที่ไม่ได้อนุญาตให้มาขายในเมืองไทย เพราะมุมมอง
จากคนต่างชาติต่างถิ่นจะมารู้ซึ้งและเข้าถึงใจเราได้อย่างงัย อย่างไรก็ตาม ยิ่งอ่านยิ่งรู้สึก
ดีใจที่ได้อ่านค่ะ เพราะได้รู้จักท่านมากขึ้นในมุมมองคนชาติอื่น ๆ ที่แปลกแยกออกไป


ฉันดีใจที่บรรพบุรุษที่เมืองจีนของครอบครัวฉันเลือกที่จะมาอพยพครอบครัวมาตั้งหลัก
ปักฐานที่เมืองไทยแทนที่จะเป็นไต้หวัน ฮ่องกง หรือสิงคโปร์ หรือประเทศอื่น ๆ
ซึ่งองค์พระกษัตริย์ไทยก็เปิดโอกาสให้คนจีนเข้ามาทำมาหากินอย่างเสรี ทำให้ฉันได้เกิดที่นี่


ฉันโชคดีกว่าคนในตระกูลหลาย ๆ รุ่นที่ผ่านมาที่ได้เกิดเป็นคนไทย.... แค่นั้นไม่พอ

ฉันโชคดีกว่าคนไทยหลาย ๆ ยุคที่ได้เกิดมาในสมัยที่กษัตริย์พระองค์นี้ครองราชย์ และ

ฉันก็โชคดีกว่าคนในประเทศอื่น ๆ ที่มีกษัตริย์ที่ รักประชาชนอย่างสุดหัวใจทั้งคำพูดและการกระทำ

ฉันโชคดีกว่าบัณฑิตหลาย ๆ คนที่มีในหลวงมาแสดงความยินดีด้วยการมอบปริญญาบัตรให้วันที่ฉันสำเร็จการศึกษา

แค่นี้ก็บอกได้เต็มปากแล้วว่าปลื้มและโชคดีแค่ไหน


สิ่งที่ฉันคิดตอบแทน ก็คือ ทำตัวเป็นคนดีเป็นตัวอย่างที่ดี และ อบรมสั่งสอนลูกหลานให้เป็น
คนดีไม่ทำให้สังคมต้องเดือดร้อน รู้จักพอเพียงเพื่อความเพียงพอในการดำรงชีวิต ดูไป
แล้วอาจจะเป็นสิ่งเล็ก ๆ หากมองจากภารกิจเยอะแยะที่ท่านทำ และใคร ๆ ก็พูดแบบนี้
กันเกร่อ แต่ฉันว่าฉันทำจริง และทำมานานแล้ว อย่างที่มานั่งเล่าให้พวกเราฟังหลายตอนที่ผ่านมางัย



จากคุณ : ชราร่า - [ วันพ่อแห่งชาติ 19:24:54 ]






ความคิดเห็นที่ 2

พ่อคนที่สองก็คือ พ่อบังเกิดเกล้าของฉันเอง...

พ่อเดิมเป็นครูสอนภาษาจีน เคยเล่าให้ฉันฟังว่า ตอนสงครามโลก เวลามีหวอมา
ต้องไล่ให้นักเรียนหลบใต้โต๊ะเรียน พ่อก็หลบใต้โต๊ะครูเหมือนกัน หวอไปแล้ว ก็ค่อยมา
สอนหนังสือกันต่อ ทำให้นึกถึงสนามบินสุวรรณภูมิกับ กับสถาบันลาดกระบังฯ ตอนนี้เห็น
มีเรื่องกันอยู่ ไม่รู้ไปถึงไหนแล้ว ต่างกันตรงที่ไม่ได้หลบระเบิด แต่หลบเสียงกันไม่พ้น
ทำให้มีปัญหาเวลาสอนหนังสือเหมือนกัน ...


สำหรับฉัน พ่อเป็นคนใจดี ไม่เคยตีฉันซักกแเอะ ผิดกับแม่ เห็นฉันคราวไร ก็ต้องหยิบ
ไม้ขัดหม้อเกือบคราวนั้น แต่ก่อนตอนที่สนามหลวงมีขายของเสาร์อาทิตย์ เหมือนแบบ
จตุจักรตอนนี้ พ่อก็จะพาฉันขึ้นรถรางฝั่งที่มีเบาะนั่ง ซึ่งจะแพงกว่าฝั่งที่ไม่มีเบาะ ต๊อง
แต๊ง ต๊องแต๊ง.... ไปดูต้นไม้ ดูนก เล่นว่าวและซื้อขนมอยู่บ่อย ๆ แปลกใจที่พ่อไม่เคยชวน
ลูก ๆ คนอื่นไปเลยนอกจากฉัน


พ่ออุ้มฉันขึ้นสูงเวลามีงิ้วมาเล่นที่ตลาด เพื่อฉันจะได้มองเห็นได้ชัดเจน น้ำหนักฉันก็ไม่มาก
แต่ด้วยระยะเวลา ทำให้พ่อต้องสลับมืออยู่บ่อย ๆ ฉันไม่ได้สนุกไปกับงิ้วที่เล่นอยู่หรอก
เพราะฟังไม่รู้เรื่อง แต่ยังชอบที่จะเห็นอะไรในที่สูงเพราะจะมองเห็นได้ไกล ๆ และแน่
นอนฉันมักจะมีน้ำตาลสายไหมสีสวย ฟูฟ่องอยู่ปลายไม้หรือไม่ก็ตุ๊กตาทำด้วยน้ำตาลที่
ถูกเคี่ยวจนเหนียวหนึบในหม้อเหล็กใบย่อมแบ่งเป็นช่องเล็ก ๆ น้ำตาลเคี่ยวต่างสีที่ คนขาย
หยิบจับมาตกแต่งด้วยกรรไกรเล็กอย่างคล่องแคล่ว ออกมาเป็นรูปหงอคงบ้าง รูปดอกไม้
หรือนกบ้างบนไม้ถือเล็กยาวติดมือกลับบ้านเสมอหลังงิ้วในตลาดเลิก


ตอนเรียนที่เผยอิง อย่างที่เล่าให้ฟัง ฉันถูกทำโทษบ่อย ๆ คุณครูก็จะให้อยู่ตอนเย็นเพราะ
มีการบ้านเพิ่ม พ่อก็มักจะหิ้วหม้อเคลือบสีน้ำเงินมีฝาปิดใบกลม มาส่งให้ฉันที่หลังห้องเรียน
เป็นประจำด้วยกลัวว่าจะหิว แล้วนั่งรอรับฉันกลับบ้าน อันนี้ก็ไม่เห็นพ่อไปส่งข้าวให้กับพี่น้อง
คนไหนเหมือนกัน อาจเป็นเพราะว่าไม่มีใครเกเร และต้องอยู่เย็นเหมือนฉันละมั่ง
พี่น้องคนอื่น ๆ เรียบร้อยกันทุกคน


นอกจากมีชื่อจีนเป็นของตัวเองอย่างเป็นทางการแล้ว ฉันยังมีชื่อเล่นจีนอีกด้วยนะ ว่าไปแล้ว
มีหลายชื่อด้วยซ้ำ และหนึ่งในชื่อนั้นก็คือ “เช็งซิม” ซึ่งแปลว่า “สบายใจ” ด้วยความเป็น
คนร่าเริง แจ่มใสยิ้มง่าย เถียงเก่ง ทำเอาผู้ใหญ่หัวเราะได้ง่ายเมื่ออยู่ใกล้...


อ๋อ มีอยู่อีกเรื่อง ที่พ่อเห็นแล้ว จะต้องดีดนิ้วฉันให้เจ็บเมื่อฉันกินข้าวโดยไม่ใช้ตะเกียบ....

“เราเป็นคนจีน ต้องใช้ตะเกียบเป็น...”


ตอนเข้าวัยรุ่น พ่อจะเป็นคนเฝ้ารอฉันกลับบ้านดึกด้วยความเป็นห่วง หลายครั้งที่เจอ
พ่อยืนรอฉันอยู่ที่ป้ายรถเมล์หน้าซอยบ้านโดยไม่รู้ว่ารออยู่นานแค่ไหนแล้ว หรือไม่ฉันก็จะ
เห็นพ่อนั่งอ่านหนังสือพิมพ์จีนด้วยแว่นขยายใต้โป๊ะไฟดวงสีเหลืองเข้ม ตอนฉันแอบไขกุญ
แจเข้าบ้านกลางดึก

และเมื่อเห็นฉันกลับมาพ่อก็จะเก็บหนังสือพิมพ์ เอาแว่นขยายใส่กล่อง ปิดไฟเข้านอนโดยไม่พูดอะไร


วันที่ญาติผู้ใหญ่คุณช้างมาสู่ขอฉันกับพ่อ แม้ว่าจะรู้เห็นการคบหากันมากกว่าเพื่อนระหว่าง
เราสองคนมานาน วันนั้นกลับเป็นอีกวันที่ฉันจะไม่อาจลืมได้เลย

“เวลามาขอสาวบ้านนี้ พวกคุณต้องเอากระดาษแดงยาวมาพร้อมหมึกและพู่กันจีนที่ยังไม่
ได้ใช้ มาขอวันเดือนปีเกิดของลูกสาวผม โดยผมจะเป็นคนเขียนให้ไปทั้งชื่อแซ่
และวันเวลาเกิดกลับไป พวกคุณนำไปเพื่อดูวันที่เป็นมงคล แล้วก็เขียนวันที่เป็น
ฤกษ์ดีมาในกระดาษใบเดียวกันส่งกลับมาให้ผม ไม่ใช่มากันมือเปล่า แบบนี้ ไม่มีขั้น
ตอนธรรมเนียม ไม่มีความเคารพหรือให้เกียรติกันนี่นา ทำงี้ได้งัย.....”


ญาติผู้ใหญ่ของคุณช้างแทบหงายหลัง เมื่อเจอไม้เด็ดของพ่อฉันเข้า....พ่อเอาแบบฉบับการ
สู่ขอโกวเนี้ยแบบจีนมาใช้ พี่ ๆ บอกว่าพ่อหวงลูกสาว โดยเฉพาะฉันคนนี้เพราะครั้งที่ว่าที่
พี่เขยมาขอพี่สาว ไม่เห็นพ่อวุ่นวายยุ่งยากแบบนี้


หลังแต่งงาน พ่อเฝ้าดูฉันและหลานทั้งสามเติบใหญ่อย่างภูมิใจ คอยให้กำลังใจเมื่อฉัน
เหนื่อยมีปัญหาบ้าง ช่วงหลัง ๆ พ่อล้มป่วยลง เป็นอัมพฤตอยู่พักใหญ่ ๆ ร่างกายอ่อนเพลีย
และป่วยง่าย ฉันและพี่น้องทุกคนดูแลพ่อเป็นอย่างดี กระนั้น ความเจ็บปวดของพ่อก็
ไม่บรรเทาลง วันสุดท้ายตอนที่อยู่โรงพยาบาล หมอบอกพวกเราว่า พ่อมีเลือดไหลออก
จากกระเพาะไม่หยุด และ อายุ 85 ของพ่อก็แก่เกินกว่าจะผ่าตัด เนื้อกระเพาะไม่อยู่ในสภาพ
แข็งแรงพอที่จะเย็บได้ติดอย่างถาวร สิ่งทีทำได้ก็คือ การให้เลือด แล้วเลือดจากกระเพาะ
ก็จะไหลออกมาเวียนกันไปแบบนี้ หลังจากที่คุณหมออธิบายจบ ฉันถามหมอว่า

“ ถ้าพ่อฉัน เป็นคุณพ่อของหมอ คุณหมอจะตัดสินใจทำอย่างงัยต่อไปค่ะ ”

“.. สภาพแบบนี้ คนไข้ก็เจ็บปวดพอสมควรนะครับ แล้วอายุมากเท่านี้ การทนความเจ็บปวด
เป็นสิ่งที่ทรมานมาก มากกว่าพวกเรา ๆ อีก ถ้าเป็นพ่อผม ผมคงไม่อยากให้ทรมานแบบนี้ ”
แม้ไม่ได้ให้คำตอบตรง ๆ ฉันก็อ่านออกในนัยที่คุณหมอพูด

ขณะที่คนอื่น ๆ ไม่กล้าตัดสินใจและยัง งง ๆ กับคำพูดของคุณหมอ ฉันเป็นคนเดียวที่เรียก
ประชุมพี่น้องทุกคนที่อยู่ในที่นั้น ฉันเสนอให้พ่อไปอย่างสงบ โดยไม่ต้องให้เลือดอีก
ด้วยเหตุและผลหลายประการ ที่สำคัญ ไม่อยากให้พ่อต้องเจ็บไปกว่านี้ พ่อต้องเจ็บเพื่ออะไร
เพื่อให้คนอื่น ๆ ว่าเราเป็นลูกที่ดี ลูกที่กตัญญเหรอ เปล่าเลย ความเจ็บปวดของพ่อต่างหาก
ที่เราต้องสนใจมากกว่าเรื่องอื่น ๆ พ่อเหนื่อยเพราะพวกเรามามากพอแล้ว ให้พ่อไปอย่างสงบเถอะ


หลังจากคุณหมอเริ่มให้สัญณาญว่าใกล้เวลาแล้ว รอบเตียงของพ่อ พวกเราจับมือกันไว้
และสวดมนต์ ชิณบัญชรบ้าง นะโมตะสะบ้าง ทำสมาธิเพื่อส่งบุญกุศล ก็แล้วแต่ถนัด
พักใหญ่ ๆ พ่อก็จากไปท่ามกลางความโศกเศร้า พวกเราภาวนาว่าชาติหน้า มีจริง ก็ขอให้
ได้เกิดเป็นพ่อลูกกันอีก

พ่อคนต่อไป...พ่อสามี

เขาไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกว่าต้องเกร็ง หรือต้องปรนบัติเป็นพิเศษในฐานะที่เป็นสะใภ้คนโต
พ่อสามีเป็นคนทำงานแบบใช้แรงงานมาก่อน ต่อมามีกิจการในเรื่องของการขนส่งรวม
กับเพื่อน ๆ แต่ด้วยความเป็นคนซื่อ จึงมักจะถูกเอาเปรียบอยู่เสมอ ก็มักจะไม่พูดอะไร
เป็นคนมีน้ำใจดี คอยให้ความช่วยเหลือเพื่อนฝูงจนเดือดร้อนตัวเองในบางครั้ง พ่อสามีเอา
ใจใส่ฉัน ไม่แพ้ลูก ๆ ทุกคนในบ้าน ยัยปันติดอากงมาก เพราะจะเป็นคนเดียวที่พาไปเดิน
ตลาดตอนเช้า หรือไม่ก็ขับรถพาเที่ยวไปไกล ๆ ด้วยรถโอเปิ้ล คันยาวสีเทาเข้มของแก


กิจการรถขนส่งจะเริ่มงานจริง ๆ จัง ๆ หลังพระอาทิตย์ตกดิน เพราะทางการอนุญาตให้
รถใช้ถนนได้หลังสี่ทุ่มขึ้นไป กว่าจะรับลูกค้า กว่าจะจัดการให้สินค้าได้ขึ้นรถและวาง
น้ำหนักได้เหมาะสมในรถแต่ละคัน ดูน้ำมัน ดูยางรถ และความพร้อมอื่น ๆ สรุปบัญชีรายการ
สินค้าก่อนส่งรถออกแต่ละคัน และจะได้เข้าบ้าน ก็เกือบเที่ยงคืนทุกวัน


หลาย ๆ ครั้ง หลังจากเลิกงาน ฉันกับคุณช้างจะต้องไปหลังตลาดสวนหลวง เพื่อช่วยแก
ดูแลบ้าง คนแก่อายุมาก ก็มักจะอยู่ดึกไม่ไหว และหูตา ก็ไม่ค่อยจะดีแล้ว ฉันมักจะกลับบ้าน
ก่อนไปพาเด็ก ๆ ออกมาด้วย อากงก็มักยิ้มตาหยี และกางแขนรับเสมอเมื่อเห็นเด็ก ๆ
วิ่งมา ส่วนคนงานก็จะรู้ว่า วันนี้เถ้าแก่อารมณ์ดี ฉะนั้น อู้งานบ้างนิดหน่อยก็คงไม่โดน
เอ็ดตะโรเหมือนทุกครั้ง


เสียดายที่แกจากไปด้วยอุบัติเหตุ ตอนนั้น เจ้าแฝดมีอายุแค่ไม่ครบสองขวบดี อากงกำลัง
เห่อหลานทีเดียว แต่ก็แปลกที่ลูกทุก ๆ คนจำอากงได้แม่น เรื่องนั้นบ้าง เรื่องนี้บ้าง
คงมีความประทับใจลึก ๆ ในความใจดีที่อากงมีให้กับทุกคน



จากคุณ : ชราร่า - [ วันพ่อแห่งชาติ 19:35:40 ]






ความคิดเห็นที่ 5

สุดท้าย ... พ่อช้างของลูก

อาจจะไม่ใช่พ่อที่เป็น super dad อาจจะไม่ใช่พ่อที่เป็นฮีโร่ อะไรมากมาย แต่ทุก ๆ
เรื่องที่เกี่ยวกับลูก ไม่มีที่พ่อช้างจะไม่รับรู้ อาจจะเพียงไม่รู้ว่าจะต้องจัดการแก้ปัญหา
โน้นนี้อย่างไร เพราะนั้นมักจะเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว


เรื่องวิชาการ เรื่องพาเที่ยว อันนี้สิต้องยกให้พ่อช้าง การเตรียมการข้อมูลต่าง ๆ ก่อน
ไปทัศนาจร อธิบายสิ่งที่ลูกจะต้องเจอ ต้องพบ ให้เห็นของจริง ได้สัมผัสของแท้ สิ่งเหล่า
นี้ฉันทำไม่ได้ ไม่ชำนาญ ลูกมั่วจะเยอะ พ่อช้างจะบอกเสมอว่าการเรียนไม่ใช่ต้องอยู่
ในห้อง สิ่งที่อยู่นอกห้อง จะทำให้ลูกเรียนได้ดีขึ้น เข้าใจมากขึ้น ที่สำคัญจะจำได้
เพราะสนุกกว่า ไม่เบื่อ


ทุกครั้งที่ฉันตีลูก พ่อช้างไม่เคยเข้ามาห้าม ด้วยว่ายกการอบรมสั่งสอนอยู่ที่ฉัน เขา
เองด้วยเป็นเซลล์ต่างจังหวัด เลยมีเวลาได้อยู่บ้านและพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว
ได้เพียงเดือนละ 10 วัน พ่อช้างจะอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นเท่าไร คอยฟังฉันพูดถึงสาเหตุ
ที่ต้องลงโทษลูกว่า ที่มา ที่ไปเป็นอย่างไร แต่หลังจากนั้นแล้ว พ่อช้างจะเอาลูกเข้ามากอด
แยกออกไปจากที่เกิดเหตุ แล้วค่อย ๆ ปลอบว่า ทำไมแม่ถึงต้องลงโทษ สิ่งที่ถูกคืออะไร


“…ปูนไม่ได้ตั้งใจเอาของในครัวไปเล่นตักทรายใช่ไหมครับ ทีหลังต้องถามก่อนนะลูก
ที่ใช้ในครัวต้องสะอาด ไม่งั้นเวลาทำกับข้าว ใช้ช้อนไม่สะอาด ปูนก็จะปวดท้องนะครับ
ทุก ๆ คนก็จะปวดท้องด้วย ทีหลังปูนจะใช้อะไร ก็ต้องถามก่อนนะครับ....”


จริง ๆ ฉันก็พูดเรื่องเดียวกันแหละ เพียงแต่โทนเสียงฉันจะเข้มกว่าเท่านั้น


ทุกครั้งที่ต้องสอบ ไม่ว่าจะเป็นช่วงชั้นไหน พ่อช้างจะเป็นคนดูความเรียบร้อยอย่างรอบคอบ
ฉันจำได้ว่า ตอนลูกไปสอบเข้าชั้น มัธยมปีที่ 1 ปีที่ 3 และ แม้กระทั่งสอบ entrance
พ่อช้างจะบัตรสอบเอามาดูซิ ตัวสะกดชื่อสกุลถูกต้องไหม โดยเฉพาะห้องสอบที่อยู่
ต่างโรงเรียน พ่อช้างจะต้องหาวันที่สะดวกก่อนสอบสัก 2-3 วัน ขับรถไปดูทำเลที่ตั้ง
สถานที่สอบ ตึกสอบ ห้องสอบ และส่องดูโต๊ะที่นั่งสอบ ว่าเลขที่นี้ โต๊ะแถวเท่าไร
หมายเลขอะไร แล้วจดใส่กระดาษไว้ นอกจากนี้ ยังต้องพาลูกคนจะสอบไปดูห้องน้ำ
ห้องโรงอาหาร รถเมลล์สายทิ่วิ่งผ่าน เวลาที่ต้องใช้เดินทาง เพื่อให้แน่ใจว่า แม้จะมีอุปสรรค
ปัญหาใด ๆ เกิดขึ้น ก็สามารถทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กได้ หากเรารู้ และจำเป็นต้องแก้
ปัญหาเฉพาะหน้า เช่นตื่นสาย หรือรถติด เป็นต้น


ก่อนไปสอบ พ่อช้างจะพาลูกไหว้พระพุทธเป็นกำลังใจ คืนนั้นจะตั้งนาฬิกาปลุกไว้ทั้ง
ที่ห้องตัวเอง และ ห้องลูก หากลางานได้ พ่อช้างจะพยายามอยู่เป็นเพื่อนลูกจนสอบ
เสร็จทุกวัน มิใยว่าช่วงหลัง ๆ ลูกจะอายเพื่อน ที่มีพ่อมาเฝ้าสอบ พ่อช้างก็จะไปอยู่ที่ตึก
อื่น หรือรออยู่ที่ห้างใกล้ ๆ สนามสอบ ไม่ให้เพื่อนลูกเห็น เอาไปล้อได้


กับฉันเองพ่อช้างใส่ใจอย่างไม่แสดงออก ช่วงไหนที่จราจรจะติดขัดมาก หรือว่ารู้ว่างาน
เยอะอาจจะต้องหิ้วท้องอยู่บนถนนนาน จะมีกล่องนม และขนมปัง วางอยู่ในรถเสมอ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใครเอามา ถ้าจะไม่สบาย ก็จะถามว่าไปหาหมอไหม เรื่องนัดหมายที่คลีนิค
หรือโรงพยาลาล พ่อช้างจะจัดการให้เสร็จสรรพ อีกทั้งจะโทรมาคอยเตือนทุก ๆ ช่วงประ
มาณว่าฉันต้องกินยาหลังอาหาร ทั้ง 3 มื้อ ทั้งตอนเช้าประมาณ 7 โมงเช้า ตอนเที่ยงครึ่ง
และ ตอนประมาณ 1 ทุ่ม โดยที่ตัวเขาเองยังอยู่ต่างจังหวัด

“คุณอย่าลืมกินยานะครับ..” “ กินยายัง ดีขึ้นบ้างไหม ...”เหมือนนาฬิกาปลุกเลยแหละ....หรือว่า

“ผมอยู่บ้านแล้วนะครับตอนนี้ เย็นคุณมีธุระ หรือว่าจะไปเที่ยวกับเพื่อน ๆ ก็ตามสบายนะ
ผมจะดูลูก ๆ เองวันนี้ คุณไม่ต้องรีบกลับก็ได้...” ประโยคนี้ได้ยินบ่อย ๆ ช่วงเวลาเขามา
อยู่ที่กรุงเทพ ฯ


เป็นงัย..น่ารักไหม


เมื่อประมาณปี1998- 2000 ช่วงที่ว่านี้ พ่อช้างไม่ได้อยู่ที่เมืองไทย เพราะที่บริษัทส่งพ่อช้าง
ไปทำงานที่เมืองเฉินตู ประเทศจีน เป็นเวลา สองปี ขณะที่ลูกยังอยู่มัธยมปลายทั้ง 3 คน
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อด้านการเรียน นอกจากที่โรงเรียนแล้ว ยังต้องมีกิจกรรม ยังจะต้อง
ไปกวดวิชาเรียนพิเศษสารพัดกับครูคนนั้น อาจารย์คนนี้ ต่างที่ ต่างเวลา และต่างวิชา
แม่ช่าเหนื่อยถึงเหนื่อยมาก งานก็เยอะ โปรแกรม Y2K ที่ต่างหวาดกลัว ต้องเตรียมการเอก
สาร ต้องเตรียมพร้อม วันหยุดก็เป็นแม่ช่าโชเฟอร์ ส่งลูกคนนั้น รับลูกคนนี้ ยัง ยังไม่พอ
บางครั้งลูกเป็นไข้ สักพักอีกคนท้องเสีย ฉันต้องคอยหนีงานมาดูลูกช่วงกลางวัน อีกคน
กำลังมีปัญหากับเพื่อนที่โรงเรียน งานกีฬาสีทำไม่เสร็จ ส่งรายงานไม่ทัน โอ้ยยย...สารพัด
รุมเร้าเข้ามา แม่ช่า รับปัญหาอยู่คนเดียว ที่สำคัญต้องคอยไม่ให้ตัวเองป่วย หรือเป็นอะไร
ไป แค่คืนเดียวที่รู้ตัวว่าเป็นไข้ตัวรุม ๆ ฉันต้องรีบหายากินทันที ท่องในใจว่า ห้ามหยุด
ห้ามป่วย ให้เวลาตัวเองคืนนั้นเพียงคืนเดียว พรุ่งนี้ ฉันต้องพร้อมรับงานหนักได้เหมือนเดิม

พ่อช้างโทรทางไกลจากประเทศจีนมาที่บ้านคืนวันหนึ่ง ซึ่งบังเอิญเป็นวันที่ฉันอารมณ์เสียพุ่ง
ปริ๊ดสุดขีดด้วยเรื่องอะไรที่ไม่เป็นสาระ แต่ด้วยความเหนื่อย และเพลีย จึงหงุดหงิดพร้อม
ที่จะหาเรื่องกับใครสักคนอยู่แล้ว พ่อช้างก็มาเป็นตัวรับอารมณ์ฉันพอดี

“..ช่างานยุ่งไหมช่วงนี้ แล้วลูก ๆ เป็นอย่างงัยบ้าง คุณลำบากไหม”

“…เหนื่อยสายตัวแทบขาดอยู่แล้ว ไหนจะต้องส่งเรียนพิเศษ ไหนจะงานที่บริษัท
แล้วนี่นะ ๕^%$()_%$#@!!.........”

ทุก ๆ คำพูดก็พรั่งพรูผ่านสายโทรศัพท์ไปยังเมืองที่เขาอยู่.....

“แล้วคุณล่ะ เป็นงัย...” ถามกลับ หลังจากบ่นจนเหนื่อย

“ที่นี่เมืองมันเงียบ ทำงานเสร็จตอนเย็น ก็ไม่ค่อยมีที่ไป นั่งคุยกันเองกับเพื่อนที่มาด้วยกัน
หรือเพื่อนคนจีน ดูทีวีบ้าง ส่วนเสาร์อาทิตย์ก็ไปเที่ยวเมืองที่อยู่ใกล้ ๆ .....”


“โห ทำงานมีความสุขแบบนี้ ดีนะคะ น่าอิจฉาชะมัด ช่านะบางทีเวลาเป็นของตัวเองสักชั่วโมง
ยังหาไม่ค่อยได้เลย คุณน่ะ สบายจังเลยนะ มีเวลาว่าง แล้วยังได้เที่ยวบ่อย ๆ อีก… ลูกทาง
นี้ตั้ง 3 คน นั่งดูแลอยู่คนเดียว มันเหนื่อยแค่ไหนคุณรู้บ้างไหม...” อดไม่ได้ที่จะใส่เข้าไปอีกดอก


“ผมกลับว่า คุณยังดีกว่าผมนะ ” เสียงเขาเนิบและช้า...คล้ายปลอบเมื่อรู้ว่าฉันอารมณ์ไม่ดี

“ดียังงัย มาแลกกันไหม...โธ่...”ว่าไปโน้น เกเรเหมือนเด็ก ๆ

“ก็คุณยังได้เห็นลูก ได้อยู่กับลูกงัย ผมคิดถึงลูกแค่ไหน ก็...” เสียงเขาเงียบไป ส่วนฉันก็อึ้ง
สะอื้นของเขาทำให้ฉันรู้สึกจนจุกที่คอ ใช่ เขาใช้ชีวิตอยู่ที่โน้นทั้งเหงา และ เงียบ
ให้เหนื่อยแค่ไหนฉันก็ได้อยู่กับลูก ได้กอด ได้หอม แต่เขาซิ ไม่มีโอกาสได้ทำอย่างฉันเลย....










Create Date : 28 มกราคม 2550
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:11:42 น. 0 comments
Counter : 390 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

ชราร่า
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




");}
Friends' blogs
[Add ชราร่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.