Tough Time Never Last ...But Tough People Do
Group Blog
 
All Blogs
 

20>ยุทธการตามหาฝัน

เกรงใจจัง ช่วงนี้เป็นกระทู้แม่ช่าติด ๆ กัน หลายกระทู้

เหตุการณ์มันบังคับ ขออำภัยด้วยเด้อออ...


อย่างที่ขอลาไว้ กระทู้ข้างล่างนี้ คือ จะไปฟอกใจสัก

หน่อย ผลัดวันประกันพรุ่งกับตัวเองมาหลายคราแล้ว

คงต้องลงมือสักที....


ตอนนี้ค่อนข้างยาวนะคะ แต่ก็ยังไม่จบดี จะมาต่อคราว

หน้านะคะ สัญญา จริง ๆ แล้วกะว่าจะเอาให้จบเลย แต่

เด๋วจะนอนดึกอีก พรุ่งนี้ต้องถึงสนามบินตีห้า ต้องนอนเร็ว

ซักหน่อย เพื่อน ๆ คงเข้าใจนะคะ


ok ไปเริ่มเลยค่ะ

จากคุณ : ชราร่า - [ 14 ม.ค. 50 21:22:18 ]




--------------------------------------------------------------------------------

หน้าหลัก แจ้งลบ bookmark ส่งต่อกระทู้ พิมพ์ โหวตกระทู้ เก็บเข้าคลังกระทู้ กระทู้ก่อนหน้า กระทู้ถัดไป








--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 1

“ทำไมลูกเราไม่เรียนเก่งและไม่น่ารักเหมือนลูกคนอื่นเขานะ”


หัวข้อกระทู้นี้ยกมาจากห้องชานเรือนเมื่อประมาณเดือน

ตุลาคม ปีที่แล้ว เห็นแล้วก็นึกย้อนกลับมาดูลูกตัวเอง บาง

ครั้งก็คิดเหมือนกันนะ ไม่ใช่เรื่องดื้อรั้นหรือไม่เชื่อฟังของ

ลูก แต่เป็นเรื่องของการเรียน อย่างที่เคยบ่นให้ฟังมา

หลายตอนแล้วว่า ลูกเก่งตอนอยู่นอกห้องเรียน แต่ไม่มี

สมาธิเลยเมื่อเรียนในระบบการศึกษา ในโรงเรียน


การบ้านทำผิดแทบทุกวัน ไม่มีวันไหนที่ทำได้ถูกต้องหมด

และครบถ้วน จะต้องมีรายงานจากคุณครู ทู๊กกก...วัน ไม่

การบ้านค้างไม่ส่ง ก็ไม่ใส่ใจในบทเรียน กระติกน้ำหาย

ลืมกระเป๋าไว้ที่โรงเรียน มานึกได้ตอนที่ตัวกลับมาถึงบ้าน

แล้วหนังสือเรียนต้องซื้อใหม่อยู่บ่อย ๆ จะว่าสมาธิสั้น ก็

คงไม่ใช่ มันไม่มีสมาธิเอาซะเลยจะถูกต้องกว่า



ถ้าเป็นสมัยนี้ ก็คงมีทางให้เลือกเยอะ เรียนแบบสาธิต

เรียนแบบเน้นการพัฒนาหรืออื่น ๆ ฉันคงมีความ

สุขมากกว่า เพราะช่วงนั้นก็กลุ้มใจจริง ๆ เพราะทั้งสามคน

เป็นแบบนี้หมด



เอาล่ะ ไม่ชอบเรียน พูดดีก็แล้ว พูดแย่ ๆ ก็แล้ว เหมือน

เดิมทุกอย่าง ถ้าตีให้ตาย ก็คงตายเปล่า หา

ทางออกอย่างอื่นดีกว่า เรื่องจะเรียนถึงมหาวิทยาลัย ตอน

นั้นคิดว่าคงจะยาก เรียนเป็นสายวิชาชีพแล้วกันนะลูกนะ

แล้วระหว่างนี้ล่ะ ก็คงต้องหาอะไรที่ชอบฝึกฝนไปก่อนให้มี

กิจกรรมทำ คนอื่น ๆ เขาเรียนพิเศษกันหน้าดำคร่ำ

เครียด แล้วลูกอยากเรียนอะไรไหม


“ แม่ปรึกษาลูกหน่อยนะ.... คือแม่ดู ๆ แล้ว รู้สึกลูกจะไม่

ชอบเรียนหนังสือเลย เพราะลูกไม่ได้ตั้งใจเท่าไร แต่

ลูกตั้งใจเรื่อง อื่น ๆ มากกว่า....”


“ แต่จะไม่เรียนก็ไม่ได้นะลูก คนเราต้องมีวิชาติดตัว จะ

ได้มีเครื่องมือทำมาหากิน พ่อกับแม่ก็ไม่ได้อยู่เลี้ยงลูกได้

ตลอดนะคะ วันหนึ่งลูกก็ต้องดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัว

ของตัวเอง เหมือนกับแม่กับพ่อตอนนี้ยังงัยลูก...”


“.. แม่ก็คิดว่าอยากให้ลูกเรียนอะไรก็ได้ที่ลูกอยากเรียน

แล้วจะต้องทำได้ดีนะ แล้วเราค่อยดูว่า เมื่อพยายามทึ่สุด

แล้ว ลูกจะเรียนได้สูงแค่ไหน ค่อยมาว่ากันอีกที ดีไหม

ลูก ลูกเข้าใจไหม...”


“อยากเรียนมหาวิทยาลัย เหมือน พี่ดิว....” รู้สึกเป็นเสียง

ของยัยปัน ลูกยังไม่เข้าใจเรื่องสายอาชีพ ก็เลยข้ามไป

ก่อน เรียนมหาวิทยาลัยก็ได้ แค่อยากจะเรียนก็เพียงพอ

สำหรับแม่แล้ว


“ ก็ต้องตั้งใจเรียนในห้องให้ดี แต่เราไปเรียนอะไรพิเศษ

เพิ่มเติม เป็นพวกกีฬาดีไหมลูก รู้สึกว่าถ้าเราเล่นได้ดีเป็น

นักกีฬาเขต อาจจะได้โควตาเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้....”



บอกเลยว่า เราแม่ลูกคุยกันแบบนี้จริง ๆ ดูเหมือนคุยกับ

ผู้ใหญ่ ก็ฉันอยากแสดงให้เขาดูว่า ฉันขอปรึกษาหารือ

อย่างจริง จัง สุ่มเสียง และบรรยากาศแบบเปิดใจ ทำให้

ลูกเห็นความตั้งใจของเราดี ให้เกียรติและโอกาส เข้าใจ

เขาในสิ่งที่พวกเขาประสบอยู่ ไม่ว่ากับเพื่อน กับครู กับการ

เรียน ลูกจะได้แสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ ลูกจะได้

ตระหนักว่า เรา แม่ลูก กำลังคุยชีวิตของเขาเอง สอนเขา

รู้จักนึกย้อนถึงตัวเอง ให้เขารู้ว่า เราเห็นเขาสำคัญ ซึ่งแม้

ว่าเขาอาจจะไม่ได้เข้าใจที่ฉันพูดวันนี้ทุกคำ ฉันหวังว่าวัน

หน้าเขาจะนึกได้ แม้จะเข้าใจได้ทีหลังก็หวังว่ามันจะไม่

สายเกินไป

จากคุณ : ชราร่า - [ 14 ม.ค. 50 21:26:08 ]






ความคิดเห็นที่ 2

บรรยากาศที่เรียกว่า เปิดใจ นี้ ฉันนำมาใช้ไม่บ่อย แต่ทุก

ครั้งที่ทำ ลูกมักจะฟังและโต้ตอบฉันด้วยเหตุผลที่ดี และ

ดีมากสำหรับเด็กในวัยวุฒิระดับประถม



ที่สำคัญ ฉันไม่เคยบ่น หรือต่อว่าต่อขาน ถึงเรื่องการเรียน

ที่ไม่ได้เรื่องของพวกเขาเลย เพราะรู้ว่า สมุดที่เต็มไปด้วย

สีหมึกแดงที่ กาผิด ที่เขียนแก้ไข จากคุณครู ลูก ก็รู้สึก

อายอยู่แล้ว เมื่อรู้ว่าลูกก็เต็มที่แล้ว ไปกดดันมาก ลูกก็จะ

ไม่รู้สึกอิสระพอจะความคิดเห็นได้ดี



ฉันเชื่อว่า ความมีอิสระ ทำให้เกิดปัญญา




กลับมาเรื่องเรียนพิเศษเพื่อเตรียมตัวเป็นเด็กโควตาด้าน

กีฬา ซึ่งหลังจากปรึกษากันแล้ว พวกเขาก็สรุปว่า....


“ เรียนเทควันโดครับแม่ ” อืมม ท่าจะดี ลูกเราแข้งขา

ยาว อีกหน่อยคงสูง ออกทางด้านกีฬาก็ไม่เลว อาจจะเป็น

ทีมชาติกับเขาก็ได้ และถ้ามาถูกทางอาจ go inter ไป

แข่งต่างประเทศ เป็นแชมป์โลกอีก อ่ะฮ่า แม่ช่าคิดการ

ใหญ่ เอาเลยลูก ต้องมีอุปกรณ์อะไรบ้างเนียะ เรียนเท

ควันโด


ปรากฏว่าก็โชคดีไม่มีอุปกรณ์แพง ๆ อย่างที่กลัว ดังนั้นทุก

เสาร์และอาทิตย์ แม่และลูก ๆ ก็ต้องไม่ไปไหนไกล

เพราะมีตารางนัดที่แน่นอนอยู่แล้ว ต้องเตรียมอาหาร น้ำ

ท่า ขนม นม และของว่างใส่ตะกร้าให้พร้อม ลูกจะได้ไม่

หิว เพราะต้องฟิตเต็มที่



เหตุการณ์ก็ผ่านไปได้ด้วยดี จากเทควนโดเริ่มด้วยสายสี

ขาว เป็นสีเหลือง จากเหลืองเป็นเขียว จากเขียว เป็นฟ้า..

เป็นสายสีน้ำตาล และเป็นสายสีแดง โอ ใกล้แล้วลูก

ใกล้แล้ว จวนจะได้สายดำ ซึ่งเป็นสายสุดท้าย แต่

แล้ว ....


“ ไม่เอาแล้วแม่ อยากเรียนว่ายน้ำมากกว่า...” อ้าว งัยมา

เปลี่ยนใจเอาตอนหลังแบบนี้ อีกนิดเดียว เราก็จะได้แล้ว

เทควันโดสายดำ สุดเท่ ลูกก็มาทิ้งซะเฉย ๆ ได้งัย “


อยากเรียนว่ายน้ำอ่ะ ....” เสียงอ้อน พร้อมทำตาแดง ๆ



คนเรียนคือลูก ไม่ใช่เรา...คงต้องมีความสมัครใจพอควร

แหละ ฉันก็ไม่ชอบที่จะขืนใจในสิ่งที่ลูกไม่อยากทำ คน

เราจะทำได้ดีในสิ่งที่ชอบเท่านั้น และที่สำคัญเขาไม่ได้

อยากเลิก เพียงแต่ว่าเขาอาจจะรู้สึกว่า อาจว่ายน้ำได้ดี

กว่าเทควันโดก็ได้



เอาล่ะ อุปกรณ์สำหรับว่ายน้ำไม่มากนัก เราก็ไปสมัคร

เรียนว่ายน้ำที่สระว่ายน้ำเกษตรศาสตร์ บางเขน คุณครูที่

สอนว่ายน้ำเพื่อเป็นนักกีฬาเขตบอกว่า ลูกอายุเกินเกณฑ์

แล้ว โดยปกติหากจะเริ่มเพื่อเป็นนักกีฬาอย่างเป็นจริงเป็น

จัง จะต้องเริ่มตอนอายุ 9 ปี แต่ตอนนี้เกือบ 11 ปีแล้ว

เกรงว่าจะต้องซ้อมมากกว่าปกติสักหน่อย ลูก ๆ ก็พยัก

หน้าด้วยความเต็มใจ ในเมื่อลูกสู้ แม่จะไปถอยได้อย่าง

ไร เอ้า ไปลูก ไปตามความฝันกัน


ความฝันของลูก ไม่ว่าจะแขวนไว้ที่ไหน แม่จะตามไป

สอยมาให้ ไม่สนว่าจะยาก จะลำบาก ขอให้ฝันเถอะ อย่า

หยุดฝัน เพราะแม่จะได้ช่วยทำให้ฝันนั้นเป็นฝันที่ดีของ

ลูก และ ต้องเป็นจริงในที่สุด


แม่สัญญาจ๊ะลูก

จากคุณ : ชราร่า - [ 14 ม.ค. 50 21:30:24 ]






ความคิดเห็นที่ 3

ทุกวัน หกโมงเช้าต้องไปถึงสระ ฉันต้องตื่นตีสี่ เตรียม

อาหารของลูกใส่ตะกร้า แซนวิช นม น้ำ ขนมอื่น ๆ แล้ว

จัดการกับตัวเองใส่ชุดทำงาน อุปกรณ์ของลูกได้ให้เตรียม

ไว้ก่อนขึ้นนอนแล้วเมื่อคืน กว่าจะเสร็จก็ตีห้ากว่า ๆ ค่อย

ๆ ปลุกลูกให้ตื่น อาบน้ำแต่งตัว ออกจากบ้านประมาณ ตี

ห้าสี่สิบนาที ใช้เวลา สิบห้า นาทีเดินทาง ตอนเช้า ๆ รถไม่

แน่น สระก็ใกล้บ้าน ลงสระก็ตอนหกโมงเช้าพอดี



ซ้อมว่ายน้ำอยู่ 1 ชั่วโมง เสร็จแล้วก็ให้ลูกแต่งตัว ฉันก็ไป

ส่งที่โรงเรียน แล้วฉันก็ไปทำงานต่อ ตอนเย็น ก็รับจาก

โรงเรียนมาซ้อมว่ายน้ำตอนเย็นอีก 1 ชั่วโมง เสร็จกลับ

บ้าน กินข้าว แล้วก็ทำการบ้าน ขึ้นนอน พรุ่งนี้ก็เริ่มวงจร

ใหม่ ตอนใกล้สอบ หรือหากไม่สบาย ก็ลำบากหน่อย



ผ่านมาสักพักใหญ่ ๆ ปรากฏว่าลูกเป็นภูมิแพ้ ทำให้ลงแข่ง

ขันไม่ได้ ภารกิจนี้ก็ไม่สำเร็จตามที่วางไว้


ต่อมาลูกเกิดอยากเป็นศิลปิน อยากเป็นนักวาดรูปเสมือน

จริง ก็พากันไปลงคอร์ส 2 คอร์ส แผ่นไม้อันรองกระดาษ

เอย กระดาษวาดเขียนเอย ดินสอดำหลายขนาด หลาย

เบอร์


ลูกแอปเปิ้ล วางหลังตู้เย็น มีแสงสาดมาด้านข้างเกิดเงา

สวย เปลี่ยนจากแอปเปิ้ลเป็นส้ม เป็นกล้วย เงาตอนเช้า

บ้าง เงาตอนเย็นบ้าง แม่ช่าก็ตามไปเฝ้าดูว่ามุมบ้านตรง

ไหนที่ได้เงาแสงที่ดีกว่า นั่งจับเวลาว่าเวลาไหนที่แสงจะ

นุ่มกว่าเวลาไหน จดเวลาที่ว่าน่าจะดีที่สุดไว้ ทั้งเสาร์และ

อาทิตย์ ยังนึก ๆ อยู่ว่าฤดูกาลที่เปลี่ยนไป อาจจะต้องมา

จดใหม่ เพราะดวงอาทิตย์จะเปลี่ยนองศาการขึ้นและลง



แต่ยังผ่านไปไม่ถึงฤดูกาลใหม่เลย แล้วลูกก็มาบอกว่า

ทางนี้ไม่ใช่ฝันที่เขาอยากไปแล้ว เอ้า เลิกเหรอลูก เลิกก็

เลิก เหมือนดูหนังดูดี ๆ ก็จบดื้อ ๆ ซะ งั้น แม่ว่าลูกยังจับ

ดินสอวาดยังไม่ถนัดมือด้วยซ้ำ มาดูกันใหม่ซิว่าจะเรียน

อะไรดี ลูกคงยังวน ยังหาตัวตนของลูกยังไม่เจอ



ฉันก็หวังลึก ๆ ว่าเมื่อไรที่หาตัวตนเจอแล้ว ลูกจะเจอทาง

เดินของชีวิตลูกเหมือนกัน



มารู้ตัวอีกที ก็ได้อยู่ร้านขายเครื่องดนตรีเป่า ลูกอยาก

เป็น เคนนี่ จี นักเป่าแซก ระดับโลก เสียงแซกเขา

โหยหวน หวานฉ่ำ ทุกครั้งที่ได้ยิน ตอนนั้นเพลง my hear

will go on ของภาพยนตร์เรื่อง Titanic กำลังดัง ฉันจ้าง

ครูเป่าแซกมาสอนที่บ้าน ชั่วโมงละ 700 บาท ครั้งละ 2

ชั่วโมง ที่บ้านจะมีเสียงเพลงนี้ ฉบับเป่าผิด เป่าถูกอยู่พัก

ใหญ่ เกรงใจข้างบ้านมาก วิทยุโทรทัศน์ก็ดูไม่รู้เรื่อง แต่

ทุกคนที่บ้านก็อดทน อดทนกับเสียงแซกที่เกือบจะ

เพราะ เกือบจะใช่ตามตัวโน๊ตที่คุ้นหู เพื่อว่า เพื่อว่า ลูกจะ

หาตัวตนได้เจอ... สักที


เครื่องเป่าแซก สี บรอสน์เงิน ก็ถูกวางให้เหงาอยู่ในกล่อง

หนังสีดำ หลังจากลูกเป่าได้เพลงแรกจบลง ยังไม่เริ่ม

เพลงที่สองด้วยซ้ำ


My heart will go on แล้วหัวใจลูกก็โบยบินไปอีกครั้ง

จากคุณ : ชราร่า - [ 14 ม.ค. 50 21:33:58 ]






ความคิดเห็นที่ 4

คราวนี้ลูกจะสมัครเล่นวงโยธวาทิตของโรงเรียน เพราะว่า

จะได้เล่นเครื่องดนตรีเป็นวงใหญ่ อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ

สมาชิกของวงโย ฯ จะได้คะแนนพิเศษจากโรงเรียนใน

เรื่องให้ความร่วมมือต่อส่วนรวม เราแม่ลูกปรึกษากัน และ

ก็สรุปตามนี้



แต่ปรากฏว่า การเรียนลูกก็เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เช่นเคย แม้

จะมีคะแนนเรื่องการให้ความร่วมมือต่อส่วนรวม ก็ไม่ได้

ทำให้ดีขึ้นเท่าไร ซ้ำชั่วโมงเรียนก็น้อยลง เนื่องจาก จะ

ต้องซ้อมวง ก่อนเลิกเรียนหนึ่งชั่วโมง นั่นหมายความว่า

เรียนไม่ทันเพื่อนทุกวัน ๆ ละหนึ่งชั่วโมง หนำซ้ำวันเสาร์

อาทิตย์ก็ต้องซ้อม หรือไม่ก็ไปออกงานเป็นตัวแทน

โรงเรียนไปแสดงตามสถานที่ต่าง ๆ เช่นงานของกระทรวง

งานวันถวายพวงมาลา งานแสดงประชันกับวงโยฯ

โรงเรียนอื่น ๆ คนเป็นแม่ อย่างแม่ช่า ก็ต้องตามรับตามส่ง

ตามเอาเสื้อแบบฟอร์มที่ใช้ใส่สำหรับเวลาออกงานไปซัก

แห้ง หมวกทรงสูง ถุงมือขาว ถุงเท้า รองเท้าขัดมันเอี่ยม

เก็บให้เรียบร้อย เตรียมพร้อมสำหรับงานที่จะมีต่อไป



“แม่ครับ ไปป์กับปูนคิดว่า.....”



เอาอีกแล้ว หรือเปล่า ลูก ถ้าแม่เป็นเครื่องดักความฝัน

คงเหนื่อยมากเร้ยยย จริง ๆ แม่ก็เหนื่อยนะ แต่แสดงออก

ไม่ได้ เพราะเราคุยกับแล้วงัยว่า จะหาความถนัดพิเศษ

เฉพาะตัวเพื่อจะได้เป็นบันได ก้าวไปสู่สถาบันระดับอุดม

ศึกษา



สิ่งที่พยายามมาตลอดก็คงไม่สามารถดำเนินต่อไปได้

หากเพียงแต่ฉันเอ่ยปาก หรือระบายความในใจกับลูก “

พอเถอะ พอ ..ไม่ต้องร่ำ ต้องเรียนอะไรอีกแล้วทำไม ไม่

สรุปว่าจะมุ่งไปทางไหนสักทางหนึ่ง อันนั้นก็ไม่ชอบ อันนี้

ก็ไม่ถนัด แล้วลูกจะเอางัย... หา ...”


ตั้งแต่ เทควันโด .... ว่ายน้ำ... วาดรูป ....ดนตรี.... เล่นวง

โย ฯ.... ใช้เวลาอย่างละไม่เกีน 1 ปี อย่างไม่เป็นชิ้น เป็น

อัน แล้ว...แล้ว ตกลงว่าวิธีการนี้เป็นวิธีการที่ถูกต้องหรือ

ไม่ ฉันตามใจลูกเกินไปหรือเปล่า หากเพียงแต่ฉันเด็ด

ขาดกว่านี้อีกนิด ลูกคงต้องได้อะไรสักอย่างแน่นอนกับ

เวลา 4-5 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่สะเปะ สะปะ ไม่มีทิศทางที่

ชัดเจนแบบนี้ คำพูดที่ว่า เวลา วารี ไม่หวนกลับคืนมา ทำ

ให้ฉันรู้ซึ้งกับมันจริง ๆ ก็คราวนี้แหละ



ฉัน... พลาด.... อย่างงั้นเหรอ



แต่...

สิ่งที่ดึงใจฉันไว้ ก็คือ ลูกไม่ติดเกมส์ เราไม่ให้มีเกมส์ใน

บ้าน ลูกขอไปเล่นตาม net café ก็กลับมาตาม

เวลาที่กำหนดทุกครั้ง ลูกไม่เคยขอเงินไปเที่ยวกับเพื่อน

เกินกว่า ที่เหมาะสม ไม่เคยหนีเรียนสักวิชา ไม่เคยดื้อ

ไม่เคยออกนอกลู่ นอกทาง ไม่เคยแต่งตัว ซื้อเสื้อผ้าตาม

แฟชั่น ไม่สูบบุหรี่ ติดยา มีแฟนไม่เคยเรียกร้องไว้ผม

ยาว ย้อมสีผมหรือใด ๆ



ดังนั้น .....


แม่ช่าหุบปากสนิท เมื่อลูกเริ่มจะเสนออะไรที่ใหม่ ใจ

ตึ๊กตั้ก..รอฟังลูก และพร้อมที่จะลุกและลุย กับลูกอีก

เขายังไม่ท้อเลย แล้วฉันจะถอยได้อย่างไร บ่าสองข้าง

ต้องพร้อมที่จะเป็นที่ยึด เป็นที่เกาะให้ลูก บ่าของแม่ช่า

ต้องไม่ลู่ลงเป็นอันขาด



“แม่ครับ ไปป์กับปูนคิดว่า.....”


“ เราคิดว่า จะลองตั้งใจเรียนหนังสือใหม่ครับ ลองมา

หลายอย่างก็ไม่มีอะไรที่จะง่าย หรือถนัด ทุกอย่างก็เริ่ม

ใหม่หมด เรื่องเรียนก็ยังต้องเรียนอยู่ดี สู้ว่าตั้งใจใหม่

พยายามอีกหน่อย แม่เห็นว่างัยครับ...” ลูกทั้งสองเรียน

อยู่มัธยม 2 แล้วในเวลานั้น


“…..แล้วลูกพร้อมจะเรียนหนักใช่ไหม ตอนนี้ก็เริ่มจะเข้า

มัธยมปลายแล้วนะลูก จะทันไหมครับ....” ลูกไม่เดียว

ดายอยู่แล้ว แม่เดินเคียงข้างลูกเสมอ แต่หากเรื่องบาง

เรื่อง สุดปัญญาที่แม่จะช่วยได้เช่น เรื่องวิชาเรียนต่าง ๆ



“ จะลองดูน่ะ แม่ ....”



“ก็สุดท้ายแล้วนะลูก คราวนี้แม่อยากขอความร่วมมือนิด

นึง ให้ตั้งใจ ตั้งใจจริง ๆ แม่ภูมิใจตัวลูกมาตลอดนะครับ

จะอย่างไรก็แล้วแต่ แม้ว่าที่ผ่านมา ลูกได้เรียน ลูกได้รู้

อย่างที่อยากได้ แต่พวกเราก็ใช้เวลามามากนะครับ หาก

คราวนี้ ลูกไม่....”


ถึงตอนนี้ ลูกก้มหน้า ฉันไม่กล้าพูดต่อ ไม่กล้าดูถูกความ

ตั้งใจของลูก ได้แต่ดึงเขามากอดไว้ พลางนึกในใจ ....

ผิดอีกแล้วฉัน... พูดออกไปได้งัย.. ก็ร่วมทางกันมา

ตลอด เห็นดีเห็นงามมาด้วยกัน แล้วจะมาโยนความล้ม

เหลวมาใส่ในตัวลูกฝ่ายเดียวได้อย่างงัย นักมวย กับคน

เชียร์มวย จะเปรียบเทียบความเหนื่อยเจ็บให้เท่ากันคงไม่

ได้ เก่งจริงก็ขึ้นเวทีเองซิ ยะ แม่ช่า



ลูกทั้งสองในอ้อมกอดของฉัน นิ่งเงียบ ในใจฉันรู้ว่าเขา

เป็นนักสู้ เพียงแต่ต้องการโอกาสอีกสักครั้ง... เท่านั้น

เขาขอเท่านั้นจริง ๆ

จากคุณ : ชราร่า - [ 14 ม.ค. 50 21:42:28 ]






ความคิดเห็นที่ 5

วิชาเรียน วิชาที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถูกนำมาวาง

เรียงเป็นรายชื่อยาวววว ครูสอนพิเศษต่าง ๆ ครูปิง

ครูเปี๊ยก อาจารย์อุ๊ อาจารย์อิ๋ว พี่หนุ่ม พี่นุ่น ไม่ว่าจะ

สอนตามสถาบัน ตามโรงเรียนในสังกัดกระทรวงศึกษา

พี่ ๆตามโต๊ะในโรงอาหารในมหาวิทยาลัยที่รับจ้างสอนเป็น

พิเศษ ก็ช่วยได้ล่า มาวางแผนว่า วิชาไหนจะเรียนกับใคร

ที่ไหน กับเวลาที่เหมาะ และสะดวกที่ให้ฉันไปรับและ

ส่ง ยิ่งวันเสาร์และอาทิตย์ นอกจากต้องตื่นก่อนตีห้า เพื่อ

เตรียมอาหารเช้าแล้ว อาหารกล่องบนรถ ก็ต้องเตรียม

ไว้ รวมทั้งอาหารเย็นบ้างหากวันนั้น ๆ มีรอบเวลาหนึ่งทุ่มที่

ต้องเรียนอีก



เริ่มจากรอบเช้าแถวสยามสแควร์ ......... บ่ายโมงตรงที่

ม. เกษตร ..........สี่โมงเย็นแถวพหลโยธิน 52 ……….

รอบหนึ่งทุ่มที่ลาดพร้าว วิสุทธาณี..........กว่าจะเสร็จกลับ

ถึงบ้าน ก็เกือบสี่ทุ่ม ทั้งแม่และลูกก็หมดแรง นี่ยังไม่ได้

นับ วันเรียนธรรมดาช่วงเย็นที่ต้องไปเรียนแถวถนนพิชัย

สลับกับสถาบันแถววงเวียนใหญ่



อีก ยังมีอีกค่ะ จำพวกหนังสือเรียนพิเศษ ชีท ซีดี รวม

ชุดข้อสอบวิชาต่าง ๆ ย้อนหลัง 15 ปี และเนื้อหาที่น่าสนใจ

ตาม internet ซึ่งแต่ก่อนคอมพิวเตอร์และ internet มี

ราคาและค่าบริการต่อชั่วโมงที่แพงมาก ช่วงนี้นอกจาก

เวลาส่วนตัวที่แทบจะไม่มีแล้ว เงินเดือนแต่ละงวด ๆ แทบ

จะไม่เหลือเลยเอาจริง ๆ



ช่างเหอะ ไม่เป็นรัย เงินหมด ก็หาใหม่ได้ ที่สำคัญคือ ใช้

ให้ถูกต้อง และเหมาะสม



นอกจากนั้นกำลังใจและวิธีการในการอยู่ร่วมเป็นสิ่งที่

สำคัญไม่น้อยกว่าการเรียนเลย เริ่มตั้งแต่เรื่องอาหารการ

กิน มาม่า หรือ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง จะมาเป็นอาหารหลัก

เพราะอ้างเรื่องไม่มีเวลาไม่ได้ ต่อให้เวลามีจำกัดแค่ไหน

ฉันก็ยังเน้นอาหาร 5 หมู่เป็นหลักและพยายามให้ครบให้

ได้มากที่สุดทุกมือ เจ้าประจำของอาหารสดที่ฉันต้องไป

จ่ายตลาดเป็นประจำก็คือ foodland รู้ค่ะว่าแพง แต่เป็นที่

เดียวที่ฉันสามารถไปหาซื้อ ปลา หรือ หมู และผักสดมาใส่

ตู้เย็นตอนหลังสี่ทุ่มได้ในเวลานั้น


น้ำอัดลม กาแฟ หรือ เครื่องดื่มใด ๆ ก็อย่าหวังให้ได้เห็น

หรือแม้เฉียดใกล้


ต่อมาก็คือ เวลานอน ต่อให้ใกล้สอบแค่ไหน ลูกต้อง

นอนให้ได้ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ฉันต้องนอนหลังเพื่อแน่ใจว่า

ลูกหลับแล้ว แต่ตื่นก่อนเพื่อ ปลุก ลูก ๆ ให้ตื่นทันเวลา



สิ่งเดียวที่ฉันไม่ได้ทำระหว่างภาระกิจนี้ คือเรื่องการดูแล

เรื่องออกกำลังกาย ไม่ใช่ว่าไม่สำคัญ เพียงแต่บรรจุลง

เวลาไม่ได้ โชคดีที่พอมีพื้นที่หลังบ้านประมาณ 1 งาน ก็

พอได้รับอากาศสดชื่นช่วงเช้า ๆ ได้เป็นอย่างดี



อาม่าทั้งสองฝ่าย คือ แม่ย่า และแม่ยาย รวมทั้งญาติ ๆ

ได้รับรู้ ภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่พวกเรา พ่อแม่ลูก ต้องร่วมกัน

ฟันฝ่า โดยมีฉันเป็นหลัก เพราะพ่อยังต้องเดินทางทำงาน

ที่ต่างจังหวัด นาน ๆ ค่อยกลับมาที เหล่าญาติ ๆ ทุกคนก็

น่ารักให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ให้คำแนะนำ และ กำลัง

ใจ ซึ่งฉันถือว่าเป็นวิตามินเสริมที่วิเศษที่สุดในแง่จิตใจ

ของนักกีฬาที่กำลังอยู่ช่วงซ้อม และรู้ว่าต้องขึ้นเวทีเพื่อ

การแข่งขันในเวลาไม่นานนี้ ฉันเองคงอยู่ในบทบาทของพี่

เลี้ยง มีผ้าสีขรึมพาดบ่า ยืนข้างเวที เพื่อตะโกนบอก วิธี

การรับมืออย่างใกล้ชิด คอยให้น้ำ เช็ดเหงื่อ บีบนวดเนื้อ

ตัว ระหว่างพักยก และปลุกเร้าให้สู้ในยกต่อไป



ยาจีน ยาบำรุงก็ทยอยส่งมาจากอาม่า บอกว่ามาเชียร์

หลาน โสม ทั้งจากจีน จากเกาหลี หรือจากอเมริกา ก็นำ

มาชงกินแทนน้ำ ไก่ดำจากเยาวราช ใส่ฮุยซัว ตังเฉ้า

และเกากี๋ ก็บรรจุตุ๋นในหม้อดินสีน้ำตาลอ่อน ตวงจากน้ำ

5 ถ้วย ตุ๋นจนเหลือ 3 ถ้วย แบ่งให้ครบตามจำนวนลูก แม่

ก็กินน้ำตุ๋นรอบสองต่อ


มีคนส่งใจเชียร์ด้วย ซุปไก่สำเร็จรูป แต่ฉันก็ยังเจียดเวลา

ก่อนนอนจัดการประมาณอาทิตย์ละสองครั้งเท่านั้นสำหรับ

ไก๋ดำตุ๋นยาเอง มันเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งนะ เวลาลูก

เห็น ก็จะรู้สึกได้ถึงความตั้งใจที่เรามีต่อเขา ลูกเองก็จะได้

มุ่งมั่นกับสิ่งที่อยู่ข้างหน้าให้มาก ถ้าเขาเห็นเรายังเที่ยว

เล่น ยังหัวเราะอยู่หน้าทีวี ยังซื้ออาหารปรุงสำเร็จง่าย ๆ ให้

กับเขา แรงใจฮึดในการที่ต้องสู้กับภารกิจก็คงมีไม่มาก

เท่ากับ ได้เห็นเราโล้เรือไปลำเดียวกับเขา


ฮุย เล ฮุย.... ฮุย เล ฮุย....ฮุย เล ฮุย.... สู้ สู้






มีต่อค่ะ อาทิตย์โน๋นนน นะคะ ขอลาไปฝึกวิปัสสนา 7 วัน แล้วเจอกันใหม่จ๊ะ

จากคุณ : ชราร่า - [ 14 ม.ค. 50 21:49:07 ]






ความคิดเห็นที่ 6

อ่านแล้วซึ้งใจจัง...น้ำตาซึมเลย...


ขอให้คุณแม่ฯมีความสุขมากๆนะครับ...(ฝึกวิปัสสนา)

..

..









จากคุณ : akae - [ 15 ม.ค. 50 07:45:14 ]






ความคิดเห็นที่ 7

ซึ้งด้วยคนครับ อ่านแล้วเห็นถึงความเป็นครอบครัวมาก ๆ

เลยครับ คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

เป็นครอบครัวที่อบอุ่นมาก ๆ ครับ









จากคุณ : ozzyii - [ 15 ม.ค. 50 11:23:19 ]






ความคิดเห็นที่ 8

ซึ่งจนเห็นภาพความรู้สึกแม่เลยคับ เข้าใจความรู้สึกลูกด้วยเหมือนกันคับ

แต่ก่อนเห็นพี่ช่าเล่าเรื่องความสำเร็จของลูก (ประกวดหุ่นยนต์ชนะเลิศ) ได้ฟังเบื้องหลังแล้ว ไม่แปลกใจเลยคับ พี่เป็นแม่ที่ทุ่มเทมากๆ คับ ออกหนังสือเถอะคับ จะเก็บไว้ให้คนใกล้ตัวอ่านคับ เชียร์ ๆ ยุๆๆๆๆ

ถ้าไม่รบกวนพี่เกินไป ผมขอต้นฉบับ ส่งทาง email ได้ไหมคับ ที่ noom_ngow@yahoo.com, noom_ngow@hotmail.com เหมือนเดิมนะคับพี่ ขอบพระคุณล่วงหน้าคับ :)

จากคุณ : หนุ่มน้อย ณ บาบิโลน - [ 22 ม.ค. 50 10:23:44 ]






ความคิดเห็นที่ 9

ขอบคุณ น้องเอ กับน้อง ออสซี่จ้า... กลับมาเขียนต่อแล้ว
รออีกแป๊บนะ เพราะยังต้องมีเรื่องที่ไปวิปัสนามาเล่าอีก


หนุ่มมมม หวัดดีจ๊ะ คิดถึงจังงงง

แล้วจะส่งไปให้นะ






 

Create Date : 28 มกราคม 2550    
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:17:21 น.
Counter : 376 Pageviews.  

19>ค่ายเยาวชน YMCA

ออกนอกบ้านก็กลัวบอมม์ลง อยู่บ้านเทรดหุ้น ก็แดง

เถือกซะจนขายหมดมือ... เพื่อน ๆ รู้สึกแบบนี้หรือเปล่า



ทุกอย่างจะอยู่ในความสงบ หากท่านใช้สติ สยบความ

เคลื่อนไหว

ได้ข่าวว่าบางแห่ง ยกเลิกงานวันเด็กที่จะจัด

ให้กับเด็กในวันเสาร์นี้ เพราะเกรงว่าเด็กจะเกิดอันตราย

ก็สงสารเด็ก ๆ เหมือนกันเนอะ เอาเหอะเว้นสักปี เพื่อ

ความปลอดภัย มาฟังเรื่องเข้าค่ายของลูก ๆ ดีกว่า



จากคุณ : ชราร่า - [ 10 ม.ค. 50 00:13:40 ]




--------------------------------------------------------------------------------

หน้าหลัก แจ้งลบ bookmark ส่งต่อกระทู้ พิมพ์ โหวตกระทู้ เก็บเข้าคลังกระทู้ กระทู้ก่อนหน้า กระทู้ถัดไป








--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 1

เมื่อลูกเล็ก ฉันและคุณช้างพาลูกเที่ยวซะทั่วไทย พอโต

ขึ้นหน่อย นอกจากไปเที่ยวด้วยกันแล้ว ลูกก็น่าจะได้เรียน

รู้กับการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ๆ ซึ่งอันนี้สำคัญมาก ก็อย่างที่

บอก เราเองคนเป็นพ่อเป็นแม่ คงไม่สามารถอยู่ตามใจ

และ รู้ใจลูกได้ตลอดไป ดังนั้น ช่วงปิดเทอมในช่วง

ประถมต้นจนถึงประถมปลาย จึงเป็นระยะเวลาที่ลูกได้เข้า

ค่ายเยาวชนกับสมาคม YMCA ทุก ๆ ปิดเทอม คือเดือน

ตุลาคมและเดือนเมษายน ของทุกปี



เยอะเนอะ แต่ลูกก็กลับมาด้วยตัวดำเมี่ยม และหน้าเปื้อน

รอยยิ้มทุกครั้งไป



ทำไมต้องเป็นที่แห่งนี้ ก็บอกตามตรงว่า ยังไม่เคยรู้ว่ามี

แห่งไหนที่มีค่ายฤดูร้อนเป็นเรื่องเป็นราว ที่นี่ฉันได้เคยพา


ลูก ๆ มาว่ายน้ำบ้าง มาทำกิจกรรมต่าง ๆ บ้าง ก็เห็นว่ามี

ระบบการจัดการที่ดี รวมทั้งเป็นองค์กรที่มีความน่าเชื่อถือ

ก็เลือกที่นี่แหละ ก็ข้อเลือกไม่มีให้มากนัก


เรื่องเตรียมตัว สำหรับเสื้อผ้า ข้าวของ อันนี้ฝึกมากับมือแต่

เด็กแล้ว ไม่ต้องห่วง สบายมากเริ่มต้นด้วย การ list

รายการ ส่งมาให้ฉันตรวจ แล้วจัดการเตรียมสิ่งของตามที่

ได้เขียนไว้ ของของใช้สำหรับหน้าหนาว หรือของจำเป็น

สำหรับหน้าร้อน ลูก ๆ ทำได้เป็นอย่างดี



เมื่อถึงเวลาฉันเพียงแต่ไปส่งเขาขึ้นรถบัสใหญ่ซึ่งออกจาก

สมาคม ฯ แถวสาธร เคยเห็นผู้ปกครองบางคนไม่ใช่แค่มา

ส่งจากที่นี่ แต่ขับรถตามรถบัสไปถึงบ้านฉาง จังหวัด

ระยอง บางคนก็เช่าบ้านพักที่อยู่ใกล้ ๆ กับค่าย แล้วแอบ

ดูลูกผ่านรั้วทุกเช้า ด้วยอยากรู้ว่าลูกทำอะไรบ้าง อยู่ได้

ไหม กินอาหารทางค่ายจัดไว้ได้ไหม เคยรู้ว่ามีการแอบ

ส่งขนม นมเนยให้กันด้วย ทำให้เด็กอื่น ๆ น้อยอกน้อยใจ

ว่า ทำไมพ่อแม่ของตัวเองไม่มา ส่งข้าว ส่งน้ำกันบ้าง มิใย

ที่ทางเจ้าหน้าที่ค่ายจะออกมาขอร้อง สิ่งเหล่านี้ก็มีให้เห็น

ทุกครั้งไม่ขาด



ลูก ๆ ของฉันก็เป็นหนึ่งในกลุ่มจำพวกทำไมแม่ไม่ไปเยี่ยม

บ้าง ได้อธิบาย แต่ลูกก็ยังไม่พยายามจะเข้าใจ จน

กระทั่ง เขาก็เบื่อถามไปเอง เพราะรู้นิสัยของแม่ช่าอยู่แล้ว

ว่า เป็นลูกแม่ต้องอดทน แล้ววันหนึ่งลูกจะตอบตัวเองได้

เองแหละว่าทำไม



จากคุณ : ชราร่า - [ 10 ม.ค. 50 00:19:24 ]






ความคิดเห็นที่ 2

ลูก ๆ เริ่มเข้าค่ายตั้งแต่อายุน้อยที่สุดตามเกณฑ์คือ 8

ขวบ ตอนแรก ๆ พี่เลี้ยงที่ค่ายฤดูร้อน ต่างก็กังวลเรื่องการ

ช่วยเหลือตัวเอง เพราะเป็น 3 คนที่มีอายุน้อยที่สุด เกรงว่า

จะต้องมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กตามเนอร์เซอร์รี่ย่อม ๆ แต่ปรากฏ

ว่า พวกพี่ ๆ ในค่าย ก็ผิดหวังตาม ๆ กัน แม้ว่าทุกอย่างไม่

ได้เรี่ยมเร้ เรไร การพับผ้า อย่าเรียกว่าพับเลย เรียกว่า

รวบดีกว่า... รวบเสื้อผ้ายัดมาเป็นก้อน ๆ ที่ใส่แล้วกับยัง

ไม่ใส่ก็ไว้ถุงเดียวกัน แชมพูลืมปิดฝา ยาสีฟันบีบซะ

ยับเยินบู้บี้ขมวดไปทั้งหลอด ผ้าขนหนูที่ขนกลับมาก็ยัง

เปียกและเต็มไปด้วยเม็ดทราย แต่ก็ไม่เคยเป็นที่หนักใจ

ซ้ำร้ายยังได้เป็นผู้ช่วยพี่เลี้ยงที่ดี ดีกว่าเพื่อนที่มีอายุ

มากกว่าอีกด้วย



ตลอดเวลา 6 ปี หรือ 12 ครั้งที่เข้าค่าย ลูกจะกลับมา

พร้อม เพลงค่ายใหม่ ๆ ท่าเต้นสนุก ๆ ตบแผะท่าแปลก

ๆ นิทานผีที่พวกพี่เลี้ยงชอบเล่าให้ฟังตอนกลางคืนที่น่า

ตื่นเต้นมากขึ้น พร้อมกับวิธีแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าใหม่ ๆ

ไม่ว่าการโรยตัวจากหอสูง การสังเกตรอยเท้าสัตว์ จอม

ปลวก การดูดาว การช่วยชีวิตคนด้วยการผายปอด การ

ทำแผล วิธีใช้หญ้าทะเลเมื่อโดนแมงกะพรุนที่สำคัญคือ

รู้จักรอ รู้จักเข้าแถว มีการจัดเวร เป็นนางฟ้าและ เทวดา

คือมีหน้าที่ทำกับข้าว ( ได้ยินว่า เมนูหลัก คือ เมนูไข่ และ

ก็ หมดทุกครั้งด้วย ไม่ว่าคนทำมื้อนั้นจะฝึมือแย่ขนาด

ไหน ) ตักข้าวและ กับข้าวแจกเพื่อน ๆ ตามโต๊ะยาว



ครั้งหนึ่ง น้องปัน กลับมาพร้อมกับบอกว่า สงสารน้องปูน

กับน้องไปป์จังเลย พี่ให้ถือถาดกับข้าวแจกตามโต๊ะ ด้วย

ความที่จานมีจำนวนมากในถาดหนึ่ง ๆ ทำให้น้องต้อง ถือ

จนตัวเอียง กับข้าวเกือบหกเลย เล่าไปก็ตาแดงไปด้วย

ความสงสารน้อง ขณะที่น้องแฝดไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะไม่

ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง แต่มาอวดความรู้ใหม่ที่ได้มาในแต่ละ

ครั้ง


“แม่เคยเห็นแมงปอน้ำไหมครับ ไปคราวนี้ปูนได้เห็นด้วย

แหละ.....”….


“ แม่.. ไปป์หุงข้าวด้วยเตาถ่านเป็นด้วยแล้วครับ พี่เขา

สอน”.......



“หัวมันเผานะแม่ อร่อยสุดยอด พี่ให้เผาก่อนเตาถ่านจะ

มอด กินตอนร้อน ๆ หวานมากเลย...”

“ ทำไมเพื่อนบางคนต้องนอนเปิดไฟด้วยค่ะ เขาบอกว่าถ้า

ปิดไฟเขานอนไม่หลับ.... แต่ปันหลับไม่ลง ถ้าไม่ปิดไฟ”

“อ้าวแล้วทั้งเดือนลูกทำงัย...” “ พี่เขาก็ให้เอาผ้าคาดตา

ไว้ แต่ให้สลับวัน วันหนึ่งเปิดไฟได้ อีกวัน ก็เปิดไฟไม่

ได้”

“แล้วก็นอนไม่ค่อยหลับซิ...”

“หลับสบายดีแม่.. ก็เล่นทั้งวัน มันเหนื่อย ก็หลับง่าย แต่

บางวัน พี่ที่ค่ายมาเล่าเรื่องผีให้ฟัง เปิดไฟนอนก็ดีเหมือน

กัน...”

จากคุณ : ชราร่า - [ 10 ม.ค. 50 00:22:45 ]






ความคิดเห็นที่ 3

มีครั้งหนึ่งที่ หากใครจะพอจำได้ ตึกเพรสซิเด้นท์ ที่ตั้งอยู่

สี่แยกราชประสงค์ไฟไหม้ใหญ่ระหว่างการก่อสร้าง พวก

เราพ่อแม่ลูกกำลังลุ้นหน้าจอทีวีให้ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเฮลิ

คอร์ปเตอร์โรยเชือกลงมาช่วยจากชั้นที่มีไฟไหม้อยู่ หญิง

คนนั้น รับเชือกมาก็จับไว้ด้วยมือเปล่า เมื่อเฮลิคอบเตอร์

สาวเชือกขึ้นโดยมีร่างของหญิงสาวห้อยอยู่ปลายเชือก

ไม่นานหญิงคนนั้นก็หล่นลงมา คงหมดแรง หรือไม่ก็เป็น

ลม ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของคนเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่เบื้อง

ล่างตึก ซึ่งแน่นอนพวกเราด้วยที่อยู่หน้าจอ


“ เขาทำไม่ถูก เขาทำไม่ถูก” จำไม่ได้ว่าลูกคนไหนที่พูด

ขึ้นมา

“ต้องเอาเชือกมาผูกรอบเอว แล้วโยงที่หว่างขา แล้วมาผูก

ไว้ที่เอวเป็นเงื่อนเป็นอีกที...”ลูกอีกคน ก็เสริม พ่อ

ช้างบอกให้เอาเชือกมาสาธิตให้ดู ก็รู้ว่าเป็นการป้องกันไม่

ให้ตัวพลัดตกลงมา กรณีว่าหมดสติ หรือหมดแรง ระหว่าง

ที่รับการช่วยเหลือ



“ลูกรู้มาจากไหน...” “วิทยากรที่ค่าย YMCA บอก เขามา

บรรยายและแสดงให้เด็ก ๆ ดูเกือบทุกรอบครับ จนปูนไป

ป์ ได้เป็นตัวแสดงสาธิต เพราะครูบอกว่า เราฟังหลายรอบ

แล้ว.....”



“ยังมีอีกหลายอย่าง แม่ เวลาตึกไฟไหม้ ก็หมอบต่ำ หลบ

ควัน เอาผ้าชุบน้ำปิดจมูกไว้ ไม่ใช้ลิฟท์…”



ดีใจที่ลูกได้รู้สิ่งเหล่านี้ บางสิ่งเราก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อน

การอยู่ในเมืองหลวงย่อมจะต้องเรียนรู้อะไรหลายอย่าง

เช่นการอาศัยอยู่ตึกสูง การหนีไฟ การทิ้งขยะ มารยาท

ของการใช้ลิฟท์ มารยาทของการใช้บันไดและบรรได

เลื่อน การขึ้นลงรถไฟใต้ดิน



จริง ๆ แล้วฉันก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักจากการส่งลูก

ออกไปออกค่าย แต่สิ่งที่ลูกได้รับรู้ มา มากเกินกว่าที่คาด

หมาย ก็เป็นสิ่งที่น่าดีใจ ไม่ใช่หรือ



จากคุณ : ชราร่า - [ 10 ม.ค. 50 00:25:15 ]






ความคิดเห็นที่ 4

อ่านแล้วก็...ชื่นใจเบิกบานจริงๆ...

คุณแม่ฯ น่าจะทำเป็นพ็อกเก็ตบุ๊คนะครับ...









จากคุณ : akae - [ 10 ม.ค. 50 07:29:14 ]






ความคิดเห็นที่ 5

ตามมาเชียร์อีกครั้ง อ่านแล้วสนุกสนาน


ตอนเด็กๆ เป็นคนค่อนข้างเก็บตัว (เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็น) มีโลกส่วนตัวของตัวเอง


คงเพราะเราไม่มีโอกาสไปเข้าค่ายแบบนี้


พ่อแม่ไม่ชอบให้ไปเล่นซนข้างนอก สั่งให้เล่นซนอยู่ในบ้านอย่างเดียว


แต่ก็โชคดีที่บ้านมีทั้งสระน้ำ สวนกล้วย ทำให้มีของเล่นสนุกๆ ไม่มีเบื่อ


ใครเคยทำม้าก้านกล้วย กับปืนยาวบ้าง เด็กๆ ทำกัน แล้วไปเล่นตำรวจจับโจรสนุกดี


ปืนยาวเวลายิงจะมีเสียงดังปังๆๆๆ ไม่ต้องทำเสียงเอง หรือใส่ถ่านแบบเด็กสมัยนี้


พอเหนื่อยก็แอบไปเล่นน้ำในสระ อันนี้ถูกตีบ่อยๆ เพราะจะเลี้ยงปลาอยู่ในนั้น


แม่ให้เหตุผลว่าสกปรก มีแต่เชื้อโรค ไอ้เราก็ไม่เข้าใจ เพราะเมื่อกี้นี้กินน้ำไปอึกใหญ่ก็ไม่เห็นเป็นอะไร


คิดถึงตอนเด็กแล้วสนุกดี มีความสุข









จากคุณ : wasansem - [ 10 ม.ค. 50 08:48:22 ]






ความคิดเห็นที่ 6



ผมรู้จักแต่ค่ายลูกเสือเท่านั้นเอง ง่ะ..............

จากคุณ : คนล่าห่าน - [ 10 ม.ค. 50 09:24:23 ]






ความคิดเห็นที่ 7

^ ^ เด็กโบราณเหมือนกัน เคยแตไปค่ายลูกเสือ :)

จากคุณ : BeSmile - [ 10 ม.ค. 50 09:40:13 ]






ความคิดเห็นที่ 8

ไปค่ายลูกเสือ ได้กินแต่ถั่วเขียวต้มอ่ะครับ

จากคุณ : ดอกไม้ DSM - [ 10 ม.ค. 50 10:48:19 A:221.128.91.227 X: TicketID:125129 ]






ความคิดเห็นที่ 9

มาทักทาย คุณแม่ช่า ครับ

สวัสดีครับ

จากคุณ : Vprawat - [ 10 ม.ค. 50 11:26:56 ]






ความคิดเห็นที่ 10

ฮิฮิฮิ...ขอเข้า ชมรมค่ายโบราณ(ลูกเสือ) ด้วยนะครับ...

โตขึ้นเป็นหนุ่มก็ไปเข้าค่าย รด.

..









จากคุณ : akae - [ 10 ม.ค. 50 13:00:03 ]






ความคิดเห็นที่ 11

อิอิ ผมก็ค่าย ลูกเสือ กับ รด. ครับ


อ่านกี่ทีก็เบิกบานเช่นกันครับอ่านแล้วได้อะไรหลาย ๆ อย่าง เยอะมาก ๆครับ


ถ้าพี่ช่า ทำเป็นหนังสือเมื่อไหร่ขอจองด้วยเลยน่ะครับ อิอิ









จากคุณ : ozzyii - [ 11 ม.ค. 50 10:44:08 ]






ความคิดเห็นที่ 12

ดีครับ พี่ช่า อ่านตามมาทีหลังแบบซุ้มๆ อิอิ









จากคุณ : wayu_w - [ 11 ม.ค. 50 19:08:11 ]






ความคิดเห็นที่ 13

เห็นทุกคนอ่านแล้วทำให้นึกถึงวัยซน ตอนโน้น ก็อด

อมยิ้มไม่ได้ สมัยก่อนเวลาเล่น ได้ตากแดด ตากลม

มันดีกว่าสมัยนี้เยอะเลยเนอะ พ่อแม่ห่วงลูกก็เลยเก็บ

ไว้แต่ในห้องแอร์...

จากคุณ : ชราร่า - [ 11 ม.ค. 50 22:01:11 ]






ความคิดเห็นที่ 14

สวัสดีค่ะ พี่ช่า


ลืมคลับนี้ไปนาน เพิ่งมีโอกาสกลับมาแวะก็วันนี้ ได้อ่านที่พี่ช่าเขียนแล้ว รู้สึกดีใจที่ลูกๆ มีพี่ช่าเป็นคุณแม่


ซ้อเองก็จะทำตามแบบพี่ช่าค่ะ ให้ลูกเรียนรู้โลกรอบตัวให้มาก จะไม่ขังเขาไว้ในบ้าน ทุกวันนี้ลูกโทนี่ก็ออกไปเดินนอกบ้านทุกวันค่ะ เสียอย่างเดียว บ้านเป็นตึกแถว ไม่มีสนามหญ้า ต้องพาลูกไปเดินในซอย มีรถเข้าออกบ้าง ก็ต้องคอยระวังกันไป


น่าอิจฉา ญี่ปุ่นที่มีสวนเด็กเล่นเยอะ ที่กรุงเทพฯ ไม่มี เลยต้องเอาซอยข้างบ้าน เป็นสนามเด็กเล่นแทน


จะคอยตามอ่านพี่ช่านะคะ สนุกมาก และจะเอาเป็นแบบอย่างด้วยค่ะ

จากคุณ : ซ้อสี่ค่ะ (คิมิเอะ-จัง) - [ 12 ม.ค. 50 12:57:32 ]






ความคิดเห็นที่ 15

เย้... วิ๊ดวิ๊ววววว.... เย้..ย..ย..ย..ย..ย

ดีใจจัง ซ้อสี่ ผู้ร่วมทำให้เราได้รู้แนวคิด DSM

ยินดีมั่กมั่ก ค่ะ ซ้อ สบายดีนะคะ หุ่นสวยเหมือน

เดิมแล้วซิคะ หลานโทนี่ล่ะ คงหล่อเหมือนพ่อ

และเฉลียวฉลาดอย่างแม่

วันไหนหลานโทนี่ ไม่กวนมาก ก็เข้ามาแจมกับ

กระทู้พวกเราหน่อยซิค่ะ แล้วปอดของซ้อไปถึงไหน

แล้ว อุ้ย ดีใจ ดีใจ

จากคุณ : ชราร่า - [ 13 ม.ค. 50 09:50:16 ]






ความคิดเห็นที่ 16

เข้ามาคารวะและสวัสดีปีใหม่ ...เจ้าของกระทู้คลาสสิค

พี่ซ้อสี่...


ครับ...









จากคุณ : akae - [ 13 ม.ค. 50 11:24:27 ]









 

Create Date : 28 มกราคม 2550    
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:15:33 น.
Counter : 2317 Pageviews.  

18>คุณฉกาจ ลือชาเกียรติศักดิ์ แห่งซีเอ็ดบุคส์

ต้องขอโทษที่ทิ้งห่างช่วงไปพอสมควร

เสร็จจากงานงบประมาณ ก็ต้องทัวร์สวัสดีปีใหม่

กับลูกค้าทั้งหลายค่ะ แล้วก็รับเลี้ยงจากลูกค้า

แล้วก็เลี้ยงลูกน้อง แล้วก็รับเลี้ยงจากลูกน้อง

เลี้ยงเพื่อน ๆ แล้วก็รับเลี้ยงจากเพื่อน ๆ

กินซะเหนื่อยเลยค่ะ นน. ขึ้น ซ้า....


สัญญาว่าต่อนี้ไป ไม่ปล่อยให้รอนานค่ะ

ภาระกิจนี้ ต้องกระทำให้สำเร็จค่ะ ไหน ๆ ก็ทำเพื่อ

น้องกุ้งอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่แล้ว


ถือว่าเป็นกระทู้แรก สำหรับปีใหม่นี้นะคะ

สวัสดีปีใหม่ค่ะ

จากคุณ : ชราร่า - [ 2 ม.ค. 50 21:31:01 ]




--------------------------------------------------------------------------------

หน้าหลัก แจ้งลบ bookmark ส่งต่อกระทู้ พิมพ์ โหวตกระทู้ เก็บเข้าคลังกระทู้ กระทู้ก่อนหน้า กระทู้ถัดไป








--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 1

เมื่อได้สรุป( ที่อาจจะเร็วไปหน่อย)แล้วว่า ลูกทั้งสามคงจะ

เอาดีด้านการเรียนในห้องได้ไม่ดีนัก ปฏิบัติการเปิดการ

เรียนนอกห้องสำหรับเขาทั้งหมดก็ได้เริ่มขึ้น


ซึ่งจริง ๆ แล้วเจ้าแฝดเองได้แสดงออกให้เห็นแล้วว่า เขามี

ความสนใจในเรื่องรถ หรือเครื่องยนต์ต่าง ๆ อยู่บ้าง ครั้ง

หนึ่งได้ขอให้ซื้อนิตยสาร “อิเลคโทรนิคสมัครเล่น”

จากร้านขายหนังสือ ซีเอ็ดบุคส์ ซึ่งหน้าปกมี เครื่องเล่นที่

ประดิษฐ์ด้วยมือสามารถลอยและแล่นไปเองในน้ำได้

ด้วยที่สนับสนุนให้ลูกรักการอ่านหนังสืออยู่แล้ว แม้จะ

รู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้อาจจะเลยวัยของเขาไปหน่อยแต่ก็ไม่

ขัด เพราะท่าทางของลูกบอกว่าอยากได้มากเหลือเกิน


“อยากเอาไปเป็นแบบทำอ่ะแม่ อยากได้แบบนี้ วิ่งได้

ลอยน้ำก็ได้ด้วย ”


“แล้วลูกจะทำเป็นไหม แบบนี้แม่ไม่เคยทำนะ...คงสอน

ลูกไม่ได้”


“ก็ขอซื้อเล่มนี้ไปก่อน ดูว่าต้องมีอะไรบ้าง ในนี้เขาก็บอก

ไว้เป็นรายการหมดเลยนะ เราก็ไปซื้อตามนี้แหละแม่ ไม่

ยากหรอก”


เอา เอา ซื้อก็ซื้อ ดีกว่าขอไปซื้อของเล่นสำเร็จรูป เรามา

ประกอบเอง ได้ความรู้ด้วย ได้ความภูมิใจด้วย


พอมานั่งอ่านกันจริง ๆ จัง ๆ อืมม ไม่ง่ายเลย ลูกเริ่มหน้า

ไม่ดี ลำพังแค่แผ่นไม้อัด โฟม มอเตอร์ ก็พอทำเนา แต่

ตัว AC ,DC สีต่าง ๆ แผ่นวงจรไฟฟ้า อะไรเนี่ยะ ทำเอาแม่

หมดปัญญา พ่อช้างก็เพิ่งเดินทางไปตจว. อีกกว่า 2

อาทิตย์กว่าจะกลับมาได้ลูกคงรอไม่ไหวแน่นอน แล้วใคร

ล่ะ ที่จะช่วยเราได้ ???


“มีการเรียนวงจรไฟฟ้าสำหรับเด็กไหมค่ะ... ”

“ไม่มีครับ มีแต่สำหรับผู้ใหญ่ครับ เรียนไปประกอบ

อาชีพ...”นั่นคือ โรงเรียน แสงทองการไฟฟ้าและ

โทรทัศน์ แห่งแรกที่ฉันโทรไป โดยหาข้อมูลจากสมุด

โทรศัพท์หน้าเหลือง


โทรไปอีกแห่งหนึ่ง จำชื่อไม่ได้.....

“ ไม่มีครับสำหรับเด็ก อายุเท่าไรล่ะครับ ” ปลายทางถึง

กับอึ้งเมื่อรู้ว่าด็กที่ต้องการเรียนไฟฟ้าด้วยมีอายุเพียง 9

ขวบ เขาคงคิดว่า แม่เด็กมันบ้าไปแล้วหรือเปล่าฟ่ะ


หันรีหันขว้าง ทันใดนั้น สมองอันปราดเปรื่องของแม่ช่าก็มี

แสงสว่างโร่ออกมา

ก็คนเขียนบทความนั่นแหละ จะไปยากอะไรล่ะ เขาเขียน

เขาก็ต้องรู้ซิ ปรี่ไปหยิบนิตยสารเล่มนั้น เปิดดูโรงพิมพ์

ซีเอ๊ดบุคส์ อยู่แถวแฟลตดินแดง คอลัมภ์นิสคือ

คุณฉกาจ ลือชาเกียรติศักดิ์ !!!

จากคุณ : ชราร่า - [ 2 ม.ค. 50 21:43:34 ]






ความคิดเห็นที่ 2

“ยินดีครับ ยินดี คุณแม่พาน้องมาได้เลย เป็นวันเสาร์ได้

ไหมครับ วันอื่น ผมค่อนข้างยุ่ง วันเสาร์จะสะดวกหน่อย

ครับ...”


ลูก ๆ ดีใจมาก ๆ เมื่อฉันเล่าเรื่องให้ฟังว่า ได้เจอคนที่จะ

สอนลูกได้แล้ว ฉันบอกให้ลูกเตรียมตัว และสิ่งที่

ต้องบอกไว้แต่เนิ่น ๆ ก็คือว่า


“ แม่ไม่ได้หาคนที่จะต่อเครื่องเล่นให้นะครับลูก คุณฉกาจ

เขาจะสอนให้ว่า อะไรมันคืออะไร แล้วลูกก็ต้องมาต่อเอง

นะลูก แม่ว่ามันไม่ง่ายนะ แต่ลูกจะได้ภูมิใจงัยว่าลูกสร้าง

งานชิ้นนี้ด้วยตัวเอง ”


เด็กอายุ 9 ขวบก็คงจะงง ๆ กับคำว่าภูมิใจว่ามันจะเป็นหน้า

ตา หรือรสชาติอย่างไร เปรี้ยว หวาน มัน จืด....แม่เอง ก็

ไม่รู้หรอกว่า คุณคนที่ใจดีคนนั้น เขาจะสอนอะไรลูกฉัน

บ้าง แต่ที่แน่ ๆ ดีใจจังเลยที่ได้เจอคนมีเมตตา


ซีเอ็ดเดิม ก่อนที่จะเป็นโรงพิมพ์ที่ใหญ่โตและเป็นมหาชน

ได้ขนาดนี้ ตั้งอยู่แถวห้วยขวางใกล้แฟลตดินแดง ฉันกับ

ลูก ๆ ไปแต่เช้า คุณคนใจดีมารับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม พา

ลูกไปที่ห้องแคบ ๆ ห้องหนึ่ง ไม่เห็นมีหนังสือดูสวย ๆ

เหมือนที่วางแผง สักเล่ม มีแต่กระดาษ กระดาษและ

กระดาษเต็มไปหมด



เราสามคนแม่ลูก นั่งเป็นนักเรียนฟังคุณฉกาจ อธิบายถึง

ชิ้นส่วนประกอบแต่ละชิ้น การทำงานที่เชื่อมโยงกัน กว่า

จะเป็นเครื่องเล่นที่ลูกอยากได้จะต้องมีขั้นตอนอย่างไร

ลูก ๆ ฟังอย่างสนใจ ฉันแน่ใจว่าลูกคงรับมาไม่ได้ทั้ง

หมด แต่จากที่ฉันได้รับรู้โดยการนั่งเรียนด้วยนี้ แม้จะไม่รู้

เรื่องทั้งหมดเหมือนกัน ลูกรู้บางส่วน แม่รู้บางส่วน แต่เรา

คงเป็น team work ที่สามารถประดิษฐ์เข้าเครื่องเล่นนี้ได้

สำเร็จแน่นอน


เย้ !!!


ก่อนลาจากคุณฉกาจไป เรายังได้รับลายแทงแถวบ้าน

หม้อ แหล่งที่จะไปซื้อชิ้นส่วนประกอบของเครื่องเล่นนี้

คุณฉกาจบอกเราเสร็จสรรพเลยว่า ของชิ้นไหน ซื้อที่

ไหน และแต่ละหน่วยมีราคาเท่าไร ซ้ำยังอำนวยความ

สะดวกให้เราสามารถติดต่อมาที่โรงพิมพ์ได้ในวันอาทิตย์

หากมีประเด็นขัดข้อง


น่ารักซะไม่มี

จากคุณ : ชราร่า - [ 2 ม.ค. 50 21:48:59 ]






ความคิดเห็นที่ 3

สามคนแม่ลูก ก็สามารถประกอบชิ้นส่วนออกมาเป็นเครื่อง

เล่นสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบกอันนี้ได้ในอาทิตย์ต่อมา


ลูก ๆ ดีใจที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่ แม้จะผิดรูปผิดร่างบ้าง แต่

ก็เล่นได้อย่างสนุกสนานกว่าของเล่นชิ้นอื่น ๆ เขาคงได้รู้

ตอนนี้แหละว่าความภาคภูมิใจเป็นอย่างไร โดยที่ฉันไม่

ต้องพูด ทุกอย่างสามารถอธิบายและมีคำตอบในตัวของ

มันอยู่แล้ว


ส่วนฉันเอง ก็รู้สึกดีใจที่ได้พบคนที่มีจิตใจที่งดงาม คุณ

ฉกาจนั่งเสียเวลาครึ่งค่อนวัน กับแม่ลูกที่เขาไม่เคยรู้จัก

คุยกับเด็กวัยเล็กที่จะเข้าใจเขาได้สักกี่มากน้อยก็คะเนไม่

ได้ ผลตอบแทนที่ได้รับก็เพียงส้มบางมด 2 กิโลและโด

นัท 1 กล่องใหญ่ ซึ่งฉันก็ได้เห็นเขาแจกจ่ายให้ไปกับ

เพื่อนร่วมงานเขาที่โรงพิมพ์


ฉันบอกลูก ๆ ว่าน้าฉกาจเป็นตัวอย่างของคนดี ที่ให้

ประโยชน์กับคนอื่น ๆ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่เราจะ

รู้สึกดีกับเขา ซึ่งแม่ก็เชื่อว่าน้าเองก็มีความปลาบปลื้มใจ

เป็นรางวัลแน่นอน


มีคนเคยบอกว่า หากพบคนดี ต้องยกย่องให้โลกรู้ เพื่อ

เป็นการสร้างกำลังใจให้เขา ฉันเห็นด้วยเป็นอย่างมาก จึง

ลงมือเขียนจดหมายหนึ่งฉบับให้กับ ผู้บริหารบรรณาธิการ

ของบริษัทซีเอ็ดในเวลาต่อมา เสียดายที่ฉันจำไม่ได้ว่า

เก็บสำเนาไว้ที่ไหน แต่เนื้อหาโดยรวมก็คือ...


จากความรู้ที่ลูกทั้งสองได้รับจากคุณฉกาจ ซึ่งขณะนั้นเป็น

พนักงานระดับปฏิบัติงานของบริษัทใหญ่ ๆ อย่างซีเอ็ด คง

บอกได้ว่าเป็นสิ่งที่เล็กน้อยมากในความรู้สึกของผู้บริหาร

ระดับสูง แต่มากมายเหลือเกินสำหรับครอบครัวของเรา


ในจดหมายฉันบอกว่า ฉันไม่ได้หวังว่าในอนาคตลูกจะได้

เป็นนักวิศวกรรมผู้ยิ่งใหญ่ หรือนักประดิษฐกรรมที่มีชื่อ

ก้องโลก แต่ในการได้พบกับคุณฉกาจนั้น ทำให้ลูกได้พบ

กับบุคคลที่เป็นตัวอย่างที่ดี ลูกได้รับรู้การให้ที่ดีงาม การ

ให้ที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ จากชายร่างเล็กคนหนึ่งซึ่งไม่

ได้รู้จักกันมาก่อน ซึ่งฉันก็หวังว่าลูกจะเป็นคนที่รู้จักการให้

แก่สังคมในอนาคตต่อไป


ฉันยังได้พูดว่า ขอแสดงความยินดีต่อคุณบรรณาธิการ

บริหารมีพนักงานที่ดีในองค์กรของท่าน และเชื่อเป็นอย่าง

ยิ่งว่า คุณฉกาจจะไม่เพียงแต่ได้เป็นรับการยกย่องเป็น

บุคคลตัวอย่างในองค์กร แต่จะได้รับการสนับสนุนให้เป็น

หนึ่งในผู้บริหารระดับสูงต่อไป


เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้ติดต่อไปที่คุณฉกาจ เพื่อจะได้บอก

เขาว่าเด็กแฝดที่เขาเคยเป็นครูคนแรกในการประดิษฐ์ของ

เล่นได้เติบใหญ่ขึ้น พร้อม ๆ กับนำความภูมิใจมาให้ครอบ

ครัวเสมอมา ก็อยากให้เขารับรู้และ ยินดีกับเรา พร้อม

อยากที่จะขอบคุณอีกครั้งที่คุณฉกาจได้เป็นส่วนหนึ่งของ

ความสำเร็จนี้ ฉันได้เก็บ e mail นี้ไว้

จากคุณ : ชราร่า - [ 2 ม.ค. 50 21:51:42 ]






ความคิดเห็นที่ 4

---- Original Message -----
>From: "Parinda Uthaicharoenpong"
>To:
>Sent: Friday, February 18, 2005 12:19 PM
>Subject: เรียนถามชื่อผู้บริหาร
>
>
>
>คุณ webmaster
>
>รบกวนเรียนถามชื่อสกุล ผู้บริหารที่ชื่อ " คุณ?กาจ " พร้อม e mail address
>ด้วยนะคะ
>เป็นเพื่อนค่ะและต้องการติดต่อด้วย
>
>ขอบคุณมากนะคะ
>
>

จากคุณ : ชราร่า - [ 2 ม.ค. 50 21:56:19 ]






ความคิดเห็นที่ 5

At 15:17 18/2/2005, ?กาจ ลือชาเกียรติศักดิ์ wrote:


>เรียน ______

>
>สวัสดีครับ ทาง webmaster แจ้งว่ามีเมล์สอบถามหาตัวผม
>สามารภติดต่อได้ตามเมล์ที่ส่งนี้ครับ
>
>?กาจ ลือชาเกียรติศักดิ์
>

จากคุณ : ชราร่า - [ 2 ม.ค. 50 21:57:33 ]






ความคิดเห็นที่ 6

----- Original Message -----
From: "
" <_____.co.th>
To: "?กาจ ลือชาเกียรติศักดิ์" ;

Sent: Friday, February 18, 2005 4:42 PM
Subject: สวัสดีค่ะ

เรียนคุณ?กาจ

คือได้เคยติดต่อมาครั้งหนึ่งเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว แต่ไม่

ได้รับการติดต่อกลับครั้งนี้ ก็ดีใจที่คุณ?กาจ ตอบ e mail

มาด้วยตัวเอง

ขออนุญาตทวนความจำกับคุณ?กาจเมื่อกว่าสิบปีที่แล้วสัก

หน่อยนะคะคือดิ?ันเคยพาลูกชายแฝดคู่หนึ่งไปหาที่โรง

พิมพ์ เพียงเพื่อให้คุณ?กาจช่วยสอนการต่อวงจรไฟฟ้าซึ่ง

เป็นเครื่องเล่นที่มีการตีพิมพ์ลงในหนังสือ

ชื่อ " อิเลคโทรนิคสมัครเล่น " ซึ่งก็ได้รับความช่วยเหลือ

จากคุณ?กาจด้วยดีในครั้งนั้น ซึ่งดิ?ันและลูก ๆ ก็ซาบซึ้ง

ในน้ำใจมาก


เวลาผ่านมาหลายปี จนลูกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในคณะ

วิศวกรรมศาสตร์ทั้งคู่ ก็ได้ e mail ไปเรียนคุณ?กาจด้วย

ความระลึกถึงครั้งหนึ่งแต่ก็เงียบไปค่ะเข้าใจว่า งานคงยุ่ง

นะคะ



ครั้งนี้ ก็อยากรายงานตัวด้วยความระลึกถึงอีกครั้งค่ะ เนื่อง

จากลูกได้เข้าร่วมแข่งขัน Robot ประเทศไทย ชนะเลิศ ที่

หนึ่ง จะได้ไปแข่งที่ญี่ปุ่นในนามตัวแทนประเทศไทย เร็ว

ๆ นี้



เพียงแค่อยากเล่าให้ฟังน่ะค่ะ ไม่มีอะไรมาก ลูก ๆ เติบโต

ขึ้นมาได้และรักดีก็มีองค์ประกอบหลาย ๆ ส่วนด้วยกัน

แต่ส่วนหนึ่ง ก็ต้องเรียนว่าได้จากการ " ให้" ที่เราแม่ลูกได้

รับจากคุณแม้คุณจะไม่รู้สึกว่ามันมากมายอะไร แต่ก็อยาก

ให้รับทราบน่ะค่ะ


ทั้งหมดที่เล่านี้ ไม่ทราบว่าคุณ?กาจ จะจำเราได้หรือเปล่า

หากได้ พวกเราคงดีใจแต่หากลืมไปแล้ว ก็ไม่เป็นไรค่ะ

เอาเป็นว่าคุณเคยได้ทำสิ่งที่ดี ๆ ให้ครอบครัว

เราได้ประทับใจ ก็ขอแนบรูปภาพบางส่วนของการแข่งขัน

ให้ดูนะคะ


//www.pantown.com/board.php?

id=3581&name=board1&topic=231&action=view


ด้วยความเคารพ


ป____________

จากคุณ : ชราร่า - [ 2 ม.ค. 50 22:04:11 ]






ความคิดเห็นที่ 7

เรียน คุณป_____


ผมขอแสดงความยินดีกับน้องๆ ด้วยครับ ผมยังจำภาพ

น้องทั้งสองคนได้เสมอและเชื่อว่าครอบครัวไม่ว่าคุณพ่อ

คุณแม่และตัวน้องทั้งสองคนเองเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้

ประสพความสำเร็จได้ครับ มีข่าวสารอะไรก็เมล์มาได้ครับ

ยินดีที่พบอีกครั้ง


ขอบคุณครับ
?กาจ ลือชาเกียรติศักดิ์

จากคุณ : ชราร่า - [ 2 ม.ค. 50 22:06:41 ]






ความคิดเห็นที่ 8

เสียดายที่ไม่ได้เก็บนิตยสารฉบับนั้นไว้

แต่ได้ถ่ายรูปลูกไว้ตอนกำลังพยายามประดิษฐ์

ของเล่นชิ้นนี้









จากคุณ : ชราร่า - [ 2 ม.ค. 50 22:08:52 ]









 

Create Date : 28 มกราคม 2550    
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:14:52 น.
Counter : 660 Pageviews.  

17>คนข้างตัวลูก ใช่คุณหรือเปล่า

วิกฤต สร้างวีรบุรุษเสมอ ฉะนั้น อย่าสลดหดหู่

กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับแหล่งทำมาค้าขายเพื่อความอิสรภาพ

ทางการเงินของพวกเราเมื่อวานนี้ ตกมาด้ายย 108.xx จุด

ต้องดีใจว่า เออ เนอะ เราก็เป็นผู้อยู่ร่วมเหตุการณ์ด้วย

เหมือนกัน ถือว่าเป็นประสบการณ์ชีวิตคล้าย ๆ กับ

รุ่นสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือ 14 ตุลา หรือ 9/11

อะไรประมาณนี้ แต่โชคดีตรงที่พวกเราคง

เสียหายน้อยกว่าคนอื่น ๆ เขา ด้วยกลยุทธ DSM

( lead เข้าเรื่องเก่งม่ะ อิ อิ )


วันนี้เอาบทใหม่มาลง ก็ไม่รู้มีกะจิดกะใจอ่านกันหรือ

เปล่านะคะ ไม่เป็นไร เอาไว้อ่านตอนสบายใจแล้ว หรือ

คิดว่าอ่านอะไรเล่น ๆ ขำ ๆ แล้วกัน

ก็ have a nice day ชีวิตมีขึ้น แล้วก็มีลง ระหว่างทาง

เก็บเกี่ยวประสบการณ์ไว้ให้ดีแล้ว โชคดีทุกคนค่ะ



จากคุณ : ชราร่า - [ 20 ธ.ค. 49 09:25:13 ]




--------------------------------------------------------------------------------

หน้าหลัก แจ้งลบ bookmark ส่งต่อกระทู้ พิมพ์ โหวตกระทู้ เก็บเข้าคลังกระทู้ กระทู้ก่อนหน้า กระทู้ถัดไป








--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 1

ต่อจากคราวที่แล้ว จบตรงที่ว่าลูก ๆ ล้วนแต่ดูเหมือนเด็กมีปัญหา.. ไม่เรียน ไม่มีระเบียบ
ไม่สนใจ ไม่อะไรทั้งสิ้น ทั้ง ๆ ที่ได้อยู่โรงเรียนมัธยมดังแถวลาดพร้าว ซึ่งนอกจาก
ใกล้บ้านแล้ว ตัวแม่ช่าก็พูดคุยกับอาจารย์ที่โรงเรียนอย่างสม่ำเสมอ อีกทั้งเมื่อมีจดหมาย
เรียกประชุมผู้ปกครองก็ไม่เคยขาดการประชุม เวลาไปก็ไปกับพ่อช้าง เพราะต้องแยก
ไปคนละชั้นเรียน ของปันห้องหนึ่ง ของปูนไปป์ ก็อีกห้องแยกออกไป


ตอนประชุม ก็อยู่ในห้องเรียนของลูกนั่นแหละ โดยคุณครูให้นั่งโต๊ะของลูกใครลูกเขา
ซึ่งผู้ปกครองทุกคนก็ถือโอกาสสำรวจความเรียบร้อยของโต๊ะและลิ้นชักลูกทิ้งหนังสือไว้
ที่โรงเรียนไหม ในลิ้นชักมีขนม หรือขยะเยอะหรือเปล่า ซึ่งระหว่างนั้น คุณครูประจำชั้น
ก็จะพูดถึงผลการเรียนในแต่ละวิชาของห้องที่ลูกเรียนอยู่ พร้อมกับประมาณว่า “ฟ้อง”
ถึงพฤติกรรมของนักเรียนที่เริ่มมีปัญหาในการเรียน ปัญหาในการอยู่ร่วมกับเพื่อนฝูง
(ผู้ปกครองกลุ่มนี้ก็จะหน้าหุบ )


อีกส่วนหนึ่งก็จะ”ชื่นชม”นักเรียนที่เรียนดี ความประพฤติเรียบร้อย การให้ความ
ร่วมมือในการทำกิจกรรม( ผู้ปกครองหน้าบาน ) ซึ่ระหว่างที่ประชุม ก็มีผู้ปกครองถามถึง
ลูกของตน ที่คุณครูอาจจะไม่ได้กล่าวถึง เพราะจำนวนเด็กมีอยู่มาก ท้ายสุดคุณครูประจำชั้น
ก็จะแจ้งให้ทราบถึงตารางการเรียน การสอบ และกิจกรรมต่างๆ ของโรงเรียนในครั้งต่อ ๆ
ไปพร้อมตอบคำถามจากผู้ปกครอง หากมี


แม่ช่าชอบวิธีการนี้มากค่ะ เหมือนกับได้ร่วมกันรับรู้ความเป็นไปของโรงเรียน รับรู้การเรียน
การสอนในแต่ละห้องเรียน และการอยู่ร่วมพร้อมผลการเรียนของลูก ๆ ซึ่งปรากฏว่าการ
ประชุมแต่ละครั้ง คุณครูประจำชั้น จะไม่เคย ฟ้อง หรือชื่นชมลูกเรา ออกไมค์เลย จนแม่ช่า
ต้องตั้งคำถาม


“ไปป์ อยู่ในห้องเป็นงัยบ้างคะครู”

“แฝดทั้งสองคน ก็เป็นเด็กเรียบร้อยค่ะ มีน้ำใจ และที่สำคัญชอบช่วยงานครู ชอบทำ
กิจกรรม ไม่มีปัญหาค่ะ คุณแม่ไม่ต้องห่วง”

“และผลการเรียนล่ะคะ รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร สอบได้ที่ต่ำกว่า 30 ทั้งสองคนทุกครั้งเลย”
ฉันบ่นเล็กน้อย “จากนักเรียนห้องนี้ 55 คนทั้งหมด ครูก็ถือว่าอยู่ระดับปานกลางนะคะ
คุณแม่ คงต้องใช้เวลาบ้าง ....”


ฉันเดินออกจากห้องแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่.... สงสัยต้องให้เรียนเป็นสายอาชีพหาก
ลูกไม่ถนัดด้านวิชาการ หรือเป็นนักกีฬาให้เก่งไปเลย จะได้โค้วต้า เข้าเรียนระดับอุดมศึกษาได้


มานึกย้อนหลังดูว่าฉันพลาดอะไร หรือฉันไม่ได้ใส่ใจลูกตรงไหน จึงทำให้เป็นเด็ก ๆ
ที่จะเก่งก็ไม่ จะเกเร ก็ไม่ เฉย ๆ กลาง ๆ อารมณ์ก็ดี สดชื่น แต่ไม่กระตือรือร้น เหมือน
คนอื่น ๆ เขา รู้ค่ะ ว่าการไปเปรียบเทียบมันไม่ดี แต่ก็ไม่เคยพูดให้ลูกฟัง คุณครูบอกว่า
ต้องใช้เวลาสักหน่อย ก็สงสัยว่า ใช้เวลาทำอะไรเหรอ ขณะที่หลาน ๆ หรือลูกพี่ลูกน้อง
เรียนเก่งกันทุกคน เวลาพูดถึงการเรียนของลูก ๆ ในวันพบญาติ ฉันต้องภาวนาอย่าให้
ใครมาถามเรื่องเรียนของลูกเลย ไม่ใช่ว่าอายจนไม่อยากพูดถึง หากแต่ไม่อยากตอกย้ำลูก ๆ อีก


“หมิง หมิง เทอมนี้ได้เกรด 4 ทุกตัว แล้ว ปันละคราวนี้ได้ 4 กี่ตัว”
“ได้ 3 ตัวหนึ่ง นอกนั้น 2 หมด” ลูกรักก้มหน้าตอบเสียงเบา และเนิบ


ยิ่งเรียนไม่ดี ลูก ๆ ยิ่งไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่มีความภูมิใจที่จะพูด และไม่มีเรื่อง
อื่น ๆ ที่จะอวด หรือเป็นประเด็นที่จะสร้างจุดเด่นในตัวเองขึ้นมา ซึ่งฉันก็มานั่งคิดว่า แล้ว
ทำไมเราไม่สร้างขึ้นเองล่ะ ทำไมให้คนอื่นมาสรุป หรือมามองในมุมว่าลูกเป็นอย่างที่เขาคิด


ต้องรีบทำก่อนที่ลูกจะสร้างความเป็นตัวตนของเขาออกมาเองในทางที่ผิด !!

จากคุณ : ชราร่า - [ 20 ธ.ค. 49 09:33:11 ]






ความคิดเห็นที่ 2

ฉันมั่นใจ ที่จะเป็นคนดึงศักยภาพของลูก ๆออกมาให้ปรากฎเอง ไม่ว่าจะใช้เวลา
จะใช้เงินตรา หรือจะใช้พลังมากมายแค่ไหน เพื่อให้ลูกได้ภูมิใจในศักยภาพของตัวเขา
โดยฉันต้องเริ่มก่อน เริ่มสร้างความรู้สึกที่ดีๆ กับตัวลูก โดยการให้ความใกล้ชิดและ
ชื่นชมทุกครั้งที่ลูกทำการบ้าน หรือมีกิจกรรมทั้งของที่บ้าน และ ที่โรงเรียน


“โห ทำเสร็จแล้ว เก่งจังเลย นี่ตอนแม่อายุเท่าลูกยังทำไม่ได้ขนาดนี้เลย..” อะไรก็ไม่รู้นะ
แต่ ยอ ๆ ไปก่อน

“แม่ภูมิใจตัวลูกมากเลยนะ ปัน สอบได้แค่นี้ก็เก่งขึ้นมาเยอะแล้ว มันยากนี่นาวิชานี้”
เมื่อลูกทำเกรดดีขึ้นมาติ๊ดนึงแค่ .025เท่านั้น


เราเริ่มมีงานเลี้ยงฉลองเป็นการภายในบ้านกันเองอยู่บ่อย ๆ เช่นวันนี้มีกับข้าวพิเศษเช่นกุ้งเผา
ซึ่งเป็นของโปรดปูน ก็จะมีการกล่าวชื่นชมเล็กน้อยว่างานนี้เป็นโอกาสที่ปูนทำการบ้าน
ถูกหมดทุกข้อ เย้... พูดเสร็จปรบมือ กัน ( ก็ 4-5 คนนี้แหละ )


เห็นไหม เรื่องปะติ๋ว มาก แต่ทำให้เป็นเรื่องสำคัญซะ ลูกยิ้มแก้มปริ

“ลูกแม่คนนี้ สุดยอดดดด....”

“เก่งจริง ๆ ลูกใครเนี่ยะ...”

“โห อยากร้องไห้ ปลื้มมากเลย ลูกทำได้งัยค่ะ”

“อุ้ย ตกใจ ตกใจ นี่พูดเล่นป่าว วิ่งแข่งได้ที่ห้า จริงเหรอ ๆ เยี่ยม !!”


สารพัด สารพัน จะสรรหามาพูด มาเยินยอ มาสร้างแรงใจให้ได้ภูมิใจ ในวาระและโอกาสที่
แตกต่างกันไป เพื่อให้ลูกได้ปลื้ม แล้วผลก็คือ ลูกเริ่มรู้สึกเป็นคนที่มีความสำคัญ เป็นคน
ที่มีแป้นให้ยืน สามารถยืนอก ท่ามกลางคนอื่น ๆ มากมายได้อย่างสง่า ลูกเริ่มมีเสียงที่ดัง
ดังแบบมั่นใจ และมั่นคงในความคิดของเขาเอง


จริง ๆ สิ่งเหล่านี้ ฉันได้เรียนรู้จากลูก ๆ เองว่า หากเราหยิบยื่นความมั่นใจให้กับเขา
เขาจะไว้ใจเรา ขณะที่หากเราสร้างเสริมความมั่นใจให้กับเขา ก็เช่นกันค่ะ เขาจะมีความ
ไว้ใจในตัวเอง เมื่อได้พิสูจน์ว่ามันใช่ มันถูกต้อง เขาจะกระทำซ้ำอีกครั้ง ด้วยความมุมานะ
และพยายามมากยิ่ง ๆ ขึ้นไป ที่สำคัญหากเขาเริ่มเองไม่ได้ด้วยสาเหตุใด ๆ ก็แล้วแต่
ขอให้เริ่มที่เราก่อน อย่าให้เขาเริ่มเอง เพราะฉันเกรงว่า สังคมรอบข้าง สื่อต่าง ๆ ที่ขาด
การควบคุมอย่างรุนแรง จะเป็นตัวผลักดันให้ลูกสร้างความมั่นใจหรือหาตัวตนในทางที่
ไม่ถูกไม่ควร เช่น การเล่นเกมส์ แล้วเอาชนะเกมส์ได้ การติดเพื่อน ๆ ที่ชื่นชมในสิ่งที่
อาจจะไม่ถูกต้อง การติดยาเสพติด ติดการพนัน ต่าง ๆ เหล่านี้


ช่วงเวลาก็เป็นสิ่งสำคัญ ระหว่างก่อนวัยรุ่นนี้แหละ ลูกกำลังงง ๆ อยู่ว่าตัวเองยังเด็ก
หรือว่าโตแล้ว บางทีก็ว่า “โตจนป่านนี้ ยัง...” บ้างก็ว่า “ไม่ใช่เรื่องของเด็กนะ
อย่าเพิ่ง...บรา บรา”

งูสองตัวเดินมาชนกันจังโครม !!! แต่ไก่ตามันแตกเป็นชิ้น ๆ


ดังนั้น ความใกล้ชิด จึงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญมาก ๆ ใกล้ชิดกับลูกให้มาก ก่อนที่
คนอื่น ๆ เขาจะมาแย่งตำแหน่งที่ควรจะเป็นของเราในจุดนี้ไป ซ้ำมาพูดเรื่องไม่ถูกต้องและ
เลวร้ายกรอกใส่หูลูกก่อนที่เราจะเป็นคนทำ คราวนี้ไม่ใช่ลุกเสียม้า แต่ลุกแล้วลูกจะเสียคน

จากคุณ : ชราร่า - [ 20 ธ.ค. 49 09:40:01 ]






ความคิดเห็นที่ 3

มีเรื่องขำจะเล่าให้ฟัง….

เย็นวันหนึ่ง ลูก ๆ ถามว่า ทำไมผู้ใหญ่ชอบสูบบุหรี่ และ กินเหล้า คุณครูบอกว่าเป็น
เรื่องไม่ดี คนที่สูบหรือกินเหล้า มักจะไม่มีสติ แล้วผู้ใหญ่ก็ยังกินกันอยู่ขณะที่กำลังคิด
ว่าจะตอบอย่างงัยดี


“แม่กับพ่อเคยกินเหล้าไหมครับ..”เสียงหนึ่งแทรกขึ้นมา

“ก็เคยนะลูก มีบ้างเวลาไปที่งานเลี้ยง...”

“แล้วงานเลี้ยงทำไมต้องกินเหล้า..” ว่าแล้วเชียว ซื้อหวยให้ถูกอย่างนี้ซิน่า

“เอางี้นะลูก กินบ้างนิดหน่อย ก็ไม่เป็นไร แต่ส่วนใหญ่กินเยอะ ๆ ก็เมา คุมสติไม่อยู่
เลยเกิดเรื่องไม่ดี…” เป็นงัย คำตอบแม่ช่า ...ไม่เลวเลย พอได้ .. พอได้

“แล้วที่แม่กิน มันอร่อยไหมล่ะ..” “แม่เคยสูบบุหรี่ไหม ทำไมมีควันออกมาด้วย...
มันมีได้อย่างงัยแม่ ไอ้ควัน น่ะ ” เริ่มแย่งกันถาม ไม่รู้ตอบใครก่อน

“แม่ก็พูดไม่ถูกนะ จะว่าอร่อยก็ไม่เชิง เอางี้ ไหน.. ใครอยากลองบ้าง...”

ยกพรึบ ทั้งสามคน เออ นะ DNA ฉันท่าจะแรง ประเภทอยากรู้อยากเห็น ฮ่า ฮา ฮา


ว่าแล้ววันรุ่งขึ้น ฉันก็ไปขอบุหรี่ เพื่อนที่ทำงานมาสองตัว ระหว่างทางกลับบ้านก็ซื้อเบียร์
มาหนึ่งขวดเล็ก ใส่ถุงสีน้ำตาล ซ่อนแอบไว้ในกระเป๋าหนังที่ถือไปทำงานทุกวัน หลังกิน
ข้าวเสร็จ ก็นัดลูกไปที่ห้องทำการบ้าน ต้องแอบเล็กน้อย เดี๋ยวแตกตื่นกันหมดบ้าน
แม่สอนลูกสูบบุหรี่เหรอะ โดยเฉพาะพ่อช้าง รับการกระทำนี้ไม่ได้เด็ดขาด....


แม่และลูกนั่งวงล้อมกัน เด็ก ๆ ตื่นเต้นกันมาก โดยเฉพาะตอนฉันจุดบุหรี่ ให้ปลายม้วน
มีไฟแดงวาบ แกล้งปล่อยควันออกมาเป็นสาย ทุกคนตาโต


“จะลองสูบบ้างแม่ แต่มันก็เหม็นเนอะ..” เด็ก ๆ เริ่มกล้า ๆ กลัว ๆ

“เอาลองก็ได้ สูดเข้าไปลึก ๆ นะลองดูทีละคน...” ฉันไม่พูดอะไรมากกว่านี้

คนแรกก็ยัยปัน ฐานะพี่ใหญ่ ขอใช้สิทธิ์ก่อนน้อง ๆ ผลคือตกหลุมแม่ช่าตามที่วางแผนไว้
ปันไอมาก ๆ เพราะสำลักควันเข้าปอด จนน้ำตาไหล ร้องไห้จ้า แล้วก็อาเจียนออกมา
เจ้าแฝดตกใจ เท่านั้นแหละ วงแตก แต่แม่ช่าจับมือทุกคนไว้ก่อน เอานิ้วชี้แตะริมฝีปาก


“เงียบนะลูก เดี๋ยวพ่อได้ยิน แม่แย่เลย...”

“มันเหม็นอ่ะแม่ โอยย มันเหม็นที่คอ โฮ โฮ !! ” ยัยปันร้องไม่หยุด ต้องให้น้องไปหยิบน้ำมาให้

“แล้วเราสองคนเป็นงัย จะลองดูไหมล่ะ...” ทั้งคู่ส่ายหัวดิกเลยคราวนี้

“เนี่ยะ แล้วในกระเป๋าแม่ ก็มีเบียร์มาด้วย จะลองไหม..”

ปันไม่เอา แต่คุณชายสองคนพยักหน้า แม่ช่าก็เปิดให้กินจากขวดทั้งชืด ๆ แบบนั้น หลังจาก
ดมและซดกันคนละอึก หน้าตาลูกก็เหย่เก รสชาติที่ได้มันคงทุเรศในความรู้สึกของเขาทั้งสองมาก


“พอแล้วแม่ ไม่เอาแล้ว...” หลังจากที่แม่ช่า ถามความสมัครใจอีกครั้ง

“นี่งัย แม่ก็ไม่รู้ว่าทำไม ผู้ใหญ่บางคนถึงได้ชอบและติดใจของพวกนี้ แม่ก็เคยกิน
แต่ก็ไม่เห็นอร่อยก็เลยไม่กินมันแล้ว ที่นี่เป็นงัย คงไม่ต้องถามแล้วนะ ”


ยอมรับว่าพูดไม่จริงบ้าง พูดไม่หมดบ้างสำหรับเรื่องนี้ แต่ฉันก็คงไม่ได้มีวิธีอื่นที่ดีไปกว่า
ให้เขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง และคิดว่าเขาทั้งสามก็คงไม่ลืมประสบการณ์ตรงที่เขาทั้งสาม
ได้รับในครั้งนี้แน่นอน


ที่สำคัญ สองหนุ่ม ไม่ชอบเหล้า ไม่ชอบกลิ่นบุหรี่ ตอนโตเป็นหนุ่มหลัง ๆ นี้ แม่ช่าชวน
ไปฟังเพลงที่โรงเบียร์ด้วยกัน อยู่ได้ไม่เท่าไร ขอกลับบ้านเพราะไม่สนุก


“อะรัยฟ่ะ ไม่ทันรัยเลย” แม่จอมโวย อิอิ

“ไม่เป็นรัย ปันอยู่เป็นเพื่อนแม่เอง เอารัยดีแม่ กามิกาเซม่ะ คนละเหยือกเลย แม่เอาสีรัย
สีฟ้า หรือสีม่วง ...”


สองหนุ่มก็เอากุญแจรถกลับไปรอที่บ้าน จะมารับอีกที เมื่อสาวสองวัย ใจตรงกันสนุกกัน
พอแล้ว ฉันเคยคิดว่า ดีเหมือนกัน หากตอนนั้น ฉันคะยั้นคะยอให้ปันกินเบียร์ชืด ๆ ขวดนั้นด้วย
ป่านี้คงไม่มีใครเป็นเพื่อนฟังเพลงกับฉันที่โรงเบียร์แน่นอน


สรุปว่า เป็นตอนนี้ชื่อตอน แม่เฮงซวยแล้วกัน เอิ๊ก เอิ๊ก ...

จากคุณ : ชราร่า - [ 20 ธ.ค. 49 09:45:02 ]


ความคิดเห็นที่ 5

อีกเรื่องก่อนจบท้ายบทสรุปของการไว้ใจก่อนที่จะเกิดความมั่นใจ และความมั่นใจ
เป็นตัวผลักดันก่อให้เกิดการแสดงออกที่เหมาะสมกับระดับความมั่นใจที่มีอยู่
( งงไหมเนี่ยะ คงน่าจะงงเนอะ ก็ตรูยังงงเร้ยย..)


มั่นใจเพราะไว้ใจ นั่นแหละ สั้น ๆ !!


ตัวอย่างเช่น........

ตรุษจีนปีหนึ่ง ก็มีการนัดกันในหมู่วงศาคณาญาติไปเที่ยวพัทยากันทุกครอบครัว รวม ๆ
กันก็ประมาณเกือบ 30 ชีวิต เวลาเที่ยว ๆ กันก็พี่ ๆ ดูแลน้อง ๆ แบบนั้น แต่เนื่องจาก
จำนวนน้องมีมากกว่าพี่ ก็มีบ้างที่หลุด ๆ ไป


ยัยลูกสาวแม่ช่า ก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องดูแลตัวเอง แต่ด้วยความประสบการณ์น้อย ก็มีพลาด

ยัยปันจมสระน้ำค่ะ !!!

เรื่องของเรื่องก็คือ ณ รีสอร์ทที่ไปพักที่พัทยาคราวนั้น มีสระน้ำกว้างใหญ่ กระเบื้องสีฟ้า
ใสขับให้น้ำในสระดูน่ากระโดดลงไปว่ายมาก ปันก็รบเร้าแต่เช้าจะไปลงสระ ด้วยเธอใส่
ชุดว่ายน้ำไว้ทั้งวันแต่เมื่อวันแรกที่มาแล้ว คือพร้อมเสมอสำหรับกิจกรรมทางน้ำหากมีใครชวน
เช้านั้นยังมีเด็กรุ่น ๆ เดียวกันยังนอนขี้เกียจอยู่บนเตียงโขลงใหญ่


“เฮียฮั่ง ไปว่ายน้ำด้วยกันหน่อย พาน้องปันไปหน่อย...”
“ปันไปก่อน เดี๋ยวเฮียตามไป..”
พี่ที่มีอายุห่างกันเกือบสิบปีบอกขณะที่กินข้าวเช้าอยู่ ครู่ใหญ่ ๆ เสียงแอะอะโวยวายก็เกิดขึ้น


“ปันจมน้ำ ๆ ไปช่วยเร็ว...”


เฮียฮั่งละจาก ชามโจ๊ก วิ่งไปทางสระน้ำ ซึ่งไม่ห่างจากห้องพักมากนัก กระโดดลงสระ
คว้าน้องปันซึ่งจมน้ำขณะที่มีห่วงยางอยู่บนเอว


มันเกิดขึ้นได้อย่างไรเหรอ ฉันได้รับการบอกเล่าว่า ชุดว่ายน้ำของปันจะครบชุดเสมอ
นอกจากหมวกว่ายน้ำและแว่นตากันน้ำแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือห่วงยางสีหวาน ซึ่งเป็นเรื่อง
ที่ฉันย้ำกับลูกมาตลอด เนื่องด้วยว่า ยังว่ายน้ำไม่แข็งพอ แต่วันนั้นปันจมน้ำได้อย่าง
ไรล่ะ เรื่องก็คือ เวลาเรากระโดดลงสระน้ำ ก็เอาขาลง จะลงทีเดียวสองข้าง หรือทีละข้าง
หรือจะค่อย ๆ จุ่มตัวลงน้ำก็ไม่ว่ากัน นั่นคือเมื่อมีห่วงยางประคองอยู่


แต่คราวนี้ ปันไม่ได้กระโดดเอาขาลง แต่เปลี่ยนท่าเป็นการกระโดดหัวโหม่งลงน้ำ
เหมือนคนว่ายน้ำเป็นแล้ว ฉะนั้น พอเอาหัวลง ห่วงยางที่อยู่บนเอว ก็ทำหน้าที่อย่างดี
เฉกเช่นปกติ ก็คือทำให้ตัวลอยไว้ บังเอิญว่า สิ่งที่ลอยเหนือน้ำกลับไม่ได้ส่วนบนของตัว
แต่เป็นขาสองข้างที่ชี้โด่เด่ขึ้นฟ้า แล้วช่วงลำตัวตั้งแต่ เอว อก และหัวกลับจมอยู่ในน้ำแทน !!!


กินน้ำไปเท่าไรไม่รู้ ดีที่เห็นและคว้าขึ้นมาทัน ถ้าไม่มีคนเห็นก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวจริง ๆ


ตั้งแต่นั้นมาอีกเกือบปี ปันไม่กล้าลงน้ำอีกเลย ไม่ว่ามีห่วงอันใหญ่แค่ไหน หนูจะส่าย
หัวพลางถอยหลังอย่างเดียว ทำหน้าอยากร้องไห้และไม่มีความสุข เมื่ออยู่ใกล้สระน้ำ
หรือชายทะเล.....

โธ่ลูกแม่ กลายเป็นโรคกลัวน้ำไปซะแระ

จากคุณ : ชราร่า - [ 20 ธ.ค. 49 09:51:05 ]






ความคิดเห็นที่ 6

เปิดตลาดแล้ว มือจะเป็นระวิงอ่ะซิ คุณวสัน ฯ

เอาใจช่วยแล้วกัน ... เนอะ สู้ สู้!!!



จากคุณ : ชราร่า - [ 20 ธ.ค. 49 09:52:17 ]






ความคิดเห็นที่ 7

เรื่องว่ายน้ำ ฝึกคาราเต้ และ ขับรถได้ เป็นกิจกรรมที่ฉันวางแผนว่าลูกทุก ๆ คนต้องทำได้
เพื่อสามารถมีชีวิตในสังคมที่หลากหลายอารมณ์นี้ได้ รวมทั้งการเที่ยวอย่างมีความสุข
ป้องกันตัวได้ และมีทักษะในการขับขี่ เวลาเกิดเหตุขึ้น ก็สามารถแบ่งเบาความกังวลไปบ้าง


ดังนั้น ฉันคงไม่สามารถปล่อยให้ปันส่ายหัวปฎิเสธการว่ายน้ำได้นานนัก เริ่มเสาะหาครูสอน
ว่ายน้ำสำหรับเด็กที่เคยประสบการณ์จมน้ำมาก่อน และแล้ว เราก็เจอ ครูแม็ก...


ฉันเล่าทุกอย่างให้ครูแม็กฟัง ครูเองรับฟังด้วยความยิ้มแย้มราวกับได้ฟังเรื่องเหล่านี้
มามากเป็นปกติ และ รู้วิธีรับมือเป็นอย่างดี ราคาค่าเหนื่อยสำหรับครูคนนี้ก็คือ 275 บาท
ต่อชั่วโมง ซึ่งนับเป็นเงินจำนวนไม่น้อยเลยเมื่อประมาณ14-15 ปีทีแล้ว ครั้งหนึ่ง ๆ ก็ต้อง
สองชั่วโมง ฉันต้องพาแม่หญิงปันไปพบครูที่สระว่ายน้ำแถวพระราม 9 อสมท ทุกอาทิตย์


2 อาทิตย์แรก ชุดว่ายน้ำและอุปกรณ์ทุกอย่างในตัวปัน ไม่เปียกน้ำเลย จากการสังเกต
การณ์ของฉัน ครูแม็กนั่งคุยกับปัน ตลอดเวลาสองชั่วโมง หนุงหนิงกันโดยไม่เคยเห็นท่าที
ชวนลงสระแต่อย่างใด


หมดสองชั่วโมง แม่ช่าควักกระเป๋า จ่ายไป 550 เพื่อให้นั่งคุยกันเฉย ๆ ฮึ่มม ไม่ถูกเลย
แต่ก็ทนใช้เวลาสองอาทิตย์ที่เป็นแบบนี้


กิจกรรมที่ใช้เวลาอีกสองอาทิตย์ ก็คือ ทั้งครูและศิษย์ นั่งคุยที่ขอบสระน้ำ อืมม
คืบหน้าหน่อยนึง แต่ก็รู้สึกแพงอยู่ดี....

ถัดมา นั่งขอบสระสลับกับยืนคุยในสระน้ำต่อมา นั่งตีขาขอบสระ แล้วเริ่มให้หน้าแตะน้ำ
และหัดเป่าลมบนผิวน้ำต่อมาก็ยอมดำน้ำตีขา และพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ โดยว่ายน้ำได้ในท่า
มาตรฐานคือฟรีสไตล์ ก็ใช้เวลาปีกว่า ๆ ฉันเริ่มรู้ว่ามันคุ้มแล้วล่ะ กับความใจเย็นของครูแม็ก


จากที่สังเกต ครูแม็กไม่เคยเดินหนีจากลูก ยืนตรงไหน ก็อยู่ตรงนั้นเมื่อลูกว่ายน้ำโดยการตีขา
ไปหา ไม่เคยเดินถอยหนีเพื่อให้เขาว่ายได้มากขึ้น เหมือนอย่างที่เรา ๆ ชอบทำกัน สัญญาว่า
จะว่ายน้ำกี่รอบ ก็เท่านั้น ไม่เคยจะเพิ่มหรือผิดคำพูดที่ตกลงกันไว้ ช่วงหลัง ๆ ปันว่ายน้ำ
เป็นปลาเลย แถมว่ายได้สวยด้วย โดยลืมแผลในใจลึก ๆ ที่ติดตรึงในใจเขามาในช่วงอดีต
จนหมด เรื่องการสร้างความไว้ใจ และ ความมั่นใจจากครูแม็กคนนี้แหละที่เป็นอาวุธ
ตกลงได้สอนลูกว่ายน้ำ และ แม่ช่าก็ได้ trick จากการดูแลลูก ก็งานนี้


เริ่มจากการแสดงความปลื้มใจในตัวลูกแบบดัง ๆ ให้ใคร ๆ ได้ยิน ตามด้วยการแสดงความภูมิใจ
อย่างจริงใจและสม่ำเสมอ ให้เชื่อมั่นว่าเขาจะมีเรายืนอยู่ข้างหลังและตรงนั้นทุกครั้งที่เขาหันมา
เพื่อต้องการความช่วยเหลือและคอยปลอบใจเมื่อเขารู้สึกแย่และท้อถอย


นี่แหละความมั่นใจเกิดจากความเชื่อใจ ดังนั้น เมื่อไรที่ท้อใจกับลูกไม่ว่าเรื่องใด ๆ ให้ถาม
ตัวเองว่า ใช่คุณที่ยืนอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า หรือคนแปลกหน้าที่ลูกรู้จักดี !!!!!







 

Create Date : 28 มกราคม 2550    
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:13:45 น.
Counter : 383 Pageviews.  

16>พวกเราทุกคนชอบไปโรงเรียน..ชอบไป..ชอบไปโรงเรียน

ช่วงนี้ห่างไปหน่อยเพราะงานหนูถีบจักรมัน
เกี่ยงไม่ได้ ยังไม่มีอิสรภาพทางการเงิน
เพียงพอ เมื่อไรหนอ จากได้ออกไปเทรด
หุ้นอย่างเดียว คงมีความสุขมาก

อิจฉาเพือน ๆ ในกลุ่มเฮฮา ฯ นะคะ ดูสุขี
ดีจัง ตอนนี้รู้สึกมีเพื่อนใหม่เพิ่มมาหนึ่งคนแล้ว
คือคุณ Rider กระดี๊กระด๊า กันพอควร แรก ๆ ก็นึก
ว่าเสียงดังเฮ ฮา เพราะถอดรหัส DSM กันออกแล้ว


แต่เปล่าหรอก ......


ส่วนใครอยากรู้ว่าเขากระชุ่มกระช่วยด้วยเรื่อง
รัย ก็ลองเข้าไปดูเองนะ จำนวนกระทู้พุ่งกระฉูดทุกวัน

วันนี้คุยเรื่องโรงเรียนให้ฟัง ตาม request ตอนนี้เขียนได้ไม่หมดมีต่อตอนหน้านะคะ....เชิญค่ะ

จากคุณ : ชราร่า - [ 12 ธ.ค. 49 22:50:19 ]




--------------------------------------------------------------------------------

หน้าหลัก แจ้งลบ bookmark ส่งต่อกระทู้ พิมพ์ โหวตกระทู้ เก็บเข้าคลังกระทู้ กระทู้ก่อนหน้า กระทู้ถัดไป








--------------------------------------------------------------------------------

ความคิดเห็นที่ 1

ลูก ๆ ทั้งสามคนเข้าเรียนตั้งแต่อายุยังไม่สามขวบดี น้องปันไปโรงเรียนตอน 2 ขวบ 6 เดือน
อันนี้เป็นกลยุทธ์ในการลดภาระในการดูแลนะคะ เพราะเด็กเล็ก 3 คน วัยไล่เลี่ยกัน
ยิ่งอาทิตย์ไหน มีญาติ ฟากคุณช้าง มาเยี่ยม ก็จะเป็นประมาณ 6-7 คน รวมพี่เลี้ยงด้วย
ก็ประมาณเกือบ 10 คน


มันคล้ายเนอร์เซอร์รี่ย่อม ๆ ยังไม่รู้ ตอนกินข้าว ตอนนอน ตอนกินนม อืมม...
ยิ่งตอนไม่สบายพร้อม ๆ กันแล้วละก้อแทบอยากเอาหัวไปซุกถุงปุ๋ย


ก็เลยต้องอัปเปหิคุณลูกสาวไปโรงเรียนก่อนคนแรกตั้งแต่วัยยังไม่ถึงเกณฑ์ หนักใจเหมือน
กันนะ ลูกจะตามเพื่อนทันไหม ลูกจะฟังครูรู้เรื่องไหม อีกอย่างลูกจะยอมไปโรงเรียนไหม
ขืนร้องไห้ทุกเช้า เจ้าน้องแฝด ก็อาจตื่นและร้องตามคงดั่งจะมีวงออแคสตร้า วงย่อมๆ ใน
บ้านขับบรรเลงกันทุก ๆ เช้า ซึ่งไม่น่าเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน เพราะแค่ น้องแบงค์
เด็กข้างบ้าน ซึ่งมีแค่หน่อเดียว ร้องหงุง หงิง ๆ ทุกเช้า เรายังหงุดหงิดปะปนสงสารเลย
แต่นี่ตั้งสามคน !!!


พอจะส่งไปโรงเรียน แน่ เหมือนแช่แป้งที่ต้องคิดว่าไปเรียนที่ไหนดี ครูเก่งไหม
ลูกจะทำเลขได้ดีเขียนได้เร็ว ร้องเพลงได้เพราะหรือเปล่า ให้ลูกได้มีโอกาสแสดงออกมากแค่ไหน


เชื่อไหม แม่ช่าไม่ได้คิดตรงนี้เลย

นึกอย่างเดียว เอาที่เรียนใกล้บ้านที่สุด นั่นแหละดีที่สุด ไม่ต้องมีภาระมากมาย และแล้ว
คุณลูกสาวก็ได้ไปโรงเรียนด้วยรถสามล้อ มีหน้าการ์ตูนที่หน้ารถ พู่ห้อยไว้กับแฮนด์ทั้ง
สองข้าง พร้อมที่กดกระดิ่งเสียงใส


ใกล้ขนาดขี่รถไปทุกวัน !!!! เพราะเป็นโรงเรียนเตรียมอนุบาลเล็ก ๆ หน้าหมู่บ้านห่าง
จากบ้านเราไม่เกินสองร้อยเมตรนี่เอง


ลูกไม่เคยร้องกลับบ้าน ไม่เคยมีปัญหากับเพื่อน ๆ แม้ด้วยวัยที่น้อยกว่า ก่อนตัดสินใจว่า
เอาล่ะ เรียนที่โรงเรียนในหมู่บ้านนี่แหละ ก็ได้พาลูก ๆ ทั้งโขยงมาเล่น เครื่งเล่นในโรงเรียน
เป็นการสร้างความคุ้นเคยซะก่อน มีการเข้าไปนั่งในห้องเรียน ใช้ห้องน้ำ ใช้เครื่องอำนวย
ความสะดวกสักพักใหญ่ ๆ คุณครูก็มาทักทายดี จนลูก ๆ มีความรู้สึกว่า ที่ตรงนี้สนุก
มีเพื่อนเยอะ ครูก็ใจดี ดังนั้น ณ วันแรกที่ไปโรงเรียน ยัยปันจะแต่งตัวสะอาดเรียบร้อย
สะพายกระติกน้ำสีชมพูประตูใหญ่ของบ้านเปิด.....ยัยตัวยุ่งถีบรถสามล้อประจำตำแหน่ง
ออกจากบ้าน โดยมีพี่ญัติ ถือกระเป๋าใบน้อยเดินตามหลังไป


ถึงโรงเรียนก็จอดรถเข้าที่ ใกล้ ๆ รถครูใหญ่ของโรงเรียน หยิบกระเป๋าจากพี่ญัติ ก็เดินเข้า
ห้องไปเลย หันมามองนิดหน่อยแล้วยิ้มเหมือนว่า ไม่ต้องห่วง หลังเลิกเรียนก็ให้มารับแล้วกัน....


ฉันเคยเห็นพ่อกับแม่บางคน ก็จูงมือน้อย ๆ ให้คุณครูแล้ววิ่งหายขึ้นรถไปเลย บ้างก็ใจ
แข็งเดินออกไป แต่ก็ซุ่มแอบมองลูกตามร่องลายอิฐที่เรียงเป็นกำแพงโรงเรียน
บางคนปาดน้ำตาไปด้วยกับวันเข้าโรงเรียนวันแรกในชีวิตลูก คงห่วงและสงสารลูก
หรือไม่ก็ติดลูก แบบไม่เคยห่างกันมาก่อน


ลูกแม่ช่า ไม่ร้องสักแอะ คิดเหมือนกันว่าเราต้องพิจารณาตัวเองแล้วล่ะ สงสัยลูกอยู่บ้าน
ไม่มีความสุขหรือเปล่า ถึงไปโรงเรียนอย่างไม่มีปัญหา


แต่จริง ๆ แล้ว เราคงเตรียมตัวมาดีกระมัง สถานที่ก็เป็นที่คุ้นเคยอยู่แล้ว


หลังเลิกเรียน พี่ญัติก็เดินมารับ คุณลูกสาวก็ขับรถสามล้อคันเดิม เข้าบ้าน รุ่งเช้าก็ตื่นอย่าง
ไม่งอแง คงสนุกกับการถีบรถไป-กลับ ซะมากกว่า



จากคุณ : ชราร่า - [ 12 ธ.ค. 49 22:55:29 ]






ความคิดเห็นที่ 2

เจ้าแฝดโตขึ้นพอรู้เรื่องแล้ว เห็นพี่สาว ได้แต่งตัวและออกบ้านทุกวันด้วยสามล้อถีบ
ตัวเองก็ได้ชะเง้อ ชะแง้ มองตามทุกวัน ระยะหลัง ๆ ก็ขอตามไปด้วย ที่นี่กลายเป็น
ขบวนแห่ ส่งนักเรียนหญิงไปโรงเรียนจนเป็นกิจวัตรไปเลย


การไปเรียนของลูก ๆ ก็เป็นเรื่องสนุกไปโดยปริยาย เจ้าแฝดก็ได้เข้าโรงเรียนเตรียม
อนุบาลใกล้บ้านด้วยวัยไม่ถึงเกณฑ์เหมือนกัน และเป็นเรื่องที่ลูกรบเร้าอยากไปเองด้วยซ้ำ
ก็เป็นความโชคดีของฉัน ที่ไม่มีปัญหาเรื่องนี้ คือบังเอิญมีสถานศึกษาใกล้บ้าน
คุณครูก็เห็นหน้ากันเกือบทุกวัน เพราะโรงเรียนอยู่หน้าหมู่บ้านต้องขับรถผ่านหน้าโรงเรียน
จึงได้ทักทายและพูดคุยกันตลอด


ตอนจะเข้าโรงเรียนประถม ฉันก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองมีปัญหา นั่นคือ ไม่รู้ว่าจะส่งลูกไป
โรงเรียนไหนดี ก็อาศัยจากญาติ ๆ หลาน ๆ แหละว่าเรียนกันที่ไหนบ้าง แค่นั้น ไม่เคยเข้า
ไปเจาะลึก หาข้อมูล เปรียบเทียบ อะไรมากมาย เคยคุยกับคุณพ่อคุณแม่บางคน ก็รู้สึก
ละอายใจมาก พวกเขารู้อะไรต่อมิอะไรเยอะแยะมากมาย เอาเวลาที่ไหนไปหาข้อมูลกันนะ
ฉันเอง แค่ให้ลูกมีที่เรียน ให้โรงเรียนรับลูกเราเข้าไปเรียนก็ดีแล้ว อย่างอื่น ๆ ก็ไม่ต้องไป
คำนึงมากมาย


อยากเขกหัวตัวเองจริง ๆ เลย ที่คิดว่าแค่ให้มีที่เรียนก็พอแล้ว ปัญหาที่เจอที่ภายหลัง
ก็มากมายก่ายกองซะจน เกือบแก้ไขไม่ได้


ถ้าได้อ่านที่เคยเขียนไปเรื่อง “แม่พิมพ์ของลูก” นั่นแหละเป็นสิ่งที่ฉันได้พบ ได้เจอ ตลอด
ระยะเวลาที่ลูกเรียนอยู่ที่โรงเรียนนั้น ช่วงอนุบาลหนึ่งถึง ประถมหก


อย่าให้บอกเลยนะว่าที่ไหน โรงเรียนอะไร มีงานได้ทั้งปี เก็บเงินค่าสังสรรค์โน้นนี่ แล้วตึก
โรงเรียนก็ขยายใหญ่ขึ้น กว้างขึ้น สูงขึ้น ขณะที่ฉันรู้สึกว่าลูกฉันโง่ลง โง่มาก ถ้าจะใช้คำว่า
ฉลาด ก็จะฉลาดแบบต่ำเตี้ย จริง ๆ


เราสองคนเคยพาลูกไปเรียนรู้สิ่งที่อยู่นอกห้องมา มากมาย และสม่ำเสมอ เหนือจรดใต้
ภูเขา น้ำ ฟ้า ทะเล เรารู้ว่าลูกเรารู้เรื่อง ไม่ใช่ปัญญาล้ำเลิศ แต่ก็ไม่อับทึบจน อ่านอะไร
ไม่ออก จำอะไรไม่ได้ สมุดการบ้านเป็นตัวแก้ไขแดงไปหมด เกือบทุกหน้า ทุกครั้งที่เห็น
สมุดจดการบ้านลูก ก็ถอนหายใจ หนักอกไปซะทุกคราว ลูกเรียนไม่ได้เหรอ ลูกเราเรียน
ไม่รู้เรื่องเลย


เคยคิดว่า การเรียนการสอนมีให้เลือกรูปแบบที่เหมาะกับลูกไหม แบบสาธิตเหรอ แบบ
inter เหรอ ซึ่งก็ไม่ได้มีให้เลือกมากมายเหมือนปัจจุบัน


“ส่งลูกไปเรียนที่โรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี ดีไหม คุณว่า..” ฉันปรึกษาคุณช้าง ด้วยอ่อน
ใจกับคะแนนสอบของลูก จริง ๆ แล้วไม่ใช่ครั้งแรก


“.. ค่าเล่าเรียนต่อเทอมก็หลายหมื่น ถ้าเราจะส่งลูกไปทางนี้ ก็ต้องไปทั้งสามคนเลยนะ..”


จริง ๆ ด้วย แค่รายได้ของเราทั้งสองก็ไม่สามารถส่งเสียให้ลูกเรียนได้ทั้งหมดในโรงเรียน
นานาชาติ ส่วนโรงเรียนสาธิตนั้นก็ไม่รับนักเรียนระหว่างช่วงชั้น


ได้เข้าไปปรึกษาอาจารย์ใหญ่ที่โรงเรียน คุยกันไม่ได้สองคำ ก็โดนชวนให้ซื้อบัตรงาน
ฉลองตึกใหม่ของโรงเรียนอีกแล้ว ซ้ำบอกด้วยว่า


“ ถ้าคุณแม่ซื้อเหมาโต๊ะนะคะ ตอนงานกีฬาสีปลายปี ดิฉันจะจัดที่นั่งให้คุณพ่อคุณแม่
ได้นั่ง แถวที่นั่ง VIP เลยค่ะ จะได้มองเห็นแปรอักษรชัด ๆ ..”


ฉันคิดผิดจริง ๆ ที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องราวโรงเรียนต่าง ๆ ให้ดีเสียก่อนที่จะส่งลูกเข้ามา แต่ก็
ใจเย็นและย้ำเรื่องที่อยากปรึกษา


“.. เด็กอาจเรียนไม่ทัน เอางี้ค่ะ คุณแม่ให้น้องเรียนพิเศษตอนเย็นซิคะ วันละชั่วโมงเดียว
เอาวิชาที่อ่อนหน่อยแล้วกัน หรือจะเป็นเสาร์อาทิตย์ก็ได้ ทางเราจัดเป็นตารางพิเศษออก
มาเลยค่ะ อันนี้ค่ะ.....มีค่าใช้จ่ายบ้างนะคะ”

พร้อมยื่นตารางเรียนพิเศษยาวเยียดมาตรงหน้า


ต๊ายย ตายยย ฉันอยากจะบ้า.....

จากคุณ : ชราร่า - [ 12 ธ.ค. 49 23:05:12 ]






ความคิดเห็นที่ 3

เย็นวันหนึ่ง ลูกบอกว่า มีครูวิชาคณิตศาสตร์รับสอนพิเศษที่บ้าน เพื่อน ๆไปเรียนกันเยอะ
เลย แล้วส่วนใหญ่ก็มักจะได้คะแนนดี หลังจากเรียนติวกับคุณครูคนนี้แล้ว


“แล้วลูกว่างัยล่ะ..” “ก็อยากจะเรียนครับ ครูอาจเพิ่มเติมจากที่ห้องก็ได้...”


ปรากฏว่าสิ่งที่ลูกได้รับจากการไปเรียนติวพิเศษกับคุณครูคนนี้ ก็คือ sheet เยอะแยะ
เต็มไปหมด แล้วที่เด็ดสุดก็คือ ก่อนสอบประมาณ 2 อาทิตย์ ครูก็แจก sheet อีก
ย้ำให้นักเรียนทำเสร็จ มีการเฉลยคำตอบให้เรียบร้อยกว่าทุกครั้ง


ปรากฏว่าเป็นข้อสอบปลายภาคแทบทั้งนั้นเลย ดังนั้น ใครไม่เรียนกับครูก็ย่อมไม่ได้
คะแนนที่ดีซิ ก็เล่นเอาข้อสอบมาให้ทำก่อนซะงั้น....


อ่อนใจหนักเข้าไปอีก ฉันและคุณช้างอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเอาจริง ๆ งานนี้...


อยากจะไปบอกอาจารย์ใหญ่ ก็เกรงว่าจะให้ซื้อบัตรงานแบบเหมาโต๊ะอีก เคยเขียนจด
หมายปิดผนึกไปที่กระทรวงศึกษา ก็หายเงียบ เมื่อทวงถาม คำตอบก็คืออยู่ระหว่างการ
ดำเนินการสอบสวน ซ้ำยังขอหลักฐานจากฉันอีกว่า มีไหม sheet ที่ครูแจก และโจทย์ข้อ
สอบปลายปีที่ว่าตรงกัน ขอดูหน่อย.... โอ้อนาคตของชาติ อยู่ในกำมือของเขาจริง ๆ


ขืนยื่นและยื้อเรื่องต่อเหมือนคุณรัตนา หรือ ยัยไฮ ลูกฉันคงต้องถูกเชิญออกระหว่างภาคเรียนแน่นอน


ตอนเข้ามัธยมต้น ช่วงนั้นย้ายลูกออกมาเลย แม้ว่าจะมีให้เรียนต่อถึงมัธยมปลาย แต่ฉันก็
คงไม่ปล่อยให้ลูกอยู่ในสภาพนั้นแน่นอน ฉันเริ่มศึกษา ฉันหาข้อมูล ใจลึก ๆ ลูกฉันมีสติ
ปัญญาพอที่จะเรียนได้ เพียงแต่หาวิธีการที่เหมาะจริตของลูก ๆ เท่านั้น


แต่จะไปเรียนที่ไหนล่ะ ??


การศึกษาเป็นสิ่งที่ดี และ ต้องติดตัวลูกไปตลอดชีวิตของเขา ดังนั้น ต้องเลือกและใส่ใจ
มาก ๆ ไม่ทำแบบที่ฉันทำกันมาก่อน


แค่ขอให้มีที่เรียนเท่านั้น !!! ผิด ผิด


เรื่องภาษาที่สอง และความเป็นตัวของตัวเอง การมีความมั่นใจในประมาณหนึ่ง เป็นสิ่งที่
ฉันคิดว่าจำเป็นในการมีชีวิตต่อไปในวันข้างหน้า ไม่เพียงแต่จะทำให้การเรียนดีขึ้น
ยังสามารถทำให้เรามีความพร้อมในด้านการงาน ตอนนั้น ฉันคิดว่าแนวทางการเรียนของ
ลูกต่อไปควรจะวางแผนกันอย่างไร


มาตามฟังความคิดของฉันหน่อยปะไร....


ช่วง มัธยมต้น จะให้ไปเรียนที่ประเทศสิงคโปร์ เพราะได้เรื่องของภาษาทั้งอังกฤษและจีน
( ต่อให้เป็น Singlish ก็เหอะ ) รวมทั้งได้ในด้านความมีวินัยระเบียบ และความรับผิด
ชอบสูง ซึ่งเหมาะสมกับช่วงก่อนวัยรุ่น หรือ pre-teen เป็นอย่างมาก


หลังจากนั้น ช่วงมัธยมปลาย ก็จะให้ไปต่อที่ประเทศออสเตรเลีย ลูกจะอยู่ในวัยรุ่น
ซึ่งที่ประเทศนี้ค่อนข้างเงียบ ไม่มีอะไรฟุ้งเฟ้อ อากาศก็ดี เงินก็ไม่แพงมากนัก ที่สำคัญ
การศึกษาและวิชาการต่าง ๆ ก็ค่อนข้างแน่น


หลังจากนั้นเข้าสู่วัยที่พร้อมจะพบเห็นสิ่งต่าง ๆ ในอารยประเทศ ความเจริญและการ
พัฒนาที่นับว่าเป็นอันดับแรก ๆ ของโลก นั่นคือเรียนระดับปริญญาตรี ที่ประเทศอเมริกา
หรือ อังกฤษ ตอนนี้การซึบซับในด้านความคิดนอกกรอบ การแสดงออกอย่างอิสระ
สามารถทำได้อย่างเต็มที่ มีแหล่งข้อมูลให้ค้นคว้าและเสาะหาความรู้ได้อย่างไม่มี
ขีดจำกัด อีกทั้งเรียนรู้การใช้ชีวิตได้อย่างหลากหลาย


ปริญญาใบเดียว คงไม่เพียงพอสำหรับยุคนี้

ฉันว่านะ

จากคุณ : ชราร่า - [ 12 ธ.ค. 49 23:10:08 ]






ความคิดเห็นที่ 4

ดังนั้น จากที่ได้มีความพร้อมในด้านต่าง ๆ ทั้งภาษา ความมีระเบียบวินัย การมี ความมั่นใจ
ในตัวเอง การรู้จักการแสดงออก เรียบร้อยแล้ว ก็ควรที่จะกลับมาเรียนต่อปริญญาโท
ที่ประเทศไทย เนื่องด้วยการทำงานในเมืองไทย ยังมีระบบอุปถัมภ์กันอยู่มาก การมา
มีเพื่อนฝูงในช่วงนี้ จึงน่าที่จะเป็นช่วงที่เหมาะสม ครบถ้วนขบวนความทั้งหมด


อันนี้เป็นความคิดของอิฉันนะคะ ถูกไม่ถูก อันนี้ไม่ทราบ ที่สำคัญก็อย่ามาว่า ว่าเห็นประเทศ
อื่น ๆ ดีกว่าประเทศของตัวเอง ซึ่งแท้จริงแล้ว ก็อยากให้รู้ว่าฉันเพียงแต่อยากให้ไปได้
ศึกษาสิ่งที่ดีงามของชาวบ้านเขา แล้วมาปรับใช้กับของเรา ซึ่งก็อยากจะถามตรงไป
ตรงมา จริง ๆ ว่า


เท่าที่เป็นตัวตนมานี้ คุณพอใจกับระบบการศึกษาในเมืองไทยแค่ไหน.... หรือคะ


คุณก็คงพอจะเข้าใจนะคะ ว่าอิฉันคิดอย่างไร เท่าที่เคยไปสัมผัสกับคนในกระทรวงใบเสมา
อยู่พักใหญ่ ๆ ก็ได้แต่รู้สึกตัวเองและลูก ๆ โชคดีที่ผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่มีระบบ แบบแผน
ของการศึกษาที่ดีมาได้ โชคดีจริง ๆ แล้วตกลงการศึกษาต้องอาศัยโชคด้วยเหรอ โอ้ แม่เจ้า !!!


กลับมาเรื่องแผนการเรียนของลูกในความฝัน ที่เล่าให้ฟังตะกี้ อิฉันและคุณช้างไม่สามารถ
ทำได้ค่ะ เนื่องด้วยปริมาณของลูกมีมากกว่าปริมาณของเงินที่จะสามารถบันดาลให้เป็นจริง
ได้ จึงได้แต่ฝัน ฝันไป ตื่นขึ้นมาก็ได้แต่ลุ้น และ ลุ้นให้ลูกผ่านช่วงการเรียนในแต่ละ
ระดับให้ผ่านพ้นไปด้วยดีและราบรื่น


ดังนั้น หากเพื่อน ๆ พอมีปัจจัยและเห็นด้วยกับความคิดฉัน ก็นำไปเป็นแบบอย่างก็ได้นะคะ
ได้เรื่องอย่างไรก็เล่าสู่กันฟังบ้าง มันไม่ใช่สูตรสำเร็จของชีวิตหรอก ยังมีปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมาย


ความรักของพ่อและแม่นั่นแหละที่สำคัญที่สุด


กลับมาเรื่องของลูกบ้าง พอตระหนักแล้วว่า อย่าทำตัวรสนิยมสูงรายได้ต่ำประจวบ
กับตอนนั้น การเรียนต่อในชั้นมัธยมมีนโยบายในเรื่องของการให้บริการเขตพื้นที่การศึกษา
ฉันก็ต้องใช้บริการโรงเรียนที่อยู่ใกล้บ้านซึ่งในที่สุดก็ได้เข้าไปเรียนโรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่ง
ซึ่งหลังจากได้ศึกษาคณะครูบาอาจารย์ ( คราวนี้ไม่ให้พลาดอยู่แล้ว ) และแนวการเรียน
แล้วก็คิดว่าน่าจะพอใช้ได้ อย่างน้อย ๆ อาจารย์ใหญ่ก็เป็นคนพูดจารู้เรื่องและมีประวัติค่อนข้างดี


ยัยปัน ก็ได้เข้าไปเรียนเป็นคนแรกในฐานะหนูลองยาของซึ่งเป็นหนึ่งในหลาย ๆ อย่าง
ด้วยความที่เกิดเป็นพี่ใหญ่ เกิดก่อน ก็มีสิทธิ์ถูกทดลองก่อน แต่ก็ไม่นาน เจ้าแฝดก็
ตามมาติด ๆ ในปีต่อไป ปีนั้นโชคดีเขาใช้วิธีจับฉลาก ( เห็นไหม นโยบายการศึกษา
เหมือนชิงโชคเลย ) ทั้งสองคนก็จับฉลากได้ทั้งคู่


ด้วยพื้นฐานการเรียนที่อ่อนยวบ ทำให้คะแนนลูก ๆ ไม่เป็นที่น่าพอใจสักเท่าไร แล้วพอดีเป็น
ช่วงวัยรุ่น ติดเพื่อนค่ะ อะไร ๆ ก็ต้องมี ต้องคิดเหมือนคนอื่นเขาความพยายามของฉันใน
การสร้างแนวคิด สร้างเกราะ สร้างภูมิคุ้มกันการที่ต้องอยู่กับคนหมู่มาก มันหายไป

มันหายไปไหนอ่ะ...


ทั้ง ๆ ที่เราก็ยังไปเที่ยวทุกปิดเทอม ช่วงหลัง ๆ ฉันให้เด็ก ๆ ไปเข้าค่าย YMCA ที่ระยอง
จนลูกจำกิจกรรม จำพี่เลี้ยง จำมุกต่าง ๆ ของการละเล่นได้หมด แต่ลูกก็ยังไม่เป็นคน
ที่มีความมั่นคงในความคิด เยาะแหยะ ไม่กล้าพูด ไม่กล้าคิดนอกกรอบ ทำทุกอย่างที่
เซฟที่สุด ที่สำคัญก็คือ ขาดความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่จริงจังกับทุกอย่าง
ที่อยู่ตรงหน้า


คล้ายคนไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ใด ๆ


แต่เรา ทั้งแม่ช่าและพ่อช้าง ก็ยังคงยืนหยัดให้ความอบอุ่น ให้การสนับสนุนในทุก ๆ
อย่างในทางที่ถูกต้องกับลูก

เพราะเรามั่นใจและทำให้เขารู้ว่าเรามั่นใจในตัวเขา แม้ว่าเขาจะไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลยก็ตาม






 

Create Date : 28 มกราคม 2550    
Last Update : 28 มกราคม 2550 20:12:37 น.
Counter : 438 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

ชราร่า
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




");}
Friends' blogs
[Add ชราร่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.