ปางเสด็จมหาภิเนษกรมณ์ (จบ) - เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ฟ้าสางเมื่อใกล้ค่ำ เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เจ้าชายสิทธัตถะทรงถือเพศบรรพชิตนั้น หลายท่านสงสัยว่า ใครเป็นอุปัชฌาย์บวชให้ ทรงได้จีวรมาจากไหน โกนผมปลงหนวดหรือเปล่า ต้องเข้าใจว่าสมัยโน้นมีนักบวชกันมากมายหลายลัทธิ คำว่า บรรพชิต ก็ดี สมณะ ก็ดี เป็นคำที่ใช้กันแพร่หลาย มีเกณฑ์กำหนดว่า ผู้สละชีวิตครองเรือน มาถือวัตร ถือศีล แบบผู้สละเรือน ก็เรียกว่า "บวช" กันทั้งนั้น ปลงผม ก็มี ไม่ปลงผมมุ่นผมเป็นชฎา ก็มี ผ้าที่นุ่งห่มก็เป็นผ้าแพรยาวๆ ผืนเดียวหรือสองผืนส่วนมาก ดูแขกในปัจจุบันนี้ก็จะเข้าใจว่า เขานุ่งห่มกันอย่างไร
ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา เล่าว่าพระมหาสัตว์ (เป็นคำเรียกเจ้าชายสิทธัตถะ คำเดียวกับ "พระโพธิสัตว์") ทรงตัดพระเกศาให้สั้น ด้วยพระขรรค์ เปลื้องเครื่องทรงของขัตติยราชกุมาร นุ่งห่มผ้าธรรมดา (ซึ่งเข้าใจว่าคงเตรียมมาด้วย) ตั้งพระทัยว่าจะออกแสวงหาโมกษธรรม (คือพระนิพพาน ที่สิ้นทุกข์) เท่านี้ก็ถือได้ว่า "บวช" แล้ว
ยังไม่มีพิธีกรรมอะไร พิธีกรรมมาตั้งขึ้นภายหลังครับ
ก่อนจะเล่าต่อไป ขอย้อนไปถึงสาเหตุแห่งการเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ก่อน มีคำถามแทรกเข้ามาว่า เป็นไปได้หรือที่เจ้าชายสิทธัตถะ พระชนมายุถึง 29 พรรษาแล้ว ไม่เคยเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตายเลย เพิ่งจะมาเห็นเอาตอนนี้ คำถามนี้ผมเคยถามลูกศิษย์ระดับมหาวิทยาลัยที่ผมสอนอยู่ บางคนยืนยันว่าเป็นไปได้ เมื่อถามว่าเพราะเหตุไร
เธอตอบว่า พระเจ้าสุทโธทนะ หลังจากได้ฟังคำพยากรณ์จากพราหมณ์ทั้ง 8 ตอนเจ้าชายน้อยประสูติแล้ว ทรงกลัวว่าเจ้าชายจะเสด็จออกผนวช กลัวจะไม่มีใครสืบทอดราชบัลลังก์ จึงทรงพยายามทุกวิถีทาง ที่จะไม่ให้เจ้าชายทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่ทำให้ทรงเบื่อหน่ายโลกียวิสัย เวลาจะทรงอนุญาตให้เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จไปนอกเมือง ก็ทรงรับสั่งให้ "เคลียร์พื้นที่" ก่อนทุกครั้ง เจ้าชายจึงไม่มีโอกาสได้เห็นภาพที่ชวนให้สลดพระทัย จึงเป็นไปได้ที่เพิ่งจะมาเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย ตอนพระชนมายุได้ 29 พรรษา ศิษย์ของผมว่าอย่างนั้น
แต่อีกหลายคนก็ไม่เห็นด้วย ทำไมตำราจึงว่าไว้อย่างนี้ ข้อความตรงนี้น่าจะมิได้แปลตามตัวอักษรเสียแล้ว น่าจะมีความหมายระหว่างบรรทัดกระมังครับ คือ เจ้าชายสิทธัตถะ เห็นภาพคนแก่ คนเจ็บ คนตาย แน่นอน อาจจะเห็นทุกวันด้วย แต่การเห็นอย่างนั้นเป็นการเห็นด้วย "ตาเนื้อ" จึงเท่ากับไม่เห็น เพราะเห็นแล้วก็ผ่านเลยไป ไม่นำเอามาคิดให้เข้าใจสภาวธรรมทั้งหลายตามเป็นจริง แต่พอพระชนมายุได้ 29 พรรษา เห็นสิ่งเหล่านี้แล้วนำมาขบคิดพินิจพิจารณา จนรู้สภาวะอันเป็นจริงของสิ่งทั้งหลาย เข้าใจในเรื่องความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีเกิดมีดับ ไม่มีอะไรแน่นอน
การเห็นในช่วงหลังนี้จึงเป็นการเห็นด้วย "ตาใน" คือปัญญา หลังจากมืดบอดมานาน เพิ่งจะตาสว่างกันคราวนี้เอง ว่าอย่างนั้นเถอะ เพราะฉะนั้นจึงเป็นไปได้ว่า อยู่มาจนถึงพระชนมายุได้ 29 พรรษา เพิ่งจะเห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย กันคราวนี้เอง
เมื่อพระมหาสัตว์ตั้งปณิธานว่าจะแสวงหาทางพ้นทุกข์ ก็ทรงพิจารณาว่า จะหาจากสำนักไหนดี เนื่องจากสมัยนั้นมีสำนักปฏิบัติมากมาย แต่ละสำนักก็อ้างว่าตนปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ในสังสารวัฏทั้งนั้น ก็ทรงทราบว่า สำนักดาบสนามว่า อาฬารดาบส กาลามโคตร มีชื่อเสียงเป็นที่ทราบกันทั่วไป จึงไปขอฝึกปฏิบัติด้วย
พูดธรรมดาก็ว่าไปสมัครเป็นศิษย์ฝึกด้วย ระบบที่ฝึกก็คือระบบโยคะ ฝึกสมาธิเพื่อให้จิตมีพลังกล้าแข็งขึ้นตามลำดับ พระองค์ทรงฝึกอยู่กับอาฬารดาบส จนได้ผลสัมฤทธิ์ขั้นสูงสุดของอาจารย์ คือขั้นที่เรียกตามศัพท์วิชาการว่า อากิญจัญญายตนะ (The State Nothingness) ทรงรู้สึกว่ายังไม่ใช่ที่สุด จึงลาอาจารย์ไปฝึกปฏิบัติอยู่กับอาจารย์อีกคนหนึ่ง ชื่อ อุทกดาบส รามบุตร ทรงฝึกระบบเดียวกัน จนได้ผลสัมฤทธิ์เพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งอันเรียกว่า "เนวสัญญนาสัญญายตนะ" (The State of neither perception or Non-perception) ก็ทรงเห็นว่ายังมิใช่ที่สุดแห่งทุกข์ จึงทรงดำริที่จะแสวงหาด้วยพระองค์เอง
ความจริง อาจารย์ทั้งสองท่าน ชวนพระมหาสัตว์ให้อยู่เป็นอาจารย์สอนศิษย์อื่นๆ ต่อไป แต่พระองค์ไม่รับ ทรงอำลาอาจารย์ทั้งสองไปแสวงหาลำพังพระองค์ ทรงหันมาบำเพ็ญตบะ คือ การทรมานตนในรูปแบบต่างๆ เท่าที่คนสมัยนั้นคิดว่าเป็นทางบรรลุโมกษธรรม
พุทธประวัติช่วงนี้รวบรัดไปหน่อย ไม่พูดถึงเลยว่าพระองค์ทรงทำอะไรบ้าง แต่รายละเอียดมีอยู่ ในพระสูตรต่างๆ ที่พระองค์ตรัสเล่าให้พระสาวกทั้งหลายฟัง อยากทราบรายละเอียดมีอยู่ โปรดตามไปค้นดูเถิด ไม่มีเนื้อที่จะเล่าโดยละเอียด
ที่น่าตั้งข้อสังเกตก็คือ ช่วงเวลา 6 ปีก่อนตรัสรู้ พระองค์ทรงทำอะไรบ้าง ทรงอยู่กับดาบสทั้งสองกี่ปี บำเพ็ญตบะอยู่กี่ปี ผมคิดว่าพระองค์ทรงอยู่ในสำนักของดาบสทั้งสองไม่เกินสองปี อีกสี่ปีหลังทรงทรมานพระองค์เองด้วยระบบตบะวิธีต่างๆ ลงท้ายด้วยการอดพระกระยาหารอันเรียกว่า ทุกรกิริยา
บางท่านว่าทรงอดพระกระยาหาร 6 ปี คงเป็นไปไม่ได้ดอกครับ ขืนอดนานปานนั้นก็ไม่เหลืออะไรแล้ว ความที่น่าเป็นไปได้ก็คือ ทรงใช้เวลาประมาณสองปี ศึกษาและปฏิบัติอยู่กับอาจารย์ทั้งสองสำนัก ที่เหลืออีกสี่ปีก็หมดไปกับการบำเพ็ญตบะ ทรมานตัวเองด้วยวิธีอันเคร่งครัดนานาประการ ท้ายที่สุดก็ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาสามขั้นตอน ขั้นตอนสุดท้าย ทรงอดพระกระยาหารดังที่ทราบกันดีแล้ว
หน้า 27
ขอบคุณ ข่าวสดออนไลน์ ฟ้าสางเมื่อใกล้ค่ำ ศ.เสฐียรพงษ์ วรรณปก
สิริสวัสดิ์ภุมวารค่ะ
Create Date : 07 เมษายน 2558 |
Last Update : 7 เมษายน 2558 7:22:26 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1275 Pageviews. |
|
|