ทิเบต-เนปาล ตอนที่ 1: นั่งรถไฟไต่หลังคาโลก "ชิงไห่-ทิเบต"
เพราะอยู่ในเขตพื้นที่ที่สูงมาก และออกซิเจนน้อย เพื่อไม่ให้เหนื่อยง่าย เราต้องเคลื่อนไหวช้าๆ อย่าลืมติดตามทริปการเดินทาง "ทิเบต-เนปาล" ของเราอย่างช้าๆ ไปด้วยกันนะคะ เมื่อครั้งเรียนวิชาสังคมสมัยเด็กๆ จำไม่ได้ว่าช่วงประถมหรือมัธยมต้น พอรู้ว่า "ทิเบต" มีสมญานามว่า "หลังคาโลก" เมื่อนั้นความฝันที่จะมาเยือนดินแดนแห่งนี้ก็บังเกิดขึ้นทันที อยากรู้ว่า "หลังคาโลก" นี่เป็นยังไงนะ คงจะสูงและกว้างใหญ่มากทีเดียว เป็นความเพ้อฝันสมัยเด็กๆ ที่ไม่คิดว่า วันนี้เราสามารถเปลี่ยนความฝันให้มาเป็นความจริงได้แล้ว!!!! ครั้งนี้เราใช้บริการทัวร์ของ TravelLifeThailand ไม่ได้แบคแพคไปเองตามที่เคยตั้งใจเอาไว้ แต่ก็ดีแล้วล่ะ เพราะเป็นเส้นทางที่ทรหดมากๆ ต้องมีความอึดและทึกพอตัวทีเดียว ขนาดมากับทัวร์นะ บางครั้งยังอดถามตัวเองไม่ได้ว่า เรามาเที่ยวลำบากเกินไปมั้ย? เราจะพาตัวเองมาทรมานทำไมนะ? ระยะเวลา 11 วัน ตั้งแต่วันที่ 13-23 ตุลาคม 2555 ตามโปรแกรม "ทิเบต เส้นทางรถไฟ ทะลุออกเนปาล" เส้นทาง: กรุงเทพ-คุนหมิง-หลันโจว-ซีหนิง-รถไฟไต่หลังคาโลก-ลาซา (ทิเบต)-เจียนเซ่-ชิกัตเซ่-ซาเจีย-ติงยื่อ ชายแดนจางมู่-โคดาริ-บัคตาปูร์-ทรูลิกเฮล-ปาตัน-กาฐมาณฑุ-กรุงเทพ วันแรกเราหมดเวลาไปกับการเดินทาง ตั้งแต่ขึ้นเครื่องจากกรุงเทพมาลงคุนหมิง และต่อเครื่องไปหลันโจวในวันเดียวกัน กว่าจะเข้าที่พักก็ตีหนึ่งของอีกวันนึงแล้ว อากาศเย็นๆ ประมาณ 8 องศา วันรุ่งขึ้นนั่งรถบัสจากหลันโจวไปเมืองซีหนิง มณฑลชิงไห่ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ครึ่งวันบ่ายเราเที่ยวในเมืองซีหนิง ตอนเย็นๆ มาขึ้นรถไฟเส้นทางไต่หลังคาโลกที่สถานีซีหนิงซี (XiNingXi) รถไฟไต่หลังคาโลก "ชิงไห่-ลาซา" สายนี้ จองยากมากๆ ต้องจองล่วงหน้านาน แต่ก็สามารถจองผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้ ก่อนเราเข้าไปในสถานีรถไฟ เจ้าหน้าที่จะตรวจเอกสารก่อนว่า เรามี Tiber Travel Permit (TTP) หรือใบอนุญาตเข้าทิเบตหรือไม่ ซึ่งนอกจากวีซ่าเข้าประเทศจีนแล้ว เรายังต้องมี TTP นี้ด้วย ตั๋วรถไฟแบบตู้นอน นอนห้องละ 4 คน ชั้นบนราคา CNY 770 (3,850 บาท) และชั้นล่าง CNY 796 (3,980 บาท) บรรยากาศภายในสถานีรถไฟ และเป็นธรรมดาของประเทศจีน ก่อนที่เราจะเข้ามาถึงในนี้ได้ ต้องผ่านเครื่องตรวจสัมภาระก่อน ในนี้ดูโล่งๆ คนไม่ค่อยเยอะดี ป้ายบอกว่าแต่ละสถานีต้นทางและปลายทางต้องไปนั่งรอที่ช่องไหน ช่องตรวจตั๋วที่เท่าไหร่ เห็นแล้ว... T265 ต้นทางก่วงโจว ปลายทางลาซา จริงๆ ต้องออกเวลา 19.45 แต่ข้างล่างบอกว่า รถไฟจะมาถึงช้าประมาณ 35 นาที สำหรับคนที่ซื้อตั๋วรถนอน จะมีห้องพิเศษให้เราเข้ามานั่งรอ โซฟานุ่มนั่งสบาย แต่ต้องทำใจสักนิดกับการมาเที่ยวเมืองจีน คนที่นี่เค้าสูบบุหรี่กันจัดมากๆ ไม่สนใจหรอกว่าพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่ส่วนตัว เฮียแกสูบตลอดล่ะ ตอนนี้สามารถขึ้นรถไฟไปทิเบตได้ 5 สถานี คือ เป่ยจิง (ปังกิ่ง) / ซั่งไห่ (เซี่ยงไฮ้) / เฉิงตู / ก่วงโจว (กวางเจา) และซีหนิง แต่ที่สถานีซีหนิงซีนี้ใช้เวลาน้อยที่สุด ประมาณ 23-24 ชั่วโมง ซึ่งคิดว่าเป็นเวลาที่กำลังดี ไม่น่าเบื่อจนเกินไป (ภาพจาก www.tibettravel.org) รถไฟมาถึงแล้ว วิ่งกันหอบแฮกเลยกว่าจะขึ้นมาถึงชานชาลานี้ได้ ทั้งขึ้นบันได ลงบันได และขึ้นบันไดอีกรอบ ที่สำคัญคือ ต้องดูแลรับผิดชอบสัมภาระของตัวเอง ไปตั้ง 11 วัน กระเป๋าก็หนักเป็นธรรมดา ยกกระเป๋าซะจนเกือบตกบันได ยังดีว่าไกด์ท้องถิ่นมาช่วยแบกกระเป๋าขึ้นข้างบนให้ รถไฟเริ่มเคลื่อนขบวนตอน 20.30 น. ตอนออกตัวนิ่งและเงียบมากๆ แทบจะไม่รู้สึกเลย นั่งไปได้สักพักจะมีเจ้าหน้าที่เอาใบชี้แจงสุขภาพมาให้กรอกและเซ็นชื่อรับรองว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นเราจะไม่เรียกร้องใดๆ ทั้งสิ้น การโดยสารรถไฟไต่หลังคาโลกนี้ต้องระวังอาการแพ้ความสูง เส้นทางนี้อยู่สูงประมาณ 3,000-5,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล ก่อนขึ้นรถไฟ หัวหน้าทัวร์ให้กินยา "ไดอะม็อกซ์" ครึ่งเม็ด ซึ่งยาตัวนี้จริงๆ ใช้รักษาสำหรับคนที่เป็นต้อกระจก แต่เราใช้ผลข้างเคียงของยามาใช้ป้องกันโรคแพ้ความสูง สำหรับคนที่เป็นโรคประจำตัวต่างๆ เช่น โรคหัวใจ โรคระบบทางเดินหายใจ โรคเกี่ยวกับปอด โรคเบาหวาน ผู้ป่วยเป็นหวัดขั้นรุนแรง โรคบวมน้ำในสมองในที่สูง และหญิงท้องแก่ ต้องตัดสินใจให้ดีก่อนที่เดินทางมาที่นี่ สภาพห้องนอนของเราเมื่อคืนนี้ ยับย่นไปหน่อย พอดีเพิ่งมาถ่ายรูปตอนเช้า เมื่อคืนหลับสบายมากๆ ขึ้นรถไฟไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เราก็หลับปุ๋ยแล้ว มาตื่นอีกทีตอนตี 5 กว่าๆ แต่เพื่อนๆ ในกรุ๊ปส่วนใหญ่จะนอนไม่หลับกัน บางคนนอนได้แค่ 1-2 ชั่วโมงเอง แบบนี้จะทำร่างกายอ่อนเพลีย ยิ่งเวลารถไฟขึ้นสู่ที่สูงๆ อากาศเบาบางลงเรื่อยๆ จะทำให้รู้สึกเวียนหัว ปวดหัว และหายใจไม่ออก ห้องนอนของเราไม่กว้างมาก น่าจะเหมือนตู้นอนรถไฟทั่วๆ ไป เครื่องนอนดูสะอาดสะอ้าน ผ้าห่มที่เค้ามีให้ ทั้งหนาและหนัก แต่ก็อุ่นดี คงเป็นเพราะข้างในรถไฟเค้ามีระบบปรับอากาศด้วย ทั้งๆ ที่ข้างนอกเห็นหิมะปกคลุม แต่ข้างในไม่รู้สึกหนาวเลย ภาพบนด้านหัวเตียง ภาพล่างด้านปลายเตียง มารู้สึกตัวตื่นตอนรถไฟจอดนิ่งนานๆ ที่สถานีเก๋อเออมู๋ เท่ากับว่าออกจากสถานีซีหนิงมาได้ประมาณ 815 ก.ม. ตื่นขึ้นมาเห็นหิมะตามสองข้างทางแบบนี้ ข้างในเย็นๆ แต่ไม่รู้ว่าข้างนอกจะหนาวขนาดไหน นี่คือเส้นทางการเดินทางด้วยรถไฟเส้นทางไต่หลังคาโลกของเรา นับตั้งแต่เช้าวันนี้ (15/10/12) เริ่มตั้งแต่เก๋อเอ่อมู่ (Golmud) ถึงลาซา (Lhasa) (ภาพจาก www.thaiinchina.com) แสงแรกของวัน ได้เห็นตอนเกือบๆ 8 โมงเช้า ตู้เสบียงอยู่ใกล้ๆ กับโบกี้ที่เราพัก เป็นการกินข้าวที่วิวดีที่สุดในชีวิตเลย วิวเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อาหารเช้าส่วนใหญ่เป็นเมนูผักๆ อร่อยดี แต่หัวหน้าทัวร์ก็เตรียมหมูหยอง หมูกรอบมาให้ด้วย เช้านั้นจัดการข้าวต้มไป 3 ถ้วย อิ่มยาวไปถึงมื้อกลางวันเลย รถไฟสายชิงไห่-ทิเบต เป็นเส้นทางรถไฟบนที่ราบสูงที่สูงที่สุด และยาวที่สุดของโลก นายหูจินเทา ประธานาธิบดีจีน มาทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2006 ทางรถไฟสายนี้เป็นเส้นทางเชื่องโยงกรุงลาซาของทิเบตเข้ากับเครือข่ายเส้นทางรถไฟไปยังเมืองสำคัญต่างๆ ของจีน เช่น ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ ก่วงโจว หนานหนิง คุนหมิง เฉิงตู และอุรุมซี นอกจากนี้จีนยังมีแผนสร้างทางรถไฟอีก 2 สายจากกรุงลาซา คือ เส้นทางสู่ตะวันออก จากลาซาถึงต้าลี่ และเส้นทางสู่ชายแดนอินเดีย-จีน จากลาซาถึงสี่ก้าเสอและยาตง ฝูงจามรีบนภูเขา ไม่ได้เอาเลนส์ซูมไป เห็นจามรีไม่ชัดเท่าไหร่ เส้นทางรถไฟสายชิงไห่-ทิเบต เริ่มจากเก่อเอ่อมู่ (ในชิงไห่) ถึงกรุงลาซา ระยะทาง 1,142 ก.ม. เริ่มก่อสร้างอย่างเป็นทางการเมื่อ 29 มิถุนายน 2001 และก่อสร้างเสร็จเมื่อกลางเดือนตุลาคม 2005 ใช้เวลาก่อสร้างเพียง 5 ปี เร็วกว่าที่กำหนดไว้ 1 ปี แต่กว่าทางรถไฟสายนี้จะสร้างเสร็จ ได้ผ่านปัญหาและอุปสรรคมากมาย เพราะพื้นที่ในการก่อสร้างยากลำบากมากๆ กว่า 80% ของทางรถไฟสายนี้ หรือกว่า 960 ก.ม. อยู่บนพื้นที่ที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 4,000 เมตร และราว 550 ก.ม. ต้องวางรางไปบนพื้นที่ที่เป็นน้ำแข็งอยู่ตลอดปี ทำให้ต้องใช้เทคโนโลยีในการก่อสร้างพิเศษกว่าการวางรางรถไฟทั่วไป ปัญหาสำคัญๆ ที่พบเจอในการก่อสร้างทางรถไฟไต่หลังคาโลกนี้คือ ประการแรก ตลอดเส้นทางเป็นพื้นที่สูงซึ่งมีออกซิเจนเบาบาง ทำให้คนเหนื่อยง่าย หายใจไม่สะดวก ตลอดเวลาก่อสร้าง จีนระดมแพทย์และพยาบาลประมาณ 600 คนผลัดเปลี่ยนกันมาเข้าเวรประจำสถานีต่างๆ ประมาณ 115 แห่ง ในพื้นที่ที่สูงมากๆ คนทำงานต้องสะพายถังออกซิเจนไว้ในเวลาทำงานด้วย ทั้งนี้ไม่มีผู้เสียชีวิตในการปฏิบัติงานเลย แม้จะมีผู้เจ็บป่วยถึง 453,000 รายก็ตาม ประการที่สอง ตลอดระยะทาง 550 ก.ม. ของทางรถไฟมีอุณหภูมิต่ำกว่า 0 องศา พื้นดินมีน้ำแข็งอยู่ตลอดปี ต้องอาศัยกรรมวิธีพิเศษในการก่อสร้าง เนื่องจากระดับความแข็งของพื้นดิน-น้ำต่างกันตามฤดูกาล การวางหมอนรางรถไฟให้ติดกับพื้นดิน หิน และน้ำแข็งนั้น บางแห่งต้องตอกเสาเข็มลงไปจนลึก บางครั้งก็ต้องใช้ท่อเหล็กตอกลงในของแข็ง แล้วฉีดไนโตรเจนเหลวเข้าไปเพื่อช่วยรักษาระดับความเย็น ประการที่สาม เนื่องจากความผิดปกติอย่างมากของอุณหภูมิและระดับออกซิเจน จีนได้สร้างสถานีบริการออกซิเจนไว้หลายแห่งตลอดเส้นทาง ตู้โดยสารที่ใช้อยู่ก็จัดสร้างขึ้นเป็นพิเศษ มีท่อออกซิเจนฉุกเฉินสำรองไว้ใต้ที่นั่งอย่างครบถ้วน เพื่อความมั่นใจ จีนได้ให้บริษัทของแคนาดาเป็นผู้จัดสร้างตู้โดยสารพิเศษนี้ แทนที่จะเป็นวิศวกรของจีน ช่องออกซิเจนของเราจะอยู่ตรงหัวเตียง ถ้าจะใช้บริการ ต้องไปขอสายออกซิเจนที่เจ้าหน้าที่ แล้วต่อเข้ากับช่องนี้ได้เลย เพื่อนร่วมทริปลองใช้แล้ว บอกว่า เวิร์คมากๆ จากที่เวียนหัว แน่นหน้าอก และหายใจไม่ออก แต่พอดมออกซิเจนแล้วดีขึ้นมากเลย แต่ปัญหาคือ จะมีกลิ่นเหม็นนิดนึง เหม็นกลิ่นท่อ กลิ่นสายยางอะไรประมาณนั้น แต่ก็ดีกว่าไม่ได้ใช้ ประการที่สี่ ทางรถไฟสายนี้สร้างผ่านเทือกเขา ทะเลทราย ทุ่งหญ้า หนองบึงที่รกร้างผู้คนเกือบตลอด ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งเลย การจัดส่งวัสดุก่อสร้างจึงต้องใช้เส้นทางรถไฟใหม่นี้ในการลำเลียงเป็นส่วนใหญ่ พร้อมกันนี้ต้องสร้างระบบการสื่อสารขึ้นใหม่ด้วย ทำให้สามารถใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ประมาณ 80% ของเส้นทางรถไฟ ประการที่ห้า จีนได้ทุ่มงบประมาณสำหรับก่อสร้างทางรถไฟสายนี้ไปแล้วประมาณ 34,776 ล้านหยวน (ประมาณ 160,000 ล้านบาท) เงินจำนวนเดียวกันนี้สามารถนำไปพัฒนาระบบขนส่งมวลชนของกรุงเพทฯ ให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี ซึ่งหากทำสำเร็จ ประเทศไทยจะประหยัดค่าน้ำมันเชื้อเพลิงได้ปีละนับหมื่นล้านบาท ตรงทางเดินจะมีเก้าอี้ให้นั่งชมวิวเพลินๆ แต่บางครั้งก็ต้องคอยหลบหลีกผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วย เส้นทางนี้ต้องตัดผ่านเทือกเขาที่สลับซับซ้อน ทำให้ต้องมีการขุดอุโมงค์ให้รถไฟลอดหลายแห่ง อุโมงค์เฟิงหั่วซาน เป็นอุโมงค์รถไฟที่อยู่สูงที่สุดในโลก มีความสูงถึง 4,905 เมตรจากระดับน้ำทะเล และมีความยาว 1,338 เมตร สภาพบ้านเรือนที่มีให้เห็นไม่มากนักระหว่างเส้นทางรถไฟสายนี้ จากเก๋อเอ่อมู่ในชิงไห่ถึงลาซา มีทั้งหมด 34 สถานีรถไฟ สถานีถังกู่ลา เป็นจุดสูงสุดของทางรถไฟสายนี้ สูงจากระดับน้ำทะเล 5,072 เมตร (บ้างก็บอกว่า 5,068 เมตร) สูงกว่าสถานีรถไฟ Condor ในโบลิเวียที่สูง 4,786 เมตร และ La Galera ในเปรู สูง 4,781 เมตรจากระดับน้ำทะเล เราผ่านสถานีนี้ประมาณเกือบๆ เที่ยง ตอนแรกตั้งใจว่าเมื่อถึงสถานีถังกู่ลาจะลงไปถ่ายรูปกับป้ายสถานีซะหน่อย แต่รถไฟไม่จอด และแล่นผ่านเลยไปแบบไม่รู้ตัว บางเที่ยวจะมีการเปลี่ยนรถไฟที่สถานีนี้ แต่พอดีขบวน T265 ที่เราโดยสารมาไม่ต้องเปลี่ยน ทำให้อดถ่ายรูปเลย มื้อเที่ยงและมื้อเย็น หากเราไม่ได้กินข้าวที่ตู้เสบียง ก็จะมีพนักงานเข็นรถเข็นมาขายอาหาร ประเภทข้าวกล่อง หรือบะหมี่ แต่พวกเราสมัครใจที่จะกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของบ้านเรามากกว่า ซึ่งในขบวนรถไฟมีน้ำร้อนพร้อมให้บริการตลอด เราสามารถไปกดได้เลย ไม่เสียตังค์ เห็นทะเลสาบใหญ่ๆ รีบเอากล้องมาถ่ายรูปทันที เจ้าหน้าที่รถไฟเดินผ่านมาพอดี เค้าบอกว่า นี่คือ "ทะเลสาบชว่อน่า" เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่สูงที่สุดของโลก มีความสูง 4,595 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสาละวินที่ไหลไปออกทะเลอันดามันที่มะละแหม่ง เมืองเอกของรัฐมอญที่ในอดีต เป็นทะเลสาบที่กว้างใหญ่อยู่เหมือนกัน เรียกได้ว่า ถ่ายรูปกันเต็มอิ่มเลยล่ะ แถวทะเลสาบชว่อน่ามีฝูงแกะฝูงเบ้อเริ่มด้วย แต่มองไม่เห็นบ้านเรือนผู้คนแถวนี้ ไม่รู้พวกเค้าไปหลบอยู่ตรงไหนกัน เสียดายว่า เราไม่รู้เลยว่าตรงไหนคือแต่ละจุดที่สำคัญๆ ของเส้นทางรถไฟไต่หลังคาโลกนี้ ได้ยินแต่เค้าประกาศไม่ให้สูบบุหรี่ในตู้โดยสารรถไฟ แต่ไม่ได้มีการแนะนำหรือบอกเล่าถึงสถานที่สำคัญต่างๆ เลย ถ้ามีการประกาศซะหน่อย คงจะทำให้การเดินทางด้วยรถไฟของเรามีความน่าประทับใจมากกว่านี้ (เอ๊ะ! หรือบอกแล้วแต่เราฟังไม่ออก ได้ยินแต่เสียงห้ามสูบบุหรี่จริงๆ นะ คนจีนเค้าไม่สนใจหรอก กลิ่นบุหรี่ลอยมากระทบจมูกอยู่เรื่อยๆ) บางช่วงได้สร้างเป็นทางรถไฟยกระดับหรือสะพานรถไฟ เพื่อไม่ให้กีดขวางเส้นทางอพยพย้ายถิ่นของสัตว์ป่า โดยทำช่องใต้สะพานไว้ให้สัตว์ลอดไปมาได้อย่างอิสระ สัตว์ป่าที่หายาก เช่น กวางทิเบต จามรีป่า จิ้งจอกหิมะ และยังเป็นการแก้ปัญหาการวางรางบนดินน้ำแข็งอีกด้วย ตอนแรกๆ คิดว่า การนั่งรถไฟที่มีความยาวพันกว่ากิโลเมตร และใช้เวลาเกือบ 24 ชั่วโมงนั้นจะน่าเบื่อ อุตส่าห์เตรียมหนังสือนิยายมาด้วย 2 เล่ม กะว่าจะอ่านแก้เซ็งซะหน่อย แต่จริงๆ แล้วไม่น่าเบื่อเลย ไม่ได้แตะหนังสือนิยายเลยแม้แต่น้อย สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูป มีวิวสวยๆ สองข้างทางให้ถ่ายรูปไปได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ วิวนี้จะเปลี่ยนไปตามลักษณะภูมิประเทศที่เราผ่าน สภาพห้องน้ำบนรถไฟ บางครั้งอาจต้องทำใจสักนิดเกี่ยวกับกลิ่นและความสกปรก แต่มีเจ้าหน้าที่มาคอยทำความสะอาดอยู่เรื่อยๆ โอคในระดับหนึ่งเลยล่ะ ถือว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเรา ใกล้เข้าเมืองมากขึ้น เห็นชุมชนมากขึ้น คาดการณ์กันว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะเติบโตมากขึ้นจากเส้นทางรถไฟสายนี้ เพราะมีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากจะสัมผัสเส้นทางรถไฟไต่หลังคาโลก (เราก็เป็นหนึ่งในนั้น) ซึ่งดูได้จากการจองตั๋วรถไฟที่ต้องจองล่วงหน้านานหลายเดือน จริงๆ แล้ว สนใจที่จะไปเยือนทิเบตด้วยเส้นทางรถยนต์เหมือนกันนะ จะได้จอดถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ได้ตามเส้นทางที่เราผ่าน แต่คงจะเสียเวลาไม่ใช่น้อย และบางครั้งอาจเจอปัญหาระหว่างเส้นทาง เช่น การปิดถนน หรือทางถล่ม เอาเป็นว่า ทางรถไฟนี่น่าจะตอบโจทย์การไปเยือนทิเบตได้ดีที่สุดสำหรับเราแล้ว บางส่วนก็บอกว่า เส้นทางรถไฟสายชิงไห่-ทิเบตเป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น และยังทำให้ชาวจีนจากต่างถิ่นอพยพย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่ทิเบตมากขึ้น ในที่สุด ชนเผ่าทิเบตและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาจะสาบสูญไป แต่ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนต้องมีการเปลี่ยนแปลง อยู่ที่ว่าเราเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนั้นอย่างไรมากกว่า (ว่ามั้ย?) แม้รถไฟจะมาช้าไปนิด แต่ก็มาถึงที่หมายก่อนเวลาตั้งเกือบครึ่งชั่วโมง แค่ทุ่มกว่าๆ เราก็มาถึงที่ลาซาอย่างปลอดภัย รถไฟเส้นทางนี้แล่นด้วยความเร็วที่สุด 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทางการจีนอ้างว่า เส้นทางรถไฟสายชิงไห่-ทิเบต ได้รับการขนามนามจากสังคมโลกว่า "เป็นวิศวกรรมโยธาที่ยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับแพงเมืองจีน" ความเห็นส่วนตัวคิดว่า ดีแล้วที่เราเดินทางมาทิเบตด้วยรถไฟ แม้ต้องใช้เวลา 1 วันเต็มๆ แต่ระหว่าง 1 วันนั้น เราได้ปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างไปจากบ้านเราอย่างสิ้นเชิง เป็นพื้นที่ที่ราบสูง ซึ่งบางช่วงสูงถึง 5,000 กว่าเมตรจากระดับน้ำทะเล เหมือนเอาดอยอินทนนท์ 2 ดอยมาต่อกันเลย และอากาศเบาบางมากๆ เพื่อนร่วมทริปบางคนถึงกับนอนสลบอยู่แต่ในห้อง ไม่สามารถออกมานั่งเล่นได้เลย มีอีกกรุ๊ปที่เค้านั่งเครื่องจากคุนหมิงมาลงลาซา ทำเอาป่วยไปเกือบทั้งกรุ๊ป เพราะร่างกายไม่คุ้นเคย ซึ่งจะทำให้การเที่ยวทิเบตนั้นไม่สนุก และไม่มีความสุขอย่างที่ควรจะเป็นด้วย บางคนบอกว่า คนที่จะมาเที่ยวทิเบตได้นั้น ต้องฟิตซ้อมร่างกายให้พร้อม และต้องแข็งแรงมากๆ อันนี้ไม่สามารถตอบได้เหมือนกันว่าจริงหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือ ไม่สามารถบอกได้เลยว่า เราจะเป็นโรคแพ้ที่สูงหรือไม่ จนกว่าจะไปเจอด้วยตัวเอง (โรคแพ้ที่สูง คนละอย่างกับคนที่กลัวความสูงนะ) หากมีอาการเวียนหัว หน้ามืด แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก ควรรีบพักผ่อนทันที ไม่ควรฝืนต่อไป เพราะอาจทำให้อาการรุนแรงขึ้นได้ เกือบ 2 ทุ่มแล้ว ที่ลาซาฟ้ายังแจ้งอยู่เลย เป็นเพราะประเทศจีนเค้าใช้เวลาเดียวกันทั้งประเทศนั่นเอง ออกจากสถานีรถไฟลาซา เรานั่งรถบัสต่อไปอีกไม่ไกลก็ถึงโรงแรมที่พัก อากาศที่ทิเบตหนาวมาก ขอเวลาให้ร่างกายปรับสภาพสัก 1 คืน พรุ่งนี้เตรียมตัวตะลุยลาซาเมืองในฝันของเราต่อไป ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก.... "ทางรถไฟมหัศจรรย์ของโลกสายชิงไห่-ทิเบต" ผู้เขียน ธีระวิทย์ www.thaiword.org
Create Date : 12 พฤศจิกายน 2555 |
Last Update : 20 สิงหาคม 2557 15:50:51 น. |
|
59 comments
|
Counter : 41161 Pageviews. |
|
|