เที่ยวไปในมหานครฉงชิ่ง (ChongQing) ประเทศจีน : ชวนชิมหม้อไฟเสฉวน
สถานที่ท่องเที่ยว : มหานครฉงชิ่ง, China พิกัด GPS : 29° 29' 49.16" N 106° 43' 55.84" E
วันนี้มาปิดทริปมหานครฉงชิ่งให้จบซะที ไปเที่ยวตั้งแต่ปลายเดือนเมษาที่ผ่านมา ข้อมูลต่างๆ ก็เลือนๆ ไปบ้าง ขอโทษสำหรับเพื่อนๆ ที่ถามเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเที่ยวแต่ละที่ด้วยนะคะ ทริปนี้ไม่ได้ควักกระเป๋าจ่ายตังค์เอง เป็นทริปบินสบายๆ เที่ยวฟรีๆ สนับสนุนโดยเจ้านายใจดี 2 คน ก็เลยไม่มีข้อมูลด้านนี้ค่ะ การเดินทางครั้งนี้ของพวกเราใช้เวลา 4 วัน 3 คืน แต่จริงๆ วันที่ 4 ไม่ได้เที่ยวไหนเลย ต้องมาขึ้นเครื่องตั้งแต่เช้า ตามโปรแกรมที่เจ้านายวางเอาไว้คือ วันที่ 1 ช่วงบ่ายเดินเที่ยวเมืองโบราณ Ciqikou-อนุสาวรีย์ Jie Fang Bei-Cable car ชมวิวแม่น้ำแยงซี (Yangtze River) วันที่ 2 ซื้อทัวร์กับทางโรงแรมไปเที่ยวเมืองมรดกโลกทางธรรมชาติอู่หลง (Wulong) (ชมรีวิวย้อนหลังที่นี่) วันที่ 3 ขึ้นรถบัสระหว่างเมืองไปเที่ยวเมืองมรดกโลกผาหินแกะสลักต้าจู๋ (Dazu) (ชมรีวิวย้อนหลังที่นี่)-ศูนย์การค้าหงหยาต้ง การเดินทางในมหานครฉงชิ่งมีหลายรูปแบบ พวกเราเลือกนั่งแท็กซี่จากสนามบินมาที่โรงแรม ระยะเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ค่าแท็กซี่ 700 บาท (ถูกกว่าเมืองไทยอีก-จากชลบุรีไปสุวรณภูมิ เหมาแท็กซี่ก็ 1,000 บาทแล้ว) แต่ก็ต้องทำใจกับสภาพภายในของแท็กซี่อยู่เหมือนกัน รู้สึกเหมือนเค้าไม่ค่อยได้ล้างรถ ดูเลอะๆ เขลอะๆ โรงแรมที่เราพักไม่มีรถไฟใต้ดินผ่าน จะไปไหนแต่ละทีก็เลยต้องอาศัยรถเมล์ (สะดวกสุด) หรือโบกแท็กซี่ (ไม่ค่อยมี) ป้ายรถเมล์มีแต่ภาษาจีนเท่านั้น ตัวหนังสือสีแดงๆ คือสถานีรถไฟใต้ดินที่รถเมล์สายนั้นๆ ผ่าน ต้องขึ้นและจ่ายตังค์ด้านหน้า แต่ก็มีรถเมล์บางคันเหมือนกันที่มีกระเป๋ารถเมล์มาเก็บตังค์ตอนที่เรานั่งแล้ว สังเกตตรงที่ถ้าขึ้นแล้วมีกล่องเก็บตังค์อยู่ข้างๆ คนขับ นั่นก็คือเราต้องจ่ายเงินตอนขึ้น ค่าโดยสาร 1-2 RMB อย่าลืมเตรียมเหรียญให้พร้อม เค้าไม่มีเงินทอนให้ค่ะ ช่วงชั่วโมงเร่งด่วนสภาพบนรถก็คงไม่ต่างจากบ้านเรา อัดแน่นกันเป็นปลากระป๋องเลย ส่วนจะรู้ได้ยังไงว่าถึงป้ายที่เราจะลงแล้ว ก็ต้องคอยฟังเสียงประกาศ หรือดูป้ายข้างทาง ตรงป้ายรถเมล์จะมีเขียนชื่อสถานีอยู่ ตอนไปเมืองจีนแรกๆ ก็สงสัยว่ามอเตอร์ไซค์พวกนี้คืออะไร บางทีเห็นเค้าเกาะกลุ่มกันเหมือนเด็กแว้นพร้อมลุยเลย เพิ่งจะมาเข้าใจก็ตอนไปเมืองจีนครั้งก่อนว่าเป็น "มอเตอร์ไซค์รับจ้าง" นั่นเอง เราก็มัวแต่ติดภาพมอเตอร์ไซค์รับจ้างบ้านเราว่าต้องใส่ยูนิฟอร์ม (เสื้อวิน) เหมือนกันตามแต่ละจุด ลืมนึกไปว่าที่นี่เมืองจีนนะจ๊ะ ไม่ใช่เมืองไทยบ้านเราซะหน่อย ถ้าจะโดยสารรถไฟใต้ดินก็ให้มองหาป้ายเขียวๆ แบบนี้ ซึ่งบางทีก็หลบอยู่ตามหลืบตามมุม เดินหาซะตั้งนานแน่ะ บางครั้งดูตามป้ายเล็กๆ บอกทางไปรถไฟใต้ดินก็ยังหาไม่เจอ เดินตามป้ายอยู่ดีๆ ป้ายก็หายไปเฉยๆ ซะงั้น ทำเอาคนต่างถิ่นอย่างเรางงเลย @_@ มีตู้ขายตั๋วรถไฟใต้ดินอยู่ข้างๆ สามารถเลือกได้ 2 ภาษา คือ ภาษาจีนและภาษาอังกฤษ ใช้ได้ทั้งแบงค์และเหรียญ วิธีการก็ไม่ต่างแตกจากตู้ขายตั๋วโดยสารทั่วๆ ไป รถไฟใต้ดินที่นี่ดูใหม่มากๆ ขึ้น-ลงหลายสายแล้ว สภาพภายในไม่ต่างกันเลย มีให้บริการแค่ 3 สาย และสถานียังไม่ถี่ซะเท่าไหร่ ตามป้ายข้างบนส่วนใหญ่เป็นสถานีในอนาคตทั้งนั้น หลังจากทะเลาะ แต่ยังไม่ถึงขั้นตบตีกับทางโรงแรม เราก็นั่งรถเมล์ออกมาเที่ยวเมืองโบราณ Ciqikou (เรื่องที่ทะเลาะกับทางโรงแรมก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่พวกเราเข้าพักตรงกับช่วงวันหยุดยาว-วันแรงงาน และทางโรงแรมเรียกเก็บเงินเพิ่มอีก 20 RMB/ ห้อง/ คืน คืนละ 100 บาทอาจดูเหมือนไม่เยอะ แต่เป็นเรื่องที่เราไม่ควรจ่ายเพิ่ม เพราะเราจองโรงแรมผ่านอินเตอร์เน็ตมาเรียบร้อยแล้ว ทะเลาะกันอยู่พักใหญ่ ทางโรงแรมก็ไม่ยอม พวกเราก็ไม่ยอมเหมือนกัน และบอกให้เค้าโทรไปสอบถามกับทางสำนักงานใหญ่ ตอนนี้ขอตัวออกไปเที่ยวก่อน เดี๋ยวตอนเย็นจะมาเอาคำตอบ ผลสรุปก็คือ ไม่ต้องจ่ายเพิ่มค่ะ) เมืองโบราณ Ciqikou เป็นหมู่บ้านอนุรักษ์วัฒนธรรม และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของมหานครฉงชิ่ง ลักษณะก็คล้ายๆ กับตลาดเก่า ตลาดน้ำ หรือตลาดโบราณบ้านเรานั่นล่ะ เป็นร้านค้าอาคารไม้สองชั้น (แอบคิดว่าไม่น่าใช่อาคารเก่าแก่ตั้งแต่สมัยโบราณอะไรหรอก เค้าน่าจะเพิ่งทำขึ้นมาใหม่มากกว่า) จริงๆ แล้วแถบนี้เป็นท่าเรืออันเลื่องชื่อด้านการค้าขายเครื่องลายครามตั้งแต่สมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง เค้าก็เลยตกแต่งอาคารให้ออกมาในแนวโบราณๆ หน่อย มีพื้นที่ประมาณ 1.2 ตร.กม. เดินเข้ามาในเมืองโบราณ Ciqikou ตั้งแต่ร้านแรกก็เห็นคนมุงกันเพียบ แถวยาวเหยียดเลย เจ้านายเราก็ไปยืนต่อแถวกับเค้าด้วย ขนมอันนี้เค้าเรียกว่า "หมาฮัว" แป้งทำเป็นเกลียวๆ แล้วทอด คล้ายๆ ขนมของบ้านเรานั่นล่ะ มีหลายรสชาติ หลายราคา อย่างรสดั้งเดิม ราคา 12 RMB (60 บาท) รสน้ำผึ้ง12 RMB (90 บาท) รสเกลือพริกไทย 15 RMB (75 บาท) / ครึ่งกิโล ที่นี่มีขายของกินหลากหลายมาก แต่ไม่ได้ชิมอะไรสักอย่าง บอกตรงๆ ว่า ไม่กล้ากิน ผลไม้เคลือบน้ำตาล แบบนี้ไปที่ไหนก็ต้องเห็น เคยซื้อกินครั้งหนึ่งที่ปักกิ่ง เหมือนกินน้ำตาลมากกว่าผลไม้ ครั้งเดียวเลิกเลย อันนี้คล้ายๆ ขนมสายไหมบ้านเรา แต่มีรูปทรงสวยๆ เห็นวัยรุ่นสาวๆ เดินถือกินกันเป็นแถว ร้านขายอาหาร แต่ไม่น่าจะใช่หน้าร้าน เห็นมีโต๊ะตั้งอยู่แค่ตัวเดียวเอง บางพื้นที่ก็ต้องเดินขึ้นเนินเตี้ยๆ ช่วงแรกๆ ยังมีแรงเดินอยู่ เดินกันทุกซอยเลย แต่ตอนหลังๆ ไม่ไหวแล้ว ขาจะหลุด น่าจะเป็นของฝากขึ้นชื่อของที่นี่นะเนี้ย แต่คงไม่เหมาะที่จะซื้อกลับมาฝากคนบ้านเรา ลักษณะคล้ายๆ พริกดอง เห็นเค้าเอาพริกสดๆ มาสับๆ แล้วก็ใส่โหลขาย อันนี้ลองชิมไปหน่อยนึง อร่อยดี พริกแห้งคั่วใส่ถั่วลิสง พริกเค้าเม็ดใหญ่ดีจัง ไม่ได้ซื้อกลับมาอีกเหมือนเคย เพราะสังเกตว่าถ้าเป็นขนมหรือของกินจากเมืองจีน ทุกคนต้องร้องยี้ แล้วส่ายหน้าตลอดๆ ร้านนี้มีขายเนื้อย่างหลายย่างเลย อันนี้น่าจะเป็นเนื้อแพะย่าง สีสันดูน่ากินเชียว เดินมาจนสุดทางจะเจอท่าเรือ ซึ่งเมื่อก่อนเป็นเมืองท่าสำคัญ ตรงนี้สายน้ำเจียเหลียงซึ่งจะไหลไปบรรจบกับแม่น้ำแยงซี ด้านล่างมีขายอาหารและขนมอีกเยอะแยะเหมือนเคย ตรงนี้ที่รายการที่นี่หมอชิตเคยมาถ่ายทำรายการกัน ช่วงปลายเดือนเมษาที่มาเที่ยวที่ฉงชิ่งนี้ อากาศกำลังสบายเลย อุตส่าห์เตรียมเสื้อกันหนาวไปด้วย ไม่ได้ใช้เลย แต่เห็นเค้าบอกว่า ช่วงเดือนมิถุนายน-สิงหาคม จะร้อนมาก อุณหภูมิสูงถึง 43 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว ฉงชิ่ง ครองอันดับหนึ่งในฐานะ เมืองเตาไฟ ของจีน อีก 2 เมือง คือ อูฮั่น และนานกิง ซึ่งทั้ง 3 เมืองตั้งอยู่สองฝั่งของแม่น้ำแยงซีทั้งสิ้น ย่านการค้าอีกแห่งหนึ่งที่คึกคัก คือ บริเวณลานอนุสาวรีย์ Jie Fang Bei ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางสำคัญ อนุสาวรีย์ Jie Fang Bei เป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะต่อผู้รุกรานในสงครามโลกครั้งที่สอง ปัจจุบันรอบล้อมไปด้วยห้างสรรพสินค้า โรงแรม โรงภาพยนตร์ อาคารพาณิชย์มากมาย ขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานี Xiao Shen Zi เจ้านาย 2 คนช่วยกันดูแผนที่ พวกเราวางแผนกันไว้ว่า คืนนี้จะไปขึ้น Cable car ข้ามแม่น้ำแยงซี จากสถานีนี้เดินไปไกลอยู่เหมือนกัน เดินซะจนไม่รู้ว่ามาถูกทางรึเปล่า มาถามตำรวจเอาตอนที่เจอป้ายพอดี จะไม่ให้งงได้ยังไงล่ะ ภาพในหัวสมองของเราคือมันน่าจะคึกคักหรือครึกครื้นมากกว่านี้นะ แหม...จุดชมวิวแม่น้ำแยงซี ซึ่งเป็นแม่น้ำสำคัญของจีนเลยนะ แต่ตั้งแต่สถานีรถไฟใต้ดินจนมาถึงสถานีขึ้น Cable car แทบจะไม่มีไฟทางเลยมืดๆ สลัวๆ พิกล ค่าขึ้น Cable car เที่ยวละ 5 RMB เข้ามาข้างในก็เงียบเหงาเงียบเชียบเชียว อุตส่าห์วาดภาพไว้ซะสวยหรู และ Cable car ที่จะพาเราข้ามฝั่งก็ไม่เลิศเลออะไรนะคะ ลักษณะเป็นแบบในภาพเลย เหมือนตู้สินค้า และมีรอกดึงข้ามแม่น้ำมากกว่า ที่นั่งมีน้อย ที่ยืนมีเยอะ แต่ไม่ต้องแย่งกัน ขนาดเป็นวันหยุดยาว คนยังโล่งซะขนาดนี้ ผิดหวังอย่างแรง!!! วิวยามค่ำคืนจากบน Cable car (ถ่ายภาพกลางคืนไม่ชัด แต่ยังกล้าเอามาลงให้ดูนะคะ) นอกจากนี้ยังมีบริการล่องเรือชมวิวแม่น้ำแยงซีตอนกลางคืนด้วย แต่ดูเงียบๆ ไม่ค่อยน่าประทับใจเท่าไหร่ สู้ที่เซี่ยงไฮ้ไม่ได้ อีกวันหลังกลับจากต้าจู๋เมืองแห่งหินผาแกะสลักแล้ว เราก็มาที่หงหยาต้ง (Hongyadong) อีกหนึ่งที่เที่ยวของฉงชิ่ง ลักษณะภูมิประเทศของฉงชิ่งอยู่ในหุบเขา ทำให้อากาศขมุกขมัวแบบนี้ตลอดเวลา ฉงชิ่งมีแม่น้ำสำคัญ 2 สาย คือ "แม่น้ำเจียหลิง" ที่ไหลมาจากจิ่วไจ้โกว มารวมกับ "แม่น้ำแยงซี" ที่ฉงชิ่งมี "ล่องเรือสำราญชมทัศนียภาพของแม่น้ำแยงซี" เป็นอีก 1 โปรแกรมที่ไม่ควรพลาด แต่ต้องมีเวลาอย่างน้อยๆ สัก 4 วัน 3 คืน ซึ่งจะไปสิ้นสุดตามเมืองและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางที่แอบตั้งเป้าหมายเอาไว้กับตัวเองว่า สักวันต้องมาเยือนให้ได้ ที่หงหยาต้งมีร้านหม้อไฟเสฉวนชื่อดังอยู่ ตามเว็บของเมืองจีนจะแนะนำร้านนี้กันเยอะ แต่สำหรับพวกเราแล้ว ไม่ถูกปาก ไม่ถูกใจ และไม่ถูกเงินด้วย ก็เลยขอไม่แนะนำดีกว่า เอาแค่ภาพมาให้ชมกัน เดี๋ยวจะมีร้านอร่อยๆ และถูกตังค์มาแนะนำตอนสุดท้ายค่ะ น้ำจิ้มที่เราสามารถปรุงรสได้ตามใจชอบ จริงๆ แล้วก็ไม่รู้หรอกว่าต้องใส่อะไร ยังไง เท่าไหร่ อาศัยมั่วๆ เอา แล้วลองชิมดู ถ้าไม่ถูกใจก็ค่อยมาเติมมาปรุงทีหลัง หงหยาต้ง (Hongyadong) อาคารสูง 11 ชั้น ฝังตัวอยู่บนหน้าผาริมแม่น้ำแยงซี ที่นี่เคยเป็นป้อมปราการเก่าแก่มาก่อน ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางค้าอีกแห่งหนึ่งของเมืองฉงชิ่ง และเป็นจุดถ่ายรูปที่สำคัญของนักท่องเที่ยว แต่ที่เป็นเอกลักษณ์และแตกต่างจากศูนย์การค้าอื่นๆ คือ ภายในปราสาทโบราณนึ้มีร้านค้าขายอาหาร และสินค้าท้องถิ่น ศูนย์วัฒนธรรม โรงละครพื้นเมือง ถ้ำหินเก่าแก่ และโรมแรมขนาดมาตรฐานที่ตกแต่งแบบจีน มีภัตาคารและผับบาร์ทันสมัย สำหรับสินค้าพื้นเมืองหรือของที่ขายที่นี่ ก็คล้ายๆ กับที่เมืองโบราณ Ciqikou และตามที่ท่องเที่ยวทั่วไปนั่นล่ะ ที่เมืองจีนเค้าเข้าใจเอาสถานที่สำคัญโบราณมาทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และปรับปรุงใหม่ให้ดูเก่าๆ (งงมั้ย?) เมื่อก่อนเวลาบอกว่าจะไปเที่ยวเมืองโบราณที่จีน จะดีใจมาก แต่หลังจากที่ได้ไปเที่ยวมาแล้วหลายๆ ที่ ดูๆ ไปก็คล้ายคลึงกันไปหมด บางครั้งก็เห็นเค้ากำลังก่อสร้างเมืองโบราณ (ใหม่ๆ) อยู่ มาถึง "หม้อไฟเสฉวน" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นทำให้เรารับปากเจ้านายทันทีทันทีว่าจะมาเที่ยวฉงชิ่งด้วย ร้านนี้เจอโดยบังเอิญ อยู่ชั้นใต้ดินของอาคารที่เดินผ่านระหว่างจะไป Jie Fang Bei "Ya Mi" ที่เลือกร้านนี้เพราะเห็นคนต่อคิวกันเยอะ แสดงว่าน่าจะอร่อยอยู่ล่ะ เห็นร้านนี้อยู่ตามในเมืองด้วย คงจะเป็นแฟรนไชส์เหมือนสุกี้ชื่อดังบ้านเรา มีอาหารให้เลือกหลายชุด น้ำซุปก็มีให้เลือก 5 อย่าง ประมาณ 150-200 บาทต่อชุด ราคานี้ถือว่าไม่แพงเลย กินได้ 1 อิ่มสบายๆ สงสัยกันมั้ยว่า "หม้อไฟเสฉวน" แต่ทำไมถึงมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองฉงชิ่งล่ะ เมื่อก่อนฉงชิ่งเป็นหนึ่งในเมืองปกครองของมณฑลเสฉวน (ซื่อชวน) แต่เมื่อปี 1997 ได้แยกตัวออกมาขึ้นตรงกับรัฐบาลกลาง 1 ในหม้อไฟเสฉวนที่เค้านิยมกินกันคือ "หมาล่ากัว" หรือน้ำซุปที่มีส่วนผสมของพริกเสฉวนและยี่หร่า ชาวเมืองฉงชิ่งและเสฉวนนิยมกินอาหารรสเผ็ดร้อน และชาลิ้น ซึ่งความเผ็ดนี้จะเผ็ดคนละอย่างกับบ้านเรา ด้วยความที่เป็นคนชอบกินผักต้มนิ่มๆ ก็เลยเอาผักใส่ลงไปก่อนเลย ต้มนานๆ จะได้นิ่มสมใจอยาก แต่จะบอกว่า คิดผิดจริงๆ ที่ใช้วิธีการนี้กับหมาล่ากัว (น้ำซุปยี่หร่าและพริกเสฉวน) เพราะน้ำซุปซึมเข้าไปในผักและเนื้อ ทำให้อมความเผ็ดร้อนไว้ข้างใน กินไปได้ไม่เท่าไหร่รู้สึกชาลิ้นจนกินต่อไปไม่เลย ตอนแรกๆ ก็บอกกับตัวเองแล้วว่า ต่อไปจะไม่กินน้ำซุปแบบนี้อีกแล้ว เข็ดจนตาย แต่ยังไม่ทันจบทริปเลย วันที่สองที่ได้ไปกินหม้อไฟเสฉวนกันอีก ก็ไม่วายสั่งหมาล่ากัวมาอีกรอบ กินให้คุ้นเคยกันไปข้างนึงเลย มาอ่านเจอวิธีการกินหม้อไฟให้ดีต่อสุขภาพในเว็บไซด์ของผู้จัดการรายวัน เค้าให้ข้อมูลเอาไว้ดังนี้ ลำดับการรับประทานหม้อไฟหรือสุกี้สไตล์จีนแท้ เริ่มด้วยน้ำผลไม้ครึ่งถ้วยเล็ก ต่อด้วยผักและตามด้วยเนื้อ เครื่องดื่มแนะนำ ได้แก่ น้ำผลไม้ต่างๆ น้ำมะพร้าว น้ำเมล็ดแอปปริคอต (น้ำสีขาว) บางแห่งก็เสิร์ฟหม้อไฟพร้อมนมเปรี้ยว สำหรับชาจีน (แบบเย็น) ก็ช่วยแก้เลี่ยนได้ดี ส่วนเหล้าขาวและเหล้าองุ่นเหมาะกับหม้อไฟเนื้อแพะที่สุด บางคนดื่มน้ำอัดลมเพราะเชื่อว่าช่วยย่อยและขับลมดี แต่มีข้อห้ามว่า อย่าดื่มเบียร์ขณะกินหม้อไฟ เพราะอาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคปวดตามข้อ (โรคเกาต์) ที่รุนแรงกว่านั้นทำให้เป็นโรคปัสสาวะเป็นพิษ โรคนิ่วในไต นอกจากเนื้อสัตว์แล้วหม้อไฟเป็นแหล่งวิตามินที่สำคัญที่ได้จากผักสดนานาชนิด เมื่อจะรับประทานจึงนำไปลวกอย่าปล่อยให้ต้มในหม้อนานเกินไป ส่วนเนื้อสัตว์ควรลวกอย่างน้อย 1 นาที | การกินหม้อไฟยังไม่ควรรับประทานรวมกับผักหลายชนิดเกินไป เพราะผักบางชนิดกินร่วมกันอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ผักกาดขาวไม่กินกับเห็ดหูหนู เห็ดหูหนูอาจทำให้เกิดอาการผิวหนังอักเสบ มันฝรั่งซึ่งเป็นพืชที่นิยมใส่ในหม้อไฟ หลังรับประทานแล้วไม่ควรกินกล้วย เพราะอาจจะทำให้เกิดจุดด่างบนใบหน้า เนื้อแพะที่บางคนชอบรับประทานจิ้มกับน้ำส้มจิ๊กโช่หรือซอสเปรี้ยว ถึงแม้จะให้ความรู้สึกอร่อยชุ่มคอและกินได้มาก ความจริงวิธีกินแบบนี้ไม่ถูกต้อง เนื่องจากเนื้อแพะเป็นเนื้อสัตว์ประเภทร้อน ช่วยกระตุ้นเลือดลม ทำให้ร่างกายอบอุ่น แต่น้ำส้มรสเปรี้ยวที่อุดมด้วยวิตามิน โปรตีนและช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้ต้องกินควบคู่กับอาหารประเภทเย็น เช่น เนื้อปู ดังนั้นหากรับประทานกับเนื้อแพะนอกจากจะทำให้คุณประโยชน์ของอาหารทั้งสองชนิดลดลงแล้ว ยังอาจเป็นพิษต่อร่างกายได้ นอกจากนี้ การตุ๋นยาจีนกินกับหม้อไฟก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องควรระมัดระวังอย่างมากเช่นกัน ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำอีกว่า ไม่ควรดื่มน้ำแกงในหม้อไฟ เพราะถึงแม้น้ำแกงยิ่งต้มนานๆรสชาติจะยิ่งเข้มข้น แต่ก็มีระดับสารเคมีที่มีผลเสียต่อการทำงานของไตมากด้วยเช่นกัน และหลังรับประทานหม้อไฟอิ่มแล้วควรดื่มชาจีน เพื่อล้างความมันและเพิ่มความชุ่มคอ | แนะนำว่า หากใครมาถึงเมืองฉงชิ่งแล้ว ลองชิมหม้อไฟเสฉวน แบบหมาล่าหั่วกัวดูนะคะ โดยส่วนตัวชอบกินเนื้อแพะ รู้สึกว่าเนื้อแพะกินกับหม้อไฟแบบนี้รสชาติเข้ากั๊นเข้ากันที่สุดแล้ว เป็นทริปแรกๆ ที่เล่าจนจบ จริงๆ ปีนี้มีโอกาสได้เดินทางหลายทริป แต่ยังเล่าไม่จบ หรือยังไม่ได้เอามาเล่าสู่กันฟัง จะพยายามกระตุ้นความขยันส่วนบุคคลออกมาเยอะๆ จะได้ถ่ายทอดประสบการณ์การท่องเที่ยวให้ได้ชมกันค่ะ
Create Date : 11 กันยายน 2555 |
Last Update : 11 กันยายน 2555 12:56:43 น. |
|
40 comments
|
Counter : 30605 Pageviews. |
|
|