กำแพงเมืองจีนยามแสงแดดอบอุ่น และสนามกีฬารังนกยามหนาวเย็น
เมื่อคืนนอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ เพราะวันนี้ต้องมาปีนกำแพงเมืองจีนกัน หลังจากวันก่อนๆ พบเจอความหนาวเย็นของอากาศ และความชุ่มฉ่ำของสายฝน วันนี้ได้มาเจอแดดอุ่นๆ ซะที อุณหภูมิประมาณ 23-25 องศา กำลังเย็นสบายเลย (วันนี้ภาพไม่ค่อยสวยซะเท่าไหร่ ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน) เรามาขึ้นกำแพงเมืองจีนที่ด้านปาต๋าหลิ่ง ซึ่งเป็นด้านชมกำแพงเมืองจีนที่สมบูรณ์ที่สุด แต่ช่วงนี้เพิ่งผ่านพ้นฤดูหนาว เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ก็เลยดูเหมือนแห้งแล้งไปซักนิด กำแพงเมืองจีน หรือ 长城 (ฉางเฉิง) สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์โจว ราว 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยกษัตริยแคว้นฉู่ได้ริเริ่มสร้างขึ้น เพื่อป้องกันการรุกราวจากแคว้นอื่น ได้แก่ ฉี เยี่ยน เว่ย จ้าว และฉิน ซึ่งต่อมาแคว้นเหล่านี้ก็ได้หันมาสร้างกำแพงต้านข้าศึกตามอย่าง ต่อมาในสมัยจักรพรรดิฉินซีแห่งราชวงศ์ฉิน ได้ผนึกรวมทั้ง 6 แคว้นเข้าด้วยกัน จึงได้ทำการเชื่อมกำแพงเมืองจีนทางตอนเหนือของแคว้นฉิน เยี่ยน และจ้าวเข้าด้วยกัน รวมถึงก่อสร้างต่อเติมออกไปอีก ทั้งในสมัยของราชวงศ์ฮั่น จนถึงราชวงศ์หมิง ก่อนจะเริ่มปีนกำแพงเมืองจีนด้วยกัน ขอถ่ายภาพเก็บไว้ซะหน่อย กำแพงเมืองจีนถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของชาวจีน เนื่องจากเป็นสิ่งปลูกสร้างเพื่อการป้องกันประเทศ และใช้ระยะเวลาก่อสร้างยาวนานที่สุด อีกทั้งอิฐหินแต่ละก้อนล้วนมาจากหยาดเหงื่อ เลือดเนื้อ และชีวิตของบรรพบุรุษ ไกด์บอกว่า "บันได 1 ขั้น = คนตาย 1 คน บันไดอีก 1 ขั้น = ม้าตาย 1 ตัว" ในสมัยก่อนพ่อแม่บางคนถึงขนาดยอมตัดแขนขาของลูก เพื่อไม่ให้มาสร้างกำแพงเมืองจีน เพราะถ้ามาแล้ว ส่วนใหญ่ไม่มีชีวิตรอดกลับไป เวลาเดินขึ้นบันไดแต่ละขั้นทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เราเหยียบย่ำชีวิตคนไปกี่ชีวิต เหยียบย่ำม้าไปกี่ตัวก็ไม่รู้ กำแพงเมืองจีนประกอบด้วย 4 ส่วนสำคัญ คือ กำแพงเมือง มีทั้งเป็นกำแพงหิน ดิน ทราย และอื่นๆ ตามแต่วัสดุที่ใช้ก่อสร้าง โดยจะมีความสูงราว 3-8 เมตร และยอดกำแพงกว้าง 4-6 เมตร หอสังเกตการณ์ แบ่งออกเป็น 2 ชั้น โดยชั้นบนใช้คอยสอดส่องและยิงธนูต่อสู้ข้าศึก ส่วนชั้นล่างถูกซอยออกเป็นห้องเล็กๆ ใช้เก็บสรรพาวุธ รวมถึงเป็นที่พักนอนของเหล่าทหารหาญ ตัวด่านหรือป้อมปราการ มักสร้างไว้ตามจุดสำคัญทางยุทธศาสตร์ หอส่งสัญญาณ ตั้งอยู่นอกเขตกำแพง ตามยอดเขา หรือที่มองเห็นได้ชัดเจนจากที่ไกลๆ ตอนกลางคืนจะใช้วิธีจุดไฟแจ้งเหตุ ส่วนกลางวันใช้เป็นควันไฟสัญญาณแทน (ข้อมูลจาก "เรื่องเล่าไม่รู้จบของกำแพงเมืองจีน โดย ASTV) วันนี้ปีนกำแพงเมืองจีนไปแค่ 2 ป้อม ก็เล่นเอาเหนื่อยซะแล้ว ยังดีที่ว่าอากาศไม่ร้อนมาก ยังพอทนไหว มื้อกลางวันเติมพลังด้วย "สุกี้มองโกล" แยกเป็นหม้อๆ มีผักสดและเนื้อสัตว์ให้เติมได้อย่างเต็มที่ เนื้อที่ถูกใจที่สุดก็คือ เนื้อแพะ (สีแดงๆ) นุ่มๆ คล้ายเนื้อหมู พอออกจากร้านอาหารจะเห็นรถเข็นขายสตรอเบอร์รี่เต็มไปหมด แต่ไกด์เตือนไว้ว่า ระวังสีตกใส่มือนะ เพราะบางร้านเค้าจะย้อมสีให้ดูแดงๆ สดๆ น่ากิน ภาคบ่ายเข้าชมพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง ในนี้มีให้ใส่ชุดประจำชาติและถ่ายรูป มีทั้งหมด 4 เซ็ต ราคา 100 หยวน (ประมาณ 500 บาท) หนักหัวชะมัด คอก็เลยดูแข็งๆ ไปหน่อย ในพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งเป็นการเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของแต่ละราชวงศ์ มีทั้งหมด 16 ฉากด้วยกัน ในนี้ถ้าใครจะถ่ายรูปต้องจ่ายค่ากล้อง คนละ 10 หยวน (แต่ไม่เห็นมีการตรวจสอบเลยว่าคนที่ยกกล้องถ่ายรูปได้จ่ายตังค์ทุกคนหรือเปล่า) หลังจากแวะร้านไข่มุก ก็มาเดินเล่นที่สนามกีฬาแห่งชาติกรุงปักกิ่ง หรือที่เราเรียกว่า สนามกีฬารังนก ที่นี่เป็นเหมือนสวนสาธารณะด้วย เพราะจะมีชาวจีนมาเดินเล่น มาเล่นกีฬาเต็มไปหมด คงเป็นเพราะไม่ต้องเสียค่าเข้า และมีบริเวณกว้างขวางมากๆ เป็นสนามกีฬาหลักที่ใช้ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดุร้อน 2008 ซึ่งจัดขึ้นที่เป่ยจิง เริ่มก่อสร้างเมื่อเดือนธันวาคม 2546 ออกแบบโดย Herzog & DeMeuron (สวิสเซอร์แลนด์) และสถาบันออกแบบสถาปัตยกรรมจีน (China Architecture Design Institute) ครอบคลุมพื้นที่ 258,000 ตร.ม. ขนาดความจุ 1 แสนที่นั่ง งบประมาณ 3.5 พันล้านหยวน โดยสนามกีฬาแห่งนี้ถูกใช้เป็นสนามแข่งขันกรีฑาและฟุตบอล จัดการกับข้าวเย็นที่แสนจะไม่อร่อยเรียบร้อย ก็ไกด์ขอมาเดินเล่นในนี้อีกรอบ อยากเก็บภาพยามค่ำคืนของสนามกีฬารังนกแห่งนี้ซะหน่อย ตกดึกอากาศเย็นมากๆ แถมมีลมพัดอยู่เป็นระยะๆ ไม่ได้เตรียมเสื้อกันหนาวไว้ด้วย ถ่ายรูปไปก็หนาวสั่นกันไป จริงๆ แล้วสระว่ายน้ำนี้เปลี่ยนสีได้ แต่วันนี้ไม่เห็นจะเปลี่ยนสีเลย เดินเล่นจนถึง 4 ทุ่มได้เวลาปิดไฟของสนามกีฬา ก็ได้เวลาเดินกลับที่พักกัน
Create Date : 08 พฤษภาคม 2553 |
Last Update : 8 พฤษภาคม 2553 1:11:28 น. |
|
50 comments
|
Counter : 5915 Pageviews. |
|
|
สนามรังนกตอนกลางคืนสวยอลังการมากๆ
จขบ สดใสน่ารักจังค่ะ