ตามเส้นทางฝัน @ เมียร์มาร์ : ตอน 1 พระธาตุมุเตา และพระราชวังบุเรงนอง
ถ้าพูดถึง "เมียร์มาร์" หลายๆ คนจะนึกถึง "เจดีย์ชเวดากอง" เจดีย์สูงใหญ่ที่หุ้มด้วยทองคำอร่ามไปทั้งองค์ เอ๊ะ!!! ทำไมถึงเป็น "ประเทศเมียร์มาร์" ไม่ใช่ "ประเทศพม่า" เหรอ จริงๆ แล้ว "พม่า" เป็นเพียงชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเมียร์มาร์ ซึ่งเป็นชนเผ่าที่ใหญ่ที่สุด ชื่อว่า "Bamar" (บามาร์) และชาวตะวันตกเรียกชื่อประเทศนี้ว่า "Burma" (เบอร์มาร์) แต่เราเรียกเพี้ยนมาเป็น "พม่า" นั่นเอง เมื่อปี 2532 ได้เปลี่ยนชื่อประเทศมาเป็น "Myanmar" (เมียร์มาร์) หรือ มยะหม่า หรือเมียนมาร์ ในภาษาพม่า แปลว่า เข้มแข็งขึ้นโดยเร็ว จากคำบอกเล่าของไกด์ที่ว่า คนในประเทศนี้ไม่ชอบให้เราเรียกพวกเค้าว่า "พม่า" แต่ชอบให้เรียกว่า "เมียร์มาร์" มากกว่า โปรแกรมทัวร์ที่เปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก จากที่ต้องเดินทางแต่เช้า เลื่อนมาเป็นบ่าย และในที่สุดกว่าจะได้ขึ้นเครื่องจริงๆ ก็ปาเข้าไป 2 ทุ่มกว่าๆ เครื่องบินดีเลย์ไปอีก 1 ชั่วโมง เราใช้เวลาเดินทางกันไม่นาน ประมาณ 50 นาทีก็มาถึง สนามบินนานาชาติเมงกาลาดง อาหารมื้อแรกเกิดขึ้นตอนประมาณ 4 ทุ่ม เป็นอาหารพื้นเมืองของที่นี่ รสชาติพอไหว แต่เห็นเพื่อนๆ enjoy eating กันใหญ่ ชี้ชวนให้ชิมโน่นชิมนี่ บอกว่าอันโน่นก็อร่อย อันนี้ก็อร่อย แต่ไม่ไหวล่ะ เลยเวลาอาหารมานาน กินไม่ค่อยลง ได้แค่ชิมให้พอรู้รสเท่านั้น ระหว่างทางจากร้านอาหารมาโรงแรม เห็นเจดีย์สีทองอร่ามมากๆ ผู้ร่วมทางต่างตื่นตาตื่นใจกันใหญ่ ไกด์บอกว่า นั่นคือ เจดีย์ชเวดากอง แต่ให้ใจเย็นๆ ไว้ก่อน เดี๋ยววันหลังจะพามาสักการะ พวกเราได้แต่ยกมือไหว้ท่วมหัว แล้วพูดกันว่า ช่างเป็นบุญเหลือเกินที่ได้มาเห็นและมาไหว้เจดีย์องค์จริงๆ กว่าจะได้เข้าห้องพักที่ SEDONA HOTEL ก็ปาเข้าไปเที่ยงคืน-ตีหนึ่งแล้ว อาบน้ำเสร็จ หัวถึงหมอนก็หลับไม่รู้เรื่องเลย มาสำรวจโรงแรมอีกทีตอนเช้า พบว่าด้านหน้าโรงแรมคือ ทะเลสาบอินยา ทะเลสาบที่ทหารอเมริกันว่ายน้ำแอบเข้าบ้านของนางอองซานซูจีเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา แล้วโดนจับได้ การติดต่อสื่อสารของที่นี่ลำบากสักนิด Wi-Fi เป็นของหายาก ไม่มี Roming ต้องขอใช้บริการกับทางโรงแรม เมื่อแรกเห็นรถแท็กซี่ที่มารอให้บริการหน้าโรงแรม เกิดอาการตะลึงงันเล็กน้อย สภาพเป็นเยี่ยงนี้หรือนี่ แต่รถที่พวกเราใช้ระหว่างเดินทางที่นี่ เป็นรถบัสใหม่เอี่ยมอ่องของเค้าเลย แต่ไม่รู้เป็นมือที่เท่าไหร่จากญี่ปุ่น เปิดแอร์เย็นเฉียบ ถึงขนาดหนาวสั่นไปตลอดทริป จนต้องร้องขอให้ช่วยเบาแอร์หน่อย รถที่นี่วิ่งชิดขวา แต่คนขับก็อยู่ทางขวาเช่นกัน ถ้ารถใหญ่แบบนี้ก็ต้องมีเด็กรถมาช่วยดูทางเพิ่มอีก 1 คน ก่อนการเดินทางจะเริ่มต้นขึ้น ไกด์ได้มีข้อตกลงกับพวกเราว่า เราจะไม่พูดเรื่องการเมืองกัน ถ้ามีข้อสงสัยก็ถามได้ แต่งดเว้นการบันทึกเสียงหรือภาพ เพราะที่นี่มีคนของรัฐบาลแทรกซึมไปทุกที ถ้าใครพูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาก็จะโดนจับขังคุกได้ แม้แต่นางอองซานซูจี เค้าก็ไม่เอ่ยชื่อกันตรงๆ แต่จะแทนด้วยคำว่า "นางคนนั้น" หรือ "นางคนสวย" แทน โปรแกรมของเช้าวันแรกคือ มาไหว้พระเจดีย์ชเวมอดอร์ หรือพระธาตุมุเตา ในเมืองหงสาวดี ซึ่งเป็น 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เชื่อกันว่า เกิดมาชาติหนึ่งต้องพยายามไปไหว้ให้ครบทั้ง 5 อย่าง เพื่อตายแล้วจะได้ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ การเข้าวัดที่เมียร์มาร์นั้น ต้องถอดรองเท้าตั้งแต่ก้าวเข้าวัดกันเลย แต่ส่วนใหญ่คนขับจะเอารถไปจอดให้แทบจะแนบชิดกับประตูทางเข้า เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเดินเท้าเปล่ากันมากนัก และให้พวกเราถอดรองเท้าไว้บนรถ จะได้ไม่ไปหลงหรือสลับกับใคร ก่อนขึ้นรถก็แจกผ้าให้เช็ดเท้ากันอีก ไม่ว่าอยู่ตรงไหนในเมืองหงสาวดี ก็จะมองเห็น พระธาตุมุเตา เพราะมีความสูง 377 ฟุต สูงกว่าพระเจดีย์ชเวดากองในย่างกุ้งถึง 51 ฟุต ในภาษามอญ แปลว่า จมูกร้อน เพราะสูงจนต้องแหงนคอมอง ทำให้จมูกร้อน ส่วนภาษาพม่าเรียกว่า ชเวมอดอร์ แปลว่า เจดีย์พระเจ้าทองคำ เริ่มสร้างครั้งแรกในยุคไล่ๆ กับสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชของอินเดีย ประมาณ 2,200 ปีมาแล้ว พระเจ้าตะเบงชเวตี้ พระบิดาของพระเจ้าบุเรนอง ยังทัพมาตีเมืองหงสาวดีของมอญแตก แล้วย้ายเมืองหลวงจากตองอูมาอยู่ที่หงสาวดี เพื่อจะกราบไหว้บูชาพระธาตุมุเตาได้สะดวก และพระเจ้าบุเรนองนับถือพระธาตุมุเตามาก ถึงขนาดสร้างวังให้มองเห็นองค์พระธาตุตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน จุดอธิษฐานศักดิ์สิทธิ์ อยู่ตรงบริเวณยอดฉัตรที่ตกลงมาเมื่อครั้งที่เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เมื่อปี 2473 ด้วยน้ำหนักมหาศาลที่ตกลงมายังพื้น แต่ยอดฉัตรกลับยังคงสภาพเดิมไม่แตกกระจาย จึงเป็นที่ร่ำลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ สภาพร้านอาหารในเมืองหงสาวดีที่ถ่ายตอนนั่งรถผ่าน ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ถ้าแบคแพคมาเอง จะกล้าเข้าร้านอาหารแบบนี้มั้ย ออกจากพระธาตุมุเตาแล้ว แวะมาตักบาตรพระสงฆ์ที่ วัดไจ้คะวาย ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก เป็นวัดที่พระภิกษุและสามเณรไปศึกษาพระไตรปิฏก มีจำนวนกว่า 1,000 รูป ที่วัดนี้ยังรับบริจาคข้าวสารและอุปกรณ์การเรียนด้วย เมื่อครั้งพายุนากิสถล่ม เจ้าอาวาสได้เปิดคลังข้าวสารนำไปบริจาคให้กับชาวบ้าน จนตอนนี้ข้าวสารเหลือน้อย แต่ละมื้อมีอาหารเพียงไม่กี่อย่าง แต่ไกด์บอกว่า ช่วงหลังดีหน่อย เพราะคณะทัวร์ไทยเข้าไปทำบุญกันมากขึ้น อาหารมื้อเที่ยงของเราเป็น กุ้งแม่น้ำตัวโต คนละ 1 ตัว ได้กินกัน 2 วันติดๆ เลย มาถึงนี่ ใครๆ ก็ต้องนึกถึงคำว่า "ย่างกุ้ง" และคิดว่า ต้องมีกุ้งเยอะๆ แน่เลย แต่ที่จริงแล้ว "ย่างกุ้ง" กับพม่าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย แต่ไม่รู้ทำไมคนไทยถึงเรียกว่า "ย่างกุ้ง" หลังพม่าขับไล่มอญออกไปแล้ว ก็สร้างเมืองตะเกิงขึ้นมาใหม่ แล้วเรียกชื่อว่า "Yangon" (ยางกอน) แต่คนอังกฤษเรียกว่า "Rangoon" (แรงกอน) ตามโปรแกรมเดิม จะไปสักการะ พระพุทธไสยาสน์ชเวตาเลียว ซึ่งเป็นพระนอนที่งดงามที่สุดของเมียร์มาร์ แต่เนื่องจากน้ำท่วมสูง ขนาดรถบัสของเราก็ยังเข้าไปไม่ได้ โปรแกรมนี้จึงต้องยกเลิกไปอย่างน่าเสียดาย ออกจากร้านอาหารจึงมุ่งหน้าไปที่ " พระราชวังบุเรงนอง" (Kamboza Thadi Palace) เป็นพระราชวังที่สร้างขึ้นมาใหม่ เพราะของเดิมที่สร้างด้วยไม้สักอย่างอลังการถูกไฟไหม้หมดแล้ว ซึ่งกรมศิลปากรเมียร์มาร์ได้ทำการขุดค้นฐานของพระราชวัง แล้วก่อสร้างตัวอาคารจำลองบรรยากาศขึ้นมาใหม่ ที่แห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และพระนางสุพรรณกัลยา เมื่อครั้งตกเป็นเชลยศึก ท่อนไม้ที่ได้มีการขุดค้นพบในบริเวณนี้ เป็นไม้สักที่เจ้าเมืองต่างๆ ที่พระเจ้าบุเรงนองได้ยกทัพไปตีและยึดครองสำเร็จส่งมาเป็นเครื่องราชบรรณาการ มีการแกะสลักชื่อเมืองไว้ที่ฐานก่อนจะนำไปก่อสร้าง เหมือนเป็นการสะกดให้เมืองเหล่านี้เป็นเมืองขึ้นตลอดไป แต่มี 2 เมืองที่ไม่ได้ส่งต้นเสามาบรรณาการ คือ เมืองยะไข่และเมืองตองอู ซึ่งภายหลัง 2 เมืองนี้ก็ได้ยกทัพมาตีเมืองหงสาวดี และเผาพระราชวังบุเรงนองจนเหลือแต่ซาก ไปกับทัวร์มีข้อเสียอยู่อย่าง ตรงที่เราไม่สามารถเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ได้นาน เนื่องจากต้องทำเวลาให้เป็นไปตามโปรแกรม และเราก็โดนต้อนขึ้นรถอีกครั้ง เพื่อจะมุ่งหน้าไปสถานที่ต่อไป ช่วงที่ไปเมียร์มาร์เป็นช่วงที่เกิดน้ำท่วมในเมืองหงสาวดีพอดี สองข้างทางจะเห็นชาวบ้านออกมาจับปลา หรือนั่งเศร้าแบบนี้ คืนนี้เราจะขึ้นไปนอนใกล้ๆ กับ "พระธาตุอินทร์แขวน" อีก 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเมียร์มาร์ อย่าลืมติดตามชมตอนต่อไปนะคะ
Create Date : 19 กันยายน 2554 |
Last Update : 19 กันยายน 2554 15:21:37 น. |
|
47 comments
|
Counter : 3893 Pageviews. |
|
|