bloggang.com mainmenu search









ซากุระบานที่ทับเบิก



บล๊อกนี้ขึ้นหัวเรื่องซะหวานแหวว ใครๆไม่เคยเข้ามาคงนึกว่าบล๊อกท่านสุภาพสตรี...แต่เปล่าหรอก ผมขึ้นให้กลมกลืนกับเรื่องที่จะรีวิวแค่นั้นเอง ไม่มีนัยอะไรครับ ส่วนเพลงประกอบก็ไปขุดเอาเพลง สุกี้ยากี้ รุ่นเดอะมาใส่ แต่ฟังแล้วยังร่วมสมัยอยู่นา...เอาเป็นว่าบล๊อกนี้ อ่านและชมภาพกันแบบสบายๆ ชิล ชิล ละกันครับ




2 มกราคม 2553 ... หลังฉลองปีใหม่ 1 วัน เราอยากไปที่ไหนซักแห่ง ที่อากาศเย็นๆ แต่ต้องขับไม่ไกลนัก 2 เสียงในบ้านเราเลือกไปดูดอก "ซากุระไทย" หรือ "นางพญาเสือโคร่ง" ที่ภูทับเบิกกัน โดยเจ้าลูกชายสุดเลิฟบอกว่าขออยู่เฝ้าบ้านให้ เพราะเขามีงานต้องทำส่งครูในวันเปิดเรียน....

เราออกจากบ้านที่ขอนแก่นประมาณเก้าโมงเศษๆโดยวางแผนว่า จะไปไหว้พระที่วัดพระธาตุศรีสองรัก ด่านซ้าย และดูผู้คน (นักท่องเที่ยว) แถวๆภูเรือด้วย และกะว่าจะต้องถึงภูทับเบิกก่อนมืด.... โดยไม่ลืมที่จะติดเต้นท์ไปด้วย







รถนักท่องเที่ยวที่ภูเรือ






ถึง อ.ภูเรือประมาณเที่ยงงวันแล้ว เราจอดรถที่หน้าปั๊ม ปตท. มองเห็นรถจอดเต็มสองข้างทาง ทั้งรถนำเที่ยวคันใหญ่ รถตู้ ปิกอัพ และรถเก๋ง.... เยอะมากๆ นี่แสดงว่ามีงาน ก็จริงดั่งคิด ช่วงนี้ภูเรือเขามีงานเทศกาลดอกไม้ภูเรือ..... แต่คนไม่ใช่เยอะเฉพาะที่นี่ บริเวณอื่นๆในเขตภูเรือก็เห็นนักท่องเที่ยวเต็มไปหมด....








วัดพระธาตุศรีสองรัก






มาถึงด่านซ้ายบ่ายเศษๆ แวะเข้าวัดและขึ้นไปเบียดผู้คนไหว้พระ และถ่ายภาพ โอ้โหคนเยอะจริงๆ หลังจากนั้นไปสั่งก๋วยเตี๋ยวทานในตลาด ยังแทบหาที่นั่งไม่ได้ เห็นโต๊ะหนึ่งมากันสองคนเหมือนกัน แต่โต๊ะใหญ่ เราเลยขอแทรกเพราะความหิว รอตั้งนานกว่าจะได้ทานก๋วยเตี๋ยวไก่...... ไม่ใช่ร้านจะดังมากหรอก แต่เพราะนักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาเยอะนั่นเอง








พระธาตุศรีสองรักด้านหลังวิหาร




พระธาตุศรีสองรัก

พระธาตุศรีสองรัก อ. ด่านซ้าย จ. เลย ได้สร้างขึ้นในแผ่นดินของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ผู้ครอบครองกรุงศรีอยุธยาแห่งอาณาจักรสยามสมัยนั้น และพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชผู้ครองกรุงศรีสัตนาคนหุต (เวียงจันทร์) แห่งอาณาจักรล้านช้างสมัยนั้น เพื่อเป็นสักขีพยานในการทำสัญญาทางพระราชไมตรี และเป็นด่านกั้นเขตแดนของสองพระนครใสสมัยโน้น

ทั้งนี้เนื่องจากในระหว่างที่กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ครองราชสมบัติ ตรงกับสมัยที่พม่าเรืองอำนาจ เพราะพม่ามีกษัตริย์ที่เข้มแข็งในการสงครามปกครองคือ พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ และพระบุเรงนองได้ยกทัพมารุกรานกรุงศรีอยุธยาและกรุงศรีสัตนาคนหุตหลายคราว สมเด็จพระมหาจักรพรรดิกับพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช จึงทำไมตรีกัน เพื่อร่วมกันต่อสู้กับพม่าและเพื่อเป็นที่ระลึกในการทำไมตรีกันครั้งนี้ ได้ทรงร่วมกันสร้างพระเจดีย์ขึ้นเป็นสักขีพยานจึงได้ขึ้นชื่อว่า “ พระธาตุศรีสองรัก ”

ตามตำนานกล่าวไว้ว่าได้สร้างขึ้น ณ ที่กึ่งกลางระหว่างแม่น้ำโขงกับแม่น้ำน่านบนโคกไม้ติดกัน เริ่มสร้างแต่ พ.ศ. 2103 ตรงกับปีวอก โทศก จุลศักราช 922 และเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2106 ตรงกับปีกุล เบญจศก จุลศักราช 925 ในวันพุธขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 และได้ทำพิธีฉลองสมโภชในวันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6

การสร้างพระธาตุศรีสองรัก นับเป็นสักขีพยานในความรักใคร่ของชนชาติเผ่าลาวในดินแดนล้านช้างสมัยนั้น มาตั้งแต่โบราณการเป็นอย่างดี และพระธาตุศรีสองรักนี้ ประชาชนในท้องที่จังหวัดเลยและจังหวัดใกล้เคียงให้ความเคารพนับถือ เป็นปูชนียสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ในวันเพ็ญเดือน 6 จะการทำพิธีสมโภชและนมัสการพรเจดีย์ขึ้นทุกปีจนถือเป็นประเพณีตลอดมาจนทุกวันนี้

พระธาตุศรีสองรัก นับแต่สร้างมาจนถึงปัจจุบันนี้นับได้ 400 ปีเศษ นอกจากเป็นปูชนียสถานสำคัญของอำเภอด่านซ้าย ยังเป็นปูชนียสถานที่สำคัญที่สุดของจังหวัดเลย.

ที่มา : เทศบาลตำบลด่านซ้าย







เห็นสวยดีเลยเอามาฝาก....อยู่ทางขึ้นพระธาตุศรีสองรัก





ทานเสร็จจะออกไปทางนครไทแต่มองป้ายไม่เห็น เพราะเคยมาเมื่อก่อนทางไม่เป็นแบบนั้น เขาตัดเส้นทางใหม่ออกไปหล่มเก่า ก็เลยขับตรงขึ้นเขาไปทางนั้น กว่าจะรู้ว่าไปผิดทาง ก็เลยไปตั้ง 15 กม. เวรกรรมนาย wicsir ต้องย้อนลับมาที่ด่านซ้ายอีก ดีว่าขากลับเจอจุดชมวิว ที่มองเห็นเมืองด่านซ้ายอยู่ด้านล่าง เลยแวะถ่ายภาพแก้เขิน....

ลงมาถึงสามแยกบอกว่าไปทางวิปัสนาอะไรซักอย่าง ก่อนถึงวัดพระธาตุศรีสองรัก ก็เลี้ยวซ้ายไป คราวนี้ไม่ผิดแน่ เพราะถนนเก่าๆ เพิ่งซ่อมและปรัแต่งไปเป็นบางช่วง เช่นตรงโค้งหักข้อศอกที่เราจำได้ ดีที่เขาซ่อมทางตรงนี้ ทำให้ขับง่ายขึ้น...



พอออกจากนครไทเราก็ขับขึ้นเขาไป อช. หินล่องกล้า และก็ตามธรรมเนียม ก่อนเข้าอุทยานฯต้องจ่าคนละ 40 บาท รถอีก 30 บาท รวมแล้ว 100 บาทพอดี นี่คือราคาที่เหมือนกันทั่วประเทศครับ

ตอนขึ้นเขายังเห็นรถนักท่องเที่ยวขับ ขึ้น-ลงเขาอยู่ บางคันป้ายแดงยังจอดเสียอยู่ข้างทาง การขับรถขึ้น-ลงเขานี่ ถ้าไม่ชำนาญทางก็ลำบาก พยามใช้เกียร์เข้าช่วย อย่าใช้เบรคมากนักนะครับ อีกอย่างต้องปฏิบัติตามป้ายจราจรสีเหลืองที่มีบอกไว้อย่างเคร่งคัด เช่นการใช้เกียร์ต่ำ และการแซง...








มาถึงจุดที่จะขึ้นยอดสูงสุด หรือที่กางเต้นท์ภูทับเบิก







มาถึงทางเข้าที่กางเต้นก็ปาเข้าไปหกโมงเย็นเข้าให้แล้ว เราเห็นต้นนางพญาเสือโคร่ง หรือซากุระเมืองไทยต้นแรกแล้ว ตรงก่อนที่เลี้ยวขึ้นที่กางเต้นท์นั่นเอง ก็ถ่ายซะ แต่มืดมากภาพเลยไม่ค่อยดีนัก..... วันนั้นนักท่องเที่ยวมาเที่ยวที่ทับเบิกเยอะมาก เราต้องรอให้รถคันที่จะลงมาหมดแล้วค่อยขึ้น โดยมีเจ้าหน้าที่ อบต. เป็นคนให้สัญญาณ







เส้นทางไปหมู่บ้านทับเบิก เราจะไปพรุ่งนี้






พอขับขึ้นถึงบริเวณที่กางเต้นท์ โอ้แม่เจ้า นักท่องเที่ยวมหาศาล คือเขากางเต้นท์เต็มยอดเขาไปหมด ยกเว้นบริเวณที่เป็นลานหน้าป้ายจุดสูงสุดนั่นแหละถึงว่าง...

ที่ทับเบิกไม่มีรีสอร์ท หรือบ้านพักให้เช่า นักท่องเที่ยวถ้าอยากค้างก็ต้องนอนเต้นท์กัน ถ้าใครไม่เตรียมเต้นท์ไปด้วย เขาจะมีให้เช่า คือขนาดเล็ก (นอนได้ 2 คน...แต่เราว่าเล็กไปนะ) ราคา 350 บาท พร้อมหมอนผ้าห่ม ส่วนขนาดใหญ่นอนได้ 4 คน 650 พร้อมอุปกรณ์เช่นกัน แต่ถ้หากใครจะเช่าผ้าห่ม ก็ 50 บาทต่อผืน แต่มีข้อแม้ว่าต้องใช้บริเวณที่ อบต.กำหนดเท่านั้น ห้ามออกนอกเขต....ส่วนห้องน้ำเป็นของ อบต.จัดให้ เดี๋ยวนี้มีของเอกชนเพิ่มอีก









จุดกางเต้นท์










จุดสูงสุด มาถ่ายภาพด้านล่างกัน






เดินสำรวจที่กางเต้นท์กัน แต่บริเวณใกล้จุดสูงสุดเต็มหมดแล้ว เลยได้แต่เก็บภาพ หลังจากนั้นก็กลับลงมาใกล้ๆที่เราจอดรถไว้ ซึ่งเป็นที่ของเอกชน ปกติเป็นไร่กะหล่ำ หลังจากจ่ายค่าเช่าสถานที่คนละ 40 บาทเสร็จ (ทั้งที่ของ อบต.และเอกชน เก็บเท่ากัน คือ 40 บาทต่อหัว) ก็จัดแจงกางเต้นท์ที่เราเตรียมไปด้วย แต่ขาดผ้าห่ม เลยต้องกลับไปเดินหาผ้าห่มอีก (เช่า อบต. เขาไม่ยอมให้เอาออกไป) เสียเงินจนได้ 280 บาท ซึ่งถ้าซื้ออยู่ด้านล่าง น่าจะ 199 บาทประมาณนั้น..... เอาน่า กระจายรายได้








เส้นทางขึ้นด้านหล่มเก่า





เมื่อทุกอย่างเข้าที่ ก็ฝากเต้นท์ไว้กับน้องๆข้างๆ บอกเขาว่าพวกพี่จะขึ้นไปดูดาวบนดิน ซึ่งเขาก็งงเหมือนกัน

"เอ๊ะดาวบนดินอะไรกันพี่"
เราบอกว่า "มีคนเขาเขียนถึงภูทับเบิกว่า ภูทับเบิก ดินแดนแห่งความหนาว ที่มีดาวเกลื่อนดิน"
"คือ แสงไฟของเมือง และบ้านคนด้านล่าง ที่ส่องแสงระยิบระยับ นั่นแหละที่เขาเรียกว่าดาวบนดิน"

เขาจึงถึงบางอ้อ....









อ่านเทอร์โมมิเตอร์กัน






ค่ำนั้นอากาศไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่ คนขายของบนนั้นบอกว่า วันเค๊าท์ดาวน์เย็นกว่าเยอะ ก็อาจจะจริงนี่ สองทุ่มแล้ว ยังแค่ 16 องศาเลย..







อันนี้อยู่หน้า อบต. @ 2000 น. ไม่เย็นเท่าไหร่










บรรยากาศบริเวณที่กางเต้นท์







วันนั้นพระจันทร์ออกตัวเต็มดวง คนใกล้ตัวบอกว่าทุกๆ 19 ปีจะมีพระจันทร์เต็มดวงตรงกับวันปีใหม่เช่นนี้........ เราเดินผ่านที่กางเต้นท์ของ อบต. เห็นพระจันทร์ลอดเงาไม้เหนือเต้นท์สวยมาก อยากมีกล้องแรงๆ ซูมเอาดวงจันทณ์เท่ากระด้ง ลอยเหนือฟ้าภูทับเบิกจัง แต่ก็ได้แค่คิดล่ะครับ แสงจันทร์ที่สาดส่องคลุมยอดเขา มองเห็นเต้นท์กางเรียงรายกันเต็มพรืดไปหมด เป็นอะไรที่หาดูได้ยากมากๆ คนหนอคนช่างสรรหาอะไรที่ลำบากใส่ตัวดีแท้ๆ..








เส้นทางด้านล่างยามค่ำคืน







เมื่อมองจากยอดสูงสุดของภูทับเบิกลงไป เห็นไฟส่องทางที่บ้านดอยน้ำเพียงดินเป็นทางสีทองสวยงาม ซ้ายมือที่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ พระจันทร์เต็มดวงทอแสงลงมาบนยอดเขา และหุบเขาด้านล่าง ทำให้มองเห็นสถานที่ลางๆ แต่แสงไประยิบระยับนั่น เหมือนดาวบนดินจริงๆ








ไฟระยิระยับด้านล่าง คือดาวบนดิน ส่วนบนคือดวงจันทร์วันเพ็ญ






กลับมาที่เต้นท์พร้อมน้องไฮน์ 3 กระป๋อง ว่าจะมานั่งแกล้มถั่วซักหน่อย แต่อากาศก้เริ่มเย็นลง มีน้ำค้างอีกต่างหาก คืนนั้นหลังจากอาบน้ำเย็นแบบรอคิวกันแล้ว (ซึ่งเทศกาลก็แบบนี้แหละครับต้องทำใจ) ก็นอนหลับเป็นตาย








ฟ้าสางแล้ว






ตื่นมาเห็นฟ้าสางนึกว่ายังไม่สาย แต่ดูนาฬิกาก็หกโมงกว่าแล้ว จัดแจงเรื่องส่วนตัว แล้วแว๊บไปดูปรอท ก้อไม่ต่ำนัก 12-13 องศาเอง แต่บรรยากาศสลึมสลือแฮะวันนี้..








แต่พระจันทร์ยังค้างอยู่บนฟ้าด้านตรงข้ามกับแสงทอง









พระอาทิตย์หลุดก้อนเมฆขึ้นมาแล้ว










ย่านธุรกิจ (ถนน) ของยอดทับเบิก






ที่นั่นวันที่ 3 มกราคม เรื่องหากาแฟ ขนมปัง เค็ก หรือข้าวต้ม เป็นเรื่องง่ายมากขอให้มีสะตังค์ เพราะพ่อค้า แม่ค้าจากด้านล่าง หรือแม้แต่ในหมู่บ้านทับเบิกเอ็งเตรียมมาขายพร้อมสรรพ ประเภทว่าไม่ต้องกลัวอด ไข่กระทะที่นั่นก็ยอดฮิตครับ








พอสายหน่อย หมอกเริ่มมา






ที่ภูทับเบิกนี่แปลก หมอกจะมาเป็นระยๆ และหายไปเป็นระยะๆ เหมือนกัน วันนี้ก็เช่นกัน หลังเจ็ดโมงมาแล้ว และหนาขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็จางลง เป็นอย่างนี้สลับกันไป ต้องไปอยู่ด้านเขาลูก "Heaven Hill" โน่นจะเห็นชัด








เดินขึ้นบนยอดอีกรอบ ก่อนจาก














น้องที่อยู่ด้านบนนี้มาจากทับเบิก เมื่อคืนเราก็เห็นมาขายเค็กแบบที่กำลังทำนั่นแหละ แต่เธอพูดภาษาไทยชัดเจนมาก เธอบอกว่าวันนี้ไม่ค่อยหนาวเท่าไหร่ เราเลยถามเส้นทางจากเธอว่าจะไปดูดอกซากุระน่ะไปทางไหน...








จุดชมวิวซากุระ







ตรงจุดชมวิวนี้จะมีต้นซากุระ (นางพญาเสือโคร่ง) อยู่ต้นหนึ่ง เขาทำนั่งร้านเข้าไปให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพ แต่วันนี้เหี่ยวเฉาไปหน่อย เลยไม่ได้เอามาลง

มองข้ามหุบเขาไปด้านตรงข้าม เห็นต้นไม้ยอดสีชมพูแกมเขียว นั่นคือป่านางพญาเสือโคร่ง ซึ่งกำลังแซมใบขึ้นมาหนาแล้ว นี่ถ้าเรามาก่อนหน้านี้ซักอาทิตย์ สีคงสดใสกว่านี้ แถมวันนี้เจอทัศนวิสัยไม่ดี เลยมองลำบาก...








ต้นนี้อยู่ข้างทางเข้าหมู่บ้าน มีเจ้าของด้วย






มารู้จักซากุระเมืองไทยหน่อยน่า..

นางพญาเสือโคร่ง เรียกกันว่า ซากุระเมืองไทย เป็นไม้สกุล บ้วยท้อ ซากุระ จึงได้ชื่อว่า ซากุระเมืองไทย พบทั่วไปบนดอยสูง เช่น ดอยแม่สะลอง จังหวัดเชียงราย ดอยเวียงแหง จังหวัดเชียงใหม่ จึงเป็นดอกไม้ประจำอำเภอเวียงแหง ลักษณะการชม ก็จะไปชมไกล ๆ แบบทัศนียภาพให้เห็นเกลื่อนไป ทั้งดอย ออกดอกช่วงเดือนธันวาคม ถึง กุมภาพันธ์

ชื่อพันธุ์ไม้ : นางพญาเสือโคร่ง
ชื่อสามัญ (ไทย) : ฉวีวรรณ (ภาคเหนือ) เส่คาแว่ เส่แผ่ แส่ลาแหล (กะเหรี่ยง เชียงใหม่) ซากุระดอย (เชียงใหม่)
ชื่อสามัญ (อังกฤษ) : -
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Prunus cerasoides D.Don
ชื่อวงศ์ : Rosaceae
ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ: ชมพูภูพิงค์








ต้นนี้อยู่ในหมู่บ้าน...เป็นดาราเลยล่ะ








นางพญาเสือโคร่ง เป็นพรรณไม้ที่มีการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน พบอยู่กันในป่าที่ระดับความสูง 500-1,500 เมตร จากระดับน้ำทะเล ในประเทศไทย พบขึ้นตามภูเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,00-2,000 เมตร เช่น บนดอยอินทนนท์ ดอยเชียงดาว ฯลฯ








อีกมุม







ลักษณะทางวัฒวิทยา :

นางพญาเสือโคร่งเป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ ขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 10-15 เมตร ใบ เป็นชนิดใบเดี่ยว ลักษณะรูปรีแบบไข่ ออกสลับกัน ใบมีความกว้าง 3-5 เซนติเมตร ยาว 5 -12 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบกลมหรือสอบแคบ ขอบจักปลายก้านใบมีต่อม 2-4 ต่อม หูใบแตกแขนงคล้ายเขากวาง ใบร่วงง่าย ดอก สีขาว ชมพู หรือแดง ออกเป็นช่อกระจุกใกล้ปลายกิ่ง ก้านดอกยาว 0.7-2 เซนติเมตร ขอบริ้วประดับจักไม่เป็นระเบียบ กลีบเลี้ยงติดกันเป็นรูปกรวย กลีบดอกมี 5 กลีบ เมื่อบานขนาดโตเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 เซนติเมตร ผล รูปไข่หรือกลม ยาว 1-1.5 เซนติเมตร เมื่อสุกสีแดง ระยะเวลาออกดอก ออกดอกระหว่างเดือนธันวาคมจนถึงกุมภาพันธ์ โดยจะทิ้งใบก่อนออกดอก

ที่มา : วิกิพีเดีย








ซูมมาให้ดู






นางพญาเสือโคร่ง ที่ภูทับเบิกนี้ออกดอกก่อนแถวๆเชียงใหม่ เชียงรายในปีนี้ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร.... จขบ. เคยรัปฟังไก๊ด์ที่ญี่ปุ่นบอกว่า ดอกซากุระของเขาจะออกดอกขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ คือถิ่นไหนร้อนก่อน ก็จะออกดอกก่อน ซึ่งปกติจะออกจากทาง โอซาก้า ขึ้นไปหาโตเกียว..... เจ้านางพญาเสือโคร่งเราจะเป็นเช่นนั้นหรือเปล่าไม่ทราบ แต่รู้ว่าที่ทับเบิกออกดอกเป็นอาทิตย์แล้ว ซึ่งปกติดอกเขาจะอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ หลังจากนั้นใบก็จะมาแทนที่...









ขยายมาให้ชม










อีกภาพ








สถานที่ดูดอกนางพญาเสือโคร่งที่ขึ้นชื่อของเมืองไทย ก็ที่บ้านขุขช่างเคี่ยน ดอยสุเทพ-ปุย แต่ผมว่าไม่นานที่ทับเบิกนี่ก็จะเต็มยอดเขาเช่นกัน เพราะนี่คือสิ่งหนึ่งที่จะนำคนมาที่นี่และสร้างรายได้แก่คนในพื้นที่...
















ขึ้นไปถ่ายใกล้ๆ....หยอดกล่องด้วยนะ






ต้นด้านบนอยู่ในรั้วของศูนย์วัฒนธรรมอะไรซักอย่าง (จำชื่อไม่ได้) ตรงทางขึ้นนั่งร้าน ชาวบ้านจะนำกล่องมารับบริจาคจากนักท่องเที่ยว เมื่อใครอยากขึ้นนั่งร้านไปถ่ายประกบกับดอกซากุระเมืองไทย ก็หยอดเหรียญเป็นค่าบำรุง















ก่อนจากถ่ายอีกภาพ










ดอกท้อที่แปลงทดลอง ม.เกษตรฯ






ออกจากต้นนางพญาเสือโคร่งแล้ว เราขับเลยออกหมู่บ้านทับเบิกไป เพื่อชมการทดลองปลูกผืชผลเมืองหนาวที่ศูนย์วิจัย ม.เกษตรศาสตร์ วันที่เราไปถึง ท้อกำลังออกดอกสีขาว

สิ่งหนึ่งที่ปลูกเป็นรั้วไว้ที่นั่นคือต้นเมเปิ้ล ซึ่งใบกำลังร่วง เห็นแปลกเลยถ่ายมาให้ชมกัน..








ใบเมเปิ้ลกำลังร่วงที่ศูนย์วิจัยฯ ม.เกษตร ทับเบิก


















ร่วงแล้ว







เรากลับออกมาถึงทางแยกเข้า อช. ภูหินร่องกล้าประมาณ 11.00 น เห็นนักท่องเที่ยวที่จุดชมวิวเต็มไปหมด ทุกคนกำลังสาละวนอยู่กับการถ่ายภาพ เพราะหมอกกำลังมา...

ลงจากเขาผ่านไปทาง อ.หล่มเก่า ถนนที่เราเจอกำลังสร้างเมื่อตอนที่เรามาครั้งก่อน ตอนนี้สร้างเสร็จไปแล้วประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ถ้าใครจะขึ้นทางนี้ต้องใช้ความระมัดระวังด้วย

ที่จุดชมวิวบ้านดอยน้ำเพียงดินก็มีสถานที่ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพกับเด็กชาวเขาคล้ายๆ ตามจุดชมวิวตามดอยต่างๆแบบทางเหนือเช่นกัน








ที่จุดชมวิวปากทางเข้าทับเบิก









ร้านอาหารคนซื่อ







ขับถึงพื้นราบก็เลี้ยวขวาออกมาทางหล่มสักเพื่อมาขึ้นทางสาย 12 พิษณุโลก - หล่มสัก พอถึงทางแยกเราเลี้ยวซ้ายอีกครั้งเพื่อเข้าหล่มสัก พอมาถึงก่อนแยกกกโอ เห็นร้านอาหารทางซ้ายมือ ชื่อ "คนซื่อ" เราแวะเข้าไปเพื่อทานมื้อเที่ยงกัน

อาหารที่ทางร้านแนะนำเราวันนั้น คือส้มตำปลาทับทิม... เขาทอดปลาทับทิมแล้วราดด้วยส้มตำครับ ได้ทานทั้งปลาทอดและส้มตำ รสชาดดี ส่วนอีกเมนูคือปลาช่อนโบราณ แซบดีครับ อย่างที่สามที่เห็นนั่น เราเลือกเอง คือไข่เจียวหมูสับ

หลังจากทานมื้อเที่ยงแล้วเราขับรวดเดียวข้ามน้ำหนาวสู่ขอนแก่น..








เมนูแนะนำจากร้าน









จากกันด้วยภาพยามเช้าที่ภูทับเบิกครับ






ขอบคุณที่ตามอ่านครับ



___________


Create Date :10 มกราคม 2553 Last Update :28 กรกฎาคม 2556 21:30:34 น. Counter : Pageviews. Comments :30