bloggang.com mainmenu search


พาเที่ยวเมืองสุราบายา
(14 วันในสุราบายา ตอนจบ)




อ่านตอนที่ 1 : คลิ๊กที่นี่
อ่านตอนที่ 2 : คลิ๊กที่นี่




การไปเยือนสุราบายาของเราคราวนี้ ไม่ค่อยจะมีเวลาไปเที่ยวไหนมากนัก คือติดภาระกิจที่ต้องทำซะเป็นส่วนมาก ภาพเมืองสุราบายาที่ท่านจะได้ชมต่อไปนี้ จึงเก็บรวบรวมจากหลายวัน (หลายภาพถ่ายบนรถ จึงไม่สมบูรณ์นัก) และนำเสนอในตอนนี้ ซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของการมาสุราบายาของเรา..

สุราบายาเป็นเมืองศูนย์กลางการบบริหารของจังหวัดชวาตะวันออก (East Java) และเป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 2 ของอินโดนีเซีย รองจากจากาต้า แต่สุราบายาเกิดก่อนจาการ์ต้าด้วยซ้ำไป






สัญญลักษณ์ของเมือง




สุราบายา มาจากคำสองคำผสมกัน คือ สุรา+ บายา (Sura or Soro + Baya or Bayo) ซึ่งหมายถึงฉลามและจรเข้ เจ้าฉลามยักษ์กับจรเข้ยักษ์ ต่อสู้เพื่อครองความเป็นเป็นเจ้า สุดท้ายก็ตายทั้งคู่ ด้วยเลือดนักสู้ของเจ้าสัตว์ดุร้ายสองตัวนี่เองเขาเลยเอาเจ้าสองตัวที่กำลังสู้กันมาเป็น Logo ของเมือง..... และที่โดดเด่นอีกอย่างคือประวัติของเมืองว่าเป็น "Hero City" ซึ่งมีฮีโร่ที่เกิดจากการทำสงครามเพื่ออิสรภาพ และเสียชีวิตไปเมื่อ 10 พย. 1945.

สุราบายามีพลเมือง ประมาณ 3 ล้านคนในปี 2005 แต่พูดคุยกับคนที่นั่นแล้ว เวลากลางวันจะมีคนเข้ามาทำมาหากินในเมืองน่าจะเกิน 5 ล้านคน จึงทำให้เห็นถนนในเมืองนี้คราคร่ำไปด้วยรถยนต์และมอเตอร์ไซด์...

ที่อินโดนีเซียใช้เงินสกลุล Rupiah (IDR) ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนในวันที่ 5 ธค. 2552 อยู่ที่ 3.7790 ฿ ต่อ 1000 Rp.

สุราบายาจะอยู่ใต้เส้นศูนย์สูตร ฤดูกาลจึงไม่เหมือนเรา ตอนที่ไปกำลังจะเข้าหน้าฝนที่นั่น ซึ่งจริงๆแล้ว มี 2 ฤดูคือ ร้อนกับฝน พื้นดินโดยเฉลี่ยสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 5 เมตรเท่านั้นเอง คนที่นั่นจึงเจอน้ำท่วมกันบ่อย...








Empire Palace อยู่ใกล้ๆที่พัก ตื่นเช้าขึ้นมาเปิดหน้าต่างก็เจอตึกนี้ทุกวัน เลยถ่ายเอามาให้ชม ส่วนประวัติยอมรับเลยว่าไม่รู้









เห็นสะพาน Suramadu อยู่ไกลลิปๆ




ตัวเมืองส่วนมากเป็นอาคารเก่าๆ ผสมผสานกันทั้งแบบยโคโลเนี่ยน และพื้นเมือง เพราะอินโดนีเซียเคยตกอยู่ในการปกครองของเนเธอร์แลนด์อยู่ 300 ปี เพิ่งจะได้รับเอกราชเมื่อ ปี 1949 นี่เอง... ส่วนภาษาที่ใช้กันในราชการคือ ฮาซาอินโดนีเซีย ซึ่งมีรากฐานมาจากภาษามาลายู แต่ไม่มีภาษาเขียนเป็นของตัวเอง ยังใช้อักษรโรมันหรือแบภาษาอังกฤษเขียน ภาษาพูดจะเต็มไปด้วยสระอะ อา....

ตัวสพานที่เห็นไกลๆนั่นเกิดจากความร่วมมือระหว่างจีนกับอินโดฯ โดยส่วนคอสะพาน (ใกล้ๆพื้นดิน) นั่นอินโดฯเป็นผู้สร้าง ตรงกลางที่โยงด้วยสลิงนั้นสร้างโดยบริษัทจีน ความยาวทั้งหมดประมาณ 5 กม. และเพิ่งเปิดใช้ไม่นานมานี่เอง คือประมาณ 4 เดือนที่ผ่านมา....สะพานนี้ใช้เชื่อมเกาะ Madura เข้ากับ Surabaya

พูดถึงชาวเกาะ Madura นี่มีเรื่องเล่าให้ฟัง คือชาวมาดูราจะไม่ชอบส่งลูกสาวเรียนหนังสือ เพราะเชื่อว่าผู้หญิงที่ดีต้องเป็นแม่ศรีเรือน (คือยังไงเรียนมาขนาดไหนก็ต้องกลับมาทำงานบ้านงานเรือนอยู่ดีว่างั้นเถอะ) ทำมาหาเลี้ยงครอบครัว หญิงสาวชาวมาดูราจึงแต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วทำมาหาเลี้ยงครอบครัวดังว่า และผู้หญิงที่นี่จะไม่นั่งแบมือรอเงินจากคุณสามี เธอจะหาเองโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นงานด้านศิปชีพ หรือรับจ้างในโรงงาน ฉะนั้นสินค้าที่มีชื่อเสียงส่วนหนึ่งที่นั่นคือพวกงานฝีมือนี่แหละ

หนุ่มๆชาวอินโดจึงปราถนายิ่งนักที่จะมีศรีภรรยาเป็นชาวมาดูรา เพราะสาเหตุที่พวกเธอช่วยเหลือตัวเองและครอบครัวได้ด้วย.... เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่ได้ยินจากเพื่อนที่อินโด จริงเท็จก็ลองหาอ่านเพิ่มเติมละกันครับ







วิวเมืองสุราบายจากชั้นที่ 17 ของโรงแรม









นี่ไงสพานที่ยาวที่สุดในอินโดนีเซีย




วันอาทิตย์ที่ 15 พย. เราตั้งใจจะไปนั่งรถชมเมือง แต่รถที่พานักท่องเที่ยวออกชมเมือง ซึ่งจัดให้ฟรีโดย House of Samoerna นั่นเต็ม เราจึงนั่งแท็กซี่ไปชมสะพานนี้ การข้ามสะพานต้องจ่ายค่าข้ามเที่ยวละ 30,000 Rp. ทั้งไปและกลับจึงโดน 60,000 Rp. ผมว่าโหดนิดๆ สำหรับประเทศผู้ค้าน้ำมันอย่างอินโดนีเซีย...... วันนั้นเราแค่ข้ามไปฝั่งเกาะ Madura แล้วก็กลับ... ส่วนชื่อสะพานนี้ก็เช่นกัน มาจากคำผสม คือ Surabaya+ Madura เมื่อตัดตัวหลังออกเลยเหลือแค่ Suramadu..














ทางขึ้นสะพานด้านเกาะมาดูรา มีของขายให้นักท่องเที่ยว








ถนนในเมือง






ในเมืองสุราบายา ถนนส่วนมากคราค่ำไปด้วยยวดยานพาหะนะ ภาพด้านบนอาจจะเห็นน้อยหน่อย เพราะแท็กซี่พาแวะเข้าแถวๆสนามกีฬา... แต่ส่วนมากจะเต็มไปด้วยมอเตอร์ไซด์ และรถเก๋ง แต่มองหาปิกอัพแทปไม่เจอ....

เรื่องของแท๊กซี่ที่นี่ ก็มีหลายสี ขาว น้ำเงิน เขียวเหลืองยังเห็น.... ที่นิยมที่สุดน่าจะเป็นสีฟ้า (อาจจะน่าเชื่อถือในความซื่อสัตย์ที่สุดก้ได้...จขบ) เวลาเราขึ้นนั่งแท๊กซี่ ตัวเลขมิเตอร์จะเริ่มที่ 5,000 Rp. และไหลไปเรื่อยๆ ไม่เว้นแม้รถติด การจะใช้แท๊กซี่ที่นั่นจึงต้องคำนวณตัวเลขตอนรถติดด้วย... แต่ถ้าเรานั่งระยะใกล้ ขั้นต่ำเขาจะชาร์ทคือ 15,000 Rp. (เวลาเขียนจะเขียนว่า 15.000 Rp. ใช้จุดแทนคอมม่า)








สามล้อเมืองสุราบายา










จราจรช่วง 4 โมงเย็น









ตุงจุงันพลาซา (Tunjungun Plaza)








ย่านที่เราพักจะอยู่ใกล้ห้างสรรพสินค้า ที่ชื่อตุงจุงัน ระยะทางเดินจาก JW Marriott ก็ประมาณ 5 นาที แต่ถ้าจะโดยสารรถโรงแรม เขาก็จะมีบริการไปที่นั่น ทุกๆครึ่งชั่วโมง แต่อ้อมหน่อย.... เราเลยเลือกเดินมาแทบทุกเย็น คือมาฝากท้องกันที่นี่ เพราะเราสามารถเลือกหาอาหารที่เป็นแบบอาหารจีน (คล้ายบ้านเรา แต่เค็มไปนิด) อาหารพื้นเมือง อาหารตะวันตก และอาหารญี่ปุ่น ส่วนราคาแล้วแต่เราจะเลือก มีรายระดับ...

ตุงจุงงัน นี่ใหญ่มากคะเนคร่าวๆน่าจะประมาณ ฟิวเจอร์ปาร์ครังสิตนั่นแหละ แต่ยังมีอีกหลายแห่งที่เราไม่ได้ไป เช่น Galaxy Mall, Surabaya Plaza, Supermal Pakuwon Indah, Surabaya Town Square, and Royal Plaza Surabaya เป็นต้น..









ภายใน















ร้าน Red Mango กำลังเปิดใหม่ คนที่นั่นก็เหมือนบ้านเรา คืออยากลอง เลยต้องต่อแถว แต่ที่ไม่เหมือนบ้านเราคือป้ายแสดงความยินดี โตเท่าแผ่นกระดานดำเลยล่ะ วันนั้นมีงานเปิดร้าน เลยได้เห็นดาราอินโดกะเขาด้วย แต่ภาพถ่ายระยะไกลออกมาไม่ดี เลยไม่ได้เอามาโชว์.... แต่ที่แน่ๆ คนที่นั่นเห่อดาราพอๆกะบ้านเราล่ะน๊า...








ป้ายแสดงความยินดี (เท่ากระดานบอร์ด)









ร้ายขายของที่ระลึกและผ้าบาติก









ของที่ระลึก Hand made สวยดี









สาวๆที่หน้าร้านอาหารในตุงจุงงันพลาซา









House of Sampoerna





House of Sampoerna เป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับการผลิตบุหรี่และยังคงมีการมวนบุหรี่แบบดั้งเดิมให้เห็นที่นี่ด้วย ซึ่งบุหรี่ที่ผลิตอยู่คือ Dji Sam Soe ของอินโดนีเซีย.... ที่นี่จะประกอบไปด้วย อาคาร 2 หลัง ซึ่งจัดแสดงอุปกรณ์ เครื่องพิมพ์โบราณ รถลาก โรงบ่มใบยา บุหรี่ชนิดต่าง วิถีชีวิตผู้คน, The Art Gallery, ตลอดจน Kiosk

ตั้งอยู่ย่าน Old Surabaya ทางทิศเหนือของเมือง ตั้งขึ้นเมื่อ 1862 เป็นสถาปัตยกรรมแบบดัทช์ (ฮอลแลนด์) ซึ่งเมื่อก่อนที่นี่เขาใช้เป็นที่เลี้ยงเด้กกำพร้า ที่นี่ถูกขายให้ Liem Seeng Tee ในปี 1932 ซึ่ง Liem เองอยากจะให้ที่นี่เป็น "Sampoerna's first Cigarette production facility".








รถลากจอดโชว์ที่นี่









ประวัติการผลิตบุหรี่ของที่นี่









รถบัสนี้จะพาเราเที่ยว 2 ชั่วโมงในเมือง






รถบัสแบบที่เห็นในภาพจะมีโปรแกรมพาท่านที่มาเยือน Sampoerna เที่ยวย่านประวัตืศาสตร์ของเมือง (Surabaya Heritage Track) วันละ 3 เที่ยว คือ

แบบระยะทางสั้น (Short Tour) ในวัน อังคาร - วันพฤหัสฯ

1. 10.00 -11.30 น.
2. 13.00 - 14.30 น.
3. 15.00 - 16.30 น.

แบบระยะทางยาว (Long Tour) ในวันศุกร์ - วันอาทิตย์

1. 09.00 - 11.00 น.
2. 13.00 - 14.30 น.
3. 15.00 - 17.00 น.









ตึกสไตล์โคโลเนี่ยน





การเดินทางโดย โปรแกรม Surabaya Heritage Track เป็นการพาชมย่านเมืองเก่าของสุราบายา เริ่มตั้งแต่ยุคถูกปกครองโดยชาวดัชท์ ชมคุกโบราณ และตึกเก่าๆ แบบโคโลเนี่ยนสไตล์ .... ตลอดจนชมถนนเศรษฐกิจ ตุงจุงงัน

ภายในรถจะมีไกด์สาวชาวอินโดฯที่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษและภาษาฮาซาอินโดฯได้เป็นอย่างดี คอยอธิบายและชี้ให้เราชมสถานที่ต่างๆ และหยุดให้เราถ่ายภาพสองที่คือ ศาลาว่าการเมืองสุราบายา และศูนย์ศิลปวัฒนธรรม (ที่จริงเป็นที่ฝึกรำ และระบำของเด็กๆ)







white House ไม่แน่ใจว่าใช้เป้น Governer center ไหม แต่ก็เป็นสถานที่ราชการของที่นี่










อาคารสีชมพูคือห้างที่เก่าแก่ที่สุดของสุราบายา ตอนนี้เลิกกิจการไปแล้วเหลือแต่ตัวตึก










ที่ทำการเมืองสุราบายา และ Surabaya History











สามล้ออีกภาพ เห็นเป็นไม่ได้เพราะชอบที่ว่าแปลกดี












มีประท้วงด้วย ที่นี่ก็มีสีแดงเหมือนกันนะ









ขอเข้าเยี่ยมชมโรงแรม





สถานที่อีกแห่งหนึ่ง ที่มีผู้คนเข้ามาชม และถ่ายภาพกันคือ โรงแรมมาจาปาหิต (Hotel Majapahit) ซึ่งเป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว สร้างแบบโคโลเนี่ยนสไตล์ โดยสร้างเมื่อ ปี 1910. โดย Lucas Martin Sarkies

โรงแรมแห่งนี้ ชาลี แชปลิน นักแสดงตลกผู้โด่งดังได้มาร่วมฉลองในงาน Art Deco ในปี 1936..... โรงแรมแห่งนี้มีคนดังๆอีกหลายต่อหลายคนได้เข้ามาพักกัน เช่น กษัตริย์ของบรูไน ประธานาธิบดีแห่งอินโดนีเซีย เป็นต้น

ด้านในโรงแรมมีสนามหญ้าอยู่ตรงกลางระหว่างอาคาร ในอาคารเองจะเก็บของที่มีค่าเก่าๆไว้ประดับมากมาย ตัวอาคารเองสร้างสูงแค่ 2 ชั้น แต่ช่องระเบียงเป็นรูปโค้งสวยงามมาก...... เราขอเข้าเยี่ยมชม น้องๆที่นี่ก็ใจดีเป็นไกด์พาเราชมด้วย เราตอบแทนความมีน้ำใจของพวกเธอโดยการนั่งดริ๊งกันที่ Lobby นั่นคนละดริ๊ง แต่พอบิลล์ออก ถึงรู้ว่า ทำไมหาคนมานั่งฟังเพลงที่นี่ได้น้อยจัง ทั้งๆที่นักร้องก็เสียงดีไม่ใช่เล่น...








ในโรงแรมมาจาปาหิต









ค่ำคืนที่โรงแรม Majapahit ที่เก่าแก่มากของที่นี่










เด็กนักเรียนที่นั่น










ร้านขายของเกี่ยวกับศาสนาพุทธก็มี





แปลกแต่จริง ท่ามกลางดงของคนมุสลิม แต่มี Buddist Shop ให้เห็นด้วย ซึ่งเป็นเรื่องคนข้างหายาก แม้ดินแดนแห่งชวา จะเคยเป็นดินแดนที่ศาสนาพุทธเคยมาเจริญรุ่งเรืองที่นี่ จนมี บุโรพุทโธอันเลื่องชื่อ ที่ยอร์คจาร์กาต้าก็ตาม แต่ ณ ปัจจุบันดินแดนแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีผู้นับถือมุสลิมมากที่สุดในโลก...

บางวันที่เราเดินผ่าน shop นี้ (อยู่ระหว่างทางจากโรงแรมไปตุงจุงงัน พลาซา) เราจะเห็นคนเข้ามานั่งวิปัสนาอยู่ด้านใน.... หรือว่าเขาเอา shop แห่งนี้เป็นที่ปฏิบัธรรมไปในตัว....









อยู่มาจน 14 วัน เพิ่งเห็นฝนแรกที่นี่










ไม่รู้ดอกอะไร คล้ายๆดอกจานหรือทองกวาวบ้านเรา






สิ่งที่น่าซื้อหากลับบ้านที่สุดจากที่นี่ น่าจะเป้นพวกผ้าบาติก มีคนบอกว่าผ้าพันคอ หรือบาติกที่เอามาขายที่เกาะยอบ้านเรา ก็มาจากอินโดแทบทั้งนั้น..... อีกอย่างคือสินค้าพวกเครื่องประดับ เช่นหน้ากากที่เพ้นท์สีสดๆ และพวกรูปสัตว์ที่แกะจากไม้และเพ้นท์สีสด.... คนที่อินโดชอบสีสดใส และสีดำมาก







จะเอากลับบ้าน






วันสุดท้ายที่อยู่ที่สุราบายา คือ 21 พย. 2552 ตอน 7.00 น เราเช็คเอาท์ออกจาก JW Marriott และเดินทางสู่สนามบินด้วยค่ารถ 340,000 Rp. แพงพอควรเมื่อเทียบกับระยะทาง 12 กม.

ลาก่อน สุราบายา..... Goodbye ....Selamat Tiggal และขอบคุณในความมีน้ำใจที่ให้เราได้มาเยือนที่นี่..... Thank you...Terima Kasih.




ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ



_________ END ________



Create Date :09 ธันวาคม 2552 Last Update :28 กรกฎาคม 2556 14:51:21 น. Counter : Pageviews. Comments :25