bloggang.com mainmenu search


Wikipedia

เพิ่งผ่านตาไปว่า หนังเรื่องสุริโยไทมีอายุได้ 20 ปีแล้วนะ
รู้สึกแก่มากมายเลยทีเดียว เพราะเคยอยากเขียนเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้
แต่ก็เป็นเพียงแค่คิด แรงบันดาลใจคือ เจอกระทู้ใน pantip บ่อยมากที่มาถามว่า
เรื่องนั้นเรื่องนี้เป็นอย่างไร ทั้งที่ความจริงแล้ว เราต้องแยกให้ได้ว่า นี่คือหนัง
      
หนังคือสิ่งที่สร้างความบันเทิง ไม่ใช่สารคดี แม้ว่าเบื้องหลังนั้นท่านมุ้ยจะทำงานหนักมาก
ในการหาข้อเท็จจริงเพื่อนำมาเขียนบท แต่สิ่งสำคัญคือ มันเป็นเรื่องในอดีต
แม้มีบันทึกไว้ แต่ก็ไม่ได้มีรายละเอียดมากพอที่จะนำมาทำบทภาพยนตร์
ในหนังจึงมีเรื่องที่เป็นจริงตามประวัติศาสตร์ และเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อให้ดูสนุก
 
เพราะว่าพงศาวดารมีไว้เพื่อเขียนเรื่องราวพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์
ไม่ใช่บันทึกชีวประวัติส่วนพระองค์ ดังนั้นเริ่มราวจึงเริ่มขึ้นหลังจากการครองราชย์
แต่การสร้างหนังนั้นต้องมีที่มาที่ไป ต้องมีคนดีคนร้ายและแรงจูงใจไม่เช่นนั้นก็ไม่ใช่หนัง
เราจะลองมายกเหตุการณ์ต่างๆ เท่าที่ผมจะนึกออกได้ เมื่อเวลาผ่านไป 20 ปีแล้ว
 
1. ฉากพระสุริโยไทหนีไปหาพ่ออยู่หัว เพราะถูกบังคับให้เข้าพิธีสมรส
และมีฉากฝรั่งใส่หมวกเหล็กมาจับไป แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่มีในประวัติศาสตร์ 
ที่ท่านมุ้ยจึงใส่เข้ามา ก็เพราะว่าเป็นเรื่องสำคัญเพื่อแสดงให้เห็นว่า
เป็นช่วงเวลาที่ฝรั่งชาติแรก คือพวกโปรตุเกสเข้ามาในกรุงศรีอยุธยา ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

และต่อไปในสมัยพระไชยราชา ก็จะมีฉากบาทหลวงที่ทำหน้าที่เป็นหมอ
ในสงครามกับเมืองเชียงใหม่ด้วย นอกจากจะมาเป็นทหารรับจ้าง
ทำหน้าที่ยิงปีนไฟและปีนใหญ่ ยังนำวิทยาการสร้างกำแพงเพื่อป้องกันเมืองมาด้วย
กรุงศรีอยุธยาจึงเริ่มสร้างกำแพงเมืองด้วยอิฐ รวมทั้งที่เมืองกำแพงเพชรด้วย
 
ซึ่งเหตุการณ์ช่วงนี้ใช้บันทึกของเฟอร์ดินัน เมนเดส ปินโต
ที่เข้ามาค้าขายและถูกบังคับให้มาร่วมรบกับอยุธยา และเป็นหลักฐานที่
ท่านมุ้ยตัดสินใจว่า ให้พระไชยราชาเสด็จสวรรคตจากการถูกลอบวางยาพิษ
ส่วนหลักฐานอื่นๆ นั้น มีทั้งที่ไม่ระบุสาเหตุ หรือระบุว่าเป็นเพราะสาเหตุอื่น
 


Silpa-mag.com

2. หลักฐานในการดำเนินเรื่องหลักคือ พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ 
ซึ่งปัจจุบันนักวิชาการเชื่อว่ามีความน่าเชื่อถือที่สุด ดังนั้นถ้าเรื่องใด
มีบันทึกไว้ในเอกสารฉบับนี้ ก็จะถูกนำมาใส่ในเรื่อง ทั้งที่อาจไม่จำเป็น
เช่น พระยอดฟ้ารับราชสมบัติแผ่นดินไหว หรือสมเด็จพระรามาธิบดีเห็นดาวหาง
 
3. ในภาพยนตร์นั้นผูกให้พระไชยราชาเป็นโอรสของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
และสมเด็จพระเฑียรราชาเป็นโอรสที่เกิดจากพระสนมของพระอาทิตยวงศ์
ทั้งสองพระองค์มีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่ปัจจุบันเรายังไม่มีข้อมูลในเรื่องนี้
 
ในกรณีพระไชยราชาในภาพยนตร์ไม่ได้กล่าวไว้ชัดเจน
มีแต่เพียงฉากที่เสด็จลงมาเอาเมืองแล้วตรัสว่า บัลลังค์นี้เป็นของพี่อยู่แล้ว
แต่ของพระเฑียรราชาเอ่ยไว้ในฉากที่พระรัษฏาธิราชกุมารประสูติว่า
อย่าได้นำพระรัษฏาธิราชลงมานับญาติ เพราะพระองค์เป็นเพียงแต่ลูกพระสนม
 
ข้อเท็จจริงเดียวในเรื่องนี้คือ ตำแหน่งพระเยาวราช ของพระเฑียรราชา
หมายถึงโอรสที่ประสูติแต่พระสนม ถ้าประสูติแต่พระมหสีใช้ หน่อพระพุทธเจ้า
ดังนั้นท่านมุ้ยจึงมองย้อนขึ้นไปในชั้นก่อนหน้า ว่ามีการสืบราชสมบัติอย่างไร
ด้วยเราจะเห็นว่าก่อนหน้านั้น เป็นการสืบต่อจากบิดามาสู่พระโอรสองค์โตเป็นหลัก
 
โดยหลังการเสด็จสววรคตของสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ
ผู้ที่ได้สืบราชสมบัติต่อมาคือ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 เป็นพระราชโอรส
เมื่อสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 เสด็จสวรรคต ผู้ที่จะสิบราชสมบัติต่อมา
ควรจะเป็นพระโอรสของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3  

แต่กลับเป็นสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ซึ่งเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระไตรโลกนารถ
ดังนั้นสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถจึงมีพระราชโอรสที่ได้ครองราชย์ถึง 2 พระองค์
คือสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 และสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 แปลเป็นคำพูดง่ายๆ ว่า
พี่เป็นก่อนแล้วน้องก็ได้เป็นต่อ ดูเหมือนว่าจะมีสัญญาใจ อะไรบางอย่าง
 


Kapook.com

กลับมาที่ช่วงสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เสด็จสวรรคต พระราชโอรสของพระองค์
ซึ่งควรจะเยาว์ชันษาก็ไม่ได้เสด็จขึ้นครองราชย์  แต่เป็นพระอาทิตยวงศ์
ซึ่งมีพระชนมายุมากขึ้นครองราชย์สมบัติแทน ดังนั้นมีความเป็นไปมากว่า
พระอาทิตยวงศ์จะเป็นพระราชโอรสของ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3
 
โดยมีพระนามว่า สมเด็จหน่อพุทธางกูร แปลว่าเป็นพระราชโอรสอันเกิดแต่มเหสี
และมีอีกพระนามว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4
แสดงว่า มีความเป็นไปได้ว่า ราชสมบัติวนกลับไปสาย สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3
ผู้เป็นพี่ในสายพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ
 
ดังนั้นเมื่อสิ้นพระอาทิตยวงศ์ สิทธิ์ก็ควรกลับไปสายน้อง คือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
แต่พระอาทิตยวงศ์กลับตั้งพระราชโอรสของพระองค์ คือ พระรัษฏาธิราช
นั่นจึงเป็นข้อสันนิษฐานว่า มีการไม่ปฏิบัติตามสัญญาใจเกิดขึ้น
ผู้ที่ได้ผลกระทบในเรืองนี้ จึงควรเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2
 
ซึ่งตามประวัติศาสตร์ในเรื่องนี้ ผู้ที่มาชิงราชสมบัติ คือ พระไชยราชา
จึงเป็นไปได้ว่า พระองค์จะเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2




Sahamongkolfilm

พงศาวดารไม่ได้มีระบุว่า พระองค์เป็นอุปราชวังหน้าครองเมืองพิษณุโลก
จนมีความสัมพันธ์อันดีกับหัวเมืองเหนือ และพระมหาธรรมราชาแบบในหนัง
หนังก็ใช้การอนุมานรัชกาลก่อนหน้าเช่นกันว่า

เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถไปครองเมืองพิษณุโลกเพื่อต้านทานทัพล้านนา
พระองค์ให้สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 ครองกรุงศรีอยุธยาในฐานะเมืองลูกหลวง
เมื่อสิ้นสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ก็ไม่มีบันทึกว่า มีการแต่งตั้งอุปราชไปครองเมืองพิษณุโลกอีกเลย
เพราะทางล้านนาก็สิ้นพระเจ้าติโลกราช ภัยคุกคามต่ออยุธยานั้นไม่มีอีกแล้ว
 
เมื่อพระไชยราชาได้ราชสมบัติ สัญญาใจฉบับนี้ก็คงจบลง
เพราะพระองค์สำเร็จโทษพระรัษฏาธิราช พระโอรสสายสมเด็จพระบรมราชาธิราชไปแล้ว
พระแก้วฟ้าพระราชโอรสของพระไชยราชาจึงได้ราชสมบัติโดยไร้คู่แข่ง
แต่ก็เกิดการพลิกผันไปในที่สุด

เมื่อขุนวรวงศาปราบดาภิเษกขึ้นมา ตามมาด้วยการก่อการของพระมหาธรรมราชา
แต่สุดท้ายราชสมบัติกลับไปที่พระเฑียรราชา ดังนั้นท่านมุ้ยจึงสันนิษฐานว่า
พระเฑียรราชาแม้จะเป็นโอรสพระสนม ก็น่าจะเป็นพระโอรสสายของพระบรมราชาธิราช
จึงมีศักดิ์และสิทธิ์ที่เมื่อก่อการได้สำเร็จแล้ว จะยกให้เป็นพ่ออยู่หัวพระองค์ใหม่นั่นเอง
 
4.พระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยาต้องมีพระสนมทั้งสี่ จากราชวงศ์สุโขทัย
สุพรรณภูมิ อู่ทอง และศรีธรรมาโศกราช เป็นบทในหนังที่เขียนให้
สมเด็จพระไชยราชาเป็นผู้ตรัสขึ้นมาอรรถาธิบายเรื่องการอภิเษกสมรส
 
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ตีความโดยนักวิชาการชั้นหลังเมื่อไม่นานมานี้
ว่ากษัตริย์อยุธยาน่าจะต้องมีการแต่งงานเพื่อรักษาความสัมพันธ์
แต่ในสมัยก่อนนั้นคงไม่มีความคิดเรื่องความเป็นราชวงศ์แบบที่ว่า
เพราะการแต่งงานเพื่อผูกความสัมพันธ์นั้นซับซ้อนจนไม่น่าแยกออกได้
 
เรื่องนี้ใส่เข้ามาเพื่ออธิบายว่า ท้าวศรีสุดาจันทร์ยกราชสมบัติให้ขุนวรวงศา
เพราะเป็นสายอู่ทองด้วยกันที่เป็นคนก่อตั้งกรุงศรีอยุธยา แต่ได้เสียอำนาจไปให้แก่
กลุ่มที่มาจากสุพรรณภูมิ เช่นเดียวกับพระสุริโยไทก็ไม่ได้มาจากกลุ่มสุโขทัย ที่หนังใช้เป็นคำอธิบายว่า
พระมหาธรรมราชายอมให้พระเฑียรราชาได้ราชสมบัติ เพราะพระสุริโยไท
 


Sahamongkolfilm

5. ไทยรบพม่า ศึกเชียงไกรเชียงกราน
ความในพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐมีว่า 

ศักราช ๙๐๐ จอศก แรกให้พูนดิน ณ วัดชีเชียง
ในเดือนหกนั้น แรกสถาปนาพระพุทธเจ้าและพระเจดีย์
เถิงเดือน ๑๑ เสด็จไปเชียงไกรเชียงกราน

 
เป็นเวลายาวนานที่เราเชื่อตามพระวินิจฉัยของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ
ว่าไทยรบกับพม่าครั้งแรกที่ศึกเมืองเชียงไกรเชียงกราน ซึ่งน่าจะเป็นหัวเมืองมอญ
ด้วยพระเจ้าตเบงชเวตี้ยกทัพล่วงเข้ามา โดยไม่รู้ว่าอยู่ในเขตขัณฑเสมาของอยุธยา

(ประชุมพงศาวดารภาคที่ 6 เล่มที่ 5: 2506)
 
แต่ด้วยการสอบทานศักราชกับพงศาวดารพม่า พบว่าตอนนั้นตองอูยังตีเมืองหงสาวดีไม่ได้
จึงไม่สามารถที่ยกทัพลงมายังหัวเมืองมอญทางใต้ ที่สันนิษฐานไว้ว่าคือเมืองเชียงไกรเชียงกราน
ในปัจจุบัน ข้อสันนิษฐานที่ทำได้ คงเหลือแต่การพิจารณาชื่อเมือง

1. คำว่าเชียง เป็นคำล้านนาแน่ๆ หมายถึงเวียง เช่น เชียงใหม่ เชียงราย 
2. ชื่อเมืองคู่เป็นที่นิยมในกลุ่มสุโขทัยและสุพรรณภูมิ เช่น สุโขทัย-ศรีสัชนาลัย สรรคบุรี-แพรกศรีราชา
ความเป็นไปได้ในตอนนี้ คือ เมืองนี้น่าจะอยู่ที่บริเวณรอยต่อระหว่างรัฐสุโขทัยและล้านนา
 
เมื่อไปอ่านบันทึกการประพาสลำน้ำมะขามเฒ่าของรัชกาลที่ 5 พระองค์ทรงพบว่า
เหนือปากน้ำโพ นครสวรรค์นั้นมีลำน้ำสายหนึ่งชื่อว่า ลำเชียงไกร ที่แยกมาจากแม่น้ำยม
ดังนั้น เป็นไปได้ว่าเมืองเชียงไกรเชียงกราน จะเป็นเมืองโบราณที่อยู่เหนือนครสวรรค์ขึ้นไป
อันเป็นจุดแยกของแม่น้ำสายนี้เมื่อสมัยโบราณ แต่จะอยู่ที่ใดนั้นยากที่จะบอกได้
 
ดังนั้นศึกเมืองเชียงไกรเชียงกรานจึงอาจะเป็นการรบกับล้านนามากกว่ากับพม่า
 
และนั่นคือ 5 เรื่องที่ผมพอจะนึกขึ้นได้ในวันนี้ แต่ที่เหลือนั้นหนังทำได้ตรงกับพงศาวดาร
เด็กรุ่นใหม่อาจจะเข้าใจประวัติศาสตร์ในช่วงเวลานั้น จากการดูหนังเรื่องนี้ได้
ต่างจากเรื่องถัดมา คือตำนานสมเด็จพระนเรศวร ที่ท่านมุ้ยได้ตั้งชื่อไว้อย่างชัดเจนว่า
ตำนาน ดังนั้นเรื่องหลักฐานความเป็นจริงก็จะน้อยกว่า สุริโยไทค่อนข้างมาก
 
เราจึงไม่ควรมาตั้งกระทู้ถามว่า สมเด็จพระนเรศวรใช้ไก่อะไรไปตีกับไก่พระมหาอุปราชา
Create Date :31 สิงหาคม 2564 Last Update :1 กันยายน 2564 15:49:36 น. Counter : 1480 Pageviews. Comments :3