Hellboy 2 : The Golden Army
หายไปนาน เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกินนะคะ
มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย
ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะคลี่คลายไปในทางที่ดี

ก่อนหนังเริ่มฉาย เพลงสรรเสริญฯเวอร์ชั่นใหม่ของเครือเอสเอฟ
ทำเอาดิฉันน้ำตาแทบร่วง กราบขอบคุณจากใจจริงนะคะ
ที่ตั้งใจทำออกมาให้ได้ชม จับใจเสียนี่กระไร

มาเข้าเรื่องกันดีกว่าค่ะ
Hellboy สำหรับดิฉันนั้นมีปมที่ “ไม่ต่าง” ไปจากพวก X-Men เท่าไรเลย
ความแตกต่าง การไม่ยอมรับ และความต้องการรักแท้
เป็นธีมหลักที่ ท่าจะว่ากันจริงๆจังๆแล้วล่ะก็
เป็นประเด็นหลักของโลกเราเลยก็ว่าได้

หนังมีปมภายในใจ ให้เลิอกเล่นได้หลายระดับมากมาย
หากแต่เหมือนกับว่าผู้กำกับมุ่งเน้นที่ "จะเป็น และอยากจะได้" หนังแอคชั่นเคล้าน้ำตา
ยากพอแล้วสำหรับการเค้นเอาความเห็นใจจากคนดู
โดยรูปลักษณ์อัน “ไม่ชวนมอง” ของตัวละคร
ไม่ง่ายเลย ที่จะทำให้เรารู้สึกเข้าใจและเห็นใจไปกับตัวละครเหล่านี้

เปิดเรื่องด้วยการย้อนไปถึง Hellboy ในวัยเยาว์
ร่ำร้องที่จะฟังนิทานก่อนนอนเหมือนเด็กน้อยในวัยที่ "ไม่แตกต่าง"
นิทานที่เล่าถึง "สงคราม" ระหว่างเผ่าพันธุ์ของมนุษย์และชาวเอลฟ์
ที่จบลงด้วยความพินาศจากน้ำมือกองทัพหุ่นยนตร์ทองคำ
(ไม่ได้พินาศด้วยน้ำมือคนใน เหมือนประเทศแถวๆนี้)
เมื่อชนะอย่างราบคาบ โดยปราศจากความเมตตาของกองทัพไร้ใจ
เมื่อนั้นผู้บังคับใช้ จึงตระหนักถึงความเสียหายร้ายแรงที่ได้กระทำลงไป
(พระราชาของเอลฟ์นั้นสำนึกนะคะ ด้วยคนดีนั้นชอบแก้ไข …)
ชาวเอลฟ์จึงทำสนธิสัญญาถึงพื้นที่ของแต่ละฝ่าย
และแบ่ง "รีโมท" ควบคุมกองทัพหุ่นไร้ใจนี้
ออกเป็น 3 เสี่ยงด้วยกัน

หนังนำเรากลับมาสู่ยุคปัจจุบัน
เจ้าฟ้าชายของเหล่าเอลฟ์จึงเริ่มติดตามหา "รีโมท" แต่ละชิ้น
และมุ่งหวังจะบดทำลายมนุษย์ ผู้ซึ่งได้ละเมิด และละเลยธรรมชาติมานาน
มาถึงตรงนี้ คงต้องรบกวนผู้อ่านไปดูต่อกันเอาเอง

สำหรับคอหนังแอคชั่นนะคะ ดิฉันไม่แน่ใจว่าจะถูกใจหลายๆท่านรึเปล่า
อย่างไรเสีย อ่านๆวิจารณ์จากท่านอื่นๆประกอบนะคะ

แต่สำหรับคนที่ชอบหนังชีวิตแล้วล่ะก็
ฉากที่เด็กนรกของเรานั่งจิบเบียร์กับมนุษย์ปลาเพื่อนซี้
แล้วร้องเพลง Can't Smile Without You นั้น
ด้วยใบหน้าที่ไม่สามารถแสดงความรู้สึกออกมาได้
จะยิ้ม จะเศร้า จะเหงาก็หน้าเดียวกันหมด
จึงเป็นฉากที่ ถ้าจะซอยออกมาเป็นช่วงๆ ไม่ดูองค์รวมของหนังแล้วละก็
มันจะเป็นฉากที่ดีที่สุดของหนังค่ะ
ด้วยเพราะน่าเห็นใจ ในความอาภัพอัปภาค
ที่เกิดมาแล้วมีรูปลักษณ์ที่ "แตกต่าง" จากคนอื่น

แต่ … ถ้าเราเอาทุกอย่างของหนังมารวมกันแล้วล่ะก็
หนังยังขาดๆเกินๆอยู่มากทีเดียว
หนังมุ่งเน้นขายจินตนาการอันแปลกแยก ให้เราได้เห็นกะจะตา
แปลกตาดีนะคะ แต่ไม่ได้ใจ
มีฉากแอคชั่นจริงๆไม่นาน
ถ้าดิฉันเด็กกว่านี้อาจจะพอชอบฉากเหล่านี้ขึ้นมาบ้างค่ะ

ดูจากเนื้อของหนังแล้ว
ผู้กำกับท่านนี้มองโลกได้ร้ายเหลือใจ
จำเป็นด้วยรึ ที่จะต้องมีฮีโร่ที่จิตใจดี หากแต่อัปลักษณ์ขนาดนี้
ประเภทที่ว่า "ยิ้มเหมือนหลอก หยอกเหมือนขู่"
Hellboy เป็นอย่างนั้นไปซะฉิบ

ไม่มีความจำเป็นใดเลย ที่จะต้องพยายามทำร้ายตัวละครให้อัปลักษณ์เกินจริง
แต่ไม่ยอมให้ตัวละครนั้นได้มีโอกาส แสดงความเป็นคนออกมาอย่างจริงใจ
คน … ที่ไม่ได้ถูกตัดสินด้วยหน้าตา สีผิว ภาษา หรือเชื้อชาติ
หากแต่คน ที่ Hellboy เป็น หรือที่หนังพยายามจะให้เป็นนั้น
เราเห็นแต่เพียง ฮีโร่อันแสนอัปลักษณ์
ผู้มีปัญหาในการเข้ากับเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา
มีปัญหาในการควบคุมอารมณ์
มีปมในชีวิต ระบายออกด้วยการบู๊แบบเท่ๆ
ได้พลาด ได้ผิดหวัง ได้เรียนรู้
และได้ความรักในตัวตนกลับมา
เหนืออื่นใด น่าหดหู่เหลือเกิน
ที่หนังได้เดินตามสูตรอันโง่เขลาเหล่านี้

หนังเล่นประเด็นความเป็นมนุษย์ภายในใจของ "กลุ่มคนผู้แปลกแยก" ยังไม่ดีพอค่ะ
เราไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยว่า "ความแตกต่างนั้น" ก็มีดีได้
ทำไมเราไม่สงสารและรักคนเหล่านี้ ?
ทำไมหนอ เด็กนรกของเราจึงเรียกความเห็นใจจากคนดูไม่ได้เลย ?

ที่สำคัญ หนังพยายามที่จะโยงเด็กนรกเข้ากับแฟรงเกนสไตน์ในฉากๆหนึ่ง
ทว่า เพราะบทในส่วนนี้ด้อยเกินไป
หนังไม่สนใจใส่รายละเอียดให้เราเห็นเลยว่า ภายใต้ใบหน้าที่ไม่เหมือนเราๆท่านๆ
จะมีจิตใจแอบซ่อนอยู่
เมื่อออกปฏิบัติการในพื้นที่และเสียเพื่อนร่วมงานไป
หนังแทบไม่ให้ความสำคัญกับเจ้าที่หน้าที่ที่ตายไป เพราะอะไร ?
มีเป้าหมายที่สำคัญกว่า (คือการได้เป็นข่าว) รึ ?
เพราะทั้งๆที่เพื่อนร่วมงานของเขานั้นมีชื่อ
ซึ่งย่อมแสดงถึงการมีตัวตนของเขาค่ะ
ถ้าหนังคิดจะเอาเยี่ยงแฟรงเกนสไตน์แล้วล่ะก็
หนังต้องรู้ด้วยว่า "ชื่อ" และ "การมีตัวตน" สำหรับแฟรงเกนสไตน์นั้น
มีความสำคัญเป็นอย่างแรกเลย
เหล่านี้ล่ะค่ะ จึงสร้างความขัดแย้งในใจขึ้นสำหรับผู้เขียน
หรือว่าหนังตั้งหน้าตั้งตาเป็นหนังแอคชั่นแล้ว
จะมามัวเสียเวลาปูพื้นเหล่านี้ไม่ได้เลยเชียวรึ ?

นี่คือปัญหาใหญ่สำหรับ Hellboy 2 ค่ะ
ที่ไม่รู้แม้กระทั่งธรรมชาติของคนดู
หนังหนึ่งเรื่องเอาใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ไม่ครบทุกกลุ่มคนหรอกค่ะ
หากแต่ผู้กำกับและผู้สร้างต้อง "กล้า" ที่จะเลือก
ว่าจะ "เหมือน" หรือ "แตกต่าง" นะคะ
เพราะอย่างน้อย จะได้เอาดีเข้าซักทาง

เดินออกจากโรงหนัง เลยตัวเบาๆโหวงๆ
ไม่ค่อยมีอะไรติดใจออกมาค่ะ

ขอแสดงความนับถือ

ปล.เลยเอาเพลงที่หลายๆคนฟังแล้วยิ้ม เพราะคง “ยิ้มใสใจเกษมไม่ได้ ถ้าไม่มีเธอ”
ด้วยชอบเสียงของคาเรน คาร์เพนเตอร์สมากกว่าของแบร์รี่ มานิโล เลยเอามาฝากค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=3zit4i2FiVY



Create Date : 13 กรกฎาคม 2551
Last Update : 13 กรกฎาคม 2551 19:05:25 น.
Counter : 685 Pageviews.

1 comments
สงคราม ส่งด่วน (2025) ไมเคิล คอร์เลโอเน
(29 มิ.ย. 2568 16:31:34 น.)
Awakenings (1990) ตื่นเถิดเพื่อนถ้าใจยังมีฝัน ไมเคิล คอร์เลโอเน
(27 มิ.ย. 2568 22:45:31 น.)
Dirty Angels (2024) นางฟ้าพันธุ์ดุ ไมเคิล คอร์เลโอเน
(23 มิ.ย. 2568 12:31:04 น.)
The Pursuit of Happyness (2006) ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้ ไมเคิล คอร์เลโอเน
(20 มิ.ย. 2568 23:03:25 น.)
  
..

ผิดหวังนิดหน่อยเช่นกันครับ กับ Hellboy ภาคนี้

ความมันส์ กับโปรดักชั่นดูดีขึ้น แต่เนื้อหาไม่ค่อยปะติดปะต่อ เหมือนจะเอาหลายประเด็นมาผูกโยง แต่กลับไม่เด่นเอาซักทาง

เเม้รู้สึกคุ้มกับเงินที่เสียไป แต่ยังไม่ประทับใจตามที่หวัง

..
โดย: POGGHI วันที่: 18 กรกฎาคม 2551 เวลา:16:49:11 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Gloomy-sunday.BlogGang.com

Gloomy Sunday
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]