Pan's Labyrinth
เสียงปรบมือให้เกียรติเป็นเวลา 22 นาทีหลังหนังฉายจบที่เทศกาลหนังเมืองคานส์
บ่งบอกถึงความน่าสนใจของตัวหนังได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ผู้กำกับชาวเม็กซิกัน กิลเลอร์โม เดล โตโร่เลือกทำหนังภาษาสเปน
เล่าเรื่องผู้ใหญ่ผ่านสายตาเด็กหญิงตัวน้อย
ประกบแฟนตาซีไว้ในสงคราม

หนังเปิดเรื่องมาปูพื้นด้วยเทพนิยายและตัดฉากเข้าสู่ควันหลงสงครามของเสปนในปี 1944
โอฟิเลียเป็นลูกติดภรรยาใหม่ของผู้กองวิดัล เผด็จการฟาสซิสต์ตัวจริง
เด็กน้อยหมกมุ่นตัวเองอยู่กับกองหนังสือ เพราะยังรับมือและทำใจต่อการจากไปของพ่อแท้ๆของเธอไม่ได้
แต่ก็ถูกควบคุมไปพร้อมๆกับแม่ของเธอ ภายใต้ความรุนแรงอันไร้ความปราณีของผู้กอง
ชีวิตที่ยากจะรับมือสำหรับเด็กตัวน้อยๆ
ณ ที่นั้น เขาวงกตเป็นบ้านสำหรับเธอ
เธอหนีจากโลกแห่งความเป็นจริงเข้าสู่โลกแห่งจินตนาการ โดยมีฟอนคอยชี้แนะ
ฟอนหรือแพนนั้น เป็นเทพเจ้ากรีกที่มีหัวและขาเป็นแพะค่ะ

หนังนำเราไปสู่เรื่องรองที่เป็นที่มาของเรท R ที่หนังได้รับ
สงครามระหว่างกลุ่มต่อต้านและทหารเผด็จการ
สงครามและภาพอันชวนหดหู่ ชัดเจน และตอกย้ำกับเราอีกครั้งว่า
สงครามมีแต่ผู้แพ้…

ตอนจบของหนังนั้นมีคำตอบให้ "เฉพาะคน" นะคะ
ต่างจิตต่างใจตีความได้หลายอย่างค่ะ
สำหรับตัวผู้เขียนเอง เลือกที่จะมองหนังอย่างจริงจังมากกว่า
เราปฏิเสธความจริงที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ได้...ไม่นานนัก
เมื่อใดก็ตาม ที่เราสามารถยอมรับมันได้อย่างจริงใจและหมดใจ
เมื่อนั้น จิตใจของเราจึงจะเริ่มสร้าง "ยาชา" ขนานพิเศษขึ้นมา
เมื่อนั้นล่ะค่ะ เจ้าหญิงจึงจะกลับสู่โลกของเธอ และมีความสุขตลอดไปตามนิทานที่เราเคยอ่าน

ตัวผู้เขียนเองกลับอดนึกถึงหนังเก่าเรื่อง Kiss of the Spider Woman ของเฮคเตอร์ บาเบนโกไม่ได้
โอฟิเลียก็คือโมลิน่า ออโรร่าก็คือฟอน
อดคิดและเปรียบเทียบไม่ได้นะคะ ในตอนจบที่ใกล้เคียงกันเหลือเกิน
เพียงแต่ว่า Kiss of the Spider Woman นั้นเหมือนคนที่มั่นใจในตัวเอง พูดจาชัดถ้อยชัดคำ มีพลัง
เลือกที่จะสื่อสารออกมาให้ตัดกันเด็ดขาดเหลือเกิน แถมมีประเด็นที่ละเอียดอ่อนมากกว่า
ในขณะที่ Pan's Labyrinth นั้นพยายามหาทางออกให้ตัวเอง แบบอุปมาอุปมัยด้วยนิทานของเด็กๆ
ด้วยเพราะภาพที่ต้องการสร้างนั้น มีส่วนต่อเนื้อหนังของเรื่อง
ภาพจึงมีความเป็นแฟนตาซีเยอะพอๆกับความรุนแรงที่มีให้เห็นในเรื่อง

ทว่า...ดูจบแล้ว หนังรบกวนจิตใจผู้เขียนอยู่นานเชียวค่ะ

หดหู่และสะเทือนใจ ไม่สบายใจ
และสารที่เราได้รับนั้นก็กระทบใจเราไม่หยุดหย่อน
เป็นหนังที่ตอกย้ำความชิงชังสงครามโดยผ่านสายตาผู้บริสุทธิ์อีกครั้ง
และช่วยพิสูจน์ให้เราท่านทราบอีกครั้งค่ะว่า
เสียงปรบมือที่ดังต่อเนื่องยาวนานที่คานส์นั้น ไม่ได้มาฟรีๆ
หากแต่ได้มาเพราะมีดี "จริง"

...ขอแสดงความนับถือ




Create Date : 13 เมษายน 2550
Last Update : 26 สิงหาคม 2550 3:01:23 น.
Counter : 586 Pageviews.

4 comments
  
แอบเห็นคุณ Unohana โพสไว้ที่ป๊อปคอร์นด้วย สงสัยคนเดียวกัน ขออ่านผ่านๆนะครับ อยากไปดูก่อนแล้วค่อยมาเขียนบ้าง
โดย: Job (joblovenuk ) วันที่: 13 เมษายน 2550 เวลา:14:41:36 น.
  





ถ้าไปเที่ยวที่ไหน ก็ขอให้เดินทางปลอดภัยนะคะ

โดย: น้ำหวานพิษ วันที่: 13 เมษายน 2550 เวลา:23:18:04 น.
  
เพิ่งไปดูมาร้อนๆ สุดยอดเลยครับเรื่องนี้

หนังทำได้โหดไม่แพ้ Saving private ryan หรือ Schindler'list เลยครับ ไม่มีการประนีประนอมกับคนดูทั้งสิ้น

ยิ่งเฉพาะช็อตจบ ที่ทำออกมาได้ทรงพลังและสะเทือนใจเหลือเกิน นิทานตอนจบนั้นผมว่ามันออกจะแนวเย้ยหยันด้วยซ้ำ เหมือนหนังจะพยายามพูดว่า "ถึงโลกจินตนาการจะจบสวยหรูแค่ไหน แต่นี่คือโลกแห่งความเป็นจริง จงรู้ไว้ซะ"

รอบที่ผมดูมีเสียงซี้ดซ้าด และคำอุทานในโรงเป็นระยะๆ และนั่นรวมถึงผมด้วยครับ
โดย: jonykeano วันที่: 14 เมษายน 2550 เวลา:21:03:26 น.
  
จินตนาการไม่มีวันจบ
โดย: haro_haro วันที่: 24 สิงหาคม 2550 เวลา:11:45:40 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Gloomy-sunday.BlogGang.com

Gloomy Sunday
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]