ยาหมอแสง ความรู้สำหรับประชาชนทั่วไป ... กระทู้ แนะนำ ใน พันทิบ ๘กพ.๖๑ คัดลอก จากกระทู้ แนะนำ ใน พันทิบ ๘กพ.๖๑ https://pantip.com/topic/37356718 1. ความหวังสำหรับผู้ป่วยที่ไม่มีทางรอดอีกแล้ว เป็นสิ่งที่ดีครับ แต่ความหวังนั้นต้องไม่ทำร้ายผู้ป่วยมะเร็งคนอื่น อย่าลืมว่าผู้ป่วยมะเร็งหลายรายในหลายระยะมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้นหรือบางรายอาจหายขาดได้เลยนะครับ ถ้าได้รับการรักษาตามแนวทางการแพทย์แผนปัจจุบัน พวกเค้าจะเสียโอกาสเหล่านี้ไปหากหันไปพึ่งยาหมอแสงแทน นี่คือสิ่งที่พวกเราเป็นห่วง 2. คนที่กินยาหมอแสงแล้วอาการดีขึ้น ไม่ได้หมายความว่าเป็นผลจากยาเสมอไป อาจเป็นจากปัจจัยอื่นมากมายทั้งธรรมชาติของโรคและปัจจัยรอบตัวคนไข้ ทางเดียวที่เราจะรู้ได้ เราต้องควบคุมปัจจัยที่ว่าเหล่านั้นให้เท่ากันให้ได้หรือต่างกันให้น้อยที่สุดเสียก่อน แล้วจึงติดตามดูผล นั่นก็คือการทำการทดลองทางคลีนิคที่คุณหมอหลายท่านพยายามจะบอกนั่นเอง 3. ยาหมอแสงไม่ว่าจะบอกว่าเป็นสมุนไพรหรือยา สิ่งที่สำคัญคือเราต้องรู้ขนาดที่เหมาะสมที่สุดและข้อมูลในเรื่องของผลข้างเคียงต่ออวัยวะอื่นๆในร่างกาย การผสมยาขึ้นมาเองโดยเอาสูตรส่วนหนึ่งจากหมอเขมรแล้วลองให้หมาแมวกินก่อนจากนั้นลองให้คนทดลองกินกันแล้วบอกต่อๆกัน โดยหลักการแล้วถูกต้องครับ นี่คือที่มาของ phase II study ของการแพทย์แผนปัจจุบันนั่นแหละ แต่มันน้อยเกินไป มันอ่อนเกินกว่าที่จะได้คำตอบ การศึกษามันอ่อนแอเกินกว่าที่จะเอามาใช้กับผู้ป่วยมะเร็งทุกคนและยืนยันว่าปลอดภัย 4. ยาแผนปัจจุบันที่ใช้กันมากมายก็มีกำเนิดมาจากธรรมชาติเช่นกัน อย่าง Aspirin ก็มาจากเปลือกของต้นวิลโลว์ Warfarin ก็มาจากสาร dicumarol ในต้น sweet clover ที่เป็นอาหารของวัว หรือ Statin ก็ถูกค้นพบจากราในข้าวสารที่เมืองเกียวโต แต่กว่าจะเอามาใช้ได้ในผู้ป่วยยาเหล่านี้ต้องผ่านการศึกษาอย่างละเอียดเป็นสิบปีก่อนจะได้อนุมัติให้ใช้ได้ ทั้งหมดนี้ที่หลายคนอาจจะรู้สึกรำคาญว่าทำไมต้องวุ่นวาย ลองๆใช้ดีก็โอเคแล้ว ที่ทำไปทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยของประชากรทั้งหมดรวมทั้งพ่อแม่ลุงป้าน้าอาของเรานั่นเอง 5. สุดท้ายผมเชื่อว่าไม่มีหมอแผนปัจจุบันคนไหนอิจฉาริษยาหมอแสงหรอกครับ ไม่รู้จะอิจฉาไปเพื่ออะไร ทุกวันนี้คนไข้ก็ล้นมือจนจะตายกันอยู่แล้ว ที่เราท้วงเพราะห่วงผู้ป่วยส่วนใหญ่ของประเทศเท่านั้นเอง เรื่องนี้ไม่ควรดราม่ากันเลย เชื่อว่าทั้งหมอแสงทั้งหมอแผนปัจจุบันต่างก็หวังดีกับคนไข้ทั้งนั้น เพียงแต่คนที่ไม่ใช่แพทย์อาจจะไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ที่ผมเขียนไป ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนะครับ อย่าไปด่ากันเลย เพราะอย่างผมก็โง่เรื่องอื่นมาก เอาง่ายๆอย่างเรื่องคอมพิวเตอร์ลึกๆก็ไม่รู้อย่างที่ IT เค้ารู้เช่นกัน ที่มา : https://www.facebook.com/JarvisChaisiriLancelotWipat1412/posts/819676934906070 ************************************************* ช่วงโปรโมชั่น มีวันหมดอายุ ... มะเร็งก็เช่นกัน ช่วงนี้ลูกกำลังโต ... เวลาผ้าอ้อมสำเร็จรูปหมดก็จะต้องแวะเวียนไปตามห้าง เพราะว่ามีโปรโมชั่นลดราคา ... ซื้อสองแถมหนึ่ง ติดป้ายเล็กๆว่า (จนกว่าของจะหมด) พอผ้าอ้อมลดราคาแล้ว เราจะซื้อเลยไหม ... คำตอบคือ"ไม่" ต้องเช็คราคาก่อน เพราะว่าบางครั้งที่นี่ลดเยอะแล้ว ที่อื่นลดเยอะกว่า ปัญหาคือ บางครั้งเช็คแล้วกับเพื่อนว่าที่อื่นลดมากกว่า เราก็เดินทางไปซื้อ เพื่อจะพบว่าไม่ได้ลด ... ข่าวผิด บางครั้งเราไปถึงแล้วพบว่า เค้าลดจริง50ท่านแรก และหลังจากนั้นขายเต็มราคา แล้วเมื่อเรากลับมาที่ห้างแรก ... ก็จะพบว่า ของหมดแล้ว ไม่มีโปรโมชั่นแล้ว เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา แถมไม่ได้ของ ... ต้องจ่ายเงินแพงขึ้น ระหว่างนั้นใช้แผนสำรองเอาผ้าอ้อมแบบใช้แล้วซักใช้แทนไปก่อน นั่นคือเรื่องของผ้าอ้อมสำเร็จรูป กลับมาที่มะเร็ง เวลาคนเราตรวจเจอมะเร็ง เรามักจะตรวจเจอในระยะที่ต่างกันไป คนไหนโชคไม่ดีเจอระยะท้ายรักษาไม่ได้ ก็ลำบากหน่อย แต่หลายคนโชคดี พบในช่วง โปรโมชั่น เช่นเจอมะเร็งระยะแรก จากการตรวจมะเร็งปากมดลูก เจอมะเร็งปอด ที่ก้อนเล็กมาก มีหวังผ่าตัดได้ เจอมะเร็งเม็ดเลือด ที่ดูชนิดแล้วน่าจะมีหวังสูง นี่คือระยะโปรโมชั่น สวรรค์และโชคชะตา เปิดช่วงเวลาพิเศษ รักษาตอนนี้มีโอกาสหายขาด ... มีโอกาสอยู่จนแก่เฒ่า โดยมีวงเล็บว่า (โปรโมชั่นนี้ ใช้ได้ไม่เกิน 1 เดือน หรือจนกว่าจะมีการกระจาย) หลายคนไม่ลังเล รีบรักษา และหายขาด ตรวจซ้ำกี่รอบก็ไม่เจอ หลายคนลังเล เพราะความกลัวหลายอย่าง ... ไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากให้เคมี ไม่อยากฉายรังสี เลยตัดสินใจต่างออกไป บ้าง เช็คกับเพื่อนแล้วว่ารักษาแผนทางเลือกที่นั่นนี่ หายมากกว่า เลยดั้นด้นเดินทางไป รักษาอยู่ 4-5 เดือน เพื่อจะพบว่าคนที่ไปพร้อมกันทยอยตายไปทีละคน ไม่ได้ผลจริง บางครั้งได้ข่าวว่ารักษาฟรีมีแค่ค่าบูชาครู 5บาท 10บาท แต่เมื่อไปแล้ว ขายสารพัดน้ำอาหารเสริม คอร์สละหลายพันหลายหมื่น บางครั้งไปแล้วเจอสูตรยาผสมบางประเภท ตับอักเสบ ไตวาย ... ได้โรคแถมกลับมาอีกมากมาย และเมื่อกลับมายังโรงพยาบาล เพื่อขอรับโปรโมชั่น รักษาวันนี้มีโอกาสหายขาด ... ก็ต้องพบกับความจริงที่ว่า โปรโมชั่นนั้นได้หมดไปนานแล้ว เสียเงิน ที่ควรจะเหลือไว้ให้ตนเองหรือคนข้างหลัง เสียเวลา ทำให้ระยะมะเร็งเปลี่ยน / และเวลาที่จะให้กับครอบครัว เสียชีวิต เพราะมะเร็งจากระยะที่รักษาหายขาดได้ เปลี่ยนเป็นระยะที่ไม่มีทางหายขาด เสียชีวิต จากผลข้างเคียงของยาทางเลือก เจ็บปวด โดยไม่จำเป็นจากการรักษาที่ไม่ได้ผล ทั้งที่มีวิธีหรือยาที่ทำให้หายเจ็บได้ การรักษามะเร็ง Cure for cancer คือ Holy Grail ทางการแพทย์ คือเป้าหมายที่แพทย์มากมายคาดหวังจะให้มีจริง ถ้ามีการรักษาแบบใด ไม่ว่าแผนปัจจุบัน แผนโบราณ พลังงานลึกลับ ไสยศาสตร์ ศาสนา ไอเท็ม โพชั่น หรืออะไร รักษาให้หายได้แบบยืนยันได้ชัดเจน ... หมอทั่วโลกก็ย่อมส่งคนไข้ไปรักษาให้หาย แต่ในเมื่อมันไม่มีอะไรแบบนั้น มีแต่แบบที่โด่งดังขึ้นมา ... จากนั้นก็หายไป มีแต่แบบที่แฝงการขายที่เคลือบความหวัง ... ดังขึ้นมาแล้วก็หายไป เราก็ได้แต่รอ สำหรับผ้าอ้อมสำเร็จรูป ... การพลาดโปรโมชั่น คือ เสียเวลาซักผ้าอ้อม สำหรับมะเร็ง ... การพลาดโปรโมชั่น คือการเสียชีวิตและการลาจากชั่วนิรันดร์ ศึกษาให้ดี อย่าเสียเวลาที่มีค่านั้นไปครับ ที่มา : https://www.facebook.com/HmxMaew/posts/1279287465499437 ************************************************* แอดคนอื่นก็มีเขียนไปบ้างแล้ว แอดสายดรามาจะไม่เข้าร่วมก็กระไร ขอร่วมแชร์ความคิดแบบง่ายๆ ให้ลองอ่านและคิดตามดูนะครับ 1.สมุนไพร ไม่ค่อยได้รับการสนใจให้ทำวิจัยจากรัฐบาล เพราะอย่างกรณียาหมอแสง แพทย์หลายๆท่านก็ทราบว่ามีคนทานแล้วอาการดีก็จริง ก็อยากให้ทำวิจัยออกมาว่าต้องกินยังไง กินบ่อยแค่ไหน แล้วต้องติดตามไปถึงเมื่อไหร่ เรื่องนี้ใครรู้ หมอแสงเองก็น่าจะยังไม่รู้เลยเช่นกัน เพราะเค้าแจกฟรีมาจำนวนหนึ่ง แล้วไงต่อ ต้องกินเพิ่มมั้ย มะเร็งแต่ละที่ต้องกินยาขนาดต่างกันมั้ย ระยะมะเร็งแตกต่างกัน ต้องกินขนาดยาต่างกันมั้ย คิดว่ามีใครรู้มั้ย จึงน่าทำวิจัยอย่างยิ่ง 2. ยาหมอแสงได้ผลดี ผลที่ว่าคืออะไร เท่าที่ติดตามข่าวสาร ที่พอเชื่อได้ ทราบมาแค่ว่า ยาไม่มีส่วนประกอบของสเตียรอยด์ หรือสารอันตรายอื่นๆ แต่ไม่ได้มีบอกว่าจัดการมะเร็งได้อย่างไร หมอมะเร็ง หมอรังสี เค้าก็ไม่รู้หรอกเพราะเค้าไม่ได้ใช้ แต่เค้ารู้ดีว่ายาเคมีบำบัด หรือรังสีที่เค้าใช้ ออกฤทธิ์จัดการเซลล์มะเร็งยังไง มะเร็งแต่ละชนิดต้องใช้ปริมาณเท่าไหร่ ระยะต่างกันต้องใช้ขนาดยาหรือรังสีต่างกันอย่างไร มีผลข้างเคียงยังไงบ้าง รู้ว่าต้องเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนอะไรบ้าง ถ้ารู้วินิจฉัยและระยะชัดเจนสามารถพยากรณ์ได้ด้วยซ้ำว่าอยู่ได้อีกกี่ปี แล้วยาหมอแสงล่ะ ข้อมูลเหล่านี้ใครรู้ แม้แต่เจ้าตัวก็คงยังไม่รู้ 3. อาการที่ว่าดีขึ้น คือ ทานได้ นอนหลับ มันเป็นเรื่องของอาการที่บอกโดยคนไข้ทั้งสิ้น ซึ่งมีผลจากจิตใจและศรัทธามาก นำมาวัดผลทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ค่ามะเร็งที่ลดไม่รู้ค่าอะไร ทำไมข่าวไม่เปิดเผย เท่าที่ทราบมีมะเร็งไม่กี่อย่าง ที่มี สารบ่งชี้มะเร็งแบบจำเพาะและใช้ติดตามจริงๆ เอาเป็นว่ามีมั้ยคนที่ขนาดมะเร็งยุบไปเลยจนหาย โดยไม่มีเรื่องของการรักษาแผนปัจจุบันมายุ่งเกี่ยวแม้แต่ครั้งเดียว 4. มะเร็งที่ก่อตัวมาเป็นปี ทำไมถึงคิดว่า ยา 1 ชนิดจากสมุนไพรจะรักษาให้หายได้ใน 10 เม็ด ที่กินในเวลาไม่กี่วัน เท่าที่ติดตามมีแต่คนมาบอกว่าดีขึ้นในระยะสั้น ยังไม่เห็นมีใครมา บอกในระยะยาวบ้างว่า ทานยาหมอแสงนี้แล้วอยู่ได้ต่ออีกเป็นสิบๆปี (เอาเฉพาะคนที่เป็นมะเร็งที่มีการยืนยันแล้ว) เห็นว่า แจกยาฟรีมา สิบปี อยากถามว่า ผู้มารับยารุ่นแรกเป็นอย่างไรกันบ้าง มารายงานตัวหน่อย อยากทราบจะได้เก็บข้อมูลไปศึกษาหรือใครที่ได้ไปแล้วเกิดผลเสีย ไม่ต้องอายหรอกครับ แชร์เรื่องของคุณออกมาสู่สังคม ไม่ต้องกลัวต่อต้านกระแสสังคม เพราะเรื่องของคุณจะช่วยเหลือคนได้นับหมื่นนับแสน แพทย์ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการที่หมอแสงจะได้หรือไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นแพทย์พื้นบ้าน แต่จะได้ประโยชน์ถ้ายาจะได้รับการทดสอบว่ามีประโยชน์ต่อผู้ป่วยมะเร็ง นั้นคือผู้ป่วยจะมีทางเลือกมากขึ้น คนเราเวลาเจออะไรที่ขัดกับศรัทธาของตน ถ้าเราไม่รับฟัง และโจมตีผู้ขัดผู้นั้น ก็จะเสียโอกาสที่จะได้เรียนรู้โลกในอีกมุมหนึ่ง แนะนำผู้ที่ยังพอมีใจจะรับฟังว่า เมื่อใดที่ท่านรู้สึกไม่แน่ใจในศรัทธาของท่านหรือมีคนกลุ่มหนึ่ง มาต่อต้านศรัทธาของท่าน ให้นึกถึงคำสอนของบุคคลที่ประชากรโลกส่วนมากยอมรับมาตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน เช่น พระพุทธเจ้า ในทางพุทธศาสนา เมื่อพระพุทธทรงตรัสถึงศรัทธาไว้ในหมวดใด พระองค์ก็มักตรัสเรื่องปัญญาให้เข้าคู่กับศรัทธาด้วยเสมอไป การที่ทรงกำกับศรัทธาด้วยปัญญา เป็นการแสดงให้เห็นว่า ศรัทธาที่ปราศจากปัญญานั้นเป็นอันตราย และปัญญาที่ขาดศรัทธาก็น่ากลัว จะนำไปสู่ความแข็งกร้าวจนไม่ยอมลงให้กับใครหรืออะไรทั้งสิ้น ดังนั้น ศรัทธาและปัญญาจึงต้องอิงอาศัยกัน กำกับกัน คนฉลาด จะรู้ว่าตัวเองไม่รู้ในเรื่องอะไร และจะมีคำถามเสมอเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ได้เรื่อยๆไม่มีที่สิ้นสุด คนโง่ จะคิดว่าที่ตัวเองรู้นั้น ถูกต้อง และรู้มากกว่าคนอื่นๆ จึงหมดโอกาสที่จะได้เรียนรู้อะไรเพิ่มเติมอีกต่อไป ขอจบเพียงเท่านี้ ที่มา : https://www.facebook.com/Infectious1234/posts/427379034359462 ******************************************** บันทึกเรื่องน่ารู้ by Dr.Adune (88) February 11, 2018
-ข่าวเรื่องการกินยาสมุนไพรรักษามะเร็งมีมาเรื่อยๆ บางครั้งก็ดังจนมีคนแห่กันไปหามากมาย .. ความจริงแล้ว ได้ประโยชน์ หรือ ไม่ได้ประโยชน์ ....ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์ -มุมมองคนไข้ต่อการรักษาแผนปัจจุบัน โดยเฉพาะยาเคมีบำบัด ที่เรียกว่า คีโม ... เรื่องแชร์ในไลน์ ในเฟส เรื่องที่เล่าต่อกันมา มากมายว่า 1)ให้ คีโมแล้วโทรม ให้แล้วตาย ทำให้เซลล์ของร่างกายตายไปด้วย คีโมคือยาพิษ เห็นได้ชัดเลย ผมร่วงหมด กินอะไรไม่ได้ คลื่นไส้ คีโมแรง ใครได้คีโมก็มีอาการที่ว่าทุกคน (ข้อเสียมากมาย) ... 2) คนที่รักษาโดยไม่ต้องให้คีโมก็หายได้ website รพ ดังในอเมริกา คนดังๆ แม่ชี ยังบอกว่า ไม่ต้องให้คีโม ก็หายได้ ... 3) ค่ารักษาแพง ถ้าใช้ 30 บาท เขาน่าจะให้ยาไม่ดีไม่ได้ผล จะจ่ายเงินเองก็แพงมาก... 4) อย่าไปให้คีโมเลย ขอให้ทางเลือกคีโมเป็นทางเลือกสุดท้าย มีแต่คนบอกว่าให้แล้วไม่ดี...ถ้ามีวิธีที่ดีกว่า ก็ไม่น่าจะเลือกวิธีที่อันตราย... คำพูดเหล่านี้ เป็นแค่ตัวเสริมนะครับ (กองเชียร์) แค่แสดงความเห็น ไม่ได้มีประสบการณ์ตรง... 5) มีคนทักแล้ว ไม่ฟัง ไม่เชื่อก็ไม่ได้... สรุปคะแนนด้านลบ ของ คีโม มาเต็ม... -มุมมองคนไข้ต่อสมุนไพร... 1) กินง่าย แค่กิน ไม่ต้องฉีดยา ไม่ต้องไปโรงพยาบาล มุมด้านนี้ คะแนนกำลังใจมาก่อนเลย (เราเป็นไม่มากหรอกนะ กินยาก็พอ) ... 2) ผลข้างเคียงน้อย กินยาสมุนไพร ไม่มีใครคลื่นไส้ ไม่เห็นมีใครผมร่วง ไม่ยากด้วย ให้กินทุกวัน กินเช้าเย็นยังได้เลย เพราะ สมุนไพรไม่ทำอันตรายกับร่างกาย ไม่ทำให้ เซลล์ตาย เหมือนคีโม ... ความรู้สึกว่า ไม่ยุ่งยาก ไม่แพ้ เลือกได้เลือกอันนี้ดีกว่า... 3) เห็นแต่ว่า กินยาสมุนไพรแล้วหาย ออกรายการทีวีก็มี ในหนังสือนิตยสารก็มีสัมภาษณ์ website ก็มีมากมาย ในพันธุ์ทิพย์ ก็บอก... 4) ราคาไม่แพงด้วยสิ เทียบกับ ฉีดยาในโรงพยาบาล แพงกว่าเยอะ.... 5)ความรู้ของไทย สนับสนุนภูมิปัญญาไทย ดีกว่าไหม ทำไม่ต้องไปโรงพยาบาล เสียเงิน เซลล์ตาย ผมร่วง ... สู้สมุนไพร .. ข้อดีมากมาย -คีโมไม่ดี สมุนไพรก็ดี๊ดี ญาติพี่น้อง ก็เชียร์ ไม่เห็นด้วยว่าให้ไป คีโม คนให้คีโมแล้วตาย ก็ได้ยินข่าวบ่อยๆ ... สังคมบ้านเรา เชื่อเรื่องต่างๆ ง่าย โดยไม่ต้องตรวจสอบ เรื่องยิ่งแปลก เวลาเล่า แล้วคนเชื่อ คนสนใจ ยิ่งดีใหญ่ เลยมีคนที่ชอบ ประสมโรง เออ อวย ไปด้วยครับ.. และที่สำคัญเวลาเกิดเรื่อง ก็มาโทษคนพูดไม่ได้เพราะ เขาว่า คนพูดไม่ได้พูดเอง ฟังเขามาอีกทีครับ -กลับมามองมุมหมอบ้างนะครับ.. 1) ไม่มีผลข้างเคียง อาจแปลว่า ไม่มีวัตถุออกฤทธิ์เลย ไม่ต่างกับการกินน้ำเปล่า เท่ากับไม่มีผลการรักษา แต่ที่อ้างว่าได้ผล เป็นผลมาจากอย่างอื่น ที่ไม่ใช่ยาสมุนไพร 2) พิสูจน์ว่าสมุนไพรได้ผล ต้องมีข้อมูลที่คนไข้ ได้รับสมุนไพร โดยไม่ได้ยาแผนปัจจุบัน (ต้องระยะโรคเดียวกันด้วยนะครับ)... เพราะคีโมที่ใช้ในปัจจุบัน ผ่านการพิสูจน์มาแล้วกับคนไข้เป็นแสนเป็นล้านราย.... 3) ราคาไม่แพง แต่ถ้าไม่ได้ผล ก็ขาดทุน เพียงแต่ไม่ใด้ขาดทุนเป็นเงิน ... ขาดทุนเป็นเวลา เพราะเสียเวลาเสียโอกาสที่จะรักษาให้หาย ..ระหว่างที่กินสมุนไพร มะเร็งไม่ได้หยุดรอเรา ยังคงโตไปเรื่อยๆ มีเวลาให้มะเร็งแพร่กระจาย เพราะยิ่งช้า มะเร็งยิ่งโต โอกาสรักษาหายก็น้อยลง -การเชื่อตามคำบอก ว่า หมอมิ่ง หมอหมาย หมอน้อย หมอแสง.. จะใช้สมุนไพรรักษามะเร็งได้ ไม่ต่างอะไรกับที่ตอนเด็กๆ ผมเชื่อว่า ใส่ชุดซุปเปอร์แมน แล้วจะบินได้ครับ เพราะในทีวี ในหนังสือ ผมรู้ว่า ซุปเปอร์แมนบินได้ -ถ้าท่านคิดว่า บทความนี้น่าเชื่อถือ ก็ช่วยแชร์ต่อให้มากๆ ถือเป็นการทำบุญ ช่วยคนไข้โรคมะเร็ง ซึ่งน่าเห็นใจอยู่แล้ว ไม่ให้หลงผิด เสียโอกาสที่จะรักษาโรคให้หาย https://www.facebook.com/102927826723871/photos/a.109021852781135.1073741828.102927826723871/589342331415749/?type=3&theater ******************************************* บันทึกเรื่องน่ารู้ by Dr.Adune |
บทความทั้งหมด
|
วันที่ 24 เมษายน 2561 - 15:55 น.
https://www.matichon.co.th/news/928551
เมื่อวันที่ 24 เมษายน ที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้มีการหารือร่วมกันระหว่างนพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ นายแสงชัย แหเลิศตระกูล หรือหมอแสง และทีมนักวิจัยประสิทธิภาพสมุนไพรสูตรของนายแสงชัย ต่อการรักษาโรคมะเร็ง ซึ่งผลการวิจัยออกมาตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่เพิ่งมีการหารือร่วมกันในวันนี้ (24 เม.ย.) โดยเริ่มมีการหารือร่วมกันนานกว่า 3 ชั่วโมง เริ่มตั้งแต่ 09.00 น. โดยไม่ให้สื่อมวลชน หรือผู้ใดเข้าร่วมรับฟังแต่อย่างใด
ต่อมาเมื่อเวลา 12.00 น. นพ.ณรงค์ ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนภายหลังการหารือว่า ทางกรมได้นำตัวอย่างสมุนไพรนายแสงชัยมาทดลองในลักษณะตัวยาที่มีความเข้มข้นต่างกัน แยกเป็นที่อยู่ในสารน้ำ ในเลือด และปริมาณที่มีความเข้มข้นสูงๆ แล้วนำสมุนไพรนี้ไปทดสอบกับเซลล์มะเร็ง 7 แบบ คือ มะเร็งเต้านม 3 ชนิด มะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ และมะเร็งกระเพาะอาหาร ผลการทดลองในหลอดทดลองนั้นพบว่าตัวฤทธิ์ของสมุนไพรไม่สามารถยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ แต่กรมการแพทย์แผนไทยฯ กรมการแพทย์ก็ได้ศึกษาต่อในเรื่องของคุณภาพชีวิตก็พบว่าสามารถใช้ได้
เมื่อถามว่าต้องเดินหน้าวิจัยในสัตว์ทดลอง และในคนต่อหรือไม่ นพ.ณรงค์ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องมีการคุยกันพอสมควรในทิศทางที่จะเดินต่อไป เพราะมีมุมมองหลายมุมมอง เท่าที่คุยกันในวันนี้คิดว่าคงต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง แต่ต้องเรียนว่าการดูแลแบบคู่ขนาน ทุกระยะ คิดว่าถ้าช่วยกันดูแลประชาชนน่าจะได้ประโยชน์สูงสุด ที่คุยกับนายแสงชัยแล้ว อยากบอกพี่น้องประชาชนว่าอย่ารักษาข้างใดข้างหนึ่ง โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็นระยะท้ายๆ การมารับยานายแสงชัย เพื่อประคับประคองก็ได้ แต่หากเป็นระยะต้นๆ ก็รักษาคู่ขนานกันไป ซึ่งนายแสงชัยก็เห็นด้วย ในการรักษาสิ่งที่เป็นประเด็นในสมุนไพรของนายแสงชัยคือหนึ่งไม่มีความเป็นพิษ ดังนั้นการรับเข้าสู่ร่างกายไม่เป็นพิษ แต่ประเด็นเรื่องการทดลองหลังรับสมุนไพรคือไม่ได้ผลในการฆ่าเซลล์มะเร็ง ดังนั้นการรักษาคู่ขนานน่าจะเป็นคำตอบที่ดีกับประชาชน ส่วนประเด็นว่าระหว่างนี้จะมีช่องทางในการขึ้นทะเบียนสมุนไพรสูตรของนายแสงชัย เป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพใดตามกฎหมายได้หรือไม่ ซึ่งนายแสงชัยเองก็ได้สอบถามในประเด็นนี้มาเหมือนกันก็เรียนว่าคงยังไม่ได้
ด้าน นายแสงชัย กล่าวว่า สิ่งที่กรมการแพทย์ฯนำไปทดลองนั้นก็เป็นเพียงการวิจัยในหลอดทดลอง ซึ่งปรากฎว่าไม่มีผลในการยับยั้งเซลล์มะเร็ง แต่ไปอยู่ในตัวคนแล้วเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หรือไม่ เพราะเมื่ออยู่ในหลอดทดลองก็อยู่แค่นั้น แต่ถ้าเข้าร่างกายแล้วมันก็ไปตามเส้นเลือด แต่กรมการแพทย์ก็บอกว่าจริงๆ คนที่พอมีฐานะ มีความรู้ กลัวจะเสียโอกาสก็ให้ไปให้แพทย์รักษา อย่าพยายามมากินสมุนไพรตัวนี้เลย ยืนยันว่ายังแจกสมุนไพรต่อไป ถ้าเขาสั่งหยุด ถ้าเขาไม่ห้ามเราก็แจกต่ออยู่แล้วเพราะเป็นความหวังของประชาชน จริงๆ แล้วถามว่าที่เราทำมา 10 กว่าปี ก็ย่ำอยู่กับที่ เปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทย อธิบดีกรมการแพทย์มากี่คนแล้ว สถาบันมะเร็งก็เปลี่ยนผอ.มาหลายคน แต่ของเรายาเป็นตำนาน ส่วนเรื่องสูตรจะขายให้ต่างชาติหรือไม่นั้นก็ไม่แน่หากหมอไทยบอกไม่ได้ผลเราจะเอาสูตรไว้ทำไม ต่างชาติเขาฉลาดก็ทำ ที่แจกยามีหมอจากเยอรมัน รพ.จากอเมริกาเขาก็มาเฝ้าทุกระยะเพื่อติดต่อขอซื้อ แต่ยังไม่อยากขาย กลัวคนไทยไม่มีกิน ซึ่งก็จะไปแจกต่อที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในวันที่ 2 พฤษภาคมนี้
เมื่อถามว่าผลการทดลองที่ออกมานายแสงชัยจะต้องมีการชี้แจงต่อประชาชนที่รอรับสมุนไพรอย่างไร นายแสงชัย กล่าวว่า ประชาชนเขาไม่ต้องการคำชี้แจงหรอก เขาต้องการรู้แค่ว่าตนต้องการจะแจกยาต่อหรือไม่เท่านั้นเอง เมื่อถามต่อว่าผลทดลองบอกไม่ได้ผลในการฆ่าเซลล์มะเร็ง ดังนั้นจะปรับกลุ่มการแจกสมุนไพรหรือไม่ นายแสงชัยกล่าวว่า ถ้าผู้ป่วยเขาพร้อมจะไปรับเราก็ให้ หรือถ้าเขาสะดวกก็ไปที่สถาบันมะเร็งซึ่งรักษาทุกระยะ ไม่มีไล่กลับบ้าน รับได้หมด ทั้งนี้ยืนยันว่าผู้ป่วยที่มารับสมุนไพรนั้นนั้นไม่มีการทิ้งการรักษาแผนปัจจุบัน แต่มีคนป่วยที่หมดทางรักษาแล้วอยู่ในมือเราหลายพันคน เป็นมะเร็งรวมๆ สมุนไพรเราเองก็ไม่มีสูตรแยกว่าเป็นมะเร็งชนิดไหน รวมมั่ว มะเร็งก็คือไวรัส เราไม่ใช่หมออย่าไปแยกมัน มะเร็งคือไวรัสชนิดหนึ่งเราก็ฆ่ามันเท่านั้นเอง
เมื่อถามต่อว่าเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนจริงๆ จะต้องขยายผลทดลอง หรือร่วมกับภาครัฐในการทดลองหรือไม่ นายแสงชัย กล่าวว่า เรื่องการขยายผลจริงๆ อยู่ที่ภาครัฐ ตนมีแค่หน้าที่ผลิต ซึ่งก็ทำมาตลอด แต่ก็บอกทุกครั้งว่าให้รักษาควบคู่กันไป ตนบอกตลอดว่าไม่ใช่หมอ แต่เป็นผู้แบ่งปันคนหมดหนทาง ไม่เป็นไร เรายังเดินหน้าแจกต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไม่ไหว และคิดว่าเร็วๆ นี้คงจะไม่ไหว วันนี้กำลังการผลิตอยู่ที่ 4 แสนเม็ดต่อเดือน สำหรับกรณีมีคนตั้งข้อสังเกตเรื่องว่าทำไมต้องมีการลงบันทึกประจำวันนั้นก็คงต้องไปถามคนที่ตั้งคำถามว่าคนที่ผ่าตัดในรพ.ที่ผ่าตัดในรพ.ทำไมต้องให้ญาติเซ็น คนจะตาย ตายแล้วไม่เดือดร้อนเราให้แค่นี้พอ พอแจ้งความแล้วตำรวจจะรู้ยอดคนจะได้ให้การดูแลได้ ที่มาของยา 6 เม็ด เพราะมันไม่พอเลยแบ่งจาก 10 เม็ดเหลือ 6 เม็ด
นายแสงชัย กล่าวต่อว่า ที่รัฐทำคือทดลองในหลอดทดลอง จะเอามาทดลลองในคนไม่ได้ เพราะผิดจริยธรรม แต่ผมได้ทดลองในคน ซึ่งอาการแย่อยู่แล้ว เริ่มต้นก่อนจะแจกไม่ใช่ว่าผมไม่ทดลอง เราทดลองตามผู้ป่วยติดเตียง ตามบ้าน ตามวัดที่ใกล้เสียชีวิต ก็พบว่ามีเสียชีวิตประมาณ 300-500 คน แต่เราเอาผู้ป่วยติดเตียงที่ไม่มีทางรอด ตายแน่ๆ ญาติยอมเราก็ให้กิน
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่านี่ถือเป็นการวิจัยแล้วใช่หรือไม่ นายแสงชัยกล่าวว่า อันนั้นคือคิดการใหญ่ใจต้องถึง มัวแต่ไปรอภาคส่วนรัฐที่ต้องรอทดลองในหลอดทดลองแล้ว สัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ ผมไม่เอาหรอกผมจะรักษาคน ไม่ได้รักษาสัตว์ ไม่ได้รักษาสัตว์ทดลอง ก็เลยเอาคนจริง และเมื่อถามต่อว่าในการทดลองในคนได้มีการขออนุญาตก่อนหรือไม่ นายแสงชัยกล่าวว่า ต้องขออนุญาตใคร ก็ขออนุญาตญาติเขาแล้ว ซึ่งเราไม่กังวลว่ามันเป็นการวิจัยในมนุษย์