Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
14 พฤศจิกายน 2557
 
All Blogs
 

พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ 17

17

พลับพลึงยกมือขึ้นคลำหน้าผากไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายาหม่องที่ทาไปเมื่อคืนเอาไม่อยู่เพราะเช้านี้หน้าผากของเธอเหมือนมีลูกมะนาวขนาดย่อมๆติดอยู่โชคดีที่วันนี้ไม่ต้องไปทำงานเพราะงานในส่วนของเธอเสร็จเรียบร้อยแล้วเหลือแค่เข้าไปดูแบบอีกทีตอนที่วุฒิชัยประมาณราคาและคำนวณโครงสร้างเสร็จคาดว่าคงจะอีกหลายวันพลับพลึงเดินเซๆออกมานอกระเบียงแม้จะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วแต่อาการมึนๆหัวก็ยังไม่หายไปเธอมองซ้ายมองขวาแล้วสะดุดเข้ากับร่างชายหนุ่มซึ่งนั่งดื่มกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ระเบียงจึงคิดจะเลี่ยงไปเดินที่อื่นแต่เหมือนเขามีตาทิพย์รู้เสียด้วยว่าเธอเดินอยู่ใกล้ๆทั้งๆ ที่ไม่ได้เอี้ยวหน้ามามอง

“มานั่งก่อนสิ”เขาเอ่ยชวนแกมออกคำสั่งพลับพลึงเดินเข้าไปนั่งลงที่เก้าอี้ตัวว่างอย่างขัดไม่ได้“กาแฟหน่อยมั้ย เป็นไงบ้างโอ๊ะ ดูเหมือนจะปูดมากกว่าเมื่อคืนอีกนะ”

ธนดลมีท่าทางห่วงใยหากแต่พลับพลึงก็จับสายตาและน้ำเสียงนั้นได้ว่าเขากำลังขบขัน

“ก็เพราะคุณนั่นแหละ”เธอต่อว่าแล้วค้อนขวับ

“วันนี้ตื่นสายไม่ไปทำงานหรือไง”

“ไม่ค่ะวันนี้ฉันหยุด”

โชคดีที่เป็นวันหยุดไม่อย่างนั้นไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนที่แบกหัวปูดๆเป็นลูกมะนาวไปทำงานด้วย

“เดี๋ยวทายาอีกทีแล้วกัน”

ธนดลตั้งท่าจะเรียกแม่บ้านแต่พลับพลึงห้ามไว้

“ไม่เป็นไรค่ะขอบคุณ ยาหม่องเมื่อคืนยังมีอยู่”

“งั้นหรือ”ธนดลเบิ่งตาแล้วยกกาแฟขึ้นจิบ“คุณหยุดก็ดีตั้งแต่มาที่นี่เรายังไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันเท่าไหร่ส่วนมากจะทะเลาะกันเรื่องแย่งผ้าห่มเสียมากกว่า”

พลับพลึงเม้มปากแอบถลึงตามองก็เพราะเรื่องแย่งผ้าห่มนะสิเธอถึงได้มะนาวมาแปะหน้าผาก

“คุณน่าจะดีใจนะคะขืนอยู่ร่วมบ้านกันทั้งวันเดี๋ยวก็เกิดเรื่องอีกจนได้คุณจำไม่ได้หรือคะว่าวันแรกที่เราอยู่ร่วมบ้านเกิดอะไรขึ้น”

ครัวเกือบโดนไฟไหม้!

น้อยยกกาแฟเข้ามาวางพร้อมกับขนมปังสองแผ่นยังไม่ทันได้ถอยออกไปจากโต๊ะนายส่วยสามีก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามากระซิบกระซาบกับน้อยท่าทางร้อนใจจนธนดลต้องเอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้นสีหน้าของน้อยไม่สู้ดีเลยเงยหน้าขึ้นบอกกล่าวกับเจ้านาย

“แม่ไม่สบายมากค่ะคนที่หมู่บ้านมาบอกคุณดลจะว่าอะไรมั้ยคะถ้าน้อยจะขอกลับไปดูแม่ซักวันสองวัน”

“ไปเถอะเอารถที่บ้านไปก็ได้”

ธนดลเอื้อเฟื้อสร้างความซาบซึ้งแก่สองผัวเมียเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่ขอรบกวนดีกว่าเพราะถึงอย่างไรก็เอารถขึ้นไปไม่ถึงหมู่บ้านอยู่ดีด้วยเส้นทางขึ้นเขานั้นค่อนข้างชัน

“ผมไปมอเตอร์ไซค์ดีกว่าครับ”นายส่วยบอกปฏิเสธ

“ตามใจแล้วกัน”

ธนดลลุกจากเก้าอี้เดินหายเข้าไปในบ้านก่อนออกมาพร้อมเงินจำนวนเล็กน้อยยื่นส่งให้น้อยน้อยเงยหน้ามองอย่างซึ้งใจแต่ก็ลังเลที่จะรับจนธนดลพยักหน้าให้รับไว้น้อยถึงยกมือไหว้แล้วรับมาอย่างขอบคุณ

“รีบไปเถอะเอายาไปด้วยล่ะ เผื่อจะใช้ประโยชน์ได้บ้าง”ธนดลบอก

ที่บ้านหลังนี้เขาให้เตรียมหยูกยาไว้ทุกชนิดเผื่อฉุกเฉินจะได้หยิบใช้ได้น้อยรับคำแล้วไปหยิบยาที่อยู่ในตู้จำนวนหนึ่งนำขึ้นดอยไปด้วยพลับพลึงมองชายหนุ่มแล้วยิ้มในความมีน้ำใจ

“มองอะไรหน้าผมมีอะไรติดอยู่หรือไง”

ธนดลเอ่ยถามเมื่อรู้สึกว่าดวงตาคู่กลมเล็กของสาวหัวปูดนั้นจ้องมองเขาอยู่

“เปล่าแค่รู้สึกว่าคุณนี่ก็มีน้ำใจเหมือนกันนะให้เงินน้อยไปตั้งหลายพันแหน่ะ”

“ไม่เห็นแปลกก็เขาเป็นคนของผมเมื่อเดือดร้อนก็ต้องช่วยเหลือว่าแต่คุณเถอะ เย็นนี้จะทำอะไรให้ผมทาน”

พลับพลึงเบิกตากว้างเอาแล้วไงดูท่าคงไม่พ้นอาหารญี่ปุ่นที่บรรจุอยู่ในซองพลาสติกเป็นแน่แท้แต่แค่คิดก็ถูกดักคอเสียแล้ว

“ขอบอกไว้ก่อนนะว่าผมไม่สันทัดอาหารซอง”

ถึงกับทำให้แม่สาวผมสั้นหน้างอง้ำเลยทีเดียวเพราะนอกจากอาหารซองอย่างบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้วเธอก็ทำอะไรไม่เป็นเลยแม้แต่เจียวไข่ยังเค็มปี๋

“ถ้างั้นฉันขอตัวไปคิดเมนูอาหารก่อนนะคะ”

พลับพลึงถือโอกาสหลบเลี่ยงออกมาจากโต๊ะอาหารเช้าเสียเพราะไม่อยากถูกแขวะจนเกิดแผลเหวอะหวะไปมากกว่านี้

ธนดลอมยิ้มกับท่าทางขัดเขินของสาวผมสั้นรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูกที่ได้ต่อปากต่อคำหรือพูดจาอะไรซักอย่างให้เธอหน้าแดงเล่น


จนเวลาเย็นย่ำพลับพลึงถึงออกมาจากห้องหลังจากที่ผล็อยหลับไปตั้งแต่เที่ยงวันหยุดโดยส่วนมากเธอมักให้เวลากับการนอนโชคดีที่ธนดลไม่เข้ามาร่วมแชร์ห้องนอนในตอนกลางวันนับว่าเขาเป็นผู้ชายที่ใช้ได้คนหนึ่งเมื่อเห็นเธอเข้ามาจับจองห้องนอนก็ใช้เวลาทั้งวันอยู่นอกชานพลับพลึงบิดขี้เกียจไปมาจนเส้นเอ็นเริ่มยืดจนพอใจจึงลุกจะออกไปข้างนอกมองนาฬิกาที่หัวเตียงบอกเวลาบ่ายสามโมงอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงเวลาอาหารเย็นจึงคิดจะออกไปชวนชายหนุ่มออกไปหาไรกินนอกบ้านดีกว่าเพราะถ้าให้เธอทำล่ะก็นอกจากจะทานไม่ได้แล้วอาจจะถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลเพราะอาหารเป็นพิษแต่เมื่อก้าวออกจากห้องได้ไม่กี่ก้าวพลับพลึงก็ต้องหลบมุมเมื่อสามีจำเป็นนั้นมีแขกสีหน้าของแขกที่มานั้นเคร่งเครียดจนน่าสงสัย

“ได้เรื่องแล้วครับ”

ทนายวัยลายครามกระซิบกระซาบ

ธนดลปั้นหน้าเคร่งยืดตัวตรงเพื่อรอฟังคำรายงานซึ่งไม่ต่างจากหญิงสาวที่เดินมาเห็นเหตุการณ์เข้าพอดีก็เงี่ยหูฟังเช่นกันแต่น่าเสียดายที่เสียงรายงานของชายวัยกลางคนนั้นเบาลงเรื่อยๆจนสุดท้ายก็ต้องละความพยายามเดินเลี่ยงออกมาเสีย

“ผมต้องขอบคุณมากที่ช่วยเหลือ”ธนดลเอ่ย

“ไม่เป็นไรครับผมเต็มใจ”

ทนายประจำบริษัทตอบรับนอบน้อมแล้วเก็บเอกสารเตรียมตัวกลับ


พลับพลึงทิ้งไหล่ลู่ลงเมื่อปฏิบัติการแอบฟังไม่เป็นผลสำเร็จพยายามจับใจความสุดฤทธิ์แต่ก็เรียบเรียงถ้อยคำปะติดปะต่อไม่ได้เลย

“คิดอะไรอยู่”

คนเพิ่งส่งแขกเรียบร้อยเอ่ยถามหลังจากส่งแขกเรียบร้อยเขาก็ตั้งใจเข้ามาหาเธอเลยหัวคิ้วเล็กเรียวนั้นแทบจะชนกันเป็นแถวเดียวคลายออกเมื่อได้ยินเสียงห้าวทัก

“คุณเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่เอ่อ...ก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย”พลับพลึงชักน้ำเสียงขุ่นเมื่อไม่ได้ยินเสียงเคาะประตูแต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น

“เกี่ยวกับเรื่องที่ระเบียงหรือเปล่า”

พลับพลึงตั้งท่าจะเถียงแต่ก็ช้ากว่าอีกฝ่าย

“ผมเห็นนะว่าคุณแอบฟังก่อนจะหนีกลับห้อง”

พลอยทำให้หญิงสาวหน้าเสียและทำปากขมุบขมิบต่อว่าคนตาไว

“ฉันก็แค่เดินผ่านไปเท่านั้น”

“งั้นหรือ”

น้ำเสียงของธนดลเหมือนจะไม่เชื่อถือนักทำให้อีกฝ่ายค่อนข้างไม่พอใจที่เหมือนถูกจับพิรุธจึงโพล่งออกไปว่า

“ใช่ฉันสงสัย แล้วทำไมล่ะก็พวกคุณพูดถึงชื่อของลุงกิตติแล้วแบบนี้จะไม่ให้ฉันสนใจได้ยังไงและฉันก็เชื่อด้วยว่าจะต้องเกี่ยวข้องกับการแต่งงานของเราด้วยฉันถามจริงๆ เถอะคุณดล...”

พลับพลึงที่อึดอัดเต็มที่และในใจเต็มไปด้วยคำถามได้โอกาสจะระบายเธอจึงไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดลอย

“การแต่งงานของเรามันคุ้มค่ามากหรือไงฉันมองไม่เห็นความคุ้มค่าที่คุณจะหาประโยชน์จากฉันได้เลยหรือแม้แต่กับพิมพ์ก็เถอะ”

“ผมไม่จำเป็นต้องบอกคุณ”

“จำเป็นสิเพราะถ้ามันมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับฉันหรืออะไรที่คุณต้องการฉันรับรองเลยนะว่าจะไม่รีรอที่จะแลกมันกับอิสรภาพของฉัน”

ธนดลมองภรรยาจำเป็นตรงหน้ารู้สึกเจ็บจี๊ดๆขึ้นในใจนี่เขาเป็นผู้ชายที่ไม่น่าอยู่ใกล้ขนาดนั้นเชียว

“คุณแน่ใจหรือ”

“ฉันแน่ใจกรุณาบอกฉันมาเถอะว่าคุณต้องการอะไรจากลุงของฉันกันแน่”

“เอาไว้ให้ผมแน่ใจอะไรอีกนิดก่อนรับรองว่าผมบอกคุณแน่”

ธนดลตัดบทโดยการเดินออกจากห้องนอนไปเรื่องนี้สมควรตรวจสอบให้ละเอียดถี่ถ้วนเพราะจะผิดพลาดไม่ได้แต่ก่อนจะพ้นประตูธนดลก็หันกลับมา

“แล้วเย็นนี้คุณคิดเมนูได้หรือยัง”


คนถูกออกคำสั่งให้ทำอาหารหันซ้ายแลขวาเมื่อเนรเทศตัวเองจากห้องนอนเข้ามาเป็นแจ๋วในครัวจะทำอะไรดีล่ะ ไข่เจียวยังไหม้เลยให้ตายเถอะนี่ธนดลกล้าฝากท้องไว้กับแม่ครัวฝีมือห่วยอย่างเธอได้อย่างไรพลับพลึงเดินไปเปิดหม้อหุงข้าวแล้วพ่นลมหายใจออกแรงๆโชคดีจังที่น้อยหุงข้าวไว้ให้แล้วแต่พอเปิดตู้กับข้าวก็ต้องผิดหวังก็แหม...หุงข้าวทั้งทีก็น่าจะทำกับข้าวไว้ให้ด้วยเลยแต่คิดว่าน้อยคงกำลังจะทำล่ะเห็นผักกองอยู่บนโต๊ะกองใหญ่หลายชนิดคงจะรีบมากจนไม่มีกะจิตกะใจจะทำกับข้าวต่อพลับพลึงเปิดตู้บนชั้นสองของตู้กับข้าวค้นดูของแห้งที่คาดว่าน่าจะทำอะไรได้ง่ายๆแต่ก็ไม่เจออะไรที่คนไม่มีหัวทางการทำกับข้าวจะนำมาปรุงอาหารได้เธอปล่อยไหล่ลู่ลงอย่างปลงๆในชะตากรรมที่ไม่เอาไหนคนเกือบจะหมดหวังเปิดตู้เย็นอีกครั้งก้มลงมองหาของกินแล้วยิ้มกว้างเมื่อเห็นไส้อั่วขดใหญ่อยู่ในกล่องพลาสติกปิดมิดชิด

“นี่ถ้าได้น้ำพริกหนุ่มกับผักเป็นเครื่องเคียงก็สุดยอด”

คนรอดตัวกับการที่ต้องทำกับข้าวพึมพำแล้วเริ่มค้นตู้เย็นแล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อมันไม่มีในสิ่งที่เธอต้องการจึงกลับไปค้นที่ตู้กับข้าวอีกครั้ง

“นี่ไง”

พลับพลึงอุทานด้วยความดีใจกับน้ำพริกหนุ่มกระปุกปานกลางซึ่งน้ำพริกถูกตักออกจากกระปุกไปเกือบครึ่งกระปุกแล้ว

และอาหารสำหรับวันนี้ก็คือไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่มพร้อมผักที่น้อยวางไว้เต็มโต๊ะที่โชคดีไปกว่านั้นก็คือแม่บ้านจำเป็นใช้ไมโครเวฟเป็น...

ไม่นานอาหารก็ถูกลำเลียงขึ้นโต๊ะท่ามกลางความประหลาดใจของธนดลเขามองอาหารที่ถูกลำเลียงขึ้นโต๊ะด้วยสายตามีคำถาม

“อย่ามองแบบนั้นสิคุณมีให้กินก็ดีถมไปแล้วน่าที่สำคัญคุณไม่ต้องซ่อมครัวใหม่ไม่ดีหรืออ้อ แถมเรื่องรสชาติไม่ต้องห่วงอร่อยเหาะแน่นอน”

พลับพลึงจีบมือเข้าจุ๊ปากแล้วฉีกยิ้มหวานหยดส่งท้ายคล้ายเป็นโลโก้ของอาหารบนโต๊ะราวกับเป็นท่าของเชฟมือทอง

“กับข้าวแค่นี้เองหรือ”

ธนดลเอนหลังพิงพนักเก้าอี้เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะไม่อยากเชื่อเลยว่าคนมีฐานะอย่างเขาจะต้องมานั่งกินอาหารเพียงอย่างเดียวในมื้อเย็น

“เอาน่าคุณทนๆ เอาหน่อย น้อยกลับมาคุณก็ได้ทานอะไรเยอะๆเหมือนเดิม อย่าเรื่องมากน่าหรืออยากได้อีกอย่างไข่เจียวเป็นไง”

ธนดลทำท่าขยาดวีรกรรมเมื่อครั้งพลับพลึงทำไข่เจียวครั้งแรกแวบเข้ามาในหัวพร้อมกับส่ายหน้ารัวเร็ว

“เห็นมะคุณก็เข้าใจอะไรดีแล้วนี่เพราะฉะนั้นทานเถอะแค่ไส้อั่วกับน้ำพริกหนุ่มนี่ก็หรูแล้วอ้อ ฉันยังแถมผักลวกผักสดให้อีกจานด้วยนะรับรองสารอาหารครบถ้วนแล้วไม่ต้องกลัวว่าผักจะไม่สะอาดถึงแม้ว่าฉันจะทำกับข้าวไม่เป็นแต่แค่ล้างผัก ลวกผักฉันก็พอทำได้”

“ทานเถอะผมหิวจะแย่แล้ว”

พลับพลึงไม่ตอบโต้ว่าอะไรอีกทั้งสองลงมือทานเริ่มจากพลับพลึงที่ตักน้ำพริกหนุ่มเต็มช้อนกลางแต่ไม่ได้ตักให้ตัวเองเธอยื่นไปวางที่จานของธนดลพร้อมพยักหน้าให้รับน้ำใจ

“ไม่เผ็ดหรอกอย่าบอกนะคะว่าทานไม่ได้”

เมื่อโดนท้าทายอย่างนั้นคนที่ไม่ใคร่จะสันทัดเรื่องน้ำพริกก็ตั้งคอแข็ง

“ใครว่าล่ะนี่น่ะของโปรดผมเลยถ้าผมมาที่นี่น้อยจะต้องเตรียมไว้ให้ผมทุกครั้ง”

หน้าตาพลับพลึงค่อนข้างจะไม่เชื่อมากหากแต่ขัดจากสิ่งที่นึกคิดเธอเลิกคิ้วเบ้ปากเขาคงจะชอบมากสินะถึงไม่มีน้ำพริกหนุ่มบนโต๊ะอาหารเลยซักมื้อว่าแล้วก็อยากหัวเราะดังๆแต่ก็พยายามเก็บอาการด้วยไม่อยากเสียมารยาท

“ถ้างั้นก็ทานเยอะๆนะคะ อ้อแล้วถ้าพรุ่งนี้คุณเบื่อไส้อั่วคุณก็ควรจะเข้าไปในเมือง”

เธอเอ่ยแซวกลายๆเมื่อนึกถึงไส้อั่วในตู้เย็นที่เหลืออยู่อีกหลายท่อนแล้วลงมือทานบ้างพลับพลึงตักไส้อั่วพร้อมกับน้ำพริกหนุ่มคลุกข้าวตามด้วยผักลวกคำใหญ่เข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆอย่างเอร็ดอร่อยต่างจากคนที่บอกว่าชอบน้ำพริกหนุ่มเป็นชีวิตจิตใจที่เขี่ยข้าวในจานอยู่นานกว่าจะยอมตักเข้าปากพลับพลึงแอบเหลือบตามองเห็นเขาเบ้หน้าด้วยโธ่...คุณหนูจริงๆเลย ยอมรับว่าไม่ชอบกินเผ็ดแต่แรกเธอก็ไม่ตักให้เขาหรอกแต่จะทำอย่างไรได้ล่ะในเมื่อไม่มีอย่างอื่นให้เขาทานแล้วนี่พลับพลึงก้มหน้าก้มตาทานข้าวโดยไม่สนใจอาการผิดปกติของธนดลส่วนหนึ่งเพราะไม่ต้องการให้เขารู้สึกว่าถูกจ้องมองหรือกำลังถูกจับผิดเพียงแค่ต้องต่อสู้กับน้ำพริกหนุ่มเขาก็แย่มากแล้ว

“รอดตายไปอีกมื้อ”

พลับพลึงอมยิ้มกับคำปรารภของธนดลธนดลลุกจากเก้าอี้เดินกลับห้องแน่นอนว่าหน้าที่ต่อจากนี้ก็ควรเป็นหน้าที่ของภรรยาซึ่งพลับพลึงก็ไม่ได้เกี่ยงงอนอะไรระหว่างที่เธอทำความสะอาดโต๊ะอาหารก็ปล่อยให้ธนดลใช้ห้องนอนห้องน้ำไปกว่าเธอจะเสร็จงานในครัวเขาก็คงอาบน้ำแต่งตัวเสร็จพอดี

พลับพลึงเช็ดมือเมื่องานในครัวเสร็จเรียบร้อยแต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อเดินออกมานอกห้องครัวแล้วกลับไม่พบธนดลที่น่าจะยืนหรือนั่งเล่นอยู่ในห้องรับแขกทุกครั้งถ้าเขาเสร็จกิจเขาจะต้องออกมาข้างนอกนี่นาพลับพลึงยกมือขึ้นลูบต้นแขนเมื่ออากาศเยือกเย็นนั้นแตะผิวเนื้อชั่งใจอยู่พอสมควมกว่าจะเดินไปเคาะประตูห้อง

“คุณ”

พลับพลึงเรียกอยู่หลายครั้งกว่าธนดลจะมาเปิดประตู้ห้องดูเหมือนว่าอาการของเขาไม่ค่อยสู้ดีใบหน้าค่อนข้างซีดเดินตัวงอๆเซๆ เหมือนคนหมดแรง

“คุณจะใช้ห้องเหรอ”เสียงถามกลับเหมือนเสียงครางมากกว่า

“ค่ะ”

“ถ้างั้นผมจะออกไปข้างนอก”

ท้องฟ้ามืดมิดเมื่อไร้แสงไฟจากหัวเตียงแต่เสียงกุกกักปลุกคนที่หลับไหลขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มให้ลุกตื่นพลับพลึงมองที่นอนข้างๆยังคงว่างเปล่าแสดงว่าคืนนี้เขาคงไม่เข้ามานอนแน่แล้วพลับพลึงหันมองตามเสียงที่ได้ยินเสียงดังมาจากห้องน้ำเสียงกดชักโครกดังเป็นระยะๆและค่อนข้างถี่ขึ้นทุกทีพลอยทำให้ไม่สามารถข่มตาหลับจึงลุกเดินไปเคาะประตูเพราะได้ยินเสียงเปิดปิดประตูห้องน้ำไม่ต่ำกว่าห้าครั้งภายในระยะเวลาไม่ถึงสิบนาที

“คุณดล”

ไร้ซึ่งเสียงตอบรับจากข้างในพลับพลึงจึงเคาะประตูถี่ขึ้นจนมีเสียงตอบรับอืออาเหมือนเสียงครางประตูห้องน้ำเปิดออกพร้อมกับร่างหนาที่โงนเงนแล้วล้มเข้าหาร่างบางเธอรีบคว้าตัวไว้ด้วยความตกใจ

“คุณดล

พลับพลึงรีบพาร่างอ่อนแรงนั้นไปนั่งที่ขอบเตียงสีหน้าของเขาซีดเชียวจนน่าตกใจก่อนจะเอ่ยถามเสียงตื่น

“คุณเป็นอะไรคะ

“ผมท้องเสีย”

ท้องเสีย!ตายแล้ว...ท้องเสีย!

พลับพลึงเบิ่งตาตื่นพลันนึกถึงน้ำพริกหนุ่มขึ้นมา

“นี่คุณเข้าห้องน้ำไปกี่รอบแล้วเนี่ย”

“ไม่รู้ผมจำไม่ได้ รู้แต่ว่าผมเหนื่อยจัง”

“ถ้าอย่างนั้นนอนก่อนนะเดี่ยวฉันจะไปหายามาให้”

ธนดลพยักหน้ารับช้าๆแล้วเอนตัวลงนอนอย่างเหนื่อยอ่อนหวังว่าข้าศึกจะไม่โจมตีให้เขาต้องลากสังขารเข้าห้องน้ำอีกรอบไม่นานพลับพลึงก็กลับมาพร้อมยาฆ่าเชื้อจากตู้ยาด้านนอกโชคดีที่ที่นี่มียาสามัญประจำบ้านอยู่มากนอกจากยาฆ่าเชื้อแล้วยังมีเกลือแร่อยู่หลายห่อจึงผสมน้ำใส่แก้วรีบนำเข้ามาให้ชายหนุ่มดื่ม

“ทานยาก่อนนะจะได้หยุดถ่ายอ้อ...แล้วนี่ก็เกลือแร่ดื่มหน่อยนะคะ”

ธนดลซึ่งนอนขมวดคิ้วด้วยเหตุจากยังรู้สึกเพลียอยู่มากและยังเกิดอาการมวนท้องอยู่เรื่อยๆปรือตาขึ้นมองเขาผงกหัวขึ้นแต่ก็ต้องทิ้งน้ำหนักลงที่เดิมเมื่อไม่มีเรี่ยวแรงแม้จะหยัดตัวลุกขึ้นนั่งพลับพลึงรีบวางแก้วเกลือแร่ลงแล้วช่วยพยุงตัวพาลุกโดยให้พิงหลังกับหัวเตียงแล้วเอี้ยวตัวไปหยิบยาฆ่าเชื้อพร้อมน้ำสะอาดมาป้อนตามด้วยน้ำเกลือแร่อีกหนึ่งแก้ว

“คงเพราะคุณทานน้ำพริกหนุ่มแน่ๆคุณนี่นะทานไม่ได้ก็น่าจะบอก”

พลับพลึงบ่นให้เมื่อเตือนความทรงจำก็เห็นได้ชัดว่าตอนทานข้าวเมื่อตอนเย็นนั้นชายหนุ่มกับน้ำพริกดูจะไม่ถูกคอกันซักเท่าไหร่ทุกครั้งที่เขาตักเข้าปากจะเกิดอาการแหยงๆและกระอักกระอ่วนผิดจากเธอที่ค่อนข้างชอบสำหรับคนอยู่ง่ายกินง่ายอย่างเธอนั้นแค่น้ำพริกหนุ่มถือว่ารสชาติอนุบาลมากแต่สำหรับหนุ่มไฮโซอย่างสามีจำเป็นคงไม่ใช่เรื่องปกตินักสถาปนิกสาวถอนหายใจเมื่อคนที่กินยาเรียบร้อยแล้วไม่ตอบโต้แถมยังพยายามข่มตาหลับเธอจึงเอื้อมมือไปจะปิดไฟที่หัวเตียงแต่ยังไม่ทันได้เอื้อมมือถึงสวิทไฟชายหนุ่มก็เด้งตัวลุกขึ้นด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว

“คุณดล!เป็นอะไร”

พลับพลึงเบิกตาที่จู่ๆเขาก็ลุกพรวดทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ยังไร้เรี่ยวแรงอยู่เลย

“คุณปวดท้องอีกแล้วหรือ”พลับพลึงเดา

และไม่รอให้อีกฝ่ายได้ตอบรับเธอจะรีบช่วยพยุงตัวเขาไปที่ห้องน้ำนอกจากจะเป็นห่วงสวัสดิภาพของเขาแล้วยังกลัวว่าอะไรที่ไม่สมควรจะเรี่ยราดก่อนถึงห้องน้ำด้วยนะสิ

สาวผมสั้นยืนรออยู่หน้าห้องน้ำด้วยความกังวลไม่กล้าแม้จะผละตัวไปนั่งรอที่ขอบเตียงกลัวว่าคนข้างในห้องน้ำจะเกิดอันตรายเมื่อประตูห้องน้ำเปิดออกก็รีบเข้าไปช่วยพยุงพาเขามานั่งที่เตียงปากก็พึมพำถึงฤทธิ์ยาที่ทำไมยังไม่ออกฤทธิ์ยับยั้งอาการซะที

“เป็นไงบ้างคุณยังปวดท้องอยู่อีกหรือเปล่า”

“ดีขึ้นแต่เพลียจัง” เขาตอบเสียงเหนื่อยอ่อน

พลับพลึงจึงให้เขานอนพักผ่อนเสียรอจนธนดลหลับสนิทจึงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมให้ส่วนตัวเองก็ย้ายไปนั่งที่เก้าอี้หวายตัวยาวติดริมหน้าต่างโดยหยิบเสื้อกันหนาวมาสวมทับชุดนอนปิดไฟเรียบร้อยแล้วเอนหลังกับพนักเก้าอี้เพราะไม่อยากแย่งเตียงคนป่วยไม่นานก็ผล็อยหลับไปไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าไหร่รู้สึกตัวอีกทีก็รู้สึกชาที่ไหล่อาจเพราะนอนท่าเดียวเป็นเวลานานแต่สิ่งหนึ่งที่แปลกไปเห็นจะเป็นความอบอุ่นที่เพิ่มมากขึ้นจากเมื่อคืนบนตัวมีบางสิ่งเพิ่มขึ้นมาผ้าห่มจากคนป่วยนี่เองพลับพลึงกระพริบตาเพื่อปรับสายตาจนรู้สึกตื่นเต็มตาถึงหันไปมองที่เตียง

คนป่วยหายไปไหนแล้ว

เธอลุกจากเก้าอี้หวายหันมองตามเสียงเปิดประตูห้องน้ำ

“คุณยังไม่หายท้องเสียอีกหรือคะ”

“หายแล้วหยุดท้องเสียไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วล่ะผมจะอาบน้ำน่ะแต่ยังไม่ทันได้อาบเลย”ชายหนุ่มบอก

“อ้าวทำไมล่ะคะ”

ธนดลทำหน้าเซ็งแล้วถอนหายใจก่อนตอบ

“น้ำไม่ไหลนะสิ”

“อ้าว...แล้วกันแล้วทีนี้เราจะทำยังไงกันดีล่ะไม่เหลือซักนิดเลยหรือคะ”

“ใช่แม้แต่จะล้างหน้าแปรงฟันยังไม่พอเลย”

พลับพลึงเริ่มเซ็งตามเธอทิ้งไหล่ลู่ลงไม่อยากคิดว่าเป็นความผิดของชายหนุ่มเสียทีเดียวหรอกว่าเป็นเพราะเขาเข้าห้องน้ำบ่อยจนทำให้น้ำหมดถัง

“ปั๊มน้ำก็เสียผมลงไปดูแล้วเมื่อกี้”

“แล้วจะทำไงดีล่ะ”พลับพลึงพึมพำ ครุ่นคิดหาทางออกเธอเผลอสบตาสามีแล้วเลิกคิ้วเมื่อเขามองเธอแปลกๆ

“ไม่...ไม่มีทาง”พลับพลึงชักสีหน้าปฏิเสธเมื่อรู้ความหมายในดวงตาคู่คม“ฉันไม่ใช่โสรยานะจะได้เชิญคุณลงทัณฑ์บัญชาให้ไปตักน้ำขึ้นมาบนนี้”พลับพลึงโวยวายลั่นจนธนดลถอนหายใจส่ายหน้าแล้วบอกในสิ่งที่เขาคิด

“ผมไม่ได้จะให้คุณทำอย่างนั้นซักหน่อย”

“อ้าว...ก็ถ้าไม่ไปตักน้ำแล้วจะมีน้ำอาบได้ไงล่ะ”

“ก็ผมกำลังจะบอกคุณอยู่นี่ไงล่ะว่าเราคงต้องลงไปอาบน้ำที่ลำธารแล้วล่ะ”

พลับพลึงอ้าปากค้างกลอกตาไปมาเออนะ ทำไมเธอถึงนึกไม่ถึงข้อนี้นะแล้วทำหน้าเก้อๆ

“อืม...ก็ไม่เลว”

อย่างน้อยก็ดีกว่าจับไม้สั้นไม้ยาวให้ไปหิ้วน้ำขึ้นมาไว้ใช้ล่ะแต่ก็ยังคงเกิดปัญหาเล็กๆน้อยๆ กับพลับพลึงอยู่ดีแน่ล่ะ อากาศข้างนอกนั่นหนาวอย่าบอกใครน้ำในลำธารก็เย็นราวกับน้ำในตู้เย็นจริงๆ แล้วนายส่วยกับน้อยไม่อยู่ไม่กี่วันเองไม่แน่ว่าพรุ่งนี้ก็อาจจะกลับพลับพลึงจึงเสนอขึ้น

“จริงๆเราไม่อาบก็ได้นะคุณแค่วันเดียวเองไม่เป็นไรหรอกมั้ง”

“ซกมก”ธนดลว่าแล้วทำหน้าแหยงและนั่นก็มากพอที่จะทำให้พลับพลึงเกิดความอับอายจึงรีบแก้

“ฉันแค่ล้อเล่นใครจะทำอย่างนั้นจริงๆฉันน่ะไม่มีปัญหาหรอกว่าแต่คุณเถอะ จะอาบน้ำในลำธารได้เหรอ”

ไฮโซซะขนาดนั้นคิดภาพไม่ออกเลยว่าจะอาบน้ำในกลางแจ้งแบบนั้นได้

“อยากรู้ก็ไปพร้อมกันสิไปคนเดียวมันอันตรายที่นี่เป็นที่ส่วนบุคคลก็จริงแต่ลำธารน่ะเป็นเส้นเขตแดนกับที่ดินของคนอื่นผมเกรงว่าจะไม่ปลอดภัยหรือคุณจะดื่มกาแฟก่อนดูท่าทางยังง่วงอยู่เลยนี่”

พลับพลึงพยักหน้าก็ไม่เลวเพราะปกติเธอก็ดื่มกาแฟก่อนแปรงฟันประจำอยู่แล้วแต่วันนี้คงจะต้องสงบปากสงบคำหน่อยล่ะเพราะกลัวกลิ่นปากจะทำงานมากเกินไป

“คุณปิ้งขนมปังได้นะ”

พลับพลึงพยักหน้า

“อ้อส่วนกาแฟของผม กาแฟดำน้ำตาลก้อนเดียว”

คราวนี้คนถูกสั่งตาขวางได้ทีใช้เธอใหญ่เลยนะพ่อคู้ณแต่เอาเถอะ แค่เล็กๆ น้อยๆคิดเสียว่าบริการคนป่วยท้องร่วงก็แล้วกัน

ระหว่างที่รอน้ำในกระติกไฟฟ้าเดือดพลับพลึงก็ทำการปิ้งขนมปังนับว่าเครื่องปิ้งขนมปังมีมาตรฐานสมกับยี่ห้อที่ติดอยู่หน้าเครื่องเพราะกรอบเหลืองอ๋อยกำลังดีน่ารับประทานเชียวแต่ถ้าเช้านี้เปลี่ยนจากขนมปังทาแยมเป็นปาท่องโก๋ตัวใหญ่ๆคงจะดีกว่าคนที่ใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัดเสียส่วนมากอย่างเธอคุ้นเคยกับปาท่องโก๋มากกว่าขนมปังปิ้งพลับพลึงยกจานขนมปังซึ่งจัดใส่จานจานละสองแผ่นออกไปก่อนแล้วกลับมาชงกาแฟซึ่งน้ำเดือดพอดีกลิ่นของกาแฟโชยออกไปจนถึงนอกชานบ้านก่อนแก้วกาแฟจะเดินทางไปถึงนิดหน่อยพลับพลึงเสิร์ฟกาแฟให้กับคนป่วยที่คิดว่าน่าจะหายเป็นปกติบ้างแล้วจึงเดินอ้อมไปนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“คุณก็ดื่มกาแฟดำเหมือนกันหรือ”ธนดลเอ่ยถามเมื่อเห็นสีของกาแฟในแก้วของหญิงสาว

“ค่ะแต่ของฉันหวานกว่าคุณนิดนึงเพราะน้ำตาลสองก้อน”

การได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันหลายวันทำให้เกิดความคุ้นเคยโดยไม่รู้ตัวความเคอะเขินในบางเรื่องหายไปความไม่พอใจที่มีมากพอสมควรที่ติดตัวมาจากกรุงเทพฯเองก็ค่อยๆ หายไปโดยไม่รู้ตัวเช่นกันดูเหมือนว่าทั้งคู่จะเริ่มคุ้นชินกับการอยู่ร่วมกันมากขึ้นจนทำให้หญิงสาวกล้าปล่อยคำถามที่ค่อนข้างจะเป็นเรื่องส่วนตัวของชายหนุ่มออกไป

“ฉันถามจริงๆเถอะคุณไม่นึกเสียดายเงินยี่สิบห้าล้านที่ต้องจ่ายแทนลุงกับป้าฉันบ้างหรือไง”

“เสียดาย”

พลับพลึงชะงักมือที่กำลังยกแก้วกาแฟขึ้นกำลังจะจรดริมฝีปากเธอเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อยอีกฝ่ายก็ตอบตรงไปตรงมาจนตั้งรับคำตอบไม่ทัน

“แต่มันก็เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า”

“หมายความว่าไงคะ”พลับพลึงอยากรู้เต็มที่

แน่นอนพ่อค้าอย่างเขาหากไม่มีผลกำไรคงไม่คิดจะลงทุนยิ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลด้วยแล้วแต่แทนที่จะได้รับคำตอบกลับได้รับความเงียบกลับมาแทนเธอพยายามส่งสายตาอ้อนวอนให้เขาบอกกล่าวแต่ธนดลก็นิ่งเฉยราวกับรูปปั้นหิน

“ว่าไงคะ”พลับพลึงคะยั้นคะยอ

“คุณนี่ช่างซักจริง”

ธนดลซึ่งพลาดไปแล้วต่อว่านิดๆยกกาแฟขึ้นจิบเพื่อกลบเกลื่อนความผิดพลาดหากหญิงสาวรู้เรื่องนี้งานของเขาอาจจะพังพินาศสิ่งที่คาดหวังก็จะล้มครืนยาวเป็นโดมิโน่

“ว่าแต่คุณเถอะมาแต่งงานกับผมแบบนี้แฟนคุณทำใจได้หรือ”

พลับพลึงยกเข่าขึ้นกอดแนบปลายคางลงกับหัวเข่า

“ชัยไม่ใช่แฟนฉันคุณนี่พูดไม่รู้เรื่องฉันบอกคุณไปแล้วนี่ว่าชัยไม่ใช่แฟน”

และนั่นก็มากพอที่จะทำให้คนกำลังจิบกาแฟอารมณ์ดีขึ้น

“อีกอย่างชัยยังไม่รู้เรื่องที่ฉันแต่งงานกับคุณไม่ใช่แค่ชัยหรอกเพื่อนร่วมงานฉันทุกคนก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เพราะสาเหตุนี้แหละที่ฉันไม่อยากให้คุณไปที่ทำงานฉันฉันคิดว่าเมื่อถึงเวลาที่ฉันหย่ากับคุณทุกอย่างจะกลับสู่สภาวะปกติได้”พลับพลึงบอกกล่าวต่อดวงตาสลดลงปนปลงๆ

“คุณแน่ใจหรือว่าพวกเขายังไม่รู้”

คำถามนั้นของธนดลทำให้พลับพลึงเงยหน้าขึ้นเธอเองก็ไม่แน่ใจนักเพราะอย่างน้อยที่สุดสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนเดิมก็คือคำนำหน้าและสถานะของเธอที่ต่อไปนี้จะไม่ใช่ 'โสด'แต่เป็น'ร้าง'

“อย่าเข้าใจผิดนะที่ผมถามเพราะผมอยากให้คุณทำใจไว้บ้างไม่แน่ว่าผู้ชายของคุณอาจจะรับสถานะที่เปลี่ยนไปของคุณไม่ได้”

“ช่างเถอะนั่นมันเป็นเรื่องของอนาคต”คนพยายามปลงให้ได้ถอนหายใจยาว

“คุณไม่ค่อยแคร์ผู้ชายของคุณเลยนะ”

“บอกแล้วไงว่าชัยไม่ใช่ผู้ชายของฉันเราเป็นแค่เพื่อนกัน”พลับพลึงเริ่มโมโหที่ธนดลยั่วไม่เลิก“แต่ถ้าฉันจะแคร์ก็คงแคร์เพราะชัยเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดฉันไม่ควรปิดบังเพื่อน”

'เพื่อน'ควรจะร่วมแบ่งปันความทุกข์ความสุขแต่กับเรื่องนี้ยอมรับว่ามันพูดยากเกินไป

“แต่ดูเหมือนเพื่อนของคุณจะไม่คิดกับคุณแค่เพื่อนนะ”ธนดลตั้งข้อสังเกตซึ่งนั่นก็ทำให้เขาได้รับค้อนวงใหญ่จากหญิงสาวจึงหัวเราะหึหึ“เพราะอย่างนี้ใช่มั้ยคุณถึงไม่บอกเขา”

“คุณจะอยากรู้ไปทำไมคุณนี่น่าจะไปเป็นหมอดูหมอเดานะช่างสังเกตดีนัก”

“โชคดีที่คุณไม่ได้รักนายชัยอะไรนั่นเพราะไม่อย่างนั้นผมคงจะรู้สึกผิดมากกว่านี้”

พลับพลึงยิ้มขื่นต๊าย...เขารู้สึกผิดกับการแต่งงานครั้งนี้ด้วยหรือเขาน่าจะรู้สึกผิดตั้งแต่วันที่รู้ว่าต้องเปลี่ยนตัวเจ้าสาว

“แต่สำหรับเพื่อนของคุณหากรู้ความจริงเรื่องนี้คงยากที่จะทำใจเพราะหากเรารักใครซักคนอย่างแท้จริงเราจะโหยหาความรักจากเขาจะทุรนทุรายยามที่ต้องห่างไกลกันจะเจ็บปวดเมื่อถูกหักหลังหรือถูกมองด้วยสายตาห่างเหินจะแคร์ความคิดของเขามากยามที่เรามีเรื่องปิดบังคุณเองก็รู้เรื่องนี้ดีใช่มั้ยถึงไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับเพื่อนของคุณ”

พลับพลึงหน้าสลดใช่ ธนดลพูดเหมือนอ่านใจเธอได้เลยล่ะจนอดหมั่นไส้ไม่ได้

“วิเคราะห์คนอื่นได้เก่งเหลือเกินเก่งขนาดนี้ทำไมถึงต้องมานอนละเมอเพ้อพบหาใครอยู่ล่ะผู้หญิงที่คุณละเมอถึงบ่อยๆคงจะสำคัญกับคุณมากสินะเธอเป็นคนรักคุณหรือแล้วทำไมพวกคุณไม่แต่งงานกันล่ะหรือว่าเธอทิ้งคุณไปหว่า...เพอร์เฟคอย่างคุณยังโดนทิ้งหรือนี่ช่างน่าสงสาร...”

คนอ่านใจเก่งถึงกับนิ่งไปเมื่อถูกแขวะอย่างนั้นพลับพลึงถือโอกาสที่เขานิ่งไปนั้นจะลุกหนีไปเพราะเบื่อหัวข้อสนทนานี้แล้วแต่ก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงพึมพำเจือความเจ็บปวด

“คนเราวิเคราะห์คนอื่นได้แต่ไม่เก่งพอจะวิเคราะห์ตัวเองผมจะไปอาบน้ำแล้วคุณจะไปพร้อมกันมั้ย”ธนดลลุกขึ้นบ้าง

ความเจ็บปวดที่ปนออกมาทางน้ำเสียงทำให้พลับพลึงหันไปมอง

“ว่าไงจะไปพร้อมผมหรือเปล่า”เขาถามย้ำ

“ไปสิ ก็คุณบอกเองว่าไปคนเดียวมันอันตราย”

เมื่อเดินไปเรื่อยๆคนขี้สงสัยก็มีคำถามอีก

“คุณดลฉันถามจริงๆ เถอะ คุณอกหักหรือเปล่าถึงประชดชีวิตด้วยการแต่งงานแบบนี้”

“แล้วคุณคิดว่าไงล่ะ”

“นั่นๆไงตอบแบบนี้อกหักชัวร์”

“อย่ามาสนใจชีวิตผมเลยเพราะผมมีสติมากพอที่จะจัดการชีวิตตัวเองได้ว่าแต่คุณเถอะถ้าต้องการให้ผมช่วยเรื่องผู้ชายของคุณก็บอกผมแล้วกันผมสามารถช่วยคุณได้อย่างน้อยก็บอกเขาได้ว่าเราไม่เคยมีอะไรกันและคงไม่มีวันจะมีด้วย”

พลับพลึงออกอาการปี๊ดกับน้ำเสียงยียวนนั้นใช่ว่าเธออยากจะมีอะไรกับเขาแต่อาการมองด้วยหางตาแล้วยิ้มเยาะนั้นมันเหมือนดูถูกความเป็นผู้หญิงของเธอย่างร้ายกาจ

“ไม่ต้องหรอกก็อย่างที่ฉันบอกนั่นแหละเรื่องของฉัน ฉันจัดการเองได้”

ธนดลเองก็ไม่เซ้าซี้เขาเพียงเบ้ปากแล้วพยักหน้าทำนองว่า'อวดเก่ง'จะเรียกว่าอวดเก่งหรือยังไม่รู้ใจตัวเองดีล่ะเอาเถอะ จะเพราะอะไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาอยู่แล้วนี่




 

Create Date : 14 พฤศจิกายน 2557
0 comments
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2557 10:46:33 น.
Counter : 2134 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ใยไหมเจ้าค่ะ
Location :
เลย Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




โลกแห่งนิยายมีทุกอย่างให้นึกคิด เป็นอีกคนที่ชอบจินตนาการไปพร้อมๆ กับบทประพันธ์ ใยไหม...คือนามปากกาที่ได้มาจากสิ่งที่เห็น รังไหมสีเหลืองทองรูปร่างเรียวรีสะดุดตาเข้าเต็มเปา...
เจ้าขนปุย...คืออีกหนึ่งความรักที่มาจากใจ

 งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี (นี่ไม่ใช่คำเตือน แต่...ขอร้อง...)


Google
Friends' blogs
[Add ใยไหมเจ้าค่ะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.