Group Blog
 
<<
มกราคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
27 มกราคม 2557
 
All Blogs
 
พ่ายพรหมลิขิต ตอนที่ 9

9

ธนดลต้องการใช้เวลาที่บ้านพักตากอากาศนี้พักผ่อนและเตรียมงานที่ได้วางแผนไว้โดยเรื่องนี้จะต้องไม่รู้ถึงหูของภรรยาสำหรับสาวผมสั้นควรรู้แค่ว่าเธอแต่งงานกับเขาเพราะต้องชดใช้หนี้สินเท่านั้นก็เพียงพอแล้วเขาลุกจากโต๊ะอาหารริมระเบียงเดินเลียบๆเคียงๆไปตามระเบียงบ้านมองลงไปยังหน้าบ้านมองรถโฟร์วิววคันกลางเก่ากลางใหม่แล่นออกไปจากโรงรถรถคันนั้นไม่ใช่รถที่อนุญาตให้หญิงสาวใช้นี่เขาบอกให้เธอเอารถอีกคันซึ่งใหม่กว่าและทันสมัยกว่าไปใช้แต่หญิงสาวก็ยังขัดคำสั่งเลือกใช้รถคันเก่าที่เกือบจะตกรุ่นไปแล้วปกติเขาจะใช้คันนี้ขับขึ้นเขามากกว่าขับเข้าเมืองธนดลถอนหายใจยาวเมื่อรู้สึกขัดตากับภาพที่เห็นจนต้องดึงสายตากลับมามองที่ระเบียงและวิวของสวนส้มซึ่งอยู่ติดกับบ้านพักไปไม่ไกลนักภาพเก่าๆ ก็แล่นเข้ามาในโสตหญิงสาวงดงามผู้มีรอยยิ้มเปิดกว้างใบหน้าหยอกล้อยั่วเย้าเขาอยู่ตลอดเวลายืนอยู่ตรงนั้นมุมหนึ่งของระเบียงบ้านซึ่งเป็นมุมโปรดที่เขาและเธอมักจะออกมารับแสงแดดยามเช้าเมื่อยามขึ้นมาพักผ่อนที่นี่ด้วยกันระเบียงตรงนี้เคยเป็นสถานที่ดินเนอร์ใต้แสงจันทร์และนอนกอดก่ายกันที่เก้าอี้ผ้าใบตรงนี้ซึ่งเป็นส่วนที่ยื่นออกไปหาหน้าผาเพื่อดูดาวยามค่ำคืน

คิดผิดหรือเปล่าที่กลับมาที่นี่อีกครั้ง...

“คุณดลคะ”

หญิงชาวเขาชื่อน้อยเป็นแม่บ้านประจำของบ้านพักต่างอากาศของครอบครัวเอ่ยเรียกสามารถดึงสติที่ล่องลอยไปกับอดีตของธนดลหวนกลับคืนมาเขาเอี้ยวตัวมองนิดหนึ่ง

“มีอะไร”

“โทรศัพท์คุณดลดังค่ะ”

ธนดลมองไปที่โต๊ะอาหารซึ่งอยู่ไม่ไกลนี่เขาเหม่อลอยแม้แต่เสียงโทรศัพท์ก็ไม่ได้ยินเชียวหรือ

“อื้ม”เขาตอบรับในลำคอแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะอาหารหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูแล้วพ่นลมหายใจออกอย่างทำใจก่อนจะกดรับก็หันไปบอกกับแม่บ้าน“มีอะไรก็ไปทำเถอะวันนี้ฉันอยากพักผ่อนไม่ต้องขึ้นมาก็ได้”

“ค่ะ”

น้อยรับคำสั่งอย่างเงื่องหงอยเพราะเจ้านายรู้ทันหล่อนไม่อยากให้หล่อนได้ยินถ้อยคำสนทนาเสียมากกว่าน้อยรีบเก็บชามข้าวต้มและแก้วกาแฟแล้วก็เดินเลี่ยงออกไปจากตรงนั้นธนดลมองแม่บ้านแล้วส่ายหน้าแม่บ้านคนนี้ถ้าตัดเรื่องสอดรู้สอดเห็นออกไปได้ก็ถือว่าเป็นคนที่ขยันเอาการเอางานคนหนึ่ง

ธนดลกดรับสายหลังจากที่ปล่อยให้โทรศัพท์ดังอยู่นานป่านนี้ปลายสายคงร้อนใจและฮึดฮัดเต็มที่

“ครับแม่”

“ทำไมรับสายช้าจังทำอะไรอยู่” ลลนาเสียงเข้มดุนึกระแวงเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วยกลัวว่าลูกชายจะเข้าหอกับสาวผมสั้นลูกสะใภ้ฟ้าผ่าจนต้องรีบโทร.หาแต่เช้าหมายจะขัดขวางอะไรได้บ้างแต่ก็ยิ่งทำให้ร้อนใจมากขึ้นเมื่อลูกชายรับสายช้า

“ผมสั่งงานเด็กๆอยู่น่ะครับแม่แล้วแม่มีอะไรหรือเปล่าครับถึงได้โทร.หาผมแต่เช้า”

“อ้องั้นหรือ เปล่าหรอกแม่ก็แค่เป็นห่วง”

“แม่ไม่ต้องห่วงหรอกครับผมให้น้อยมาช่วยดูแลบ้านแล้วก็ให้นายส่วยมาทำสวนเหมือนทุกครั้ง”

“อย่างนั้นหรืออ้อ แล้วแม่...เอ่อ...แม่พลับพลึงอะไรนั่นล่ะ”ลลนากลั้นใจกับคำตอบที่ลูกชายกำลังจะตอบอย่างมาก

“เขาไปทำงานแล้วครับ”

“อะไรนะไปทำงาน” ลลนาทำเสียงตกใจหล่อนนึกว่าแม่สาวผมสั้นจะอยู่ยั่วยวนลูกชายเสียอีก

“อืมไม่อยู่ก็ดี ดลแม่ถามจริงๆเถอะ ลูกคิดจะอยู่กินกับแม่พลับพลึงนี่จริงๆหรือ”

“ทำไมหรือครับวันนั้นผมว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วนะครับแม่ก็รู้ว่าถ้าผมเลิกกับเธอตอนนี้ครอบครัวเราจะต้องเสียหน้าแค่ไหน”

“ใช่เรื่องนี้แม่ก็รู้ แม่ก็แค่เป็นห่วงกลัวว่าแม่นั่นจะจับลูกจริงๆสมบัติของเราอาจจะทำให้แม่นั่นไม่ยอมปล่อยลูก”

อะไรได้ล่ะธนดลยิ้มเยาะ ภรรยาออกจะร่ำๆอยากจะหย่าถ้าแม่ได้ยินเสียงเธอเมื่อเช้าคงจะไม่โทร.หาเขาเสียงเขียวอย่างนี้

“เรื่องนั้นแม่ไม่ต้องห่วงไปหรอกครับผมรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่”

“เฮ้อ...เห็นแววตาของแม่นั่นแล้วแม่ล่ะเหนื่อยใจ”

ลลนานึกถึงแววตาแข็งๆในดวงตาคู่สวยนั้นมีความซุกซนดื้อรั้นอยู่มากแถมยังต้องยอมรับว่ายิ่งดูนานๆก็ยิ่งมีเสน่ห์ยิ่งกว่าพิมพ์พรรณเสียอีกหากได้พิมพ์พรรณมาเป็นสะใภ้หล่อนยังไม่หนักใจเท่านี้

“แม่ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับเขาเองก็ไม่ได้สนใจใคร่ดีอะไรในตัวผมนักหรอกผมคิดว่าเมื่อถึงเวลานั้นทุกอย่างก็จะเรียบร้อย”

“งั้นหรืออืม ได้ยินแบบนี้แม่ก็เบาใจว่าแต่ลูกให้หล่อนพักที่ไหนล่ะ”

“ห้องผมครับ”

“ว่าไงนะคราวนี้ลลนาเสียงดังเสียจนธนดลต้องเลื่อนโทรศัพท์ออกห่างจากใบหูนี่เขาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า“ลูกจะบ้าหรือไงไฟกับน้ำมันมีหวังลามทุ่ง”

ธนดลชักสีหน้าแม้อีกฝ่ายจะไม่ได้อยู่ตรงหน้าก็เถอะเขาไม่ชอบใจเลยที่มารดาพูดเหมือนไม่รู้จักลูกชายตัวเอง

“ผมไม่ใช่คนมักง่ายนะครับอีกอย่างแม่บ้านที่นี่ก็ชอบสอดรู้สอดเห็นขืนแยกห้องกันนอนได้เอาเรื่องนี้ไปโพนทะนาคราวนี้อย่าว่าแต่นักข่าวจะรู้เรื่องเลยครับชาวบ้านแถวนี้ก็ไม่เว้น”

ข้อนี้ลลนาเห็นด้วยจึงคิดเสนอ

“ถ้าอย่างนั้นเลิกจ้างแม่น้อยซะสิ”

“ไม่ได้หรอกครับน้อยดูแลบ้านให้เรามาหลายปีอีกอย่างผมก็ไว้ใจน้อยมากกว่าจะเสี่ยงให้คนอื่นมาดูแล”

ถ้าทำแบบนั้นบิดาต้องต่อว่าเขาแน่ก็รู้กันอยู่ว่าครอบครัวของน้อยเคยให้ความช่วยเหลือตอนที่บิดาประสบอุบัติเหตุบนดอยหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากน้อยและสามีก็ไม่รู้ว่าวันนั้นบิดาจะรอดชีวิตหรือเปล่าและเพื่อเป็นการตอบแทนจึงให้น้อยและสามีมาทำงานที่บ้านพักตากอากาศหลายปีที่ผ่านมาน้อยกับนายส่วยก็ทำหน้าที่ได้ดีซื่อสัตย์ต่อเจ้านายแต่เสียอยู่อย่างคือน้อยจะค่อนข้างพูดมากไปซักหน่อยหรือที่คนแถวนี้เรียกว่าปากโทรโข่งแต่ก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรทุกคนจึงทำเฉยเสียเพราะปีหนึ่งๆก็มาพักผ่อนที่บ้านหลังนี้ไม่กี่ครั้ง

“ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจลูกก็แล้วกันแต่ก็ระวังตัวด้วยล่ะบอกตามตรงว่าแม่ไม่ไว้ใจผู้หญิงสมัยนี้เลย”

ยกเว้นคนเดียวเท่านั้นที่นางไว้ใจและยังรอคอยให้หญิงสาวกลับมาหาลูกชายแต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องรอเก้อหรือเปล่า

รถHONDACRV 2.0 E ( i-VTEC) ปี2006ขับเข้าสู่เขตสำนักงานชั่วคราวซึ่งเป็นไซด์งานในเขตภูเขาขนาดกลางที่อีกไมนานนี้จะกลายเป็นโรงแรมและรีสอร์ทขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่งานนี้มีสถาปนิกและวิศวกรผู้ควบคุมงานอยู่หลายคนพลับพลึงก็เป็นหนึ่งในสถาปนิกผู้ออกแบบรีสอร์ทแห่งนี้เธอค่อนข้างอึดอัดเมื่อขับรถผ่านไซด์งานแล้วทุกสายตาจ้องมองมาที่รถคันหรูสีดำซึ่งมีเธอเป็นคนขับนี่ขนาดขับรถกลางเก่ากลางใหม่ที่เกือบจะตกรุ่นไปแล้วทุกสายตายังจ้องขนาดนี้ถ้าเกิดนำรถที่ชายหนุ่มอนุญาตให้ใช้มาขับทุกคนมิตกใจจนตาค้างเลยหรือไงกันเส้นทางที่ค่อนข้างเละเทะด้วยดินโคลนทำให้รถขับเคลื่อนได้ยากพอสมควรแต่นั่นยังไม่เท่ากับการที่ต้องขับผ่านสายตาหลายๆคนที่เธอรู้จักและแน่นอนทุกคนจะต้องมีคำถามเกี่ยวกับที่ไปที่มาของรถคันนี้ใช่ เพราะต่างก็รู้ดีว่าเธอไม่มีทางซื้อรถใหม่ในเร็ววันนี้

“ว้าว!พลับพลึงออกรถใหม่หรือ มิน่าล่ะหายไปซะหลายวันจะออกรถไม่บอกไม่กล่าวกันบ้างเลยนะ”

พลับพลึงที่เพิ่งก้าวลงจากรถหลังจากที่หาที่จอดรถอยู่พักหนึ่งเธอยิ้มเก้อๆกับวิศวกรหนุ่มวัยไล่เลี่ยและค่อนข้างสนิทสนมกันมากคนหนึ่งหญิงสาวยกมือขึ้นลูบท้ายทอยบริเวณปลายผมซอยสั้นอย่างเก้อเขินยิ้มแหยๆให้วิศวกรหนุ่มแล้วเลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถามโดยการเดินนำหน้าเข้าไปในสำนักงานซึ่งคาดว่าคนอื่นๆคงทยอยมาทำงานกันบ้างแล้ว

“สวัสดีค่ะต้องขอโทษด้วยนะคะที่หายไปหลายวัน”เธอเอ่ยทักทายเหล่าสถาปนิกทั้งที่อาวุโสกว่าและอายุไล่เลี่ยกันแต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ล้วนแต่เป็นสถาปนิกผู้ชายทั้งนั้น

“เป็นผู้หญิงก็ใช่ว่าจะได้รับอภิสิทธิ์นะสาวน้อยคุณไม่รู้เลยหรือไงว่าเรากำลังเร่งงานกันแค่ไหน”

อาทิตย์สถาปนิกในวัย40ปีเอ่ยเสียงเข้มขึงออกอาการไม่พอใจในตัวหญิงสาวอย่างเห็นได้ชัดเขาละมือจากการดูแบบร่วมกับคนอื่นๆหันมาจ้องเขม็งที่พลับพลึงอย่างเอาเรื่องจากบันทึกการปฏิบัติงานหญิงสาวขอลางานแค่หนึ่งสัปดาห์แต่นี่กลับหายไปเกือบสองสัปดาห์แล้วจะไม่ให้ต่อว่าเลยได้อย่างไร

“ไม่เอาน่าอาทิตย์พลับพลึงโทร.แจ้งกับผมแล้วล่ะว่าติดธุระด่วน”หัวหน้าสถาปนิกแก้ตัวแทนในขณะที่พลับพลึงนั้นหน้าเสียไปมาก

“อ้อธุระด่วนของเธอคงจะหมายถึงเรื่องรถใหม่สินะ”

สถาปนิกนามว่าอาทิตย์เหลือบหางตามองผ่านหน้าต่างออกไปด้านนอกเขาเห็นรถซีอาร์วีสีดำขับเคลื่อนเข้ามาเมื่อเห็นว่าเป็นรถของสถาปนิกสาวก็ถึงบางอ้อที่ทิ้งงานไปเสียหลายวันก็คงจะเพราะเรื่องรถเห็นจะไม่ผิด

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะพลับมีเรื่องด่วนจริงๆไม่ได้เกี่ยวกับรถคันนี้อีกอย่างรถคันนี้ก็ไม่ใช่ของพลับหรอกค่ะก็แค่ยืมมา” พลับพลึงหลบตาทุกคนหากอธิบายให้ละเอียดกว่านี้คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก“เอาเป็นว่าพลับขอโทษนะคะกับเรื่องที่ลาหลายวัน”

“แค่ขอโทษมันไม่จบหรอกเพราะงานในส่วนของคุณมีหลายส่วนที่ทางเจ้าของเขาต้องการเปลี่ยนแปลงงานของเราจะต้องสะดุดเพราะตามตัวคุณไม่ได้แล้วนี่เจ้าของงานก็รอที่จะคุยเรื่องแบบกับคุณอยู่แค่นี้เป็นเรื่องใหญ่พอหรือยัง”

อาทิตย์ต่อว่าอย่างไม่ไว้หน้าพลับพลึงได้แต่ปั้นหน้าเสียใจและยอมรับถ้อยคำต่อว่านั้นอย่างไร้ข้อโต้แย้ง

“ขอโทษจริงๆค่ะคุณอาทิตย์พลับจะรีบจัดการเรื่องนี้โดยด่วนค่ะ”

“มันแน่นอนอยู่แล้วคุณจะต้องรับผิดชอบ”

อาทิตย์ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าหญิงสาวอย่างหัวเสียเขาต้องโกรธเธอมากแน่ๆเพราะถ้างานส่วนของหญิงสาวยังไม่ได้รับการแก้ไขงานส่วนต่อไปซึ่งเป็นหน้าที่รับผิดชอบของเขาก็ดำเนินต่อไปไม่ได้

“ต้องแก้ไขตรงไหนบ้างคะ”

พลับพลึงเดินเข้าดูแบบที่กางอยู่บนโต๊ะและเป็นหน้าที่ของหัวหน้าสถาปนิกเป็นฝ่ายอธิบายพลับพลึงเองก็ค่อนข้างหนักใจอยู่ไม่น้อยงานส่วนนี้เธอจำได้ว่าแก้มาหลายรอบแล้วแต่ก็ยังไม่ถูกใจเจ้าของงานซักที

“งานนี้พลับอาจจะต้องไปคุยกับเจ้าของงานเองแล้วล่ะ”

หัวหน้าสถาปนิกแนะนำตระการได้พูดคุยกับเจ้าของงานหลายรอบแล้วแต่ก็ดูเหมือนจะสื่อสารกันไม่เข้าใจบางทีการได้คุยกับสถาปนิกผู้ออกแบบโดยตรงน่าจะดีกว่า

“ไม่มีปัญหาค่ะแล้วคุณต้นจะให้พลับไปพบเจ้าของงานเมื่อไหร่คะ”

“ผมว่าเร็วหน่อยก็ดีนะอ้อ ช่วงนี้เจ้าของงานอยู่ที่เชียงใหม่พอดีเลขาฯของท่านบอกว่าอยู่บ้านพักตากอากาศบนภูเขาเลยหมู่บ้านแม้วไปหน่อย”

พลับพลึงนึกคิดแล้วพ่นลมหายใจออกมาหนักหน่วงเพราะเส้นทางนั้นค่อนข้างคดเคี้ยวแม้จะเป็นถนนลาดยางแล้วก็เถอะแต่ก็ยังถือว่าขับรถยากลำบากอยู่ดี

“ได้ค่ะคุณต้นถ้าอย่างนั้นพลับจะไปพบเจ้าของงานพรุ่งนี้เลย”

“อืมดี ผมก็ปวดหัวกับการแก้แบบเต็มที”ตระการบ่นพึมพำ

พลับพลึงหัวเราะแกนๆกับท่าทางเหนื่อยหน่ายของหัวหน้าสถาปนิกแต่ทำอย่างไรได้ล่ะทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับความพอใจของเจ้าของงานเป็นหลักเธอจึงยิ้มเพื่อให้กำลังใจหัวหน้าและได้รับรอยยิ้มปลอบใจกลับมาเรื่องสถาปนิกอาทิตย์เช่นกัน

ครึ่งวันแรกพลับพลึงจึงนั่งดูแบบและรอฟังคำอธิบายจากหัวหน้าสถาปนิกเรื่องแบบและความต้องการของเจ้าของงานเธอยกมือขึ้นลูบหน้าหากว่ากลับมาทำงานตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วก็คงจะได้เจอเจ้าของงานและงานก็คงจะดำเนินต่อได้รวดเร็วกว่านี้คงจะไม่ถูกสายตาโกรธขึงปนระอาของเพื่อนสถาปนิกอีกหลายคนซึ่งเป็นพรรคพวกกลุ่มเดียวกับอาทิตย์เยาะทุกสายตาทำท่าระอาราวกับเธอเป็นตัวถ่วงของทุกคนอาจเพราะความที่เธอเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่มนี้ก็ได้มีเพียงหัวหน้าสถาปนิกอย่างตระการเท่านั้นที่เข้าใจและยอมรับในฝีมือการออกแบบของเธอจึงดึงตัวมาทำงานนี้ด้วยกันแต่มันก็อาจจะเป็นที่ขุ่นเคืองใจให้แก่สถาปนิกรุ่นพี่อย่างอาทิตย์ไปด้วยในเวลาเดียวกันที่ตระการดูเหมือนว่าจะเชื่อมือและให้ความเป็นกันเองกับเธอมากกว่าสถาปนิกคนอื่นๆรวมไปถึงวิศวกรโครงการหลายคนก็ค่อนข้างสนิทสนมกับเธอด้วยแล้วนั่นยิ่งทำให้อาทิตย์และพรรคพวกไม่ชอบหน้าเธอเพิ่มมากขึ้นหลังจากที่ตระการอธิบายถึงจุดหลักๆที่เจ้าของงานต้องการให้ปรับเปลี่ยนหนุ่มใหญ่ก็ขอตัวไปทำงานของตนต่อในห้องนั้นจึงเหลือแค่พลับพลึงที่นั่งหน้าเครียดมองแบบที่มีหลายจุดที่เธอจะต้องเตรียมอธิบายให้แก่เจ้าของงานฟังเธอยกมือขึ้นลูบท้ายทอยเพราะเกิดอาการเกร็งและเคร่งเครียดยอมรับว่าตั้งแต่รับงานนี้เธอไม่เคยพบปะกับเจ้าของงานเลยซักครั้งส่วนใหญ่จะรับคำสั่งต่อจากตระการซึ่งสถาปนิกส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้นอีกเรื่องที่หนักใจเห็นจะไม่พ้นเรื่องการที่จะต้องเดินทางขึ้นดอยไปพบเจ้าของงานนี่แหละเธอเองยังไม่ค่อยชินทางบนไหล่เขาซักเท่าไหร่นี่ยังคิดอยู่ว่าจะชวนวุฒิชัยเพื่อนวิศวกรไปเป็นเพื่อนดีหรือเปล่า

“แค่แก้งานถึงกับกลุ้มขนาดนี้เลยหรือคุณสถาปนิก”

พลับพลึงเงยหน้าคุณมองตามเสียงเย้ยเยาะนั้นอาทิตย์นั่นเองทำไมเขาถึงได้ตามแขวะเธอนักก็ไม่รู้

“ก็นิดหน่อยค่ะแต่คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไรดูเหมือนว่าเจ้าของงานจะยังไม่เข้าใจแบบเท่านั้น”

“งั้นหรืออืม...ผมก็ลืมไปว่าคุณเป็นผู้หญิงแล้วลูกค้าเป็นผู้ชายแค่พูดอ้อนนิดๆ หน่อยๆหว่านล้อมตามประสาผู้หญิ๊ง...ผู้หญิงก็คงจะเอาใจลูกค้าอยู่หมัด”

“คุณอาทิตย์!คุณกำลังดูถูกฉันอยู่นะคะ”พลับพลึงผุดลุกจากเก้าอี้อย่างไม่ชอบใจ

“ผมดูถูกตรงไหนผมก็พูดตามเนื้อผ้า โธ่...ผู้หญิง”

อาทิตย์เบ้ปากเย้ยเยาะแล้วก็เดินออกไปจากห้องทิ้งให้พลับพลึงยืนกำหมัดหัวเสียอยู่ตรงนั้นใบหน้าของเธอกำลังร้อนผ่าวๆจากคำดูถูกดูแคลนในฝีมือและความเป็นเพศตรงข้ามกับอีกฝ่าย

ผู้หญิงแล้วไงพลับพลึงเม้มปากขบกรามเล็กๆแล้วเธอจะพิสูจน์ให้อาทิตย์ยอมรับให้ได้ว่าผู้หญิงก็ทำงานใหญ่ได้ไม่แพ้ผู้ชาย…



พลับพลึงทำใจปล่อยวางกับถ้อยคำค่อนแคะของอาทิตย์เพราะไม่อยากเก็บมาคิดให้ปวดหัวไปมากกว่าที่เป็นอยู่เธอรวบแบบม้วนเก็บเข้ากล่องทรงกลมยาวแล้วปิดฝาถือออกไปข้างนอกด้วยเพียงแค่ก้าวออกมานอกสำนักงานชั่วคราวหญิงสาวก็ถอนหายใจพรืดเมื่อเห็นรถซีอาร์วีที่ขับมาเมื่อเช้านึกแล้วว่าต้องเป็นเรื่องไหล่เล็กลู่ลงอย่างอ่อนแรงแล้วเดินส่ายหน้าผ่านไปยังไซด์งานมองหาวุฒิชัยและได้รับคำตอบจากคนงานว่าอยู่อีกฟากของพื้นที่ก่อสร้างจึงรีบเดินไปหาแต่ก่อนจะถึงตัววุฒิชัยก็เกิดอาการอะไรบางอย่างขึ้นกับพลับพลึงใช่ เธอรู้สึกอายที่จะต้องพบกับวุฒิชัยในฐานะภรรยาของคนอื่นพลับพลึงลูบหัวแหวนแต่งงานแล้วตัดสินใจสลับแหวนไปสวมนิ้วชี้แม้มันจะดูคับไปซักหน่อยแต่ก็ดีกว่าใส่นิ้วนางให้เป็นจุดสังเกต

“ชัยยุ่งอยู่หรือเปล่า”พลับพลึงเอ่ยทักเมื่อเห็นวิศวกรหนุ่มกำลังง่วนกับการสั่งงาน

“พลับ...มาแล้วหรือรู้มั้ยว่าชัยคิดถึงแล้วก็เป็นห่วงมากด้วยไหนบอกว่าไปไม่กี่วันไงนี่ถ้าวันสองวันนี้ไม่มากะจะไปตามอยู่เชียวมีอะไรหรือเปล่าถึงได้มาหาชัยถึงนี่อย่าบอกนะว่าคิดถึง”ชายหนุ่มหันมาทักทายเต็มตัวแล้วส่งสายตาหวานหยอก“หรือกะจะเซอร์ไพลส์รถใหม่ไปรวยมาจากไหนถึงซื้อรถคันเป็นล้านได้”

“จะบ้าหรือไงนั่นรถคนอื่น”พลับพลึงตีหัวไหล่วิศวกรหนุ่มเบาๆ

“อ้าว...หรือแล้วรถใครล่ะ”

วุฒิชัยก็นึกอยู่แล้วว่าคนที่ีมัธยัสอย่างพลับพลึงไม่มีทางซื้อรถคันใหญ่อย่างนั้นมาใช้ต่อให้เป็นรถมือสองก็เถอะ

“ช่างเถอะๆอย่าไปสนใจเลยเพราะอีกไม่กี่วันก็จะคืนเขาแล้วล่ะ”พลับพลึงโบกมือไปมาอย่างไม่อยากจะคุยเรื่องนี้อีก

“อืมก็ได้ แล้วมาหาชัยมีอะไร”

“มีเรื่องให้ช่วย”

วุฒิชัยมองอย่างตั้งใจฟัง

“พรุ่งนี้พลับต้องไปพบลูกค้าหลังหมู่บ้านแม้วคุณต้นให้แผนที่มาด้วยชัยว่างไปด้วยกันหรือเปล่า”

“พรุ่งนี้หรือ”วุฒิชัยย่นคิ้วพึมพำก่อนจะถอนหายใจด้วยความเสียดาย“แย่จริง พรุ่งนี้ชัยมีนัดตรวจงานนะสิเลื่อนไปวันอื่นได้หรือเปล่า”

พลับพลึงพ่นลมผ่านริมฝีปากบนจนหน้าม้าของเธอลอยละลิ่วแต่จะให้รอนานกว่านี้เห็นทีจะไม่ควรเพราะตระการย้ำนักย้ำหนาว่า'งานนี้เร่งด่วน'อีกอย่างมีอาทิตย์จ้องจับผิดอยู่ด้วยหากชักช้าก็อาจจะโดนค่อนแคะไม่เลิก

“งั้นหรือถ้างั้นก็ช่างเถอะเดี๋ยวพลับจะลองชวนคนอื่นดูนะ”

“พลับ”

วุฒิชัยเรียกไว้เมื่อหญิงสาวคอตกจะเดินกลับพลับพลึงฉีกยิ้มรู้ว่าชายหนุ่มมีน้ำใจและอยากช่วยเหลือแต่ก็ทำให้อีกฝ่ายต้องเสียงานก็เห็นจะไม่ควร

“ไม่เป็นไรไม่เห็นมีไรน่าห่วงเลยหลังหมู่บ้านแม้วก็แค่ไม่กี่กิโลจริงๆ พลับไปคนเดียวก็ได้สบายอยู่แล้วก็แค่อยากจะชวนชัยไปเที่ยวด้วยกันเท่านั้นแหละ”พลับพลึงเอ่ยเพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มคิดมาก

“พลับโอ.เค.นะ”ชายหนุ่มเอ่ยถามดวงตาของหญิงสาวเหมือนจะมีเรื่องให้คิดมากโข

“โอ.เค.สิอาจเพราะพลับหยุดงานหลายวันน่ะงานเลยสุมหัว”

“ไม่หรอกมั้งเรื่องงานชัยรู้ว่าพลับไม่เคยหวั่นเพราะเรื่องของคุณอาทิตย์ใช่มั้ย”

พลับพลึงหลุบตาแม้แต่วุฒิชัยยังดูออกเลยว่าอาทิตย์ไม่ชอบหน้าเธอแต่ก็เพียงยิ้มเนือยๆ

“ช่างเถอะในส่วนของพลับเหลืออีกไม่มากหรอกอีกหน่อยเขาก็จะไม่เห็นหน้าพลับแล้วล่ะ”

หญิงสาวยักไหล่เรียกรอยยิ้มให้แก่ชายหนุ่มได้บ้างข้อดีของพลับพลึงที่วุฒิชัยชอบก็คือเธอมองโลกในแง่ดีเสมอ

“พลับไปก่อนนะนี่ว่าจะไปดูงานหน่อยยังต้องเก็บรายละเอียดอีกหน่อยจะได้ไปคุยกับเจ้าของงานได้”

พลับพลึงยิ้มแย้มมากขึ้นเพราะไม่อยากให้วุฒิชัยเป็นห่วงมากไปกว่านี้ยังมีอีกหลายส่วนที่จะต้องไปดูรีสอร์ทที่นี่มีหลายโครงการแต่โดยรวมก็คืออยู่ในมือของบริษัทที่เธอทำงานอยู่เธอได้รับมอบหมายให้ออกแบบตัวสำนักงานซึ่งเป็นส่วนหน้าสุดอาจจะเพราะเหตุนี้ก็ได้ทำให้อาทิตย์ซึ่งเป็นสถาปนิกที่อายุมากกว่าและทำงานอยู่ในบริษัทก่อนเธอไม่พอใจเพราะส่วนหน้าคือส่วนที่แขกที่เดินทางมาที่นี่เห็นเป็นส่วนแรกหากทำได้สวยก็จะได้รับคำชื่นชมก่อนใครเพื่อนเธอพอรู้มาว่าอาทิตย์เคยเอ่ยปากขอรับงานในส่วนนี้แต่ตระการกลับไม่เห็นด้วยเพราะส่วนหน้าเจ้าของงานต้องการแบบสำนักงานแบบล้านนาผสมผสานกลิ่นอายตะวันตกนิดๆซึ่งไม่ใช่แนวถนัดของอาทิตย์อาทิตย์นั้นถนัดแนวโรมันเสียมากกว่าแม้ว่าเธอจะเชื่อว่าหากอาทิตย์ได้รับมอบหมายเขาก็อาจจะออกแบบได้สวยแต่ตระการกลับมองต่างมุมออกไปหัวหน้าสถาปนิกมองว่างานของอาทิตย์นั้นแข็งเกินไปและที่สำคัญเป็นเรื่องที่ทำให้หัวใจเธอพองโตคับอกเมื่อหัวหน้าสถาปนิกบอกว่างานในส่วนนี้เขามั่นใจว่าเธอจะทำได้ดีกว่าเพราะความเป็นผู้หญิงจะมีความละเอียดอ่อนมากกว่าจึงอาจจะเข้าถึงความคิดของเจ้าของงานได้มากกว่าแถมตระการยังเน้นย้ำอีกว่าเจ้าของงานรายนี้จู้จี้อย่าบอกใครและนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ไม่มอบงานส่วนนี้ให้อาทิตย์ซึ่งเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองมากเกินไปอาจจะทำให้มีปัญหาตามมาและวันนี้เธอก็เข้าใจแล้วว่าที่หัวหน้าสถาปนิกกลัวนั่นคือเรื่องอะไรใช่ งานในส่วนนี้เธอแก้มานับไม่ถ้วนแล้วและหากว่าเป็นอาทิตย์ทำล่ะก็เธอก็พอเดาออกว่าอาทิตย์จะโวยวายมากแค่ไหนอาจจะถึงขั้นมีปากเสียงกับลูกค้าเสียด้วยซ้ำไปสำหรับงานในส่วนอื่นค่อยๆทยอยเสร็จไปบ้างหลายจุดหนักๆหน่อยที่ยังไม่ได้เริ่มก่อสร้างเลยก็เห็นจะเป็นอาคารสำนักงานซึ่งเจ้าของงานขอเพิ่มเติมจากที่เคยคุยกันไว้หลังสุดจะเป็นคลับเฮ้าส์และสนามกอล์ฟ

“พลับ...รอด้วย”

วุฒิชัยวิ่งตามมาเมื่อเขาสั่งงานลูกน้องเสร็จพลับพลึงยิ้มพยักหน้าแน่นอนเวลานี้เธออยากให้วุฒิชัยอยู่ข้างๆจริงๆแล้วอยากจะเล่าเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นให้ฟังด้วยซ้ำแต่ก็ทำไม่ได้เรื่องการแต่งงานกำมะลอแบบนี้จะมีซักกี่คนที่ยอมรับได้

“งานแต่งน้องสาวเป็นไงมั่ง”

เป็นคำถามที่พลับพลึงอยากมุดดินหนีมากที่สุดเชียวล่ะเธอแค่นยิ้มอย่างขมขื่นใจ

“ก็ดีผ่านไปด้วยดี” เธอตอบไม่เต็มเสียงนัก

“เราก็นึกว่ามีปัญหาอะไรซะอีกเห็นพลับหายไปนาน”

พลับพลึงยิ้มกลบเกลื่อนนึกขอบใจในความห่วงใยของวุฒิชัย

“ชัยคือพลับ...”พลับพลึงตั้งท่าจะบอกแต่สุดท้ายก็ต้องกลืนความอึดอัดนั้นลงคอ“เอ่อ...ไม่ไม่มีอะไร”

วุฒิชัยย่นหัวคิ้วเมื่อเห็นอาการผิดปกติแต่เมื่อหญิงสาวบอกอย่างนั้นก็ไม่อยากเซ้าซี้

“ถ้าพลับมีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็บอกชัยได้นะแต่ถ้ายังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไรชัยรอได้”

“ขอบใจนะชัยพลับดีใจนะที่มีชัยอยู่ข้างๆ”

รถแล่นเข้าจอดในโรงรถธนดลชะโงกหน้าจากระเบียงซึ่งเขาใช้มุมนั้นเป็นโต๊ะทำงานอ่านเอกสารที่หอบมาด้วยจากกรุงเทพฯเป็นเอกสารเกี่ยวกับธนาคารสาขาเชียงใหม่ซึ่งดูเหมือนจะมีปัญหานิดหน่อยธนาคารเป็นกิจการส่วนหนึ่งของครอบครัวซึ่งในไม่ช้าธนดลจะต้องเข้ามารับช่วงต่อทั้งหมดชายหนุ่มพับแฟ้มเอกสารลงแล้วลุกขึ้นไปยืนริมระเบียงเพื่อมองดูคนข้างล่างท่าทางเมื่อยล้าของคนที่ก้าวลงจากรถยกมือขึ้นนวดที่ท้ายทอยเอียงคอไปมาเพื่อลดความเมื่อยล้าทำให้เขาปั้นหน้าเคร่งเล็กน้อยแล้วยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา

กลับมาซะค่ำ…

หกโมงกว่าแล้วเขาละจากมุมทำงานเดินไปที่หน้าบ้านยืนกอดอกปั้นหน้านิ่งรอพลับพลึงหอบหิ้วกระเป๋าเอกสารและกล่องใส่แบบเดินลากขาเข้าบ้านวันนี้เธอเดินดูงานหลายจุดเพื่อเก็บรายละเอียดแล้วยังต้องเตรียมตัวอีกมากกับการต้องไปพบลูกค้าพรุ่งนี้แต่เช้าแต่เมื่อเห็นชายหนุ่มยืนหน้าเคร่งอยู่ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเหนื่อยล้ามากขึ้นกว่าเดิม

“ฉันขอโทษนะคะที่กลับค่ำแต่งานฉันยุ่งจริงๆ”

ธนดลที่ตั้งท่าจะหาเรื่องเมื่อเจอถ้อยคำเนือยๆอย่างนั้นก็เปลี่ยนใจ

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

พลับพลึงยิ้มกับน้ำเสียงอาทร

“คุณคงไม่อยากจะรู้หรอกค่ะ”

ธนดลปั้นหน้าขรึมถามดีๆ ทำไมต้องรวนกันด้วยเกือบจะต่อปากต่อคำแล้วเชียวถ้าไม่สังเกตเห็นว่าหญิงสาวไม่ได้ต้องการจะรวนเขาจริงจังจึงหันไปสั่งสาวใช้แทน

“น้อยตั้งโต๊ะได้แล้ว”

พลับพลึงยกข้อมือขึ้นดูเวลานี่ก็เกือบจะทุ่มอยู่แล้ว

“ยังไม่ทานข้าวอีกหรือคะ”

“น้อยทำกับข้าวช้าน่ะไปอาบน้ำเถอะ จะได้ออกมาทานข้าวด้วยกัน”

เมื่อเจอถ้อยคำห่วงหาอาทรแบบนี้ก็ทำให้คนกลับบ้านช้ารู้สึกผิดจากที่เคยตั้งป้อมจะอยู่ห่างๆก็มองธนดลเป็นมิตรมากขึ้นธนดลเองเหมือนจะกำลังพยายามปรับตัวให้คุ้นเคยแล้วเธอจะไม่ยอมพยายามทำแบบนั้นบ้างเลยหรือคิดได้อย่างนั้นก็ยิ้มเป็นมิตรตอบแทนน้ำใจที่เขาหยิบยื่นมา

“ถ้าคุณหิวก็ทานก่อนเลยก็ได้นะคะ”

“ไม่เป็นไรผมรอได้”

เมื่อได้ยินอย่างนั้นพลับพลึงก็รีบเร่งตัวเองจากที่เคยอาบน้ำหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อยก็เหลือแค่สิบนาทีเคยทาครีมบำรุงผิวนวดจนเนื้อครีมแห้งไปก็ทาลวกๆด้วยกลัวว่าคนข้างนอกจะรอนานเขาอุตส่าห์มีน้ำใจรอก็ยิ่งต้องเกรงใจพลับพลึงออกมาข้างนอกหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเธอยิ้มฝืนๆให้กับคนนั่งรอและได้รับคำเชื้อเชิญอย่างสุภาพ

“คุณคงหิวแย่”

“ไม่หรอกน้อยเพิ่งตั้งโต๊ะเสร็จเมื่อกี้นี้เอง”

พลับพลึงพยักหน้าหงึกๆแล้วกวาดตามองอาหารบนโต๊ะซึ่งมีไม่กี่อย่างแต่หน้าตาและกลิ่นหอมหวนใช้ได้เลยเมนูอาหารวันนี้แตกต่างจากเมื่อวานจนเธอรู้สึกอาย

“น่าทานจังเลยนะคะ”

แล้วเงยหหน้าขึ้นมองแม่บ้านอย่างขอบคุณเมื่อเข้ามาตักข้าวลงจานให้

“ไม่รู้ว่ารสชาติจะเพี้ยนหรือเปล่านะคะเพราะน้อยเพิ่งอุ่นอีกรอบเสร็จเมื่อกี้เองค่ะ”

“น้อยมีไรก็ไปทำเถอะ”

ธนดลดุเมื่อแม่บ้านพูดมากแต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้พลับพลึงหน้าสลด

“ฉันต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้โทร.บอกคุณก่อนว่าจะกลับค่ำฉันไม่นึกว่าคุณจะคอย”

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ได้รอแค่ยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่อีกอย่างอยู่ในที่บรรยากาศแบบนี้ทานข้าวคนเดียวไม่อร่อยหรอกทานเถอะ”

นี่เป็นครั้งแรกที่ต่างคนต่างพูดจาดีๆไม่ยียวนหรือปั้นหน้าเคร่งขรึมหรือโกรธเกรี้ยวใส่กันอาจเพราะต่างคนก็ต่างยอมรับในชะตากรรมที่จะต้องอยู่ร่วมกันไปอีกพักใหญ่พลับพลึงเหมือนจะโล่งใจกว่าทุกวันเมื่อเห็นอากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปของธนดล

“งานหนักมากหรือคุณเห็นหอบหิ้วกลับมาบ้านด้วย”

“ก็นิดหน่อยค่ะหยุดงานไปหลายวันงานก็เลยค้างเยอะหน่อยคงไม่ได้ทำให้คุณรู้สึกรำคาญหรอกนะคะอ้อ ส่วนแบบบ้านของคุณฉันกำลังเร่งให้อยู่นะคะฉันจะพยายามไม่ให้เกินอาทิตย์หน้า”

รู้สึกเกรงใจคนที่เป็นทั้งสามีนิตินัยและนายจ้างในคราวเดียวยิ่งเขาไม่เอ่ยถามก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจมากขึ้น

“ไม่เป็นไรไม่ต้องรีบก็ได้แค่ให้เสร็จภายในหนึ่งปีนี้ก็พออ้อ อีกเรื่อง ผมว่าคุณกลับบ้านเร็วหน่อยก็ดีนะกลับค่ำๆ มืดๆ มันอันตรายอย่าคิดมาก ผมก็แค่เป็นห่วงรถน่ะ”

พลับพลึงปั้นหน้ายักษ์นั่นประไร คุยดีได้ไม่ถึงไหนก็เริ่มรวนกันแล้วอุตส่าห์จะญาติดีด้วยแล้วเชียว

“ถ้าอย่างนั้นฉันคิดว่าไม่รบกวนคุณดีกว่าฉันคิดว่าฉันควรกลับไปใช้รถของบริษัทดีกว่าค่ะ”พลับพลึงตัดปัญหา

“ทำไมก็บอกแล้วไงว่า…”

“ค่ะคุณบอกฉันแล้วว่าอยากให้ฉันใช้รถที่บ้านมากกว่าเพราะเห็นแก่หน้าตาของสุทธิการแต่ที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องของเราหรอกค่ะคุณคงหายห่วงได้อีกอย่างถ้ารถคุณเกิดอะไรขึ้นมาฉันคงรับผิดชอบไม่ไหวขอตัวนะคะ ฉันอิ่มแล้ว”

พลับพลึงรวบช้อนส้อมแล้วลุกเดินจากไปหากว่าเธอหันกลับมามองคงเห็นสีหน้าไม่พอใจของอีกฝ่ายและเพราะถ้อยคำประชดประชันกันนั้นเองก็ทำให้ธนดลรวบช้อนเช่นกัน



อากาศค่อนข้างเย็นในยามสองทุ่มเศษบรรยากาศข้างนอกมืดสนิทด้วยบ้านพักหลังนี้อยู่ห่างไกลชุมชนคงมีเพียงแสงสว่างจากหลอดไฟสีเหลืองที่ติดอยู่ตามบริเวณบ้านตามจุดสำคัญไม่กี่ดวงเท่านั้นธนดลออกมายืนกอดอกในชุดนอนและสวมทับด้วยเสื้อคลุมตัวหนากว่าปกติตั้งแต่อาบน้ำเสร็จเขาก็ปลีกตัวออกมาอยู่ข้างนอกเมื่อเห็นว่าหญิงสาวกำลังง่วนอยู่กับโต๊ะทำงานริมหน้าต่างเขาเหลือบตามองแม่บ้านเมื่อหล่อนเดินเข้ามาหา

“มีอะไรน้อย”

“น้อยจะมาถามคุณดลค่ะว่ามีอะไรให้น้อยทำอีกหรือเปล่าคะ”

ธนดลยกข้อมือขึ้นดูเวลา

“ไปนอนเถอะฉันไม่เอาอะไรแล้วล่ะแล้วปิดบ้านดีหรือยัง”

“เรียบร้อยแล้วค่ะถ้าอย่างนั้นน้อยไปนอนนะคะ”

ธนดลพยักหน้าแทนคำตอบรอจนแม่บ้านออกไปจากตรงนั้นเราถึงมองไปยังห้องนอนจะเข้าไปนอนดีหรือเปล่านะเขาถามตัวเองอยู่หลายครั้งอย่างลังเลอากาศข้างนอกก็หนาวเหน็บขึ้นเรื่อยๆเห็นทีจะลังเลไม่ไหวจึงเดินไปเคาะประตูห้องและรอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยอนุญาตจึงเปิดประตูเข้าไป

“ยังทำงานอยู่อีกหรือ”

“ค่ะยังไม่เสร็จเลยค่ะคุณจะนอนแล้วหรือคะถ้างั้นเดี๋ยวฉันออกไปทำต่อข้างนอกก็ได้ค่ะเปิดไฟแบบนี้คุณคงไม่ชิน”พลับพลึงตอบทั้งๆที่ยังง่วนอยู่กับแบบที่กางอยู่เต็มโต๊ะไปหมดและจัดการเก็บมันเมื่อบอกกล่าวแก่ชายหนุ่มเสร็จ

“คุณจะไปทำที่ไหน”

“ก็ข้างนอกไงคะ”

“อากาศหนาวจะตาย”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะฉันค่อนข้างชิน”

บ้านพักคนงานที่เธออยู่ในสำนักงานชั่วคราวนั้นไม่ได้มิดชิดแน่นหนาเท่านี้หรอกยังอยู่ได้เกือบปีแค่ใส่เสื้อผ้าหนาๆหน่อยก็ทำงานได้แล้ว

“ไม่ต้องหรอกทำในนี้แหละ”

“คุณไม่ต้องฝืนหรอกค่ะฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบนอนเปิดไฟฉันขี้เกียจฟังคุณบ่น อีกอย่างฉันคงไม่มีสมาธิทำงานแน่ถ้าขืนจะมัวคอยเกรงใจคุณกลัวว่าคุณจะตื่นฉันออกไปทำงานข้างนอกดีกว่าตามสบายนะคะ” พลับพลึงตัดบทรวบแบบลวกๆมือหนึ่งเอื้อมไปหยิบกระเป๋าเอกสารแล้วเดินจ้ำๆไปที่ประตูโดยไม่รอให้อีกฝ่ายได้เอ่ยห้ามหรืออนุญาตธนดลแค่นยิ้ม นี่ภรรยาจะแมนเกินไปหรือเปล่าแต่ก็คร้านจะต่อล้อต่อเถียงปล่อยให้หญิงสาวทำอะไรตามแต่ใจต้องการไปดีกว่า



*********

มีต่อด้านล่างนะคะ^^

 




Create Date : 27 มกราคม 2557
Last Update : 27 มกราคม 2557 10:17:51 น. 4 comments
Counter : 2020 Pageviews.

 
ธนดลนอนพลิกตัวไปมาแม้จะปิดไฟแต่ก็นอนไม่หลับ ในใจพะว้าภวังค์นึกห่วงใยคนที่ออกไปทำงานข้างนอก นึกเยาะตัวเองว่าทำไมต้องห่วงใยคนข้างนอก การไม่มีภรรยาอยู่ร่วมห้องนั่นน่าจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการ ชายหนุ่มเลิกผ้าห่มออกจากตัวแล้วลุกไปหยิบเสื้อคลุมเพื่อออกไปดูคนข้างนอกเสียหน่อย อยากรู้ว่า ดึกดื่นป่านนี้แล้วทำไมถึงยังไม่เข้ามานอนอีก แต่เมื่อเปิดประตูออกไปยังไม่ทันจะเดินไปถึงห้องโถงดีก็ได้ยินเสียงเธอคุยโทรศัพท์จึงหยุดฟัง
“ทำไมต้องให้หนูถามด้วยละคะ เรื่องนี้ลุงกับป้าน่าจะคุยกับเขาเอง”
พลับพลังเสียงอ่อนระอา นึกว่าแต่งงานกับชายหนุ่มแล้วทุกอย่างจะเรียบร้อยแค่รอคอยเวลานับถอยหลังเท่านั้น แต่ลุงกับป้าดูเหมือนจะไม่คิดเช่นนั้น
“ไม่ค่ะ พลับจะไม่ถามอะไรเขาทั้งนั้น แค่นี้พลับก็รู้สึกแย่มากพอแล้ว ไหนป้าบอกว่าจะบังคับพลับแค่เรื่องแต่งงานเรื่องเดียวไงคะ” เธอตอบโต้ปลายสายอย่างแข็งกร้าว
“ก็ได้ๆ แกไม่ช่วยเรื่องนี้ก็ไม่เป็นไร คิดซะว่าฉันไม่ได้พูดเรื่องนี้กับแกก็แล้วกัน ฮื่อ...มีหลานก็ไม่ได้ดั่งใจคิดเล้ย”
พิลาวรรณบ่นมาตามสาย ก็แค่อยากถามถึงเรื่องหนี้สินที่ธนดลรับปากไว้เท่านั้น งานแต่งงานก็ผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ทำไมหนี้ของธนาคารยังไม่ได้รับการชดใช้อีกเท่านั้นเอง
“ป้าไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกค่ะ หนูเชื่อว่าคุณดลคงไม่เบี้ยวหรอก”
หน้าตาของธนดลก็ไม่ใช่คนขี้โกงอะไร บวกกับต้องการปลอบใจตัวเองไปด้วย อีกอย่าง ไม่มีเหตุผลซักนิดที่เขาจะต้องทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักไปตลอดชีวิต
“ฉันรู้แล้วน่า แล้วนี่ยายพิมพ์ติดต่อหาแกบ้างหรือเปล่า”
คราวนี้พลับพลึงถอนหายใจยาว ถ้าพิมพ์พรรณติดต่อหาเธอก็ดีนะสิ จะได้ถามไถ่เสียให้รู้เรื่องว่าทำไมต้องหนีงานแต่งงานไปแบบนั้น
“เปล่าค่ะ”
“เฮ้อ...ฉันอยากจะบ้าตายจริงๆ เลย จนป่านนี้ยายพิมพ์ยังไม่ติดต่อมาเลย เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้” พิลาวรรณบ่นอย่างร้อนใจ
“พลับว่าอีกไม่นานพิมพ์ก็คงจะกลับมาค่ะ ป้าไม่ต้องกังวลไปหรอกค่ะ”
“กังวลสิ นั่นลูกสาวฉันนะยะ” พิลาวรรณตะคอกอย่างลืมตัว “เอ่อ พลับ ป้าขอโทษ”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ พลับเข้าใจ เอาเป็นว่า อยู่ทางนี้พลับก็จะลองพยายามตามหาพิมพ์อีกแรง ป้าไม่ต้องคิดมากไปหรอกค่ะ พลับเชื่อว่าพิมพ์จะยังปลอดภัยดี”
“อืม ขอบใจมากนะพลับ ถ้างั้นป้าไม่กวนแกแล้ว”
“ค่ะ”
พลับพลึงกดวางสายทิ้งร่างกายลงกับเก้าอี้อย่างคนหมดแรง ดูเหมือนว่าทุกเรื่องจะประเดประดังเข้ามาหาราวกับเธอเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ที่ทุกคนจะต้องได้รับการช่วยเหลือจากใจ
“พ่อจ๋า...แม่จ๋า...พลับเหนื่อยจังค่ะ”
เธอพึมพำคิดถึงพ่อแม่ที่จากไปตั้งแต่ยังเด็ก แล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะซึ่งมีแบบกางอยู่เต็มโต๊ะอย่างหมดแรง
ธนดลที่แอบได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับเกิดความสงสาร ท่าทางขึงขังเอาเรื่องไม่ยอมคนนั่นคงแค่เปลือกของผู้หญิงผมสั้นคนนี้ เขาแอบมองเธออยู่นานเธอก็ไม่ยอมยกศีรษะขึ้นจากแขนทั้งสองข้างที่พาดอยู่กับโต๊ะเสียทีจึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาแล้วเอ่ยเสียงเข้ม
“ถ้าง่วงก็เข้าไปนอนสิ มาฟุบอะไรอยู่ตรงนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”
พลับพลึงสะดุ้งเด้งตัวนั่งตัวตรง หัวใจแทบวายกับเสียงเข้มๆ ที่ดังอยู่ข้างหลัง เธอกระพริบตาสองสามครั้งแล้วจึงเอี้ยวตัวดู
“คุณดล”
“อ้อ ผมหิวน้ำ ไม่นึกว่าจะเห็นคุณนอนฟุบอยู่ที่นี่”
“เปล่าค่ะ ฉันไม่ได้ฟุบหลับ ก็แค่พักสมอง”
“งานคุณ...เหลือเยอะหรือ” ธนดลบุ้ยปากไปแบบที่กางเต็มโต๊ะอยู่
“ก็ไม่เยอะหรอกค่ะ”
“ถ้าไม่รีบมากผมว่าคุณควรจะพักผ่อนดีกว่านะ เหลือแรงไว้ทำงานต่อพรุ่งนี้บ้าง”
รู้สึกดีจังกับถ้อยคำแข็งๆ นั้น เหมือนเขากำลังห่วงใย พลับพลึงหมุนตัวกลับบนใบหน้ามีรอยยิ้มอย่างไม่รู้ตัว
“ขอบคุณค่ะ แต่ฉันไม่เป็นไร”
“ตามใจ” ธนดลไม่เซ้าซี้เขาหมุนตัวจะเดินกลับห้องแต่ก็ต้องชะงัก
“อ้าว แล้วไม่ดื่มน้ำหรือคะ”
ธนดลเหลอหลาเล็กน้อย กลืนน้ำลายลงคอโชคดีที่หันหลังให้หญิงสาว
“อ้อ ผมลืมไปว่าครัวอยู่ทางโน้น”
“ท่าจะบ๊อง”
พลับพลึงพึมพำแล้วหัวเราะแกนๆ เมื่อชายหนุ่มเดินฉับๆ ตรงไปในส่วนของครัว เธอมองตามเล็กน้อยแล้วก็หันกลับมาให้ความสนใจกับแบบที่ได้รับคอมเม้นต์ให้แก้ไขมาจากหัวหน้าสถาปนิกอีกครั้ง และภาวนาว่านี่ขอให้เป็นการแก้ไขงานครั้งสุดท้ายด้วยเถิด


โดย: ตอนที่ 9/2 (ใยไหมเจ้าค่ะ ) วันที่: 27 มกราคม 2557 เวลา:10:18:33 น.  

 
เริ่มเป็นห่วงแล้วละสิ๊


โดย: sakeena IP: 124.122.108.87 วันที่: 27 มกราคม 2557 เวลา:16:21:56 น.  

 
พลับพลึงน่าสงสารจริง คุณธนดลของเราจะใจอ่อนเมื่อไหร่เนี่ย

ไซด์งาน -- ไซต์งาน

ผู้หญิ๊ง...ผู้หญิง -- ผู้หญิ้ง...ผู้หญิง


โดย: พี่หมูน้อย IP: 202.28.248.42 วันที่: 27 มกราคม 2557 เวลา:17:06:09 น.  

 
เพิ่งเข้ามาอ่านค่ะ. น่ารักมากชอบนางเอกสไตล์นี่้. รออ่านมาต่อไวไวน้า


โดย: หนึ่งตะวัน IP: 125.24.120.224 วันที่: 16 มีนาคม 2557 เวลา:20:56:32 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ใยไหมเจ้าค่ะ
Location :
เลย Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




โลกแห่งนิยายมีทุกอย่างให้นึกคิด เป็นอีกคนที่ชอบจินตนาการไปพร้อมๆ กับบทประพันธ์ ใยไหม...คือนามปากกาที่ได้มาจากสิ่งที่เห็น รังไหมสีเหลืองทองรูปร่างเรียวรีสะดุดตาเข้าเต็มเปา...
เจ้าขนปุย...คืออีกหนึ่งความรักที่มาจากใจ

 งานเขียนทั้งหมดใน blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย พระราชบัญญัติ พ.ศ.2537 ห้ามนำไปพิมพ์ เผยแพร่ หรือลอกไปกระทำการใดๆ ก็ตาม หากผู้ใดกระทำการผิด เจ้าของ blog จะเอาผิดท่านตามกฏหมาย ได้ทุกกรณี (นี่ไม่ใช่คำเตือน แต่...ขอร้อง...)


Google
Friends' blogs
[Add ใยไหมเจ้าค่ะ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.