The Wedding: ลางร้าย ลางสังหรณ์
2 เดือนที่ผ่านการเตรียมการงานแต่งงานของเราเหมือนไม่ได้คืบหน้าไปไหนมากนัก พร้อมๆ กันนี้ก็เกิดเรื่องวุ่นๆ ที่เราลืมนึกไป จู่ๆ อาอี๊ (น้าสาว) ทักว่าวันที่เราจัดงานฉลองฯ นั้นยังอยู่ในช่วงกินเจซึ่งหลายๆ ท่านมักเลี่ยงไม่ให้ตรงกันเนื่องจากว่าแขกบางส่วนจะไม่มา และฉันเพิ่งอ่านหนังสือเจอว่าคนจีนจะไม่จัดงานมงคลสมรสในช่วงเวลาดังกล่าวเพราะเป็นช่วงที่ประตูสวรรค์และประตูนรกเปิด ทำให้อาจมีสิ่งชั่วร้ายเข้ามาปะปนกับเราได้
สุดท้ายเรื่องวุ่นๆ ก็จบลงในอีก 2 - 3 วันต่อมานับจากวันที่โทรแจ้งทางโรงแรมไปนั้น ตกลงว่าเราต้องเลื่อนวันฉลองฯ จากวันที่ 27 ตุลาคม เป็นวันที่ 3 พฤศจิกายนแทน รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก (เล็กๆ)
เรื่องวุ่นๆ เรื่องที่ 2 ตามมาติดๆ อาม้าเกิดอยากให้วันหมั้นและวันแต่งอยู่ภายในวันเดียวกัน ทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าไม่อยากทำให้เป็นวันเดียวกันหรอก เพราะสะดวกและประหยัดดี แต่หากรู้เสียแต่แรกฉันจะได้วางแผนงานให้ถูกต้อง ไม่มาเสียเวลาเพราะจนถึงตอนนี้ฉันคิดรายละเอียดของงานแต่ละวันจนจบแล้ว เท่ากันว่าฉันต้องเริ่มคิดใหม่ แต่สุดท้ายเมื่อเรากลับไปปรึกษาซินแส อาม้าก็ตัดสินใจทำตามแผนเดิม เพราะว่าฤกษ์หมั้นและรับตัวเป็นเวลา 6:00 โมงเช้า และฉันต้องกลับไปบ้านนนท์ที่นครนายกก่อนเที่ยง นั่นหมายความว่าจะไม่มีโอกาสต้อนรับแขกของฝ่ายเจ้าสาวเลย
ถึงตอนนี้ความกังวลยังไม่จางหายเท่าไรนักเพราะสถานที่สำหรับงานหมั้นยังไม่ลงตัว เนื่องจากพิธีหมั้นที่ฉันตั้งใจไว้นั้นอยากได้เป็นแบบไทยๆ สถานที่จึงควรเป็นเรือนไทย มีที่จอดรถเพียงพอ ราคาไม่แพงจนเกิดไปนัก เพราะเป็นพิธีหมั้นเพียงอย่างเดียว และหากเป็นไปได้ควรมีเครื่องปรับอากาศบางส่วนไว้รับรองแขกผู้ใหญ่
สถานที่ๆ อยู่ในใจตอนแรกนั้นมี 3 - 4 แห่ง แต่ละแห่งถูกตัดออกไปโดยไม่ได้ดูสถานที่เพราะฉันอาศัยถามจากผู้รู้ และผู้มีประสบการณ์ ฉันโชคดีที่มีพี่ๆ อาวุโสหลายท่านให้คำแนะนำ ทำให้ท้ายสุดฉันตัดสินใจว่าจะไปดูสถานที่หมั้นเพียง 2 แห่ง ที่แรกคืออาคารต้นสักของต้นรักสตูดิโอ ที่นี่ฉันหมายมั่นปั้นมือไว้ในใจว่าคงเป็นที่นี่แหละ เพราะว่ารู้จักชื่อเสียงและได้ยินกิตติศัพท์กันมานาน กอปรกับเห็นดาราหลายๆ คู่จัดงานแต่งงานที่นี่ ดูองค์ประกอบทั้งหลายทั้งปวงลงตัวไปเสียหมด เหลือแต่ว่ายังไม่ได้เห็นสถานที่ด้วยตาตัวเองเท่านั้น ส่วนอีกแห่งหนึ่งนั้นฉันรู้จักมานานนมแล้วจากภาพโฆษณาในนิตยสารแต่งงานฉบับหนึ่งตั้งแต่ปักษ์แรกๆ นับเวลาได้เกือบ 6 - 7 ปีมาแล้ว
ในใจนั้นฉันไม่คาดหวังกับที่ๆ 2 เท่าไรนัก เพราะดูจากภาพถ่ายสีจืดๆ ไม่ค่อยจะประทับใจ อีกทั้งเคยได้ยินว่าค่อนข้างไกล พอพี่ที่นัดกันว่าจะไปดูสถานที่ด้วยกันมาสายเนื่องจากติดธุระ ฉันจึงตัดสินใจไปดูที่อาคารต้นสักเพียงแห่งเดียวเพราะว่านัดเซลส์ไว้เรียบร้อยแล้ว
ต้นรักสตูดิโอแห่งนี้นับว่าเป็นสตูดิโอที่สมบูรณ์แบบในความรู้สึกของฉันเมื่อก้าวย่างเข้ามาภายในอาคารสำนักงาน การประกอบธุรกิจอย่างครบวงจร และการปรับกลยุทธ์การให้บริการด้านงานแต่งงานตามเทรนด์อย่างทันยุคทันสมัย สไตล์การถ่ายภาพไม่ได้จำกัดอยู่ในแบบเดิมๆ ที่เห็นโดยทั่วไป แต่ยังมีแบบฟรีสไตล์เป็นตัวของตัวเองด้วย
เซลส์ออกมาต้อนรับ พร้อมกับพาเราไปที่อาคารต้นสัก อาคารหลังนี้สวยงามมากเป็นอาคารไม้สักหลังใหญ่ ขณะนั้นมีคู่บ่าวสาวแต่งกายด้วยชุดไทยกำลังถ่ายรูปอยู่ บรรยากาศไทยๆ กำลังครอบงำความรู้สึกของฉันจนได้ที่เลยทีเดียว จนเมื่อเปิดประตูเข้ามาเห็นเคานเตอร์ประชาสัมพันธ์ด้านหน้าที่ตั้งเป็นสง่าเหนืองานวิจิตรศิลป์ใดๆ ภายในบ้าน ราวกับว่ามันคือประติมากรรมชิ้นเอกที่ว่างไว้ผิดตำแหน่ง พร้อมด้วยโต๊ะทำงานหลายตัวที่อยู่ด้านใน ซึ่งเซลส์บอกกับเราว่าเมื่อถึงวันงานส่วนนี้จะปิดกั้นไว้ ยกเว้นเคานเตอร์ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้
ในขณะที่ฉันกำลังจินตนาการถึงวันหมั้นที่มีแขก 100 คนมาร่วมเป็นสักขีพยาน สถานที่น่าจะดูคับแคบไปแต่กระนั้นก็ยังพอรับมือได้ เซลส์พาเราเดินดูรอบๆ อาคารต้นสัก จากตั่งสำหรับพิธีหมั้นเมื่อเดินไปอีกด้านหนึ่งของอาคารจะเป็นตั่งสำหรับรดน้ำ และเมื่อเดินไปอีกหน่อยจะเป็นเตียงสำหรับพิธีส่งตัว และเมื่อเดินไปอีกนิดก็จะถึงจุดรับประทานอาหาร จากตรงนี้มีสวนอยู่ตรงกลางอาคาร แขกสามารถเดินไปสูดอากาศได้ อาคารหลังนี้จึงเปรียบเสมือนโรงถ่ายหนัง (ตามที่พี่ท่านหนึ่งให้คำจำกัดความ)
ระหว่างที่เดินรอบๆ อาคารต้นสักที่มีสวนอยู่ภายใน ด้านที่เป็นสวนจะกรุกระจกไว้โดยรอบทำให้มองเห็นสวนจากทุกมุมของบ้าน ประติมากรรมชิ้นที่ 2 ที่ทำให้ฉันหลุดออกมาจากอดีตไปสู่โลกอนาคตคือ ลิฟท์แก้ว ถึงแม้ว่าจะพยายามทำให้ดูกลมกลืนแต่มันก็ตั้งอยู่ตรงหน้ากลางสวนตรงนั้น
เรากลับมาพูดคุยกับทีมเซลส์ที่สำนักงานอีกครั้ง พยายามคิดว่าไม่มีสถานที่ใดหรอกที่โดนใจไปเสียทุกอย่าง ถึงตรงนี้ก็นับว่าต้นสักถูกกับข้อกำหนดที่ฉันตั้งไว้เกือบหมดแล้ว นาทีนั้นฉันฝากความหวังไว้ที่นี่เต็มที่จนลืมนึกถึงที่อื่นๆ ที่ว่าจะไปจนหมดสิ้น เซลส์อีกท่านนำแพ็คเกจราคางานแต่ง 99,999 บาทมาให้เราดู โดยในแพ็คเกจนี้รวมพิธีหมั้น, รดน้ำ, ปูเตียง, ของชำร่วยเป็นกระแต 50 ชิ้น, เครื่องดื่ม ชา กาแฟ แซนด์วิช 50 ที่ ผู้ดำเนินพิธีการ ฟรีถ่ายรูปประมาณ 3 ม้วน ชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาว ขันหมาก ฯลฯ
ราคาที่ได้รับนี้เป็นราคาพิเศษเพราะตอนนี้ปรับราคาขึ้นแล้ว แต่ไม่รวมอาหารไทยที่คิดหัวละ 490 บาท ดอกไม้ตกแต่งในงาน มีข้อจำกัดอื่นๆคือ วงดนตรีไทยหากนำมาเองคิดค่าบริการสถานที่ราว 5,000 บาท และไม่อนุญาตให้นำช่างภาพที่ใช้กล้องมืออาชีพ และกล้องวิดีโอมืออาชีพ ขอให้ใช้ของสตูดิโอเท่านั้น
เมื่อได้รับฟังข้อเสนอต่างๆ เราบอกความต้องการของเราว่าเราต้องการแค่พิธีหมั้น เครื่องดื่มสมุนไพรต้อนรับสำหรับแขก 100 คน ไม่ต้องการแซนด์วิช ต้องการผู้ดำเนินพิธีการ เปิดเทปเพลงไทย ขันหมาก และขอช่างภาพของเราเองเพราะเป็นน้องชาย แต่จะไม่ใช้กล้องวิดีโอมืออาชีพถ่ายในงาน ทั้งนี้ราคาค่าอาหารเมนูที่มีบริการสำหรับแขก 100 คน จ่ายต่างหากเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว ส่วนดอกไม้ที่ตกแต่งในงานทางเซลส์ขอดูรายละเอียดว่าเป็นรูปแบบไหนและจะประมาณราคามาต่างหากซึ่งเต็มที่น่าจะไม่เกิน 20,000 บาท
ผ่านไปเกือบ 1 เดือนฉันได้รับแจ้งจากเซลส์ว่า เซลส์: ส่วนอื่นๆ ในแพ็คเกจแต่งงาน 99,999 บาท ที่ต้องการเพียงแค่งานหมั้นนั้น ทางต้นรักตัดให้ 6,000 บาท อนุญาตให้นำช่างภาพมาได้ ไม่รวมค่าดอกไม้ตกแต่ง และค่าอาหาร
ฉัน: ค่ะ ....(เงียบ).... (ในใจ: โอ้ เท่ากับว่าค่าเช่าสถานที่ เครื่องดื่มสมุนไพร ค่าเปิดเพลง ค่าตัวพิธีกร กับขันหมากคือ 93,999 บาท)
หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้น ฉันกลับไปหมกมุ่นอยู่กับการวางแผนอีกรอบ ฉันเริ่มจิตตก และสงสัยว่าฉันกำลังเรียนรู้คำว่า "ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ" อยู่ใช่ไหม
Create Date : 14 พฤษภาคม 2549 |
|
11 comments |
Last Update : 22 พฤษภาคม 2549 23:04:29 น. |
Counter : 997 Pageviews. |
|
|
|
เป็นกำลังใจให้แจ้นะคะ เพราะหนูรู้ว่าแจ้ต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดแน่ๆ