กรรมวิธีที่ พระจักรพรรดินี ... ทรงมีพระสิริโฉม ... งามที่สุดในโลก
สมเด็จพระจักรพรรดินีเอลิซาเบธ จักรพรรดินีที่ทรงพระสิริโฉมมากที่สุดในโลก
พระเกศาของพระองค์ที่ยาวมาก
สมเด็จพระจักรพรรดินีเอลิซาเบธแห่งออสเตรีย พระมเหสีในสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟที่ 1 แห่งออสเตรีย ทรงได้พระสมญานามว่า ทรงพระสิริโฉมงดงามมากที่สุดในโลก
พระองค์ทรงมั่นใจและทรงใส่พระทัยต่อการรักษาความงามของพระองค์ โดยทรงมีวิธีการรักษาความงามด้วยพระองค์เอง ไม่ว่าจะเป็นการดูแลพระพักตร์ พระทนต์ การรักษาพระวรกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ การใช้สมุนไพร การทะนุถนอมพระเกศา การรักษาพระฉวี ตลอดจนการเลือกเสวย เป็นต้น
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของราชสำนักออสเตรีย จากบุคคลที่ใกล้ชิดกับพระองค์ เช่น บารอนเนสวัลเลอร์ ซี (Baroness Waller Zee) ซึ่งเป็นหนึ่งในนางกำนัลคนสนิทของพระองค์ ได้เขียนลงบันทึกส่วนตัวไว้ดังนี้
พระวรกาย
ตอนกลางคืน พระองค์จะทรงพอกหน้าด้วยหน้ากาก ที่มีเนื้อลูกวัวสดๆ อยู่ข้างใน ส่วนพระหัตถ์และพระศอของพระองค์ จะทรงชโลมด้วยน้ำสตรอเบอร์รี่คั้น ผิวจะทรงบำรุงด้วยการสรงน้ำด้วยน้ำมันมะกอกอุ่น
และจะบรรทมในอ่างอาบน้ำ โดยเฉพาะในห้องสรงน้ำในพระราชวังอิมพีเรียลฮอฟบูร์ก พระองค์จะตื่นบรรทมประมาณ 5 นาฬิกา จะสรงน้ำเย็นก่อน แล้วจะมาทรงบรรทมในอ่างน้ำอุ่นที่ผสมกับน้ำมันมะกอก เพื่อให้พระฉวีของพระองค์นุ่ม
ซึ่งเวลาจะเสด็จพระราชดำเนินไปที่ใด ทรงมีพระเสาวนีย์ให้นางกำนัลนำอ่างน้ำอุ่นเคลื่อนที่ติดตามพระองค์ไปทุกที่ นอกจากนี้ เวลาพระองค์บรรทมทุกคืน จะบรรทมแบบนอนหงายราบไปกับพื้นพระแท่นบรรทมเหล็ก ซึ่งพระองค์ทรงเชื่อว่าเป็นวิธีที่จะช่วยให้สุขภาพดีที่สุด
พระเกศา อีกส่วนหนึ่งที่พระองค์ทรงใส่พระทัยมากที่สุดคือ พระเกศา ซึ่งหากปล่อยตามธรรมชาติจะยาวเกือบถึงพระบาท ซึ่งพระเกศาของพระองค์เป็นสิ่งเดียวในพระวรกายที่พระองค์ทรงชื่นชมมากที่สุด แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนสีพระเกศาจากสีบลอนด์เข้มเป็นสีน้ำตาลไหม้ แต่พระองค์ก็ทรงดูแลรักษาพระเกศาให้ดีอยู่เสมอ
โดยช่างตัดพระเกศาจะต้องถักเป็นเปีย ก่อนรวบขึ้นไปม้วนเป็นเหมือนมงกุฎบนพระเศียร
ทรงสระพระเกศานานถึง 3 ชั่วโมง โดยแชมพูหรือครีมนวดสูตรพิเศษ ที่ทรงคิดและดัดแปลงอยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่สูตรคอนยัคผสมกับไข่ ซึ่งจะต้องใช้เวลาทั้งวันกว่าพระเกศาจะแห้งตามกรรมวิธี
หลังจากสระพระเกศาเสร็จแล้ว พระองค์ก็จะทรงฉลองพระองค์ด้วยชุดไหมกันน้ำ จากนั้นก็จะเสด็จพระราชดำเนินไปมาเรื่อยๆ จนกว่าพระเกศาของพระองค์จะแห้ง
ดังนั้น ช่างพระเกศาจึงเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งของราชสำนัก เพราะส่วนใหญ่ พระอารมณ์ของพระองค์จะดีหรือเสียในแต่ละวัน ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับผีมือการแต่งพระเกศาของช่าง ว่าจะเป็นที่พึงพอพระทัยแค่ไหน โดยช่างพระเกศาที่พระองค์ทรงพึงพอพระทัยมากที่สุดคือ แฟนนี่ แอนเจอเรอร์ (Fanny Anjerer) ซึ่งได้มาทำงานในราชสำนักได้อย่างบังเอิญ
วันหนึ่ง พระองค์เสด็จ ฯ ไปทอดพระเนตรละครโอเปร่าในกรุงเวียนนา ทรงเห็นทรงผมของนักแสดงคนหนึ่งสวยสะดุดพระทัย จึงถามผู้จัดงานละครว่าใครทำผมให้ ผู้จัดละครกราบบังคมทูลว่าเป็นฝีมือของช่างทำผมประจำโรงละครชื่อ แฟนนี่
พระองค์จึงทรงนำแฟนนี่เข้ามาทำงานในราชสำนัก เป็นช่างพระเกศาประจำพระองค์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยได้รับพระราชทานเงินรายปี ปีละ 20,000 กูลเด้น ซึ่งเท่ากับรายได้ของศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย
พระองค์ทรงพอพระทัยในฝีมือการทำพระเกศาของแฟนนี่มาก เมื่อพระองค์เสด็จ ฯไปที่ใด จะมีแฟนนี่คอยยืนอยู่ข้างหลังที่ประทับอยู่ตลอดเวลา คอยจับตาดูความเรียบร้อยของทรงพระเกศา และความงามของพระองค์อยู่ตลอดเวลา
ยิ่งตอนที่แฟนนี่สมรสกับฮิวโก ไฟฟาลิก นายธนาคาร (Hugo Fyfalic) พระองค์ก็ทรงจัดงานสมรสให้ แต่ด้วยกฎมณเฑียรบาลได้ระบุไว้ว่า หากนางในราชสำนักแต่งงานจะต้องออกไปอาศัยอยู่ข้างนอก
พระองค์จึงหาทางขอพระบรมราชานุญาตพิเศษ จากสมเด็จพระจักรพรรดิฟรานซ์ โจเซฟพระสวามี ให้ทรงแก้กฎมณเฑียรบาลข้อนี้ ทำให้แฟนนี่สามารถแต่งงาน และสามารถอาศัยอยู่ภายในเขตพระราชฐานต่อไปได้
และนอกจากนี้ พระองค์ยังทรงนำฮิวโก้ สามีของแฟนนี่ มาเป็นราชเลขานุการส่วนพระองค์อีกด้วย
พระทนต์
ถึงอย่างไรก็ตาม ความงามของพระองค์ก็ยังมีข้อบกพร่องอย่างหนึ่ง คือ พระทนต์ 2 ซี่หน้า ที่มีสีออกน้ำตาลอมเหลือง เนื่องจากสุขภาพพระทนต์ไม่ค่อยดี โดยเมื่อพระองค์ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับผู้ใด จะทรงใช้พัดปิดพระโอษฐ์ของพระองค์ เพื่อไม่ให้ผู้ใดได้เห็นพระทนต์ของพระองค์
ไม่ว่าจะทรงแปรงพระทนต์อย่างไร ก็ไม่สามารถแก้ไขพระทนต์ให้ขาวขึ้นมาได้ พระองค์จึงทรงใช้วิธีธรรมชาติคือ จะทรงเม้มริมพระโอษฐ์บนมาคลุมพระทนต์ไว้ เมื่อเวลาจำเป็นต้องเผยพระโอษฐ์ ก็จะทรงใช้ผ้าซับพระพักตร์มาบังไว้ ทำให้ผู้ที่มาเข้าเฝ้าพระองค์จะรู้สึกอึดอัดใจ ในพระอิริยาบถแปลกๆ ของพระองค์
จนกระทั่งต่อมา วิวัฒนาการด้านทันตกรรมดีขึ้น พระองค์จึงทรงถอนพระทนต์ 2 ซี่หน้าออก แล้วใส่พระทนต์ปลอมแบบถอดเข้าออกได้แทน ซึ่งทรงสามารถถอดออกล้างทำความสะอาดในแก้วน้ำ แล้วทรงใส่กลับเข้าไปใหม่ได้อย่างรวดเร็ว โดยแทบมองตามไม่ทันเลยทีเดียว
ส่วนอีกส่วนหนึ่งของข้อบกพร่องในความงามของพระองค์คือ พระสุรเสียง ซึ่งจะทรงมีพระสุรเสียงที่ทุ่มต่ำและเบามาก จนกลายเป็นปมด้อย ทำให้พระองค์ทรงไม่ค่อยโปรดออกสังคม และปฏิบัติพระราชกรณียกิจอันใดเลย บางครั้งที่พระองค์ทรงจำเป็นต้องปฏิบัติพระราชกรณียกิจ พระองค์จะทรงวิสาสะกับผู้คนให้น้อยที่สุด หรือทรงเลือกตอบแต่น้อยที่สุด
พระวรกาย
เมื่อพระองค์ทรงมีพระชนมายุมากขึ้น พระองค์ยิ่งต้องทรงต่อสู้กับการทำให้มีพระวรกายคงดีอยู่เสมอ ทรงใช้วิธีการควบคุมอาหารเพื่อทรงไม่ให้อ้วน ทรงใช้วิธีออกกำลังกายเพื่อให้พระพลานามัยแข็งแรงทุกวัน วันละหลายชั่วโมง
ทรงบำรุงพระฉวีด้วยน้ำมันจากธรรมชาติหลายอย่าง อีกทั้งเครื่องสำอางที่จะทรงต้องคิดค้นสูตรเครื่องสำอางขึ้นมาเอง และทรงเก็บเป็นความลับอีกด้วย เพื่อทรงป้องกันการระแคะระคายจากอาร์คดัชเชสหลายพระองค์ที่ทรงไม่ชอบพระองค์
พระองค์ทรงมีนางกำนัลที่ซื่อสัตย์คนหนึ่งคือ มารี ลาริสซ์ (Marie Larisz) ช่วยคิดค้นสูตรผลิตเครื่องสำอางขึ้นมาในการบำรุงพระฉวี เช่น เมื่อถึงฤดูการปลูกสตรอเบอร์รี่ ก็จะทรงใช้สตรอเบอร์รี่พอกพระพักตร์ สรงน้ำอุ่นผสมน้ำมันมะกอก เพื่อให้พระฉวีนุ่มและชุ่มชื้นขึ้น
บางครั้ง พระองค์จะทรงใช้ผ้าชื้นๆ มาพันรอบบั้นพระองค์ไว้ เพื่อความกระชับ และป้องกันไขมันสะสม ยิ่งเมื่อพระองค์ทรงมีพระชนมายุมากขึ้น รอยพระพักตร์ก็เริ่มมีขึ้นตามธรรมชาติเช่นกัน พระองค์ทรงยิ่งต่อสู้เพื่อให้มีพระพักร์ที่เปล่งปลั่ง และสิริโฉมงดงามอยู่เสมอ
ส่วนการออกกำลังพระวรกาย พระองค์ก็ทรงใส่พระทัยในการออกกำลังพระวรกาย โดยไม่ว่าจะเสด็จฯ ไปที่ใด จะต้องมีอุปกรณ์ออกกำลังพระวรกายไปด้วย
โดยพระองค์จะทรงออกกำลังพระวรกายอย่างน้อย 2 ชั่วโมง พร้อมกับทรงชักชวนผู้คนรอบข้างมาร่วมออกกำลังกายร่วมกับพระองค์ ซึ่งผู้คนสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องแปลก ที่พระองค์ทรงใส่พระทัยการออกพระกำลังมากขนาดนี้
ซึ่งการรักษาพระวรกาย และพระพลานามัยอย่างเข้มงวดที่ทรงปฏิบัติมาตั้งแต่ต้น ทำให้พระวรกายและรูปร่างของพระองค์ทรงดูสง่า ปราดเปรียวอยู่เสมอ แม้พระชนมายุจะมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ตาม
พระกระยาหาร
ในเรื่องพระกระยาหารที่พระองค์จะเสวย พระองค์ก็จะทรงตรวจดูพระกระยาหารทุกมื้อ พระองค์ทรงเข้มงวดและควบคุมพระกระยาหารอย่างเคร่งครัด โดยแต่ละมื้อจะมีของคาว 4 อย่าง ของหวาน 4 อย่าง กาแฟ และอื่นๆ อีกมากมาย
พระองค์จะทรงใช้เวลาเสวยพระกระยาหารไม่เกิน 25 นาที แต่นานๆครั้ง พระองค์จะเสวยพระกระยาหารหนักๆ เช่น พวกไก่ นกกระทา เนื้อกวาง หรือเนื้อวัว โดยส่วนใหญ่แล้ว จะไม่เสวยอะไรมากไปกว่า ไข่ น้ำส้ม และนมสด ซึ่งเครื่องดื่มที่พระองค์ทรงโปรดมากที่สุดคือ นมวัวสดๆจากเต้าของวัว
และจะไม่ใช่จากวัวตัวไหนก็ได้ เพราะว่ารสชาติจะไม่เหมือนกัน วัวนมของพระองค์จะต้องคัดพิเศษจากฟาร์มในกรุงเวียนนา ที่ทรงเลือกเองและทรงทดสอบรสชาติน้ำนมด้วยพระองค์เอง นอกจากนั้น ยังทรงโปรดไอศกรีม หอยนางรม และเบียร์เยอรมัน
เครื่องดื่มที่พระองค์ทรงโปรดมากที่สุด คือ เครื่องดื่มที่ปรุงพิเศษอย่างหนึ่งที่มีส่วนผสมของไข่ดิบ 5-6 ฟองกับเกลือ ที่ทำให้พระองค์ทรงสิริโฉมงดงามดั่งที่ผู้คนร่ำลือกัน
ขอขอบคุณ วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สิริสวัสดิ์วุธวาร เปรมปรีดิ์มานรื่นรมณีย์ค่ะ
Create Date : 21 กรกฎาคม 2553 |
|
0 comments |
Last Update : 30 กรกฎาคม 2553 2:06:44 น. |
Counter : 2003 Pageviews. |
|
|
|