อิสระของชีวิต คือ การได้วิ่งตามฝัน Cute Sanrio Glitter Graphics

คูน้ำริน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





Group Blog
 
<<
มกราคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
4 มกราคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add คูน้ำริน's blog to your web]
Links
 

 
ณ แดนนี้ยังมีรัก ตอนที่ 8

ตอนที่8 : เทพนารี

เสียงดนตรีพื้นเมืองท่วงทำนองเชื่องช้า ฟังไปคล้อยเสียงซอ ผสมผสานกับการร้องด้วยภาษาที่ไม่ค่อยจะคุ้นหู แม้เสียงจะลอยตามลมมาพอให้ได้ยินแผ่วๆ แต่มันก็สามารถเรียกสติของหญิงสาวที่ตกอยู่ในภวังค์แห่งความหลับใหล ให้ฟื้นขึ้นมาสู่โลกแห่งความจริงได้ ปริชมนตื่นขึ้นมาอย่างงัวเงีย รู้สึกหนักอึ้งที่ศีรษะอย่างแรง หญิงสาวปวดจี๊ดจนต้องยกมือขึ้นกุมขมับ

“ปวดหัวชะมัด” ปริชมน รู้สึกหงุดหงิดกับตัวเอง ก่อนจะพยายามตั้งสติเรียกความคิดต่างๆให้ค่อยๆหลั่งไหลเข้าสู่สมองอย่างช้าๆ เมื่อคืนเธอจำได้แค่ว่า ตัวเองอยู่ในห้องน้ำ กำลังลงอ่างเพื่อจะอาบน้ำ แล้วก็เผลอคิดเรื่องต่างๆมากมาย ก่อนจะไม่รู้สึกตัวอีกเลย

“ตายจริง ! ” ปริชมน ตื่นตะลึงด้วยความตกใจ เธอต้องเผลอหลับไปแน่ๆ หญิงสาวหวนคิด หลังจากที่เธอต้องลงไปเล่นน้ำด้วยความไม่เต็มใจนั้น เธอก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและอ่อนเพลียอย่างมาก ทันทีที่ร่างกายได้สัมผัสน้ำอุ่นๆมันก็รู้สึกสบายตัวอย่างเหลือเชื่อ เธอคงเผลอไผลหลับคาอ่างไปแน่ๆ

“ยัยปีนัง หนอ ยัยปีนัง ไม่น่าเลย แล้วเรากลับมานอนแหมะอยู่ที่เตียงได้ยังไงหว่า” หญิงสาวครุ่นคิดพลางมือกุมขมับไปพลางทำไมเธอถึงได้ปวดหัวอย่างนี้

ประตูห้องถูกเปิดกว้าง นกยูงกับนางกำนัลอีกคนหนึ่ง เดินเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารหย่อมๆในมือ

“ตื่นแล้วหรือค่ะคุณปีนัง”นกยูงยิ้มแย้มทักทาย ก่อนจะหันไปบอกนางกำนัลให้วางถาดอาหารไว้บนโต๊ะอาหารขนาดเล็กภายในห้อง

“ค่ะ ฉันเป็นอะไรไปอีกค่ะ” หญิงสาวฝืนยิ้ม ทั้งที่ตอนนี้รู้สึกราวกับว่า ร่างกายตัวเองร้อนจนจะระเบิดอยู่แล้ว

“เมื่อคืนคุณเผลอหลับไปในอ่างอาบน้ำนะคะ โชคดีที่ไม่เป็นอะไร” นกยูงตอบคำถาม โดยที่ไม่มองหน้าปริชมนแสร้งทำเป็นจัดอาหารหมุนไปหมุนมา เธอเลี่ยงที่จะไม่พูดต่อจากนั้น หากปริชมนยังไม่หายข้องใจ

“ฉันต้องขอโทษจริงๆ ที่ทำให้เดือดร้อน ฉันนี่แย่จริงๆ แล้วใครเป็นคนช่วยพาฉันกลับมาที่เตียงค่ะ ฉันจะได้ขอบคุณ” หญิงสาวนึกตำหนิตัวเอง ถ้าเรื่องนี้รู้ถึงพระกรรณเจ้าชายชิติโชคิม เธอคงอับอายอย่างมาก จนอาจจะหนีกลับเมืองไทยไปเลย

“เอ้อ ! ก็นกยูงกับพวกเด็กๆอีกสอง สามคนนี่แหละค่ะที่ช่วยกัน แหม...คุณปีนังตัวเล็กนิดเดียว ช่วยกันพยุงก็ได้แล้วค่ะ” บาปกรรมแท้ๆ ทำไมเธอจะต้องมานั่งโกหกอะไรอย่างนี้ด้วยนะไม่ชอบเลย ก็เจ้าชายนะสิ ทรงมีรับสั่งเด็ดขาดว่า เรื่องเมื่อคืน นอกจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์แล้ว ห้ามให้ใครรู้เรื่องเป็นอันขาด แม้แต่คุณปีนังเองก็ห้ามให้รู้ นกยูงคิดว่าคงเกรงว่าหากคุณปีนังรู้จะอับอายได้ เพราะคนที่เข้าไปอุ้มเธอขึ้นจากอ่างน้ำคือ เจ้าชายชิติโชคิมและแน่นอนสิ่งที่ทุกคนอดคิดไม่ได้ คุณปีนังจะอยู่ในสภาพแบบไหนตอนอยู่ในอ่าง เรื่องนี้ไม่มีใครรู้นอกจากองค์เจ้าชายและนกยูงที่ได้ทำหน้าที่ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับหญิงสาวเมื่อคืนเท่านั้น นกยูงเองก็ไม่คิดจะบอกกล่าวกับใคร แม้แต่รอยผู้เป็นสามี ซึ่งเธอก็คิดว่าไม่มีใครกล้าซักถามต่อ

“ฉันต้องขอบคุณคุณนกยูงมากเลยนะคะ ฉันทำให้คุณเป็นธุระเดือดร้อนอยู่เรื่อย” หญิงสาวไหว้เป็นการขอโทษดีจัง แสดงว่าเรื่องนี้เจ้าชายก็ไม่ทรงทราบค่อยโล่งอกหน่อย

“คุณปีนังเป็นอะไรค่ะ” นกยูงสังเกตท่าทีปริชมน ที่เอาแต่นั่งชันเข่ามือกุมขมับอยู่บนเตียง ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ รู้สึกปวดหัวมาก” ปริชมนไม่อยากให้ใครมาเป็นกังวลเพราะเธอ โดยเฉพาะนกยูง เธอคิดว่าทำให้หญิงสาวลำบากมามากพอแล้ว หากตัวเธอรู้ดี เหมือนคนป่วยที่เริ่มแสดงอาการเธอเป็นไข้แน่ๆ

“ไหนขอนกยูงจับตัวดูหน่อยนะคะ” นกยูงเดินเข้าไปใกล้ๆเอื้อมมือจับหน้าผาก แล้วก็ตกใจตัวหญิงสาวร้อนราวกับไฟ

“ตัวคุณร้อนมากเป็นไข้แน่ๆ เดี๋ยวนกยูงจะให้เด็กไปตามหมอมาดูอาการนะคะ” นกยูงนึกสงสารหญิงสาวจับใจตั้งแต่เหยียบแผ่นดินเมลา คุณปีนัง เคยยิ้มบ้างหรือยังหนอ

“อย่านะคะ ฉันไม่อย่างให้ใครเดือดร้อนเพราะฉันอีก” ปีนังร้องห้ามเสียงหลง

“แต่คุณตัวร้อนมากนะคะ” นกยูงท้วงติงกับความคิดของหญิงสาว

“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวก็หาย ฉันขอแค่ยาสักชุดนึงก็พอฉันไม่ต้องการให้ใครรู้” ใครที่ว่าไม่ต้องบอกนกยูงก็รู้ว่าหมายถึงเจ้าชายชิติโชคิมแน่ นกยูงยิ้มต่างคนต่างไม่อยากไม่รู้เรื่องของอีกฝ่าย แต่ไหงยามเอ่ยถึงกัน สายตาไม่ได้บอกเช่นนั้นเลย

“ได้ค่ะ เดี๋ยวนกยูงจะจัดการให้” นกยูงหุบยิ้มทันที เมื่อนึกถึงบ้างเรื่องได้ เรื่องที่เธอไม่เห็นด้วยแต่แรกฟัง ตั้งแต่ตอนที่รอยมาบอกทรงรับสั่งให้ย้ายคุณปีนังไปอยู่ที่เทพนารี แต่ก็ต้องตัดใจบอกให้ปีนังรู้

“จริงด้วยสิ...นกยูงมีเรื่องจะต้องแจ้งให้คุณปีนังรู้ค่ะ คือ..ว่าเจ้าชายทรงมีพระประสงค์ให้คุณย้ายจากที่นี่ไปอยู่ที่ตำหนักเทพนารีค่ะ ความจริงจะให้คุณย้ายไปวันนี้ แต่ว่าคุณไม่สบายแบบนี้ ให้ไปอยู่ที่แบบนั้นนกยูงไม่เห็นด้วยเลย นกยูงจะกลับไปทูลให้ทรงทบทวนรับสั่ง ไว้ให้คุณหายป่วยค่อยว่ากันใหม่” นกยูงกลับหวนคิดในใจถึงความน่ากลัวของที่นั้น อยู่ตำหนักเทพนารีที่นั้นใครๆ ก็รู้ว่าเป็นที่คุมขังคนฝ่ายในที่กระทำผิดมาก่อน คนที่นี่เล่าลือถึงตำหนักนี้แต่ละอย่าง มีแต่เรื่องโหดร้ายน่ากลัวทั้งนั้น ทั้งถูกทิ้งให้หนาวตาย บางคนก็ว่าในอดีตมีสนมบางองค์ทนทรมานที่จะอยู่ตำหนักนี้ไม่ไหว ถึงขั้นฆ่าตัวตายก็มีฉะนั้นเธอจึงแปลกใจที่มีรับสั่งเช่นนี้ ตำหนักที่แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไป

“ตำหนักเทพนารี เป็นยังไงค่ะชื่อเพราะจังฉันชอบชื่อนี้” ปริชมนมีแววสดใสขึ้นมาทันที แม้จะไม่รู้เหตุผลแท้จริงว่าจะเคลื่อนย้ายเธอด้วยจุดประสงค์ใด หากหญิงสาวก็คิดว่าเป็นการดี อย่างน้อยเธอคงจะมีอิสระไปต้องอยู่ในสายตาของคนในวังพิรัยธาตลอดเวลาแบบนี้ อีกอย่างเธอจะได้อยู่ห่างๆจากพระนมริยาที่จะมาคอยจ้ำจี้จ้ำไชกับเธอด้วย

“ไม่รู้สิคะ นกยูงเองก็ไม่เคยเข้าไป” นกยูงตอบตามความสัตย์ ให้หญิงสาวไปพบเองจะดีกว่า เห็นสีหน้าท่าทางดีใจของหญิงสาวแล้ว นกยูงก็ยิ่งรู้สึกสงสารที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้

“ย้ายวันนี้เลยก็ได้ค่ะฉันไหวไม่เป็นไร” หญิงสาวพยายามฝืนยิ้มสู้นึกขอบใจรับสั่งนัก

“แต่ว่าคุณป่วย”

“โถ...ถ้าอยู่ที่นี่ฉันคงไม่มีทางหายป่วยแน่ค่ะ เดี๋ยวจะมีคนบ้าอำนาจมาลากตัวฉันลงไปเล่นน้ำโดยที่ไม่เต็มใจ” ปริชมนสายตาอ้อนวอนจนนกยูงใจอ่อน

“ค่ะๆๆ นกยูงยอมแพ้คุณแล้ว แต่ว่าตอนนี้คุณต้องกินยาแล้วพักผ่อนก่อน กว่าจะย้ายคุณไปอยู่ตำหนักนู้นก็คงช่วงบ่ายๆ เพราะตอนนี้คุณก็ลงไปไหนไม่ได้อยู่ดี เพราะข้างล่างมีงานเลี้ยงรับรองแขกจากอินเดีย” นกยูงทำท่ายกมือขึ้นทั้งสองข้างคุณปีนังดื้อเอาการทีเดียว

“คนจากสถานกงสุลอินเดีย มิน่าล่ะ ฉันได้ยินเสียงเพลงพื้นเมืองแว่วมาถึงนี่ เจ้าชายทรงห้ามไม่ให้ฉันลงไปวุ่นวายใช่ไหมค่ะ”ปริชมนพูดน้อยใจ

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ เพียงแต่ข้างล่างมีแต่แขกผู้ชาย หากเราลงไปร่วมด้วย เกรงว่าจะไม่งาม เสียงเพลงที่คุณได้ยินคงเป็นจากระบำหน้ากากที่เลื่องชื่อของเมลา แล้วก็รำถวายทวยเทพสวยงามมากค่ะ ไว้วันหลังคุณคงมีโอกาสได้เห็น

“ฉันเข้าใจค่ะ” ปริชมน พูด แล้วหยิบยาที่นกยูงยื่นให้ขึ้นมากิน ก่อนที่นกยูงจะขอตัวกลับลงไปช่วยงานข้างล่างหญิงสาวอดตื่นเต้นไม่ได้กับที่พักแห่งใหม่ “ตำหนักเทพนารี” จะเป็นยังไงหนอ
.........................................

เมื่อรำถวายทวยเทพจบลง เสียงปรบมือจากแขกผู้มีเกียรติก็ดังขึ้น พร้อมกับคำชื่นชมจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสถานกงสุลอินเดีย


“มันเป็นศิลปะที่สวยงามมาก ทั้งอ่อนช้อยและเข้มแข็ง สะท้อนให้เห็นว่าสตรีที่เกิดบนภูสูง สามารถเป็นได้ทั้งหญิงที่อ่อนโยนและเข้มแข็ง หม่อมฉันประทับใจมากพะยะค่ะเจ้าชาย” เสียงเอ่ยชมอย่างไม่ขาดปาก

“ผมดีใจที่การแสดงของเราสร้างความประทับใจให้ทุกท่าน”เจ้าชายชิติโชคิมยกแก้วไวน์ในพระหัตถ์ชูขึ้นเป็นสัญญาณแห่งการดื่มฉลอง พร้อมกับความโล่งใจของเขา ที่สามารถใช้การร่ายรำ บรรลุข้อตกลงเรื่องการปันผลผลิตชาได้

“โล่งอกไปทีนะพะยะค่ะ ต่อไปนี้ปัญหาการเก็บชาที่ดาร์จิลิ่งก็คงไม่ยุ่งยากเหมือนอย่างเคย” ทัยคุน ทูลกับผู้เป็นนาย

“อืม...ช่าย...” เจ้าชายชิติโชคิมทรงใช้พระหัตถ์ตบลงที่ต้นพระศอเบาๆ เพื่อขับไล่ความปวดเมื่อย ใช่แล้ว ต่อไปนี้ปัญหาการเก็บผลิตผลชาที่ดาร์จิลิ่งจะหมดไป หลังจากที่เรื้อรังมานาน เพราะทางอินเดียต้องการส่วนแบ่งถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ ในฐานะเป็นเจ้าของแผ่นดิน ทั้งๆที่ ที่ดินผืนนั้นมีการตกลงซื้อขายเป็นสิทธิ์ขาดของทางเมลาแล้วแท้ๆ เมลาต้องสูญเสียผลประโยชน์นานนับปี หากไม่ยินยอมก็ไม่สามารถขนย้ายผลิตผลออกนอกพื้นที่ได้ เขาคิดหาวิธีเจรจาอยู่นาน โชคดีที่สืบรู้มาว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งที่ทำงานในกงสุลอินเดีย เป็นญาติสนิทของรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรอินเดีย เดินทางมาเที่ยวพักผ่อนที่เมลา เขาจึงเชิญมาเลี้ยงรับรองที่วังและก็เป็นไปตามคาด เพียงไม่กี่ชั่วโมงเจ้าหน้าที่คนนั้นก็ถูกโน้มน้าวให้ช่วยเจรจาเรื่องผลิตผลชากับรัฐมนตรีเกษตรอินเดีย

“ใช้คนใน ย่อมดีกว่าคนนอก” วิธีนี้เป็นหลักการง่ายๆที่ใครๆก็รู้เพียงแต่จะสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้มากน้อยแค่ไหนเท่านั้น

“ปีนังเป็นยังไงบ้าง” จู่ๆก็ทรงตรัสถามถึงปริชมน จนรอยที่กำลังจะดื่มน้ำแทบสำลัก ก็มันแปลกนะสิ ที่ตรัสถามถึงคุณปีนัง แถมยังเรียกว่า ปีนัง ซะด้วยเป็นครั้งแรกที่เรียกชื่อเล่นของปริชมน

“เธอกำลังเตรียมตัวย้ายไปที่ตำหนักเทพนารีพะยะค่ะ” รอย กราบทูล

“แล้วทางตำหนักนู้นปัดกวาดไปถึงไหนแล้ว” ทรงตรัสถามถึงทางตำหนักเทพนารีที่ทรงมีรับสั่งให้พระนมริยาไปคอยควบคุมดูแลปัดกวาดเช็ดถูแต่เช้าตรู่ เพื่อพร้อมให้ปริชมนย้ายเข้าไปอยู่ให้ทันในบ่ายนี้

“เรียบร้อยแล้วพะยะค่ะ ข้าหลวงที่เพิ่งกลับมารายงานว่าตำหนักเทพนารีซ่อมแซมและปัดกวาดเสร็จแล้ว น่าอยู่จากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว” ทัยคุน กราบทูลเจ้าชายชิติโชคิมทรงมีสีพระพักตร์ที่พอพระทัยเป็นอย่างมาก

“ย้ายปีนังไปอยู่ที่โน้นฉันจะให้นกยูงไปอยู่เป็นเพื่อนกับนางกำนัลอีกสองคน จะได้ช่วยกันดูแลแม่คนฤทธิ์มากอ้อ..เย็นนี้จัดโต๊ะกินข้าวที่โน้นด้วย ฉันมีเรื่องต้องคุยกันปีนัง”เจ้าชายชิติโชคิมทรงไขว้พระหัตถ์ไว้เบื้องหลังยามตรัสสุรเสียง แสดงถึงท่าทีเหน็ดเหนื่อยทรงมิได้บรรทมเลยตั้งแต่เมื่อคืน คงจะจริงอย่างพระนมว่าการมาของ ปริชมนเป็นการมาที่นำพาความยุ่งยากมาด้วย คงต้องขอบใจนกยูงไม่น้อย ที่ช่วยเกลี่ยกล่อมให้ปริชมนยอมไปอยู่ตำหนักเทพนารีแต่โดยดี

เจ้าชายชิติโชคิมทรงครุ่นคิดเรื่องของปริชมน ทรงเข้าพระทัยว่าปริชมนยอมไปอยู่ที่ตำหนักเทพนารีด้วยการเกลี่ยกล่อมของนกยูง ทว่าทรงหารู้ไม่ว่าทรงเข้าพระทัยผิดมหันต์!!!
…………………..
“เอ้าๆพวกหล่อนนี่ตั้งใจทำงานกันหน่อย เก้าอี้วางไว้มุมซ้ายไม่ใช่มุมขวา ตะกี้ฉันก็บอกแล้วเฮ้อ..ทำไมมันถึงได้สอนยากสอนเย็นอย่างนี้” พระนมริยายืนแขนเท้าสะเอว บ่นเป็นหมีกินผึ้งกับเหล่าข้าหลวงที่ถูกเกณฑ์มาให้ช่วยปรับปรุงทำความสะอาดตำหนักเทพนารี

เทพนารีตำหนักที่ถูกปิดตายกว่าสามสิบปี ถูกทิ้งร้างจนซ่อมซ่อตำหนักเล็กๆที่มีแต่ความหนาวเย็น อยู่ติดกับประตูไฟ ประตูเก่าแก่ที่ปิดใช้งานไปพร้อมๆกัน เจ้าชายทรงมีรับสั่งให้ซ่อมแซมตำหนักนี้ให้เหมือนใหม่ แต่ไม่ได้ทรงรับสั่งให้ซ่อมประตูไฟด้วย คงมิต้องการให้แม่คนนั้นหนีเที่ยวผ่านประตูนั้นล่ะมั้ง

“ฉันล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทรงคิดอย่างไร จะไล่ให้พ้นวังก็สามารถทำได้ แล้วทำไมไม่ทรงทำย้ายมาที่นี่ให้ยุ่งยาก”
พระนมพูดเรื่อยเปื่อยโดยไร้คู่สนทนา หากทว่าในใจนั้น มีแต่ความกังวล เหลือเวลาอีกแค่สองวันเจ้าหญิงเนรัญชรากับเจ้าชายฤธัตธรณ์จะเสด็จมาที่นี่ ลำพังเจ้าหญิงเนรัญชราก็แย่พออยู่แล้ว จะทรงคิดประการใดหากทรงทราบว่า ว่าที่พระคู่หมั้นแอบนำสตรีอื่นมาซุกซ่อนไว้ อีกทั้งสตรีนางนี้ก็ไม่ธรรมดาซะด้วย เป็นพระสหายที่หายไปของเจ้าชายฤธัตธรณ์ ที่ทรงวุ่นวายตามหาไม่เลิก สถานการณ์ต่างๆจะเป็นอย่างไรเดาไม่ถูกเลยจริงๆ พระนมริยามองรอบๆตำหนักหลังเล็กนี้ “เทพนารี” ชื่อของมันดูไพเราะเป็นมงคลนัก หากประวัติของมันนะซิโหดร้ายเหลือเกิน “เจ้าหญิงชมัญดา”พระขนิษฐาแห่งองค์สมเด็จพระราชาธิบดีกับความรักต้องห้ามในราชสำนัก จึงต้องมีจุดจบที่น่าสงสารในตำหนักอันหนาวเย็นแห่งนี้ พระนมพลันคิดถึงปริชมนขึ้นมา จริงอยู่แม้ตำหนักนี้จะถูกปรับปรุงใหม่แต่สำหรับคนที่ล่วงรู้ประวัติของที่นี่ แม้แต่นางเองยังไม่อยากย่างกรายเข้ามา แล้วถ้าปริชมนรู้ว่าที่นี่เคยเกิดอะไรขึ้นจะเป็นอย่างไรน่า เฮ้อ..ไม่เข้าใจยังคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจเจ้าชายทรงคิดอะไรอยู่ในพระทัยกันแน่
................................
ปริชมนกำลังนั่งเอนหลังพิงเก้าอี้โยก หลับตาคิดอะไรเพลินๆอยู่ในห้อง เสียงเพลงที่เธอได้ยินเงียบลงไปแล้วหันไปมองนาฬิกาก็บ่งบอกว่าเป็นเวลาบ่ายกว่าๆแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครเข้ามาบอกเธอเลยสักคน ว่าจะให้ย้ายไปที่ตำหนักเทพนารีได้เมื่อไหร่

ตั้งแต่ตอนที่นกยูงบอกเรื่องเจ้าชายใจร้ายจะย้ายเธอไปอยู่ตำหนักเล็กๆ ที่ห่างจากวังพิรัยธาเธอก็แสนจะดีใจ อยู่ที่นี่อึดอัดขยับตัวทีก็มีแต่เรื่อง ย้ายไปอยู่ห่างหูห่างตาผู้คน จะคิดจะทำอะไรก็คงสะดวกขึ้น เธอจึงไม่เอ่ยถามเหตุผลจากนกยูงสักคำ ย้ายเธอทำไม...ทั้งที่ในใจยังมีข้อสงสัย

“เธอนี่เป็นคนที่ได้สบายอย่างน่าอิจฉามากเลยนะปีนัง” สุรเสียงคุ้นเคยดังเหน็บแนมมาแต่ไกล ปริชมนันตัวลุกขึ้นทันที
“ตะกี้ทรงตรัสเรียกหม่อมฉันว่าอย่างไรนะเพคะ” ปริชมนถอนสายบัวงดงาม ยังไงก็ตาม หญิงสาวย้ำกับตัวเองอยู่เสมอว่า ชายผู้นี้คือเจ้าชายผู้สูงส่งด้วยเกียรติยศและชาติกำเนิด อย่างยากที่เธอจะเทียบ เธอระลึกอยู่เสมอว่าตัวเองก็แค่เศษธุลีเล็กๆ ที่เผอิญนึกอยากหาญกล้าไปเข้าพระเนตรเจ้าชายผู้สง่างามให้ระคายเคืองก็เท่านั้น

“ข้องใจอะไร” ทรงแสร้งผินพระพักตร์ไปทางอื่นเสีย ทำไมจะไม่รู้ว่าหญิงสาวหมายถึงอะไร ก็พระองค์เล่นเปลี่ยนสรรพนามหันมาเรียกชื่อเล่นเข้าเจ้าตัวเลยถึงกับงง

“ทรงตรัสเรียกหม่อมฉันว่า ปีนัง” ปริชมนขมวดคิ้วเรียวสวยด้วยความข้องใจ

“แปลกตรงไหนเล่า ชื่อเล่นเขามีไว้เรียกกันไม่ใช่เหรอ”เจ้าชายชิติโชคิมทรงหมุนพระวรกาย สาวพระบาทไม่กี่ก้าวก็มายืนประจันหน้ากับหญิงสาวแล้ว เล่นเอาปริชมนหายใจไม่ทั่วท้อง

“ตาบ้า ! เล่นหายใจรินต้นคอแบบนี้ จะแกล้งกันหรือไง” ปริชมนนึกกร่นอยู่ในใจ ตอนนี้เธอแทบจะยืนไม่อยู่แล้ว ภายในกายสั่นไปหมด อยู่ใกล้เขาทีไร พาลเสียเรื่องทุกทีสิน่า

“ฉันมีเรื่องจะคุยกันเธอ” นั่นปะไรทรงเริ่มตีหน้าขรึมอีกแล้ว

“หากเป็นเรื่องที่จะให้หม่อมฉันไปอยู่ที่ตำหนักเทพนารี หม่อมฉันทราบแล้วเพคะ คุณนกยูงเธอแจ้งให้ทราบแล้ว”ปริชมนไม่รอช้าด้วยกลัวว่าจะทรงเปลี่ยนพระทัย

“นั้นก็เรื่องหนึ่ง ในเมื่อรู้ฉันก็จะได้ไม่พูดมาก เอาเป็นว่าถ้าพร้อมเธอลงไปตอนนี้เลย ข้าหลวงที่ไปเก็บกวาดทางโน้น แจ้งมาว่าทำความสะอาดเสร็จแล้ว ส่วนเรื่องอื่นเราเดินไปคุยกันไปก็ได้ เพราะว่าระยะทางจากที่นี่ไปตำหนักเทพนารีก็อักโขอยู่” ตรัสแล้วก็ทรงฉวยข้อมือเธอแล้วพาเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องทันที ปริชมนได้แต่อึ้งทั้งตกใจทั้งพูดไม่ออก คนอาร้าย..เอาแต่ใจตัวจะทำอะไรก็ทำไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่นแย่จริงๆ

“เดี๋ยวๆก่อนเพคะ” ปริชมนสะบัดข้อมืออย่างแรง เพื่อให้หลุดจากหัตถ์แน่น ที่เกาะกุมพาเธอกึ่งเดินกึ่งลาก

“อะไรอีกเล่า..ฉันเห็นเธอแสดงอาการดีใจ คิดว่าอยากเห็นตำหนักเทพนารีเร็วๆซะอีก” เจ้าชายหนุ่มหันพระพักตร์มามองแววเนตรดุ ผู้หญิงเรื่องมากอย่างนี้ทุกคนหรือเปล่าหนอ..คงไม่หรอก เนรัญชรายังไม่เป็นแบบนี้เลย

“ก็จะไม่ให้หม่อมฉันเตรียมตัวเลยหรือเพคะ อยู่ดีๆก็มาฉุดกระชากลากถูกันแบบนี้ หม่อมฉันก็ตกใจแย่” ปริชมนพูดเบาๆ จนเกือบจะกลายเป็นอู้อี้ไป เธอรู้ตัวดีตอนนี้เธอป่วย ร่างกายเมื่อยขบไปทั้งตัว สงสัยเมื่อคืนแช่น้ำนานไปนิด แต่ยังไงก็ตาม เธอไม่มีทางให้เขารู้แน่ มิงั้นก็เสียฟอร์มแย่สิ จึงต้องฝืนให้ดูเป็นปกติที่สุด

“เรื่องมากจริง ฉันคิดว่าเธอน่าจะเข้าใจแล้วนะ เรื่องข้าวของเครื่องใช้ของเธอ ฉันจะให้เขาขนตามไปให้ รับรองได้ว่าสมบัติเธอทุกชิ้นจะยังอยู่ครบ พอใจหรือยัง” ทรงตรัสแล้วก็ดำเนินจากไปทิ้งให้ปริชมนต้องวิ่งตาม

“รอหม่อมฉันด้วยเพคะ” บ้าจริงเชียว เธอชื่นชอบชุดประจำชาติเมลาเป็นที่สุด เพราะรู้สึกว่าสวมใส่แล้วสบาย แต่เธอเพิ่งรู้อีกข้อหนึ่งว่า ชุดแบบนี้มันทำให้วิ่งช้าลง เจ้าชายบ้าอำนาจนี่ก็เหลือเกิน ตามพระทัยไม่ทันเลยจริงๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย ปริชมนเดี๋ยวเดินเดี๋ยววิ่งกว่าจะมาถึงก็ทั้งเหนื่อยหอบเหงื่อท่วมตัว

“ถึงแล้ว” ชิติโชคิมทรงหยุดพระดำเนินอย่างกระทันหัน ปริชมนที่เดินตามมาแทบเบรกไม่ทัน

“นี่หรือเทพนารี” ปริชมนมองสภาพตำหนักหลังน้อยที่อยู่เบื้องหน้า เหมือนกระท่อมไม้กลางป่าซะมากกว่า เทพนารี คือตำหนักไม้ทั้งหลัง ตลอดทางที่เธอเดินมา คะเนได้ว่าไกลจากตัววังพิรัยธา ประมาณ 1-2 กิโลได้ แถมระยะทางที่จะมาที่นี่ก็ไม่ได้ง่ายเลย เพราะมีทั้งบางช่วงที่เป็นพื้นลาด บางช่วงก็ชัน หญิงสาวมองไปรอบๆตำหนักหลังน้อยนั้น ดอกไม้ต้นน้อยต้นใหญ่แข่งกันชูช่ออวดโฉมกับเธอ ดอกนางพญาเสือโคร่ง ร่วงหล่นเต็มพื้นบ้างปลิดปลิวไปตามลม ใกล้ๆกันมีต้นกุหลาบพันปีปลูกอยู่หลายต้น และมีไม้เมืองหนาวอีกมากมาย ปริชมนยิ้มอย่างเบิกบานใจ เธอชอบที่นี่จังชอบมากกว่าที่วังพิรัยธาเสียอีก หญิงสาวหันไปยิ้มให้คนที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ

“เข้าข้างในกันเถอะ ป่านนี้พระนมคิดถึงเธอแย่แล้ว” ทรงแสร้งทำเป็นไม่เห็นอาการดีใจของหล่อนเสีย ปริชมนถ้าเธอรู้ประวัติอีกดำมืดของเทพนารี เธอยังจะยิ้มแป้นอวดฟันขาวได้อย่างนี้อยู่อีกไหมหนอ

“พระนมริยาอยู่ที่นี่หรือเพคะ” ปริชมนร้องถามเสียงหลงตาโต ตายๆแน่ๆเลย เจ้าชายใจร้ายจะพาเธอมาให้ยัยแม่มดฆ่าเชือดคอทิ้งกลางป่าหรือเปล่าเนี่ย

“เป็นบ้าอะไร ดูทำหน้าทำตา ปีนัง ฉันของเตือนเธอนะว่าอย่าทำหน้าตาแบบนี้ตอนอยู่ต่อหน้าพระนม ไม่อย่างงั้นเธออาจจะถูกพระนมพากลับไปสอนเรื่องมารยาทใหม่ ซึ่งฉันว่าผู้หญิงอย่างเธอต่อให้ฝึกฝนเรื่องมารยาทอีกสักแค่ไหนก็คงไม่สามารถเป็นผู้เป็นคนกับเขาได้หรอก” ชิติโชคิมทรงนึกหมั่นไส้ท่าทางที่ปริชมนกำลังทำอยู่ยิ่งนัก มันช่างดูขัดหูขัดตา ผู้หญิงคนนี้นะหรือที่จะมาร่วมอยู่ในราชนิกุลมังกรเหนือเมฆในฐานะชายาของฤธัตธรณ์เขาคนหนึ่งล่ะที่จะไม่มีวันให้ผู้หญิงคนนี้เฉียดกรายเข้าใกล้น้องชายเขา

“ถวายบังคมเพคะ เจ้าชายทรงเสด็จมาเร็วจริง ข้างในยังเหลือจัดเตรียมของอีกเล็กน้อยเพคะ ไหนทีแรกแม่นกยูงให้คนมาแจ้งว่าจะทรงเสด็จมาเย็นๆ แต่นี่เพิ่งบ่ายสามโมงเองก็เสด็จมาแล้ว ทรงเหนื่อยไหมเพคะ” พระนมริยายิ้มหวานสายตาจับจ้องปลาบปลื้มอยู่ที่เจ้าชายองค์เดียว ทำราวกับไม่เห็นเธอ หากแต่หญิงสาวก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเธอกลับยินดีที่ไม่ต้องพูดคุยกับคนช่างค่อนแขวะเช่นพระนมริยา ปริชมนมองการตกแต่งภายในที่มีพรมขนสัตว์พื้นใหญ่ปูรอบ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆล้วนมีส่วนช่วยเรื่องการให้ความอบอุ่นแทบทั้งสิ้น ก็แน่ล่ะบ้านไม้อยู่กลางป่าในหน้าหนาวที่อาจจะมีหิมะลง ย่อมไม่สามารถให้ความอบอุ่นได้ดี จึงต้องมีอย่างอื่นช่วยเสริมสีก็ออกแดงๆทึมๆดูขลังดีสรุปง่ายๆเธอชอบมัน

“ปีนังเขาคิดถึงนม”ยามตรัสทรงแย้มสรวลแสดงว่าพระอารมณ์ดีเป็นพิเศษ


“แม่นี่..เอ้อปีนังนะเหรอเพคะจะคิดถึงหม่อมฉัน โอ้ย..เทพีบันยีช่วยหม่อมฉันด้วย คงถึงคราวเคราะห์เป็นแน่ฉัน”พระนมพูดเสียดสีปริชมน หากหญิงสาวก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนักช่างปะไร เธอคงไม่สามารถเอาใจหรือทำให้ใครต่อใครถูกใจความเป็นตัวเธอได้ทุกคนหรอก อย่างพระนมริยาทำอยู่นี่อย่างไร เธอค่อนข้างมั่นใจทีเดียวว่า ตั้งแต่มาที่นี่ยังไม่เคยทำอะไรที่เป็นการลบลู่ดูหมิ่นพระนมเลย แต่ทำไมจึงต้องมาตั้งแง่รังเกียจเธอ เธอก็สุดที่จะเดา แทนคำเสียดสีปริชมนจึงยิ้มแทนคำตอบ ว่ากันว่ายิ้มสยามนี่สวยที่สุด พระนมริยาพอเห็นรอยยิ้มของปริชมนก็ใจอ่อนลง

“ยิ้มอะไร” เจ้าชายชิติโชคิมทรงตรัสถาม เมื่อเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่

“คิดถึงพระนมไงเพคะ พอเจอหน้าก็ต้องยิ้มทักทาย แปลกตรงไหน”หมั่นไส้ท่าทางองอาจนั้นนัก บางคราเธอก็เผลอคิดว่าคงไม่ใช่เจ้าชายของเธอหรอก เป็นหุ่นยนต์แน่ๆ ต้องมีใครตั้งโปรแกรมให้ทรงตรัสได้เคลื่อนไหวได้แน่ๆ

“อูย !! อย่ามาคิดถึงฉันเลย อยู่ที่นี่นะคิดถึงตัวเองให้มากแหละดี” พระนมริยาจีบปากจีบคอพูดกระทบกระเทียบไอ้ใจอ่อนก็ใจอ่อนอยู่หรอกนางเองก็ไม่ใช่คงใจร้ายที่ไหนการมาที่นี่ปริชมนก็ไม่ได้เต็มใจมาแต่แรก แต่นางเองก็มีเหตุผลที่ไม่สามารถเปิดใจรับหญิงสาวต่างชาติคนนี้ได้ นางต้องการกดดันให้ปริชมนถอดใจหนีกลับบ้านเมืองของตัวเองไปซะ

“นม” สายพระเนตรและสุรเสียงเข้ม เสียจนพระนมริยารู้สึกเกรง ทรงเตือนไม่ให้เธอพรั้งปากเรื่องตำหนักเทพนารี

“ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง”ปริชมนต็ตอบบ้างเล็กน้อย

“ช่วงนี้เธอก็พักผ่อนอยู่ที่นี่แหละ ทำตัวตามสบายฉันจะให้นกยูงกับนางกำนัลอีกสองคนมาอยู่เป็นเพื่อน ถ้าอยากออกไปไหนก็บอกนกยูง เขาจะพาเธอไป แต่จำไว้อย่างห้ามเธอออกไปไหนคนเดียว วันมะรืนฉันมีแขกสำคัญมาพักที่พิรัยธาฉันไม่ชอบความผิดพลาดและเธอต้องไม่เข้าไปวุ่นวายที่พิรัยธา จะเฉียดไปก็ไม่ได้ แล้วถ้าเธอไม่เชื่อฟังคำสั่งฉันแน่นอนว่าฉันมีบทลงโทษ” ทรงตรัสด้วยพระพักตร์เรียบเฉย หากปริชมนสิอึ้งจนพูดไม่ออก โกรธจนควันออกหู

“เพคะหม่อมฉันเป็นตัววุ่นวายสำหรับทุกคนที่นี่ เพื่อไม่ให้เป็นการลำบากหม่อมฉันขออนุญาตกลับเมืองไทยวันพรุ่งนี้เลยจะดีกว่า เพราะตั้งแต่มาที่นี่ ก็มีแต่เรื่องตลอด ไม่มีหม่อมฉันสักคน อะไรๆก็คงจะดีขึ้น แขกคนสำคัญของพระองค์จะได้ปลอดภัย จากการคุกคามของหม่อมฉัน” ปริชมนเชิดหน้าอย่างไว้ซึ่งศักดิ์ศรี แม้รักเพียงใดก็ไม่อาจยิ่งใหญ่กว่าเกียรติที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะพึงมี

“ฉันไม่อนุญาต ตราบใดที่ฉันยังไม่รู้ความจริงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับน้องชายฉัน เธอต้องอยู่ที่นี่” ทรงเริ่มกริ้วเช่นกัน นี่เขาทำอะไรผิดอีก พูดอะไรนิดหน่อยก็เป็นเรื่องไปหมด ผู้หญิงคนนี้นิสัยเป็นยังไงกันแน่

“หม่อมฉันเคยทูลแล้วว่า เป็นพระสหายแล้วมีอะไรไม่กระจ่างเพคะ”

“นั่นเป็นเรื่องที่ฉันจะต้องตัดสินใจไม่ใช่เธอ สิ่งที่เธอจะทำได้มีเพียงอย่างเดียวอยู่เงียบๆที่นี่”ยามตรัสทรงกัดพระทนต์แน่นอย่างคนโดนขัดใจ

“เรื่องอะไร หม่อมฉันไม่ได้เป็นนักโทษของพระองค์สักหน่อย เอ..หรือว่าทรงหลงเสน่ห์หม่อมฉันเข้าแล้ว ทรงอยากให้หม่อมฉันอยู่ใกล้ก็ตรัสมาเถอะเพคะ อย่าทรงเอาเรื่องนู้นเรื่องนี้มาอ้างเลย”ปริชมนแกล้งเดินเขยิบเขาไปใกล้สายตาพราวเป็นประกายยิ้มเล็กๆที่มุมปาก

“ปีนัง” เสียงเรียกหวีดแหลมดังลั่น เสียงแสดงถึงความไม่พอใจของต้นเสียงเป็นอย่างมาก

“นี่นะเจ้าชายรัชทายาทแห่งเมลาไม่ใช่เพื่อนเล่นของเธอ จะพูดจะจาอะไรควรระวังปากไว้เสียบ้าง อย่าพูดพร่อยๆอย่างนี้อีก ครอบครัวเธอไม่เคยสอนเรื่องคุณสมบัติที่ดีของกุลสตรีเหรอไง ไหนเขาว่าผู้หญิงไทยเป็นคนที่เรียบร้อยอ่อนหวาน ฉันคงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่แล้ว เพราะการกระทำของเธอมันไม่ใช่เลย ขอโทษเจ้าชายเดี๋ยวนี้” พระนมริยานั่นเองที่ดูจะเดือนดาลเสียยิ่งกว่าคนตัวโตที่ยืนนิ่งๆ

“พอล่ะไม่ว่ายังไงฉันจะทำอะไรที่นี่ก็ผิดอยู่ดี เจ้าชายชิติโชคิมรัชทายาทแห่งเมลา หม่อมฉันหญิงสาวผู้ต่ำต้อยขอประทานอภัยที่ได้ล่วงเกินพระองค์”ปริชมนไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับใครแล้วหญิงสาวย่อตัวถอนสายบัวพร้อมกล่าวขอโทษ

“ช่างเถอะเรื่องเล็กฉันไม่ติดใจอะไรหรอก เย็นนี้ตั้งโต๊ะที่นี่ล่ะ อย่าลืม” ชิติโชคิมทรงหันไปโบกพระหัตถ์ก่อนจะทรงสนทนากับพระนมริยาและทรงย้ำเรื่องมื้อเย็นที่ตำหนักเทพนารี

ปริชมนเมื่อเห็นว่าตนถูกจำกัดให้เป็นคนนอกวงสนทนา หญิงสาวจึงเดินเลี่ยงออกมาอย่างเงียบๆ เธอเดินเข้าไปถามห้องพักของเธอจากนางกำนัลที่ยืนคอยรับใช้อยู่ไม่ไกลก่อนจะเดินจากไป โดยหารู้ไม่ว่าเบื้องหลังมีสายพระเนตรของใครบางคนชำเลืองมองอยู่
****************************************************************************************


Create Date : 04 มกราคม 2551
Last Update : 4 มกราคม 2551 2:08:20 น. 1 comments
Counter : 316 Pageviews.

 
สุขสันต์วันสุขค่า


โดย: โสมรัศมี วันที่: 4 มกราคม 2551 เวลา:10:31:12 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.