อิสระของชีวิต คือ การได้วิ่งตามฝัน Cute Sanrio Glitter Graphics

คูน้ำริน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
10 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add คูน้ำริน's blog to your web]
Links
 

 
ณ แดนนี้ยังมีรัก ตอนที่20 :ทางหนีที่ปิดตาย

ตอนที่20 :ทางหนีที่ปิดตาย

แม้รันท์จะตั้งตัวไม่ติดที่ปริชมนรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา แต่ชายหนุ่มก็แก้เก้อด้วยการเอาผ้าคลุมหน้าพันโพกให้เหลือเพียงดวงตาดุจเดิม แล้วหันไปพูดคุยกลับจาสที่กำลังยืนแยกเขี้ยวอยู่อย่างไม่พอใจ

“ผู้หญิงจะทำให้เสียงาน แต่ไหนแต่ไรมาผู้ยิ่งใหญ่นับไม่ล้วนต้องสูญเสียอำนาจเพราะยิ่งงาม”ยิ่งคิดจาสก็ยิ่งหงุดหงิดใจเป็นเถ้าทวี ใจของเขาตอนนี้หากสังหารเจ้าชายรัชทายาทได้เขาจะลงมือโดยไม่ลังเลเลยสักนิด เขาไม่มีวันปล่อยให้ลอยหน้าหยิ่งทระนงอยู่แบบนี้เป็นแน่

“จาส ปล่อยเจ้าชายเป็นอิสระแล้วก็ให้พระดำเนินตามอัธยาศัย ไม่ต้องคอยตามพระองค์หรอก เพราะอย่างไรเสีย เจ้าชายก็หนีไปไหนไม่ได้อยู่ดี”รันท์ออกคำสั่งกับจาสแต่สายตาจ้องอยู่ที่เจ้าชายรัชทายาทที่ก็ทรงโต้ตอบด้วยสายพระเนตรแข็งกล้าไม่แพ้กัน

“นาย !!!”เรียกชื่อคนเป็นนายเสียงหลงด้วยไม่เห็นด้วยกับคำสั่งนั้น

“แล้วทำให้เจ้าชายทรงรู้ด้วยว่าแม้จะเป็นอิสระอย่างไรก็ไม่สามารถเล็ดลอดออกจากที่นี่ได้อยู่ดี”สิ้นคำของผู้เป็นนายจาสถึงกับหังเราะร่าเขาเพิ่งเข้าใจความคิดของผู้เป็นนายเดี๋ยวนี้เอง เจ้าชายชิติโชคิมอาจจะคิดว่าหาถูกปล่อยตัวเป็นอิสระแล้วจะพอหาทางรอดได้ แต่เจ้านายของจาสกำลังที่ทำให้ไอ้พวกสูงศักิ์มันรู้ว่า คิดผิด...

“ขอบใจ ที่อย่างน้อยนายก็ยังไม่กลัวฉันจนเกินไป”ชิติโชคิมที่บัดนี้ถูกปล่อยเป็นอิสระแล้วยืนประจันหน้ากับรันท์อย่างไม่ลดละ ราชสีห์อย่างไรก็คือราชสีห์

“นังนี่ละนาย”จาสเอ่ยถามเมื่อหันไปมองปริชมนที่ยืนมองหน้ารันท์อยู่นานเหมือนต้องการคำตอบ

“บอกแล้วไงว่าคนนี้พิเศษ เดินทางถึง “โปลัน” เมื่อไหร่ เขาก็กลายเป็นเมียฉันเมื่อนั้นแหละ”รันท์ตอบข้อสงสัยของจาสด้วยรอยยิ้มที่บ่งบอกความเด็ดขาดของเจ้าตัว รอยยิ้มที่คนสนิทรู้ดีว่านายไม่ได้พูดเล่น

“อะไรนะ ใครจะเป็นเมียนาย”ปริชมนเอ่ยถามรันท์อย่างตกใจ

“คุณไง ยอดรัก ผมตกหลุมรักคุณตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นและไม่เคยมีอะไรที่รันท์อยากได้แล้วไม่ได้โปรดรับรู้ไว้”รันท์เอ่ยอย่างอารมร์ดีก่อนเดินลับไปหลังเงาไม้ใหญ่ที่จัดไว้เป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราว ปล่อยให้คนที่ยืนฟังอยู่งงไปตามๆกัน

ชิติโชคิมมองสายตาผู้ชายด้วยกันออก รันท์ เอวารัม หลงเสน่ห์ปริชมนเข้แล้วจริงๆ น่าแปลกที่เขาไม่สบอารมณืเป็นอย่างมากที่เห็นปริชมนพูดคุยกับรันท์อย่างเมื่อครู่ และยิ่งไม่พอใจหนักมากขึ้นจนแทบจะระงับอารมณ์ไม่ไหวเหมือนกันกับคำว่า ยอดรัก ที่รันท์ใช้เรียกปริชมน

“ยอดรัก ไม่วิ่งไปหา ที่รัก ของเธอเล่า”

“เอะ! หม่อมฉันไม่เข้าใจ พระองค์ทรงมาประชดประชันหม่อมฉันทำไม เราเหลือกันแค่สองคนนะเพคะ”ปริชมนทูลถามอย่างงงๆอยู่ดีๆก็มาทำงอนเธอเสียอย่างนั้น หญิงสาวเอ่ยเบาๆพอให้ได้ยินกันสองคน เพราะตอนนี้ทั้งคู่เป็นอิสระพอสมควรพวกอิดาลรวมทั้งจาสได้แต่ยืนเฝ้ามองอยู่ห่างๆเท่านั้น ปริชมนเดาว่าพวกนั้นคงย่ามใจว่ายังไงลำพังเจ้าชายกับเธอแค่สองคนคงหนีไม่รอด

“หม่อมฉันมีที่รักของหม่อมฉันอยู่แล้วทั้งคน จะให้ไปหาคนอื่นได้อย่างไร”

“อ้อ...ฉันลืมไปเธอมันสาวทรงเสน่ห์ผู้ชายที่ไหนก็หลงเอาได้ง่ายๆ”

“รวมถึงพระองค์ด้วยหรือเปล่าเพคะ”ปริชมนกวน

“ฝันไปเถอะ”ชิติโชคิมทำเมิน แม้ในสถานการณ์เช่นนี้เขาจะหนักใจครุ่นคิดหาทางออกอยู่ แต่ทว่าเขากลับรุ้สึกยินดีกับภาระที่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชีวิตนั้นคือการได้คุ้มครองผู้หญิงคนนี้ ทันทีที่เขาเห็นสายตาของรันท์เขาก็สัญญากับตัวเองไว้แล้วว่าหญิงสาวต้องปลอดภัย

“ชิติ ขอหม่อมฉันเรีกพระองค์ว่า ชิติ สั้นๆได้ไหมเพคะ”ปริชมนทูลถามเสียงอ่อน หญิงสาวไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกันอีกเพราะเข้าใจว่าสถานการณ์ตอนนี้เขาต้องทุกข์ใจเพียงไร สิ่งที่เธอพอจะทำได้คือคอยเป็นกำลังใจให้เขามากกว่า

“สนิทกับฉันนักหรือไรจะมาเรียกหากันอย่างนี้ ไม่รู้อะไรควรไม่ควรเอาเสียเลยเธอนี่”ทรงตรัสคล้ายบ่นพึมพำมากกว่าจะใส่ใจเป็นจริงเป็นจัง แต่แท้จริงแล้วเขากลับรู้สึกชอบเสียด้วยซ้ำ ไม่เคยมีใครเรียกเขาแบบนี้เลยฟังดูอบอุ่นให้ความรู้สึกว่าเขาเป็นคนขึ้นมาอีกนิด

“หม่อมฉันจะเรียกพระองค์ว่าชิติจนกว่าเราจะออกจากที่นี่ได้เพคะ ชิติทรงรู้หรือยังว่าเราจะไปกันยังไง”ปริชมนเอ่นเสียงอ่อนโยนคล้ายลองเชิงอยู่ในที เธอไม่ได้บังอาจหรอกหญิงสาวคิดเช่นนั้น ในนาทีนี้เธอไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดกลับบ้านเมืองเธอหรือไม่และยิ่งมองไม่เห็นหนทางหลบหนีไปจากที่นี่ นี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่ฟ้าประทานให้เธอได้อยู่เพื่อทวงคำสัญญา หม่อมฉันอยากเอ่ยใจจะขาดแต่จนแล้วจนรอดเพียงเอ่ยถามว่าทรงมีความทรงจำเกี่ยวกับหม่อมฉันหลงเหลืออยู่บ้างไหมหม่อมฉันก็ขลาดเขลาเกินไปที่จะเอ่ยปากทูลถามเสียแล้ว ดังนั้นหากนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะได้อยู่ด้วยกันหม่อมฉันต้องหาทางทูลให้พระองค์รับรู้เรื่องของเราให้ได้ หม่อมฉันมิอยากให้ฐานันดรเป็นอุปสรรคกั้นกลางอย่างน้อยก็ในขณะนี้ การเรียกพระองค์ว่าชิติจึงไม่ได้เป็นการมิบังควรเพราะหม่อมฉันไม่ได้เรียกเจ้าชายรัชทายาทแห่งเมลาแต่กำลังเรียกชื่อผู้ชายที่ช่วงชิงหัวใจของหม่อมฉันไป

“มีแน่ แต่ไม่เหมาะจะคุยกันตอนนี้ ฉันว่าสิ่งที่เธอควรจะทำในตอนนี้คือการหัดเป็นนายหญิงของรันท์เสียมากกว่า “ถ้อยรับสั่งยังมิวายประชดประชันแต่ปริชมนก็รู้ดีว่าอะไรที่ไม่เหมาะรัศมีการพูดคุยของเธอและเขาอยู่ในสายตาคนพวกนั้นตลอดอย่างปลีกตัวไม่ได้เลย

“หม่อมฉันสงสัยอยู่อย่าง”

“อะไร”

“พวกนั้นจะพาเราเล็ดลอดไปจนถึงเขตชายแดนได้อย่างไรกันเพคะ ในเมื่อป่านนี้ก็เย็นมากแล้วหากพวกที่คิมารายไม่เห็นพระองค์ก็ต้องส่งคนออกตามมาในไม่ช้าก็น่าจะพบว่าทรงประทับอยู่ที่นี่”

“ฉันไม่คิดว่ารันท์จะโง่ขนาดนั้น เห็นได้จากการล้อมจับเราก็รู้แล้วว่าเขาเป็นคนวางแผนได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนและใจเย็น”ใช่ชิติโชคิมเชื่อว่ารันท์ได้วางแผนการลักพาตัวเขาไว้ล่วงหน้าแล้วเห็นได้จากการสนทนาก่อนหน้านี้ที่รันท์กับปริชมนพูดคุยกัน รันท์แอบเข้าเมืองเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของเขาและรอจนพบช่องโหว่จึงจู่โจม

“เพคะอย่างน้อยก็ใจเย็นกว่าบางคน”

“เธอว่ากระทบใคร ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีกับเธอเลยนะปีนัง ไปรู้จักมักจี่กับคนพวกนี้ตอนไหน ถ้าจำไม่ผิดฉันไม่เคยอนุญาตให้เธอไปเดินเที่ยวพร่ำเพรื่อที่ตลาดหรือที่ไหนๆได้นี่น่า แล้วทำไมอยู่ดีๆเธอถึงได้พูดภาษาบ้านฉันได้คล่องปร๋อขนาดนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอเอาแต่พูดอังกฤษและไม่เคยมีใครรู้ว่าเธอพูดเมลาได้”ชิติโชคิมเริ่มซักไซร้ นิสียของเขาไม่ชอบเก็บความสงสัยไว้นาน อะไรที่อยากรู้ก็ต้องได้รู้

“ไม่รู้ว่าภาษาเมลากล่าวว่าอย่างไร แต่สำหรับเมืองไทยหม่อมฉันขอเรียกว่า กฎย่อมมีไว้แหกเพคะ หม่อมฉันทำผิดอะไรหนักหนาถึงทรงกักบริเวณไม่ให้รู้เห็นโลกภายนอก พระองค์ทรงทำเหมือนไม่ต้องการให้หม่อมฉันมีตัวตน หม่อมฉันก็มีจิตใจที่คิดเล็กคิดน้อยเป็น แอบเที่ยวตลาดมันเป็นเรื่องใหญ่ตรงไหนกัน”หญิงสาวกล่าวโต้อย่างไม่ลดละ ทั้งที่รู้ว่าเธอผิดอยู่บ้างแต่ก็ไม่อยากรับให้เสียฟอร์ม
…………………………………..
รันท์แอบมองปฏิกิริยาการสนทนาระหว่างปริชมนกับเจ้าชายรัชทายาทอยู่นาน ชายหนุ่มขบกรามเน้นคิ้วเขม็งเกร็ง ดวงตาโต แสดงถึงอาการไม่สบอารมณ์อย่างแรง จากที่สืบมาข้อมูลของปริชมนที่เขาได้รับไม่ชัดเจนนัก รู้เพียงเป็นผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในตำหนักเทพนารี ตำหนักหลังน้อยที่เคยปิดตาย ปริชมนมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงเดือนเสียด้วยซ้ำ จากสายของเขาที่รายงานมานั้นหญิงสาวมีฐานะที่ไม่ใช่ชายาลับของเจ้าชายรัชทายาทและไม่ได้เป็นนางข้าหลวง ไม่มีเชื้อสายเมลา ไม่มีญาติวงพงศาอยู่ในประเทศนี้ทั้งสิ้น แต่ทำไมเจ้าชายรัชทายาทถึงให้การต้อนรับผู้หญิงธรรมดาที่มาจากต่างบ้านต่างเมืองดุจเป็นแขกเมืองก็ไม่ปาน

“ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ทำอะไรมากนัก วันๆไม่จัดดอกไม้ก็ลงครัว เข้าสวน สอนภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสให้เหล่านางข้าหลวงที่สนใจเรียนก็เท่านั้น แต่ที่น่าแปลกคือเธอมีคนสนิทเป็นถึงภรรยาของราชองครักษ์คนสนิทที่ปกตินายหญิงภรรยาของราชองครักษ์จะไม่รับใช้ผู้ใดนอกจากคนในราชวงศ์ เธอเป็นคนไทย วันที่เธอมาพวกข้าหลวงเล่ากันสนุกปากเชียวว่าเจ้าชายรัชทายาททรงอุ้มมาด้วยพระองค์เองในสภาพสลบไสล ข่าวลือในวังเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้มีเยอะแต่ไม่มีใครปริปากพูดอย่างจริงๆสักรายทำให้ข้อมูลที่แน่นอนหายาก”นั้นคือสิ่งที่รันท์ได้จากสายสืบของเขา ชายหนุ่มไม่แปลกใจแล้วว่าทำมไปริชมนมาที่นี่ เพราะไม่ว่าก่อนหน้านั้นจะเป็นเหตุผลอะไรก็ตามแต่ขณะนี้ที่เขาเห็นคือชายหญิงคู่หนึ่งที่ห่วงใยกันจนปิดไม่มิดดังเป็นคู่รักกันอย่างนั้น ร็ได้อย่างไรนะเหรอ ขนาดแอบลอดมองผ่านพุ่มไม้อย่างนี้เขายังเห็นสายตาอันเป็นประกายเสน่หาอย่างเปี่ยมล้นจนปิดไม่อยู่ในสายตาของสองคนนั้น

ชิติโชคิมกำลังมีความรักแน่แท้มันเป็นความรักที่เขาแสนชังรัชทายาทหนุ่มผู้นี้มากขึ้นอีกเท่าทวีคูณเพราะชายคนนั้นหาญกล้ามารักหญิงเดียวกับเขาคิดได้เท่านั้นแหละรันท์ก็สติขาดผึ่ง

“จาส คุมตัวเจ้าชายไว้เอาไปมัดไว้ตรงปากเหว เย็นนี้ก่อนที่จะมีใครตามหาตัวเจ้าชายพบ เราจะให้พวกมันเจอเพียงร่างที่ไร้ลมหายใจเท่านั้น”เสียงออกคำสั่งเฉียบขาด

จาสหัวเราะร่า ...ผู้หญิง...บางทีก็เป็นตัวจุดชนวนที่มีประโยชน์เหมือนกัน

“พวกเอ็งไม่ได้ยินที่นายสั่งหรือไง ไปจับมันทำศพได้แล้ว เร็ว!!!”จาสเร่งออกคำสั่งกับลูกน้องอีกต่อ

คำสั่งของรันท์ที่ดังลั่นมาแต่ไกลนั้น ทำให้การสนทนาของปริชมนและชิติโชคิมสะดุดลง ทั้งสองหันไมองยังทิศทางของเสียงและการจู่โจมอย่างไม่ทันตั้งตัวก็เกิดขึ้นอีกครั้ง กลุ่มลูกน้องฝีมือดีของจาสเข้ามาควบคุมตัวชิติโชคิมและจับปริชมนแยกออกมาตามคำบัญชาของผู้เป็นนาย

“อะไรกันอีก พวกท่านจะทำอะไร”ชิติโชคิมงุนงงจู่ๆทำไมคนพวกนี้คืนคำ จะจับตัวเขาไว้อีกแล้ว ทั้งที่เพิ่งปล่อยให้เป็นอิสระยังไม่ถึงชั่งโมงด้วยซ้ำ

“นั้นสิ เจ้านายพวกนายสั่งให้ปล่อยเราแล้ว พวกนายจะฝืนคำสั่งเหรอ”ปริชมนเองก็ตกใจและงุนงงไม่แพ้กัน

“ปล่อยแน่ แต่ไม่ได้ปล่อยกลับให้ไอ้เจ้าชายระยำนี่ไปเสวยสุขหรอกนะ แต่จะปล่อยมันลงเหวต่างหาก ...นายหญิง...”จาสกล่าวงด้วยวาจาน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวสาแก่ใจยิ่ง

“อย่ามาเรียกฉันว่านายหญิง ฉันไม่เป็นเจ้านายใครทั้งนั้น โดยเฉพาะคนเห็นแก่ตัวอย่างพวกนาย”

“ฮึ...เห็นแก่ตัวเหรอ นังนี่ปากดีจริงๆ ไว้นายกูเบื่อเมื่อไหร่ มึงได้เจอคนเห็นแก่ตัวอย่างกูแน่”จาสโกรธจนตัวสั่นเทา เขาเกลียดการพูดที่ไม่เคารพเขาที่สุด ไม่เคยมีใครด่าเขาแบบนี้มาก่อน อย่างน้อยก็เป็นเด็กเมื่อวานซืนแบบนี้

“ปีนัง อย่าเสียเวลาพูดกับคนพวกนี้เลยตอนนี้ไม่มีประโยชน์หรอก พวกท่านจะทำอะไรกับเราก็ตามแต่ขอไว้อย่างอย่าทำอันตรายผู้หญิงคนนี้ เธอไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ “ชิติโชคิมออกโรงปกป้องหญิงสาวเขาไม่อยากให้ปริชมนต่อล้อต่อเถียงกับคนพวกนี้เพราะยังไม่สามารถหยั่งได้ว่าจิตใจพวกมันจะเลวร้ายแค่ไหน

“เชื่อเจ้าชายก็ดีนะคุณปีนัง เพราะคุณอยู่นอกเกมนี้มันไม่คุ้มค่าหรอกที่คุณจะเอาชีวิตมาเสี่ยงกับเจ้าชายองค์นี้”เสียงปลายทางนั้นเป็นเสียงของรันท์เขาก้าวช้าๆเข้ามายังจุดที่หญิงสาวยืนอยู่ พร้อมปัดมือไล่ลูกสมุนที่ยืนคุมเชิงอยู่ใกล้ปริชมนให้ถอยห่างออกไป

“คุ้มค่าหรือไม่ฉันตัดสินใจเองได้คงไม่ต้องให้คุณมาสอนหรอก”หญิงสาวจ้องหน้ารันท์เขม็งตอนนี้ปริชมนคิดว่ารันท์ที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่ผู้ชายที่เธอรู้จักอีกต่อไปแล้ว

“ปากกล้าแบบนี้รักตายเลย”รันท์คิดว่าเขาหมายความตามที่พูดจริงๆ
...................................
ชิติโชคิมครุ่นคิดอยู่ว่าหนทางริบหรี่ในใจเขานั้นมันมีทางมากน้อยแค่ไหน ที่โขดหินหลังต้นไม้ใหญ่ใกล้สุสานหลวงหากกระโดลงไป ไม่ตาย เพียงเจ็บเท่านั้น นั้นอาจเป็นทางรอดเดียวเขาคิดออกในขณะนี้ “ต้องล่อให้พวกมันปล่อยเป็นอิสระให้ได้”คิดแล้วอดโมโหตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ไปแสดงพิรุธอะไรให้เห็นรันท์ถึงได้สั่งมัดเขาอีกครั้ง จุดที่โดนมัดอยู่ไม่ไกลจากโขดหินคนเดียวที่จะช่วยเขาได้ในขณะนี้ปริชมนหญิงสาวนั่งกอดเข่าอยู่ไม่ห่างแวดล้อมด้วยคนเฝ้าอย่างแน่นหนา เขาต้องหาทางหนีรอดให้เร็วที่สุดมิฉะนั้นทั้งเขาและปริชมนอาจเป็นอันตรายได้ครั้นจะรอให้คนของเขาขึ้นเขามาช่วยก็เกรงว่าจะสายเกินไป เพราะตอนเขาออกมาไม่มีใครรู้ว่าเขาจะไปไหนกว่าทุกคนจะรู้ว่าเขามาอยู่บนเขาอาจจะเป็นพรุ่งนี้เช้าซึ่งเขาคิดว่ากลางดึกคืนนี้อย่างไรเสียพวกอิดาลที่เชี่ยวชาญการรบในมีมืดย่อมเลือกที่จะเดินทางในคืนนี้มากกว่าพรุ่งนี้เช้าเพราะหลบหลีกจากสายตาผู้คนได้ดีกว่า

“นี่ๆๆจะยืนค้ำหัวกันอยู่อีกนานไหม”ปริชมนแผดเสียงอย่างคนเอาแต่ใจดังลั่นจนจาสตกใจต้องเอามืออุดหู

“อยู่แค่นี้จะแหกปากเสียงดังทำไม อีนี่มันวอนโดนตบจริงๆ”จาสเงี้ยมือทำท่าจะตบจริงๆ

“อ๊าย! ก็ลองแตะต้องฉันสินายแกเอาตายแน่”ปริชมนลุกขึ้นยืนประจันหน้ากับจาสอย่างไม่กลัวจ้องตากับจาสอย่างไม่ยอมแพ้

“อย่าเอานายมาขู่นะ โว้ย !”

“เปล่าขู่นายของแกบอกเองว่าฉันคือว่าที่นายหญิงก็เท่ากับว่าฉันเป็นเจ้านายคนหนึ่งของแกแล้วลูกน้องที่ไหนเขาทำกับเจ้านายแบบนี้”

“อ้อ..นังนี่เลือกข้างได้ดี เมื่อกี้ยังเห็นอี้อ้อกะไอ้เจ้าชายปัญญาอ่อนนั่นอยู่ พริบตาเดียวเลือกนายข้าซะแล้ว ฮ่าๆๆ”

“เอะ! ช่างเหอะ ฉันหิวแล้ว ขออะไรก็ได้ให้ฉันกินหน่อยสิ น่า...นะ”ปริชมนลดเสียงลดพูดออดอ้อน

“เดี๋ยวนายก็มา นายลงไปสำรวจเส้นทางที่เราจะไปกันคืนนี้”จาสกลับตอบอีกเรื่อง

“โอ๊ย...ฉันนะเป็นโรคกระเพาะนะจะบอกให้ถ้าหิวแล้วไม่ได้กินละก็เกิดกระเพาะทะลุล่ะแย่เลย เกิดฉันปวดท้องขึ้นมาการเดินทางของพวกแกต้องช้าแน่ๆ อีกอย่างรันท์คงไม่ชอบแน่ถ้าเขารู้ว่าลูกน้องเขาปล่อยให้ฉันอดอยากจนเจ็บป่วย”ปริชมนแสร้งเอามือกุมท้องไว้

“ไม่มี”จาสตอบอุบอิบไม่เต็มคำ จะให้บอกได้ยังไงเล่าว่าพวกเขามัวแต่คิดเรื่องจับเจ้าชายไม่มีใครคิดเรื่องเสบียงเตรียมไว้สักคน

“ไม่มี...อะไรคือไม่มี แล้วกินอะไรกัน”ปริชมนแปลกใจไม่น้อยกบฏขบวนการใหญ่มาจับตัวคนใหญ่คนโตระดับผู้นำประเทศแต่ไม่มีอาหารไว้ตุนเป็นเสบียง

“พวกข้ากินง่ายอยู่ง่ายขุดหัวเผือกหัวมันก็กินกันได้แล้ว”ถึงโหดเหี้ยงเพียงไรก็อายเป็น

“งั้นฉันก็จะกินหัวเผือก หัวมัน ช่วยไปหามาให้กินหน่อย”

“ไม่ได้ ข้าต้องอยู่เฝ้าพวกเอ็ง”จาสตะโกนปฏิเสธลั่น

“โธ่เอ๊ย...คนอยู่บนนี้มีเป็นสิบแค่ฉันผู้หญิงตัวเล็กๆกับเจ้าชายที่โดนมัดจนกระดุกกระดิกแทบไม่ได้จะมีปัญญาทำอะไรพวกท่านได้เล่า”ปริชมนพยายามอธิบายให้จาสเห็นภาพและดูเหมือนจะได้ผลจาสคล้อยตามพอสมควร

“ก็จริงของเอ็ง..อย่างไรเสีย..ไอ้เจ้าชายนี่ก็หนีไม่ได้ เอ็งก็เป็นผู้หญิงตัวนิดเดียว เฮ้ย!เอ็งสามคนตามข้าไปหาของกินส่วนเอ็งสี่คนเฝ้ามันไว้อีกเดี๋ยวนายคงกลับมาแล้ว”จาสสั่งลูกน้องก่อนเดินละลิ่วลับไปในดงไม้

“ว่าง่ายดี นี่นายสองคนนะไปเตรียมจุดฟืนหน่อยสิ ได้หัวเผือกหัวมันมาฉันก็ไม่กินแบบดิบๆหรอกนะ เดี๋ยวปากพองหมด”หญิงสาวชี้สั่งชายสองคนที่ยืนคุมอยู่ใกล้ๆด้วยภาษาเมลา น่าแปลกที่พวกมันยอมทำตามอย่างว่าง่าย อาจเพราะมันคิดว่าหล่อนเป็นคนโปรดของนายมันก็เป็นได้ เหลือคนตอนนี้แค่สี่คน จากที่เมื่อตอนแรกนั้นข้างบนนี้แออัด บัดนี้กลับ ‘เกือบ’ว่างเปล่า

วู วู

เสียงต้นไม้ไหววูบตามแรงลมดังว่าพวกมันสะท้อนความปรารถนาในใจของคนสองคนที่เป็นเชลยบนเขาจูจูแห่งนี้ได้ ปรินมนรู้สึกว่าความหนาวเย็นจะเพิ่มมากขึ้นทุกทีสวนทางกับแสงตะวันที่อ่อนแสงลงเรื่อยๆ และมันหมายถึงโอกาสหนีอันน้อยนิดของเธอด้วยเช่นกัน

“โอ๊ย ! ปวดท้องจะตายอยู่แล้วห้องน้ำอยู่ไหน” คนปวดท้องเอามือกุมหน้าท้องแน่น ก่อนทรุดตัวงอกับพื้น
“เจ้าเป็นอะไร มาดูนางเร็ว” เสียงร้องอันตื่นตระหนกของกลุ่มอิดาลที่บัดนี้เหลือเพียงสองคนต่างรีบเข้ามาประคองดูแลปริมนเป็นการใหญ่ พวกมันรู้ ‘ผู้หญิงคนนี้สำคัญต่อนายของมัน’

“ฉันคงเป็นโรคกระเพาะพวกนายรีบไปหายามาให้ฉันเร็ว”

“ยา..ใช่..ยา” อาจเพราะความตกใจผู้คุมทั้งสองที่เหลือจึงวิ่งไปหายาคนละทิศละทาง โดยลืมไปว่าบนสุสานหลวงแห่งเขาจูจูยามนี้เหลือเพียงเชลยสองคน คนหนึ่งโดนมัดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ อีกคนหนึ่งพอลับสายตาจากผู้คุมก็หายปวดท้องเป็นปลิดทิ้ง

“ร้าย”สุรเสียงตรัสแผ่วเบา พระพักตร์ยิ้มแย้ม ครั้งนี้คนอย่างเจ้าชายรัชทายาท ต้องพึ่งพาคนต่างแดนตัวน้อยเสียแล้ว

“รีบเถอะเพคะ”ปริชมนวิ่งตรงรี่เข้าไปแก้มัดทันที เวลาหนีมีไม่มากทั้งคู่ต้องรู้ดี

ทันทีที่เป็นอิสระอีกครั้งชิติโชคิมรีบคว้าข้อมือของปริชมนกำแน่น เขารู้สึกว่าหน้าที่ปกป้องหญิงสาวเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด ทั้งคู่วิ่งมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของสุสานหลวง

“เวลานี้ไม่ใช่เวลาจะล่ำลานะเพคะ”ปริชมนเข้าใจว่าเจ้าชายต้องการถวายบังคมลากับเสด็จปู่เสียก่อนจึงมุ่งดิ่งมาที่นี่

“เปล่ามาลา แต่จะพาหนี”

“หนี ทางหนีอยู่ไหน”

“นั่นไง”ทรงชี้นิ้ว

“หน้าผาชัดๆ”ทางที่ทรงชี้คือชะง่อนผาที่ตั้งอยู่หลังสุสานหลวง

“ใช่นั่นล่ะทางหนีทางเดียวของเรา”ทรงแย้มพระสรวลช้าๆแววพระเนตรยินดี

หากคนข้างๆยังแคลงใจ จะลงไปยังไง...
“ความตายหรือเพคะคือทางหนีของเรา”ปริชมนเงยหน้าถามคนตัวสูงที่กุมมือเธอเสียแน่น

“เธอจะมีชีวิต ฉันสัญญา” สุรเสียงหนักแน่นยิ่งหนัก แววพระเนตรบ่งบอกความจริงของหฤทัย กิริยาแบบเดียวกันนี้ปริชมนไม่เคยลืม เพราะเมื่อนานมาแล้วผู้ชายคนเดียวกันนี้ก็เคยสัญญากับเธอ ใช่! เธอมั่นใจในตัวของคนๆนี้ ปริชมยิ้มรับก่อนพยักหน้าแทนคำตอบ

โดด...

อยากเอ่ยถ้อยคำลา หากภพนี้มิได้กล่าว

รักแสนรักยิ่งกว่าคำว่ารัก....


กลางเวหาหาวปริชมนรู้สึกอิสระเป็นสุขในอ้อมกอดที่ปกป้องนี้ ย้ำเตือนคำสัตย์ ‘ปกป้องด้วยชีวิต’ได้เป็นอย่างดี

เพียงพริบตาร่างละลิ่วร่วงหล่น เธอคิด ‘ตายแบบนี้ก็เป็นสุขดี’

แต่ดังว่าทั้งคู่ยังมีพันธะบางสิ่งต้องสะสาง สวรรค์จึงไม่ปราณีให้ปริชมนได้ตายกับคนที่เธอแสนเสน่หา

จุดที่ทั้งสองตกลงมาสู่พื้นนั้น เป็นธารน้ำสายเล็ก ที่ถือว่าทั้งคู่โชคดีเป็นอย่างมาก เพราะตกลงมากระทบกับพื้นน้ำ ชิติโชคิมนั้นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามาก เพราะเขาเองเคยชินกับสภาพอันหนาวเย็นของน้ำและอากาศ อีกทั้งในหน่วยรบการฝึกที่โหดกว่านี้แม้เป็นเจ้าชายก็ไม่ได้รับการยกเว้นกลับต้องฝึกหนักกว่าคนอื่นเสียด้วยซ้ำไป การดิ่งตัวสู่พื้นน้ำเป็นสิ่งที่เขาคาบคิดไว้อยู่แล้วเพราะเป็นทางหนีทางเดียวที่จะทำได้

อีกทั้งเขายังว่ายน้ำแข็ง จึงประคองตัวเองให้ลอยตัวเหนือน้ำได้ไม่ยาก ชายหนุ่มพยายามควาญหาตัวปริชมนที่โดดลงมาพร้อมกัน แต่ตอนนี้ร่างของหญิงสาวจมดิ่งไปในทิศทางใดไม่รู้ได้

ชิติโชคิมตะโกนเรียกเสียงก้อง ชายหนุ่มเริ่มใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ‘ตายไม่ได้ เธอห้ามตาย ฉันไม่อนุญาต’ ชายหนุ่มดำผุดดำว่ายอยู่ครู่หนึ่ง จนควาญพบร่างของหญิงสาว เขาจึงไม่รอช้ารีบนำร่างของหญิงสาวขึ้นริมลำธารและปฐมพยาบาลเบื้องต้นทันที

ปลายหัตถ์เรียวลูบปัดเส้นผมที่ปรกเปียกลู่ตามใบหน้าให้พ้น ในหทัยกำลังเว้าวอน ‘เธอห้ามหนี ฉันไม่อนุญาตให้เธอหนีวิธีนี้’ปริชมนยังคงนอนหลับตานิ่ง ชิติโชคิมพยายามช่วยชีวิตหญิงสาวอย่างสุดความสามารถ ‘เทพีบันยี ผู้นำเธอมา โปรดเมตตา อย่าเพิ่งนำเธอกลับไป...’

โอษฐ์หนานุ่มสัมผัสริมฝีปากอิ่ม ที่บัดนี้ซีดเซียวไร้สีสันเพื่อทำการผายปอด เนิ่นนานเหลือเกินในความรู้สึกชิติโชคิมวนเวียนทำอยู่เช่นนั้นนับครึ่งชั่วโมง ปริชมนจึงเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง หญิงสาวสำลักน้ำออกมาจึงสามารถฟื้นคืนสติได้อย่างทุลักทุเล

“แค่ก แค่ก ชิติ ชิติ”พอรู้สึกตัวได้หญิงสาวก็ผวาเข้าสวมกอดร่างอันแข็งแกร่งนั้น ดังว่ากลัวร่างสูงใหญ่นี้จะสูญสลายไปตรงหน้า น่าแปลกที่ชิติโชคิมเองก็รู้สึกราวกับได้หัวใจที่หายไปคืนมา

ทหัยไม่ปวดแปลบเจ็บไหม้

ดั่งธาราอาบใจไหลยะเย็น

“ฟื้นแล้วเธอฟื้นแล้ว เด็กดื้อ เธอทำให้ฉันใจหายรู้ไหม?” ร่างอรชรยังซุกอยู่กลางอุระอุ่นนั้นอย่างไม่สนใจว่าจะเปียกปอนเช่นไร

“พระองค์ทรงห่วงหม่อมฉันด้วยหรือเพคะ”

“ห่วงสิ ใจหายหมดเลยตอนที่หาเธอไม่พบ”

“คิดว่าทรงชิงชังหม่อมฉันเสียอีก”

“ถ้าชัง คงไม่ห่วง”

“เราอยู่ที่ไหน หนาวจัง”หญิงสาวเริ่มประคองสติตัวเอง หันมาสนใจสภาพแวดล้อมรอบกายมากขึ้น ลำธารสายเล็กแต่น้ำไหลเย็นจัด ทั้งยังมีความลึกของน้ำชนิดยืนเต็มตัวยังไม่โผล่พ้น ป่าสนต้นใหญ่หนาทึบ แต่มีหิมะปกคลุมจนขาวโพลนไปทั่ว

“เป็นลำธารเดียวกับที่เราผูกเจ้าซันไว้นั่นแหละ แต่นี่เป็นต้นน้ำถ้าเราเดินเลาลำธารไปเรื่อยๆก็จะไปถึงทุ่งหญ้าที่ผูกเจ้าซัน”

“แสดงว่าเราปลอดภัยแล้ว”คิดอย่างตื่นเต้น

“ยัง”แววเนตรกล้าแข็งทันทีที่คิดเรื่องผู้ปองร้าย

“พวกอิดาลยังจะหาเราพบอีกเหรอเพคะ”

“ไม่แน่ อิดาลเชี่ยวชาญการรบแบบกองโจร เรื่องเดินป่าไม่มีหู ไม่มีตา ก็ยังเดินได้”ถ้อยคำนั้นบ่งบอกถึงความน่ากลัวของอิดาลได้เป็นอย่างนี้

“เราต้องเดินอ้อมไปทางนั้น”ทรงชี้ขึ้นไปเหนือทิศตะวันลาฟ้า แสงสีอ่อนของดวงอาทิตย์อันเคยเจิดจ้ายามกลางวัน ในเวลานี้มันกลับหดแสงลง ดังว่าเกรงแววเนตรสีนิลของใครบางคน

หากปริชมนยังสงสัย ทางที่จะไป ดีอย่างไรกัน “เราจะมุ่งหน้าไปไหน”

“เข้าป่า ตัดเข้าหลังตำหนักคิมาราย”ถ้อยดำรัสชัดเจนยิ่งนัก



Create Date : 10 กันยายน 2552
Last Update : 10 กันยายน 2552 22:54:32 น. 0 comments
Counter : 269 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.