|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
ณ แดนนี้ยังมีรัก ตอนที่22: คำสัญญา
ตอนที่ 22 : คำสัญญา
รัตติกาลไม่ได้ยาวนานเท่าไหร่นักตามกฎบัตรแห่งธรรมชาติ แต่มันช่างทรมานและยาวนานสำหรับชาวอิดาลทุกคน ที่พลาดท่าเสียเชิงนักรบให้แก่หญิงงาม เหนือหมู่คนที่มองว่าค่ำคืนนี้ช่างยาวนานก็เห็นจะไม่มีใครเกิน ‘หัวหน้าอิดาล’ ที่เดือดพล่านเมื่อกลับจากการสำรวจเส้นทาง เขาต้องพบว่าที่สุสานหลวงว่างเปล่า เพียงครู่ก็เจอจาสที่หิวหัวเผือกเดินมากับลูกน้องอีกสองสามคน
“คนหายไปไหน จาส”เสียงนั้นบ่งบอกอารมร์ได้เป็นอย่างดี ความวินาศกำลังจะเกิดกับจาส
“ข้าให้พวกที่เหลือเฝ้าไว้ นังนายหญิงนั่นบ่นว่าหิวข้าเลยไปหาอาหารมา”แทนคำตอบจาสก็จุกแทบกระอัก เมื่อโดนฝ่าเท้าของผู้เป็นนายที่อัดลงบริเวณท้องอย่างเต็มแรงโทสะ ปลายกระบอกปืนด้ามยาวตามมาจ่อจดอยู่กลางหน้าผากของจาส มันพร้อมลั่นได้ทุกเมื่อ
“ระยำ ! โง่ !”เสียงแผดก้องน่าขนลุกนักสำหรับชาวอิดาลทุกคน
“อ้าว...นั่นไงนายไอ้พวกที่สั่งให้เฝ้าไว้”จาสทรุดตัวหน้านิ่วมือกุมท้องแน่น ก่อนจะแลเห็นลูกน้องของตัวเดินหอบฟืนกองเบ้อเร่อเข้ามา จาคิดว่า ’คงโดนดีเหมือนกัน’
“คนอยู่ไหนว่ะ”ดวงตาปูดโปนแลดูน่ากลัวยิ่งไม่ต้องพูดอะไรเจ้าคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็รู้ว่า ‘ซวย’
“เขาสั่งให้เราไปเอาฟืน คิดว่าไม่นาน เขาปวดท้องอยู่คิดว่าไม่เป็นไร” คำตอบนั้นสร้างความขุ่นเคืองใจให้รันท์เป็นอย่างยิ่ง ‘อิดาลมีคนโง่มากขนาดนี้ มิน่าเผ่าพันธุ์เขาจึงต้องเป็นรองพวกเมลามาตลอด จะถูกเรียกว่าเป็นชนกลุ่มน้อยคนสมควร จะเรียกว่ากบฏยิ่งถูกต้อง เมื่อคนของเขาไม่พัฒนาเลยสักนิด’ รันท์เย้ยหยันชะตาอันน่าตลก ก่อนจะหัวเราะเบาๆ ดวงตาโปนนั้นดั่งคลับคล้ายมีน้ำใสในดวงตาก่อนเขาจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่คล้อยต่ำต่ำมืดลงทุกทีแล้วตัดสินใจลั่นไกปืนตัดสู่ขั้วหัวใจของลูกสมุนคนเก็บฟืน ‘ปัง ปัง’ ร่างของลูกน้องชาวอิดาลทั้งคู่ค่อยๆทรุดฮวบลงกับพื้นขาดใจสิ้นอยู่ทุกหน้าเขา นี่เอง ‘รันท์ เงามัจจุราช’ ฆ่าคนได้โดยคนตายไม่รู้ทันรู้ตัว
“ตามไหมนาย”หนึ่งในอิดาลที่หัวหน้ากลุ่มเพิ่งคิดดูถูกเอ่ยถาม มันคิดว่าเสียงของมันคงไม่สั่นเกินไปนัก ที่ต้องมาเห็นเพื่อนตายต่อหน้าถึงสองคน
“ตามที่ไหน รู้หรือไงว่าหนีอย่างไร” รันท์ถามกลับ ใช่! หนีอย่างไรทางออกทางเดียวถูกปิดล้อมด้วยคนของเขา ส่วนทางลาดลงเขาตามจุดต่างๆก็โดนปิดล้อมจนหมด รันท์เคยคิดที่นี่มีปีกก็หนีไม่รอด ก่อนจะคิดใหม่ ’หรือมีปีกจะหนีรอด’
และเป็นจริงเมื่อสำรวจพบรอยเท้าบริเวณหลังสุสานหลวง ใต้ล่างเป็นลำธารที่น้ำเยอะ ทางรอดทางเดียวจากทางหนีที่ปิดตาย ก็ต้องเสี่ยงวิธีนี้ รันท์สิ้นสงสัย
“ปรับแผนใหม่ ต้องกลับไปตั้งหลักในเมืองอย่างไรพวกนั้นก็ต้องเข้าเมือง”
“เซ็งโว้ย !!! อีหน้าสวย เจอเมื่อไหร่มึงแหลกคาตีน” จาสคำราม
“หุบปาก! แล้วเรียกรวมพล ป่านนี้พวกทหารที่คิมารายอาจจะระแคะระคายแล้วว่าเจ้าชายหายไป เราต้องไปก่อนที่พวกมันจะมาถึงที่นี่” นั่นคือคำสั่งสุดท้ายก่อนที่เหล่านักรบอิดาลจะกลืนหายไปกับความมืดของรัตติกาลอย่าง ‘แค้นใจ’ ………………………… ส่วนคนที่ทำให้อิดาล ‘แค้นใจ’ ตอนนี้กำลังนั่งอยู่กับหัวหน้าหมู่บ้านคนภูเขาที่เมื่อช่วงเช้าปริชมนจำได้ว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่เข้าเฝ้ารับเสด็จเสียด้วย หัวหน้าหมู่บ้านและภรรยาย่อมจดจำเจ้าชายของพวกเขาได้ และคนที่ดูจะจดจำได้ดีกว่าคนเป็นลูกสาววัยสะคราญของหัวหน้าหมู่บ้าน ที่นั่งกระมิดกระเมี้ยนอยู่ไม่ห่างจากพ่อ แม่
“พักเสียหน่อยค่อยเดินทางดีไหมกระหม่อม”หัวหน้าหมู่บ้านแม้จะงุนงงอยู่บ้างเมื่อมีคนมาเคาะประตูยามวิกาลและเปิดออกพบว่าเป็นเจ้าชายรัชทายาทที่ลูกสาวเขาพูดถึงทั้งวัน หลังจากเฝ้ารับเสด็จในช่วงเช้า อยู่ในสภาพที่อิดโรยเนื้อตัวพระภูษาเปียกปอน ข้างๆมีหญิงสาวนางหนึ่งตามเสด็จมาด้วยในสภาพที่ไม่ต่างกัน
“สำรวจแถวเขาจูจูเจอสัตว์ร้าย พลัดกับคนอื่น”นั่นคือรับสั่งที่ประทานให้รู้ แม้จะงงบ้างว่าสัตว์ร้ายอะไรแถวนี้ไม่เคยมีสัตว์ร้ายแต่ก็คิดได้ว่าไม่ใช่กิจที่จะทูลถาม ต้องมีเหตุผลส่วนพระองค์
“ขอยืมม้าสักตัวก็พอ”
“เปลี่ยนพระภูษาเสียก่อน พระชายาด้วย เปียกหมด เตรียมน้ำอุ่นไว้ถวายแล้วสรงน้ำเสียทั้งคู่แล้วค่อยไป”คำพูดซื่อๆของภรรยาหัวหน้าหมู่บ้าน ทำให้แขกจำเป็นทั้งสองเขินอายอย่างไม่เคยเป็น
“แม่ ใช่ที่ไหน ยังโสด ไม่มีชายา”คนเป็นลูกสาวเถียง ทนได้อย่างไรรูปงามปานเทพบุตรเพียงนี้ ‘มินจี’หลงรูปเจ้าชายเมื่อแรกเห็นแล้ว ปกติที่บ้านจะมีพระฉายาลักษณ์ติดอยู่ที่กำแพง แต่เธอยังไม่ต้องใจ เพราะไม่คิดว่าองค์จริงงามยิ่งเพียงนี้
“อ้าว...ก็เห็นพ่อเอ็งบอกว่า ท่านมีว่าที่พระคู่หมั้นมาด้วย อีกหน่อยก็เป็นชายาแม่ไม่ผิดหรอก”
“ก็ไม่ใช่คนนี้”มินจียังเถียง “จะเถียงกันต่อหน้าพระพักตร์อีกนานไหม พาไปทรงสรงเสียที”ผู้เป็นหัวหน้าหมู่บ้านตำหนิภรรยาและบุตรสาว
“ไม่เป็นไร นี่ปีนังเป็นแขกพิเศษของฉัน”ทรงมีรับสั่งตอบ ก่อนจะแย้มสรวลให้ทั้งภรรยาและลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้าน
คนที่เป็นแขกพิเศษ ขอกแยกตัวไปอาบน้ำ ไม่สนใจต่อสายพระเนตรที่ทอดตาม ‘แขกพิเศษ’ ใช่! คงแค่แขกพิเศษที่สามารถลากไปไหนต่อไหนได้ สั่งการอะไรก็ได้ จะ’จูบ’ ยังได้
ได้อาบน้ำเปลี่ยนชุดปริชมนรู้สึกดีขึ้นเยอะ ชุดที่ใส่เป็นชุดของมินจีลูกสาวหัวหน้าหมู่บ้าน เป็นเสื้อขนสัตว์คอจีนหนาตัวโต สวมคู่กางเกงขาสั้นที่ช่วงขาแคบแนบตัว เสื้อผ้าแบบนี้ถ้าแม่เห็นคงจะว่า ‘เสื้อพ่อ กางเกงลูก’
“ชุดที่ดีที่สุดของมินจี” เจ้าของชุดบอกเธออย่างนั้น
เสียงสนทนาข้างนอกทำให้ปริชมนแปลกใจ ไม่ได้มีเพียงผู้ชายสองคนคือหัวหน้าหมู่บ้านและเจ้าชายของเธอหรอกหรือยังจะมีใครอื่นอีก น่าอันตราย แต่ยังมิทันจะคิดอะไรมากกว่านั้นมินจีก็เดินยิ้มหน้าบานเข้ามาบอกเธอ “ทหารมาเต็มบ้านเลย นานแล้วที่บ้านฉันไม่ได้ต้อนรับคนมากแบบนี้”
“ทหาร”ปริชมนรับฟังจบก็รีบรุดออกจากห้องของมินจีที่เธอใช้เป็นที่ผลัดผ้าอย่างรวดเร็ว รอย... ทัยคุน... หญิงสาวยิ้มอย่างปลื้มใจ ไม่ใช่ว่าเธอจะรอดปลอดภัย แต่เขาต่างหาก คนที่มีค่าต่อประเทศนี้ เธอมั่นใจว่าเขาปลอดภัยแล้ว
“ปีนัง”ทรงดำเนินตรงมาที่หญิงสาวก่อนจะกระหวัดวงพระกร ทำให้หญิงสาวตกอยู่ในอ้อมพระกร แถมยังทรงแย้มสรวลร่า ไม่สนพระทัยสักนิดว่าเธอจะอึ้ง! อาย! เหล่าทหารแค่ไหน
“เอ้อ...”รอยมองภาพนั้นอย่างงงงวยเช่นกัน ต่อหน้าเหล่าราชองครักษ์ เจ้าชายของเขาโอบผู้หญิงแถมยังเป็นผู้หญิงที่ ‘ต้องห้าม’
“งานนี้ งานใหญ่”ทันคุนหันมากระซิบคู่หูเบาๆ เขาเที่ยวตามหาเจ้าชายให้วุ่นทั้งวัน พอหัวค่ำก็พบม้าเร็วส่งข่าวว่าพระนมริยาให้มาเรียนมีผู้หญิงชื่อปีนังหายไปช่วงเวลาไล่เลี่ยกับเจ้าชาย
“คุณปีนังก่อเหตุอีกจนได้”รอยเอ่ยเมื่อรับทราบ และสิ่งหนึ่งที่สองราชองครักษ์คิด สงสัยจะหนีตามกันเสียละมั้ง
“รอยกับทันคุนมาได้อย่างไร” ปริชมนถามคงจะมีใครสักคนให้คำตอบได้
“พวกเขาเจอเจ้าซัน และขึ้นไปที่จูจู”คำจูจูบอกได้ทรงแค้นลึก
“แต่ไม่พบใคร” ยังทรงตรัสต่อให้เธอเข้าใจ
“คงไปกันหมดแล้ว”หญิงสาวเดาต่อ
“พวกเราเจอแต่ร่องรอยว่ามีคนเคยอยู่ที่จูจู มีรอยเท้าจำนวนมาก ทีแรกคิดว่าคงโดนดีเข้าให้แล้ว เกรงอยู่ว่าเจ้าชายจะทรงได้รับอันตราย แต่ก็คิดว่าพระองค์ทรงรอบรู้ทางที่แถบนี้นี้ไม่น่าพลั้งแก่ศัตรูได้จึงลองตามหารอบหมู่บ้านภูเขาจนมาถึงหมู่บ้านสุดท้ายก็คือที่นี่และได้พบทั้งเจ้าชายกับคุณปีนัง แต่ที่ไม่คาดคิดก็...”รอยมองภาพตรงหน้าแล้วพยายามกลั้นยิ้ม ดูเหมือนคนถูกมองจะรู้ตัวจึงลดพระกรลงปล่อยสตรีในอ้อมอุระเป็นอิสระ
“เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วใช่ไหมเราจะได้ไปกัน”
แทบคำตอบปริชมนพยักหน้ารับ หญิงสาวอายทหารเหล่านี้เหลือจะกล่าว คนข้างๆก็ไม่รู้ร้อนรู้หนาว เดี๋ยวจะให้เป็นแขกพิเศษ แต่หน้าที่ต้อนรับแขกพิเศษ ถึงเนื้อถึงตัวแบบนี้เชียวหรือ?
ปริชมนจะรู้ไหมมีคนคิด “คงเห็นอกเห็นใจกันตอนลำบาก”
ทรงรับสั่งอำลาหัวหน้าหมู่บ้านและภรรยาที่ออกมาส่งเสด็จอย่างยินดี เห็นจะมีเพียงมินจีผู้เป็นบุตรสาวเท่านั้นที่หน้าบึ้งตึง ปริชมนมองเด็กสาวอย่างเข้าใจ ก่อนจะมองคนมากเสน่ห์ เธอรู้ดีหัวใจบริสุทธิ์อย่างมินจี คงหลงรูปเจ้าชายรูปงามเข้าให้แล้ว ไม่โกรธมินจีแต่หมั่นไส้คนหน้านิ่งนัก พอเจอเหล่าทหารแล้วก็เริ่มจะกลับเป็นเจ้าชายมาดมากเหมือนเดิม ยังดีอยู่อย่าง ที่ให้เธอนั่งเจ้าซันที่ถูกลากมาด้วยกลับ .................................
เสียงฝีมือเท้าม้าวิ่งอย่างตะบึงแรงเร่งทะยานหมายจะให้ถึงจุดหมายโดยไว ไม่มีการพักม้า มีทหารบางส่วนถูกส่งนำหน้าไปยังตำหนักคิมาราย เพื่อส่งข่าวให้ทางนั้นคลายกังวล ขบวนของเจ้าชายรัชทายาทวิ่งมาจนใกล้ยามอรุโณทัย เข้าสู่เขตของหุบเขาดอกไม้ ฝีเท้าม้าจึงชะลอแวะพัก
“อีกครึ่งชั่วโมงจะถึงคิมาราย”รับสั่งใกล้ชิดริมหู ก่อนประคองเธอลงจากเจ้าซันยอดอาชา
“หม่อมฉันทราบแล้ว” ปริชมนรับรู้ว่าจะถึงแล้ว และคงเป็นเวลาที่เธอต้องเร้นกาย ‘ไม่มีตัวตน’ในดินแดนนี้อีกเช่นเคย ตราบนี้ฤธัตธรณ์ยังอยู่ หากในห้วงความคิดยังบอกตัวเองอีกประการหนึ่งว่า ‘บอกเสียเรื่องจะได้จบ จะได้กลับบ้านอย่างไม่ค้างคา’
เจ้าชายหนุ่มทรงมองเสี้ยวดวงหน้างามยามต้องแสงแห่งอรุณรุ่งอ่อนๆ ผู้หญิงคนนี้เป็นอย่างไรกันแน่หนอ ? เมื่อแรกเจอก็ทำให้พระองค์ครุ่นคิดว่าจะเข้ามาแสวงผลประโยชน์จากพระอนุชา กาลต่อมาเมื่อได้ใกล้ชิดพระองค์ เธอกลับแสดงกิริยาชม้ายชายตา ฉายแววรักจนปิดมิมิด ใช่ว่าจะทรงพินิจไม่ออก เพียงแต่ไม่อยากทอดพระเนตร ด้วยกลัวพระทัยองค์เองจะหลงกลตกสู่บ่วงสิเน่หาของผู้หญิงคนนี้ และเมื่อได้ตกยากด้วยกันมา จากที่ทรงคิดเพียงว่าหวังผลประโยชน์ และหลงรูปลักษณ์เพียงอยากใกล้ชิดพระองค์ และอยากเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์พระองค์ก็ต้องทรงคิดใหม่ เพราะความหาญกล้าที่ผู้หญิงคนนี้สำแดงต่อศัตรูของพระองค์และความบ้าบิ่นถึงขนาดยอมเสี่ยงชีพพร้อมพระองค์ ก็เป็นข้อพิสูจน์เป็นอย่างดีแล้วว่า หญิงสาวต่างชาติต่างภาษาคนนี้ ไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อพระองค์และอนุชาเป็นแน่แท้ แต่จะเป็นเพราะเหตุใดกันที่ทำให้ปริชมนยอมเสียสละเพื่อพระองค์เพียงนี้ ก็ยังให้สงสัยอยู่… ทว่าสิ่งหนึ่งที่ทรงปริวิตกกับองค์เองเสมอมา จนแจ้งพระทัยแล้วว่า ณ บัดนี้ทรงตระหนักดีว่า ‘ทรงพลาดท่า’ เข้าสู่วังวนของปริชมนไปเรียบร้อยเสียแล้ว ตลอดพระชนม์ชีพที่ผ่านมา ในฐานะเจ้าชายรัชทายาท เพียงเรื่องเดียวที่ไม่เคยหนักพระทัยมาก่อนคือ ‘รัก’ แต่มาวันนี้ฤาพระองค์จะต้องทุกข์หฤทัยเพราะรัก เพียงคิดก็ทำให้ต้องผ่อนพระอังสาสะยาว ดอกไม้กลางทุ่งกำลังสลัดหยาดหิมะน้อยๆ ที่เปื้อนสีสวยของกลีบดอก ก่อนจะน้อบรับแสงสุรีย์ที่ค่อยๆทอประกายจากเหลี่ยมยอดคิมารายอย่างเฉื่อยช้า เสียงสกุณาโบกบินอยู่เหนือเมฆา รอยและทันคุนตลอดจนทหารองครักษ์อื่นๆ ต่างรู้หน้าที่ของตนดีอย่างไม่ต้องให้ใครมาสั่ง พวกเขานำม้าออกไปพักในจุดที่ห่างจนนายของตน จนมั่นใจได้ว่าทรงเป็นเวลาส่วนพระองค์อย่างแท้จริง แต่ก็ยังเป็นจุดที่แลเห็น เนื่องจากเกรงภยันตราย
“สงสัยนัก จะทรงตรัสบอกรักคุณปีนังอย่างไร”รอยเอ่ยขึ้นก่อนจะวักน้ำในลำธารลูบใบหน้าอย่างรวดเร็ว
“รัก อย่างไรเล่าเพื่อนเกลอ มองไม่ออกหรือไร ทรงกังวลพระทัยชัดๆ”ทัยคุนท้วง
“ฉันดูออกตั้งแต่แรกๆแล้วว่าทรงคิดอย่างไร มันก็ไม่น่าจะมีปัญหาอันใดนี่น่า”
“นายคิดใหม่สิว่าไม่มีปัญหาจริงหรือ ?”
ทันคุนบอกเตือนเพื่อนสนิทอีกครั้ง ปัญหาใหญ่เชียวล่ะรอยเอ๋ย หากเจ้าชายรัชทายาทจะทรงรักกับสามัญชนคนต่างแดน ทั้งที่มีว่าที่พระคู้หมั้นที่เพียบพร้อมทุกประการอยู่ อีกทั้งผู้หญิงที่จะทรงรักกลับเป็นนางในดวงหทัยขององค์อนุชาเสียนี่ คิดแล้วก็ได้แต่ส่ายหน้ากลุ้มแทนคนเป็นนาย
“จริงด้วย สมควรกลุ้มจริง องค์รานีก็ไม่โปรดแน่ เจ้าชายฤธัตธรณ์อีก ทำไมมันซับซ้อนเวียนหัวแบบนี้หว่า...”รอยคิดตามได้ก็เริ่มกลุ้มอีกคน
ส่วนคนที่ต้องทรงกลุ้มกว่าใคร กลับดำเนินลงไปเก็บหมู่บุปผากำใหญ่กลางดงดอกไม้เสียอย่างนั้น
“หม่อมฉันจะแอบกลับเข้าคิมารายเงียบๆ”ปริชมนมองการกระทำนั้นอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจ จะเก็บไปประทานผู้ใด คงจะเป็นเจ้าหญิงสวยจัดพระองค์นั้น ทรงผ่านความยากลำบากมากว่าวัน คงจะทรงคิดถึงว่าที่พระคู่หมั้นล้นพระทัย
“ฉันจะไม่ขี้ขลาดแล้วนะ ปีนัง”
“ทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ” “เธอจะได้ชีวิตในเมลาคืน”ทรงตรัสพร้อมกับยื่นพระหัตถ์ที่กอยโกยดอกไม้นานาพันธุ์นั่นให้แก่เธอ
“หวังว่าเธอคงไม่แพ้ละอองเกสรดอกไม้นะ”ตรัสเท่านั้นก็ทรงทำทีท่าจะลากเธอกลับสู่หลังเจ้าซัน
‘ไม่ได้ จะเป็นอย่างนี้ไม่ได้’ ปริชมนตอกย้ำกับตัวเองในใจ จะกลับสู่ความเป็นจริงแล้วเธออาจจะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีก เพียงคิดน้ำตาก็พร่างพราวอาบแก้ม “ชิติ คุณหยุดอยู่ตรงนั้นแหละ” เสียงเรียกนั้นทำให้ร่างกำยำไหวพะเยือบได้ อุระกว้างที่เคยเป็นที่ซบอิงของปริชมนเวลานี้กำลังสะท้านหนักกระตุกวาบในทหัย
“รีบกลับเถอะ วันหลังค่อยมาใหม่” ยังทรงตรัสทว่าปลายสุรเสียงแผ่วเบา
“หม่อมฉันมีเรื่องสำคัญอยากทูลถาม”
ทรงมองวงหน้างามที่ยามนี้ผมยาวหยักดังความโค้งคดแห่งสายธาร ถูกสายลมอ่อนเบาเบาพัดเป่าจนเผยผิวละออตา และรอยเศร้าว้าวุ่นในดวงตา
“เธอร้องไห้ ร้องทำไม”
“ทูลถามได้ไหมเพคะ” ปริชมน พิราพล เรื่องอื่นหมื่นแสนเธอประจัญบานได้ไม่หวั่น แต่กลับเรื่องนี้ทำไมเอ่ยได้ยากเข็ญนัก จะเป็นใบ้เสียหรือไรกัน
“ได้สิจะตอบให้ทุกเรื่องที่ฉันรู้”อีกหนึ่งคำมั่นที่ให้แก่เธอ
“ทรงจำต้นส้มหลังพระราชวังศีบันดาได้ไหมเพคะ ต้นที่อยู่บนเนินหญ้า ”เธอเริ่มทวนความเมื่อวารวัน ทำท่าทางมือไม้สะเปะสะปะวุ่น
“อืม...จำได้สิ ฉันชอบส้มจากต้นนั้นมาก เวลาไม่สบายใจฉันชอบหนีขึ้นไปอยู่แถวนั้น จุดนั้นเป็นมุมที่มองเห็นพระราชวังศีบันดาได้ชัดเจนที่สุด มันย้ำเตือนให้ฉันที่กำลังท้อ ได้รับรู้ว่าตัวเองไม่ใช่แค่ผู้ชาย แต่เป็นเจ้าชาย เอ...เธอเคยไปที่นั่นด้วยเหรอ ฉันจำได้ว่าตั้งแต่มาที่เมลาเธอยังไม่เคยเข้าเมืองหลวงเลย”
ลมอ่อนๆพาพัดเหล่ากลีบดอกไม้ ทั้งละอองเกสร ที่ใกล้มรณาร่วงหล่นจากกลีบดอกขึ้นมาลอยคว้างกลางอากาศระลอกแล้ว ระลอกเล่า ก่อนจะพากลีบดอกเหล่านั้นจ่อมจมรอการสลายคืนสู่พื้นดินเป็นปุ๋ยและหรือเป็นต้นใหม่ ที่พร้อมชูช่องามอีกครา ปริชมนมองโคจรของพวกมันอย่างอิจฉา เพราะเป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อมีหัวใจ จึงลำบากกว่าดอกไม้หลายพันเท่า ดูเถอะ...เพียงจะเอ่ยแต่ละคำออกมา เธอต้องรวบรวมความกล้าเจียนใจจะขาด
“หม่อมฉันเคยไปที่แห่งนั้น ตั้งแต่ยังเล็กเพคะ”
“เธอเคยมาเมลาแล้วหรือนี่”
ทรงประหลาดพระทัยกับความรู้ใหม่ และยิ่งทรงเห็นสีหน้าที่ยากจะบอกความรู้สึกของหญิงสาวพระองค์ก็เริ่มทรงตระหนักได้ว่าคงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ปริชมนที่ทรงรู้จักไม่เคยกลัวการพูดจนในบางครั้งกล้าเกินเหตุด้วยซ้ำ แต่ในตอนนี้เหมือนคนที่เกรงกลัวบางสิ่ง แต่ต้องเผชิญกับความกลัวนั้นมากกว่า ‘เรื่องสำคัญอะไร ที่ทำให้เธอกลัวจับขั้วหัวใจอย่างนี้’
“เพคะ มาเมื่อยังเล็กมาก มาเป็นครอบครัว แต่กลับไปเพียงสองคนแม่ลูก”หญิงสาวรื้อฟื้นความหลังอันเป็นสาเหตุให้เธอต้องมาประเทศนี้อีกครั้งในวันนี้ พลัน! เธอคิดถึงแม่สุดใจ ถ้าแม่อยู่คงปลอบโยนเธอได้ ไม่กลัวที่จะเอ่ยเรื่องราวที่อัดอั้นอย่างตอนนี้
ปริชมนพยายามกลืนน้ำลายลงคอที่ฝืดแห้ง แค่กลืนน้ำลายก็กลายเป็นเรื่องยากไปแล้ว...
“พ่อของหม่อมฉันเป็นคนที่นี่ พ่อพาเรามาเที่ยวแต่ในวันที่จะเดินทางกลับเมืองไทย พ่อไม่ยอมกลับไปด้วย พ่อกับแม่ทะเลากันรุนแรงมาก ตอนนั้นไม่มีใครสนใจหม่อมฉันที่ยืนร้องไห้อยู่สักนิด หม่อมฉันเกลียดภาพนั้นไม่อยากเห็นมัน จึงวิ่งออกจากที่พักมาคนเดียว วิ่งไปเรื่อย จนตัวเองมาอยู่ใต้ต้นส้มต้นหนึ่งบนเนินเขา หม่อมฉันนั่งร้องไห้อยู่เป็นนาน ไม่อยากให้พ่อกับแม่ทุ่มเถียงกัน ไม่อยากอยู่ที่ประเทศเมลา และความกลัวว่าตัวเองจะหลงทาง”ปริชมนสะอื้นไห้จนคนอยู่ใกล้ตกพระทัยต้องเข้ามาปลอบ
“นิ่งเถอะ...ถ้ามันลำบากที่ใจที่จะเล่าไม่ต้องเล่าแล้ว”ทรงเช็ดหยาดน้ำใสที่ไหลรินสองแก้มด้วยพระหัตถ์อุ่น ก่อนจะกดพระโอษฐ์ลงกึ่งกลางหน้าผากบางอย่างให้กำลังใจ
“ต้องพูดเพคะ...เพราะให้วันนั้นหม่อมฉันเกลียดเมลาสุดใจ โทษสารพัด ถ้าไม่มาเมลาปัญหาต่างๆคงไม่เกิด พ่อไม่ต้องทะเลาะกับแม่ หม่อมฉันไม่ต้องร้องไห้ แต่ความคิดของหม่อมฉันก็เปลี่ยนไปเมื่อมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาหาหม่อมฉัน...เขาส่งผ้าเช็ดหน้าให้หม่อมฉัน และปลอบโยนไม่ให้หม่อมฉันร้องไห้ ทั้งที่เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าหม่อมฉันทุกข์ใจเรื่องอะไร...เขาให้คนของเขาพาหม่อมฉันกลับไปส่งที่โรงแรม ซึ่งต้องตระเวนหาทั่วเมือง โชคดีที่มีโรงแรมไม่มากและหม่อมฉันจำลักษณะของโรงแรมได้ เมื่อไปถึงหม่อมฉันก็พบแค่แม่ ไม่มีพ่ออีกต่อไป...แต่..แต่...มีเด็กผู้ชายคนนั้นเข้ามาแทน...เด็กผู้ชายชาวเมลา”เล่าขนาดนี้หวังว่าจะทรงจดจำได้บ้าง
“เธอผูกพันกับเด็กคนนั้นมากสินะ”พักตร์นิ่งยากเดาพระทัย ความงดงามของ ดอกไม้บางครั้งก็ดูไร้ค่า เมื่อทุกข์กลัดกลุ้ม เกินกว่าจะแลเห็นความงาม
“เพคะ ในวันนั้น เขาได้ให้ของสิ่งหนึ่งแก่หม่อมฉัน พร้อมสัญญาว่าเขาจะให้หม่อมฉันเป็น...เอ่อ...”ยากนักที่จะเอ่ย เกิดพูดไปแล้วเขาหาว่าเธอโป้ปด สร้างเรื่อง เกิดเขาจำไม่ได้สักนิด เธอจะทำอย่างไร
‘ใครเล่าจะกล้าเอ่ย พระองค์เคยประทานสัตย์สัญญา ให้หม่อมฉันเป็นรานีของพระองค์’ เพียงคิดทุกคำพูดก็ถูกกลืนหายไปในลำคอ
“เล่าต่อสิ ฉันอยากฟัง” รับสั่งเรียบ
“เด็กชายคนนั้นให้สิ่งนี้แก่หม่อมฉัน พร้อมทั้งเอ่ยสัญญาให้หม่อมฉันเป็นรานีของเขา”ปริชมน หยิบกำไลทองวงน้อยประดับอัญมณีหลากสีที่พกติดกายเสมอให้แก่เจ้าชายทอดพระเนตร พูดจนหมดแล้ว....ในที่สุด...เธอก็บอกจนได้...สิ่งที่แบกไว้...ดั่งได้ปลดเปลื้อง...ความหนักอึ้งสูญสลาย
คนรับกำไล นอกจากตะลึง!แล้วยังสัมผัสได้ว่าหทัยไหวระริก คนเราลืมบางสิ่งที่สำคัญอย่าง ‘สัญญา’ ได้อย่างไร กำไลวงนี้ดั่งเครื่องย้อนเวลาพาพระองค์จมดิ่งสู่อดีต เหตุใดจะทรงจดจำไม่ได้... เพื่อนสาวตัวน้อย นั่งร้องไห้เดียวดายใต้ต้นส้ม ขณะนั้นเจ้าชายใหญ่เพิ่งแอบเสด็จหนีออกมาเที่ยวเล่นกับมหาดเล็กพบเจอโดยบังเอิญ
“กำไลท่านย่าหายไปไหน ชายชิติ”รับสั่งเอ็ดอึ้งของท่านแม่ยังก้องชัด
“เหมือนของผู้หญิง ชายเป็นผู้ชายเก็บไว้ไม่มีประโยชน์”เจ้าชายว่าที่มกุฎราชกุมารในขณะนั้นทรงตอบพระมารดา
“ท่านย่าให้ลูกเพื่อให้เก็บไว้มอบให้คู่อภิเษกในอนาคต ไม่ได้จะให้สวมเอง”
“งั้นหม่อมฉันก็ให้ไปแล้ว”
ยังทรงจำได้ว่าเพราะเรื่องนี้ ท่านแม่ทรงกริ้วอยู่นานนับเดือน ก่อนที่จะทรงปล่อยให้เรื่องนี้เลือนหายเร้นลึกอยู่ปลายความทรงจำ กระทั่งถูกจุดลุกขึ้นมาเวลานี้ ด้วยผู้หญิงคนนี้ คนที่อ้าวตัวว่าเป็นเด็กสาวคนนั้น...
ปริชมนมองคนที่พลิกกำไลพินิจไปมา อย่างกระดากอาย แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง แล้วอย่างไรต่อเล่า สุดท้ายก็เท่านี้...
เพียงเธอได้บอกสิ่งที่หลอกหลอนทุกคืนวัน อย่างไรเรื่องจะให้เป็นรานีของเขา เธอก็ไม่เคยหวังอยู่ดี รู้รู้กันอยู่ ‘ทรงมีว่าที่รานี’ หญิงสาวรู้สึกว่าสมองว่างเปล่า เบาหวิว เธอยืนโหงนเงกอยู่ครู่ก่อนจะทรุดระย่อลงอย่างไร้สติ
“อ้าว...เดี๋ยวสิ ปีนัง ๆ” สุรเสียงตกพระทัย ดีที่ทรงรับร่างแน่งน้อยไว้ได้ทันก่อนร่วงสู่พื้น
Create Date : 10 กันยายน 2552 |
Last Update : 10 กันยายน 2552 23:04:58 น. |
|
0 comments
|
Counter : 383 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|