อิสระของชีวิต คือ การได้วิ่งตามฝัน Cute Sanrio Glitter Graphics

คูน้ำริน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





Group Blog
 
<<
มกราคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
5 มกราคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add คูน้ำริน's blog to your web]
Links
 

 

ณ แดนนี้ยังมีรัก ตอนที่ 9

ตอนที่9:ผู้มาเยือน

จันทร์จรัสเลื่อมร้อยคอยรัตติ ดั่งข้านี้คอยเจ้าทุกวารวัน เจ้าเป็นดั่งแสงเรืองรองส่องทหัย ไร้เจ้าไร้เสน่หามืดมน อยู่ไหนๆจันทร์กระจ่างฟ้าของข้าเอย…

ตั้งแต่มีเรื่องการหายตัวไปของปริชมน มาจนถึงเวลานี้ไม่เคยมีคืนใดเลยที่เขาจะนอนหลับสนิทตลอดคืน จะตอนหลับๆตื่นๆพาลให้กินข้าวกินปลาไม่ค่อยจะลง คืนนี้ก็เช่นกันเขาตื่นขึ้นมากลางดึก หลังจากหลับฝันไปว่าหญิงสาวตกอยู่ในอันตราย กำลังวิ่งหนีใครบางคนที่แสนจะคุ้นตา แต่ก็นึกไม่ออกว่าใคร เขาจึงระบายความเครียดด้วยการออกมาเดินชมจันทร์เพื่อหวังว่าจะคลายความกังวลไปได้บ้าง

“เจ้าชายๆทรงอยู่ที่นี่เองกระหม่อม หม่อมฉันตื่นขึ้นมาไม่เห็นพระองค์ก็วิตกแทบแย่” ปินตาข้าหลวงคนสนิทวิ่งตะโกนมาแต่ไกล เมื่อตื่นมาไม่เห็นเจ้าชายของเขาปินตาตกใจแทบตาย ก่อนจะค่อยๆนึกว่าพระองค์บรรทมหลับๆตื่นๆตลอดเวลาอาจจะทรงออกมาเดินเล่นก็เป็นได้และก็เป็นจริงเมื่อเจอพระองค์ทรงประทับนั่งอยู่ที่น้ำพุหน้าวังริตวัน

“ไม่มีอะไรหรอกปินตาฉันนอนไม่หลับฝันร้ายนะ” เจ้าชายฤธัตธรณ์ทรงหันไปแย้มสรวลให้แก่ปินตา แต่แทนที่เขาดีใจที่เห็นรอยแย้มสรวลนั้นกลับรู้สึกเศร้าใจอย่างบอกไม่ถูก ตั้งแต่การหายตัวไปของพระสหายเจ้าชายของเขาก็แทบจะไม่เป็นอันทำอะไรเลยพระภารกิจทั้งหลายก็งดหมด มุมานะเฝ้าแต่ตามมาพระสหายสาวคนนั้น หากยังไม่เจอแม้เงา

“ปินตานายรู้มั้ยปริชมนนะแปลว่าอะไร”เจ้าชายฤธัตธรณ์ทรงตรัสถามข้าหลวงคนสนิทหากทว่าสายพระเนตรกลับจับจ้องอยู่ที่ดวงจันทร์อย่างไม่กระพริบ

“เอ้อ..เป็นภาษาไทยหม่อมฉันคงไม่ทราบกระหม่อม” ปินตาทูลตอบตามความจริงนับวันพระอาการยิ่งน่าเป็นห่วง
“ปริชมน แปลว่า พระจันทร์ ถ้านายได้เจอเขานายจะต้องชอบเขาแน่ๆปริชมนนะเป็นคนฉลาดมากเลยล่ะ ฉันรู้จักกับเขาได้ก็เพราะเขาเป็นคนเดินเข้ามาถามฉันว่า ขอโทษนะคะคุณไม่เหมือนคนไทยเลย ฉันเดาว่าคุณต้องเป็นคนเมลาแน่ๆเลย ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เจอเขาฉันก็รู้สึกชอบเขาแล้วล่ะ” ทรงตรัสราวกับเพ้ออยู่เพียงลำพัง

“เจ้าชายพะยะค่ะ อย่าเพิ่งทรงหมดหวัง เมื่อเราไปพิรัยธาเราก็จะได้พิสูจน์ข้อสันนิษฐานของเราว่าเป็นจริงหรือเปล่า” ปินตาปลอบองค์ชายของเขา พิรัยธาคือที่สุดท้ายที่ยังมิได้ค้นหา หากพบก็คือพบหากไม่พบก็แสดงว่าพระสหายไม่ได้อยู่ในเมลาแล้วจริงๆหรืออีกนัยหนึ่งอาจจะเหลือโครงกระดูกอยู่ที่ไหนสักแห่ง

“พิรัยธา ปินตาฉันแทบทนรอการมาถึงของหญิงเนรัญชราวันพรุ่งนี้ไม่ไหว อยากจะล่วงหน้าไปก่อนเสียด้วยซ้ำ”ทรงตรัสด้วยความโทมนัส

“พระทัยเย็นๆก่อนพะย่ะค่ะ องค์รานีคงไม่ทรงประทานพระอนุญาต”

“จริงสิท่านแม่สั่งนักสั่งหนาว่าให้อยู่ที่ศีบันดา รอไปพร้อมกันกับหญิงเนรัญชรา พูดถึงหญิงเนรัญชราแล้วทำไมปีนี้ถึงได้อยากไปเยี่ยมพี่ชายที่พิรัยธาเร็วกว่ากำหนดนัก”ทรงตั้งข้อสังเกต

“เจ้าหญิงคงจะทรงอยากพบพระเชษฐาโดยเร็ว อีกอย่างเหลือเวลาอีกแค่สองเดือน ก็จะถึงพิธีหมั้นหมายกันอย่างเป็นทางการ คงจะทรงเสด็จไปเตรียมองค์ที่พิรัยธา” ปินตาแสดงความคิดเห็น

“นั้นซิ หญิงเนรัญชรากับท่านลุงเร่งรัดทางเรามานาน จัดการให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปก็ดีเหมือนกัน พี่ชายเองก็รักเอ็นดูกับหญิงเนรัญชรามานานก็สมควรอยู่หรอกที่ผู้ใหญ่จะไม่ยอมนิ่งนอนใจ”ทรงตรัสถึงว่าที่พระเชษฐนี (พี่สะใภ้)

“อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยนะพะย่ะค่ะ กระหม่อมขอบังอาจทูลถาม เจ้าชายของปินตาไม่ทรงรู้สึกสิเน่หาเจ้าหญิงเนรัญชราบ้างเลยหรือพะยะค่ะ เจ้าหญิงทรงงดงามนัก ชายใดเห็นก็ต่างพากันปลาบปลื้มในพระสิริโฉมแห่งนางหงส์มรกตกันถ้วนหน้า แม้แต่พระเชษฐาเองก็ทรงรักใคร่ แล้วผู้หญิงที่สวยอย่างนี้เจ้าชายน้อยของปินตามองข้ามไปได้อย่างไร” ปินตาพูดเชื่องช้าตะกุกตะกัก ด้วยเกรงว่าสิ่งที่ตนเพียงอยากรู้ อาจจะไม่เป็นที่พอพระทัย

“ฮ่าๆๆๆ” เสียงพระสรวลดังลั่นก่อนตรัส

“ หญิงเนรัญชรานะหรือที่เรียกว่าสวย นี่ปินตาฉันจะบอกให้นะว่าต่อให้หญิงเนรัญชราสิบคนมารวมกัน ก็สวยสู้เสี้ยวหนึ่งของปีนังไม่ได้ อ้อ...ถ้านายอยากรู้ว่าปีนังสวยหยาดฟ้ามาดินขนาดไหน ก็ให้ดูเทพีบันยีนั้นล่ะราวกับคนๆเดียวกัน”

เจ้าชายฤธัตธรณ์ทรงพระสรวลดังลั่นก่อนจะเสด็จจากไป ทิ้งให้ปินตาเปรียบเทียบความงามของสองสตรีต่อไป
....................................................................

เวลานี้แม้จะเพียงจะรุ่งสาง แต่ทว่าความโกลาหลเล็กๆก็เกิดขึ้นภายในวังหลวงศีบันดา ด้วยเพราะการเสด็จมาของเจ้าหญิงพระคู่หมั้นในองค์เจ้าชายรัชทายาท เจ้าหญิงเนรัญชราแห่งเมืองนาบี สมเด็จพระราชาธิบดีและองค์รานีทรงเสด็จออกมาต้อนรับด้วยพระองค์เองใกล้ๆกับองค์รานีเจ้าชายฤธัตธรณ์ก็ทรงประทับอยู่ด้วย

“แค่หญิงเนรัญชรามา ทำไมจะต้องวุ่นวายกันขนาดนี้ เสด็จแม่หม่อมฉันยังง่วงอยู่เลย”

“ชายฤธัตอีกไม่นานหญิงเนรัญจะเข้ามาเป็นคนในครอบครัวเดียวกับเราแล้ว ดังนั้นเราจะต้องทำให้เขารู้สึกอบอุ่นและเป็นหนึ่งเดียวกับเราสิลูก ช่วงบ่ายๆชายชิติก็จะมาถึง วันนี้แม่มีความสุขที่สุดเลยลูกชายก็มาอยู่พร้อมหน้า แล้วก็ว่าที่ลูกสะใภ้อีกจริงมั้ยเพคะฝ่าบาท” ฉัฏฐมีรานีทรงขอความคิดเห็นจากพระสวามี

“ฤธัตดูแม่ของลูกซิ พ่อบอกว่าจะต้องรีบไปร่วมประชุมกับเหล่าองคมนตรีก็ไม่ยอม ยื้อยุดฉุดกระชากพาพ่อมาจนได้ งานบ้านงานเมืองเสียหายหมด” สมเด็จพระราชาธิบดีทรงตรัสยิ้มแย้ม แม้จะมีรับสิ่งราวกับตัดพ้อองค์รานีหากเป็นไปในเชิงกระเซ้าเสียมากกว่า กิริยานั้นพลอยทำให้เหล่าข้าราชบริพารที่ถวายงานอยู่ใกล้ชิดอดปลาบปลื้มไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องใดจะทรงวางองค์งดงามเป็นเสมือนสายน้ำที่ชุมเย็นแก่ผู้คนรอบข้างได้เสมอ

“ ฝ่าบาท...เพคะ” องค์รานีทรงชายพระเนตรมองค้อนอย่างอิสตรี

“นู้น!แหนะ...เจ้าหญิงเนรัญชรา เจ้าหญิงหงส์มรกตผู้เลอโฉมแห่งเมืองนาบีเสด็จมานู้นแล้ว” เจ้าชายฤธัตธรณ์ทรงตรัสล้อเลียนพระสมญานามของเจ้าหญิงเนรัญชราด้วยทรงมั่ยพระทัยว่าสิ่งที่ตรัสเจ้าตัวต้องได้ยิน
หญิงสาวร่างบางนางหนึ่งเดินมุ่งตรงมายังเบื้องพระพักตร์กิริยาสง่างามดุจนางหงส์ ใบหน้างดงามถูกตบแต่งด้วยเครื่องประทินโฉมชั้นดีกลิ่นกายหอมฟุ้งโชยมาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึง สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือดวงตายาวรีที่มีประกายเจิดจรัสด้วยอำนาจบางประกายแฝงอยู่

“อุ้ย!ขอประทานอภัยเพคะ” นางกำนัลผู้ติดตามแสดงความกลัวลนลานทันทีที่เผลอเดินไวไปสะดุดกับเจ้าของตาคู่งามเข้า

“ระวังหน่อย” เจ้าของดวงตาพิฆาตคู่งาม หันขวับไปตรัสทันที ด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจก่อนส่งสายตาคู่งามจ้องอย่างคาดโทษ

“เนรัญชรา ถวายบังคมเสด็จอาทั้งสองเพคะ” เมื่ออยู่หน้าเบื้องพระพักตร์เจ้าหญิงจากนาบี ทรงถอนสายบัวงดงามพระสิริโฉมนั้น อย่างน้อยก็ทำให้หลายคนที่ยังไม่เคยพบตะลึงได้ ทรงสวมชุดเมลาลีสีฟ้าอ่อนดีไซน์หรู วรองค์ประดับด้วยเครื่องประดับที่เป็นโอปอสีดำครบชุด ที่โดดเด่นที่สุดก็เห็นจะเป็นรัดเกล้าที่ออกแบบให้เป็นระย้าย้อยอยู่กลางพระนลาฎ พระฉวีสีน้ำผึ้งผุดผ่อง

“ยินดีต้อนรับจ้ะ เป็นไงบ้างคงเหนื่อยน่าดู” ฉัฏฐมีรานีทรงลูบพระเกศาเจ้าหญิงอย่างเอ็นดู

“ก็มีบ้างเพคะแต่ก็ชินเสียแล้ว บ้านเมืองเรามีแต่ภูเขาคนภูเขาอย่างเรา ถ้าไม่เคยชินกับสภาพแวดล้อมบ้านตัวเองแล้วจะอยู่ได้อย่างไรกัน” ทุกคำที่ทรงเอื้อยเอ่ยบ่งบอกถึงสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี

“นั้นสิหลานพูดถูก จากนาบีมาที่นี่ต้องนั่งรถยนต์เท่านั้น บางคนบ่นแล้วบ่นอีก แต่ถ้าคนมีความอดทนที่ดีเข้าใจในสภาพแวดล้อมที่เป็นย่อมจะรู้ว่าบางสถานการณ์ เรามิอาจกะเกณฑ์ให้ได้อย่างใจปรารถนา”สมเด็จพระราชาธิบดีทรงตรัสชื่นชม

“องค์ชิติจะเสด็จมาถึงกี่โมงเพคะ”เจ้าหญิงโฉมงามทรงตรัสถาม

“เฮ้อ...อารายกาน...นี่ใจคอเธอจะไม่ทักทายฉันเลยหรือหญิงเนรัญ รู้มั้ยว่าฉันต้องตื่นตั้งแต่ไก่โห่เพื่อมายืนตากอากาศหนาวต้อนรับเธอคนอาร้าย..แล้งน้ำใจเป็นบ้า”ยังมิทันจะมีใครตอบคำถามเจ้าชายฤธัตธรณ์ก็ทรงตรัสขึ้นขัดจังหวะเสียก่อน

เจ้าหญิงโฉมงามปรายสายพระเนตรมองก่อนแย้มพระสรวลน้อยๆ “ชายฤธัตอย่าทรงคิดนะว่าหม่อมฉันไม่ได้ยินที่ทรงนินทา”

“นินทาอะไรฉันชมเธอต่างหาก”ทรงแย้ง

“อันที่จริงหม่อมฉันก็ไม่ถือหรอกเพคะ เพราะที่ชายฤธัตตรัสมาก็เป็นความจริงทุกประการ”ตรัสเสร็จก็เรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนที่อยู่รอบข้างได้

“ฮ่าๆๆเอาล่ะๆที่ชายฤธัตพูดก็ไม่ได้เกินจริงหรอก หลานนะเป็นเจ้าหญิงแสนสวยที่มีเชื้อสายหงส์มรกตจริงๆ”สมเด็จพระราชาธิบดีทรงตรัสยุติการสนทนา ก่อนจะมีพระกระแสรับสั่งให้เจ้าหญิงผู้เลอโฉมพร้อมทั้งข้าราชบริพารของเจ้าหญิงเนรัญชราไปพักผ่อนตามอัธยาศัยยังตำหนักที่รับรอง

หากระหว่างที่เจ้าหญิงเนรัญชรากำลังทรงพระดำเนินตามหลังองค์รานีอยู่นั่น ก็มีมือดีมาฉุดข้อพระกรไว้เสียก่อนเจ้าหญิงทรงหันพระพักตร์ไปมองผู้ที่บังอาจมาแตะต้องพระวรกายนั้นด้วยหมายมาดว่าจะเอาเรื่อง

“ว่ายังไงชายฤธัตฉันว่าเราทักทายกันแล้วนะ และตอนนี้ฉันก็เพลียมากอยากพักผ่อนเต็มที”

“จะอะไรกันนักกันหนา ระหว่างอยู่ในรถเธอไม่ได้นอนมาหรอกหรือ”

“อู้ย!...ฉันนอนไม่หลับหรอกย่ะ เธอก็รู้ว่าระยะทางจากนาบีมาเมืองหลวงทรหดขนาดใด นอกจากถนนที่ขรุขระแล้วก็ยังมีโค้งอีกเป็นร้อยเป็นพันฉันจะอาเจียนก็หลายรอบเต็มที ไว้แต่งงานกับพี่ชายเธอแล้วฉันเป็นพระชายาหรือได้ขึ้นเป็นองค์รานีเมื่อล่ะก็สิ่งแรกที่จะทำก็คือสร้างสนามบินไว้ที่นาบี”

“เฮ้อ...หญิงเนรัญเธอจะสร้างไปได้ยังไงเมืองนาบีบ้านเกิดเธอนะหาที่ราบสร้างสนามฟุตบอลยังยากเลยแล้วคิดจะสร้างสนามบินพี่ชายคงยอมหรอก” ฤธัตธรณ์ส่ายหน้าอย่างนี้ไงเล่า เขาถึงรักไม่ลงเจ้าหญิงหงส์มรกตหรือมันก็เป็นเพียงชาติกำเนิดเท่านั้นหากเมื่อตัดเรื่องชาติกำเนิดออกไปเนรัญชราก็เป็นเพียงผู้หญิงหัวสมัยใหม่ตามประดาคนที่ไปร่ำเรียนต่างบ้านต่างเมือง คิดเพียงแต่จะนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่บ้านเกิดโดยหลงลืมไปว่าบางสิ่งบางอย่างยากยิ่งกว่าฝนทั่งให้เป็นเข็ม

“เรื่องนั้นช่างฉันเถอะ ว่าแต่เธอมีอะไร ฉันเหนื่อยนะมารั้งไว้ทำไหม”เจ้าหญิงโฉมงามทรงสะบัดพระกรจากการเกาะกุม

“เพื่อนสนิทฉันหาย”

“หายๆที่ไหน” คนถามกอดอกอย่างมิใคร่ใส่ใจนัก พลางคิดไม่ใช่เรื่องที่จะต้องพาตัวเองเข้าไปข้องแวะเกี่ยวพัน

“หายที่เมลานี่แหละ ระหว่างทางที่เธอเดินทางมาหาฉัน”ยามเอ่ยขึ้นมาก็เกิดความรู้สึกเศร้าใจทันที

“บ้าสิ..อย่ามาอำฉันเล่น ฉันไม่ว่างมากนักหรอกนะ หายที่เมลาจะเป็นไปได้อย่างไร ถ้าหายที่ประเทศอื่นยังพอว่าแต่นี่เมลานะเพื่อนของเจ้าชายแห่งเมลาหายที่เมลา ฉันไม่เชื่อว่าเธอจะตามหาไม่เจอ ยกเว้นว่าเพื่อนเธอจะไม่ได้มาที่นี่เท่านั้น”เนรัญชรากำลังคิดว่าหล่อนมาเสียเวลาฟังสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ที่สุด

“ฉันพูดเรื่องจริง ทันทีที่รู้ว่าเธอหายไป ฉันพยายามออกตามหาทุกซอกทุกมุม ถึงกับออกปากขอร้องให้เสด็จทั้งสองช่วยหา แต่ก็ไร้ผลแต่ก็มีหลักฐานยืนยันที่หาเชื่อถือว่า เธอเดินทางเข้าเมลามาแล้วจริงๆ”

“จริงหรือนี่ ขนาดสมเด็จทั้งสองทรงช่วยหาก็ไม่เจอไม่อยากจะเชื่อ เธอจำได้ไหมชายฤธัตตอนที่แมวตัวโปรดฉันหายไประหว่างที่เราออกเยี่ยมเด็กกำพร้าแถบชายแดน ฉันร้องไห้จะเป็นจะตาย เธอช่วยฉันตามหามันไม่ทันข้ามวันก็เจอแล้ว แค่แมวตัวเล็กๆเธอยังสามารถหาพบ แล้วนี่คนๆเดียวตัวออกโต จะหายไปได้อย่างไรไร้ร่องรอย”เจ้าหญิงทรงตั้งข้อสันนิษฐาน

“ปีนัง เธอเป็นคนที่มีความสำคัญกับฉันมาก ที่ฉันชวนเธอมาเที่ยวเมลาก็เป็นเพราะอยากพามาแนะนำให้เสด็จทั้งสองรู้จัก”ยามกล่าวเจ้าชายหนุ่มแววตาเศร้าสลดยิ่งนัก

เจ้าหญิงเนรัญชราชักเริ่มสนใจกับกรณีการหายตัวไปของพระสหายเจ้าชายคนนี้ขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อทรงทราบว่าผู้ที่สามารถสร้างความกระวนกระวายใจและสามารถทำให้เจ้าชายผู้เริงร่า เปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยได้มากขนาดนี้เป็นหญิง....

“ปีนัง อืม...ผู้หญิงนี่เองมิน่าเล่าเธอถึงเป็นแบบนี้ ชื่อแปลกดีเป็นชื่อรัฐหนึ่งในประเทศมาเลเซียใช่ไหม”

“อืม...เขาเกิดที่นั่นแต่เป็นคนไทยแท้ๆ”ยามที่ได้ถ่ายทอดเรื่องราวของหญิงสาวแม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตามมันก็สามารถสร้างความอิ่มเอมหัวใจได้

“หล่อนคงสำคัญกับเธอมากสินะ แล้วฉันซึ่งเป็นเจ้าหญิงจากเมืองเล็กๆริมชายแดนจะช่วยอะไรเธอได้ล่ะขนาดเสด็จทั้งสองยังช่วยไม่ได้เลย”

“ฉันสำรวจและเสาะหาไปทุกๆที่ทั่วเมลา ไม่เว้นแม้แค่เมืองนาบีบ้านเธอแต่ก็ไม่พบ”เจ้าชายหนุ่มทรงตรัสสีพระพักตร์จริงจัง

หากคนที่กำลังฟังนั้นยามนี้เริ่มมีอารมณ์เดือดดาลขึ้นมาเล็กน้อย

“นี่เธอเข้าไปสำรวจถึงนาบีเลยหรือ”เจ้าหญิงคนงามแสดงสีพระพักตร์ไม่พอพระทัย แค่ผู้หญิงคนเดียววุ่นวายจนต้องส่งคนเข้าไปคนหาถึงเมืองนาบี เนรัญชรารู้สึกเดือดดาลเป็นกำลัง แน่ล่ะ..คนจากส่วนกลางบุกไปถึงรังท่านพ่อและหล่อนผู้เป็นใหญ่อยู่ในเมืองนั้นกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิด

“ฉันขอโทษแต่มันจำเป็น ฉันก็ไม่อยากทำ แต่หาจนไม่รู้จะหาอย่างไรแล้ว เรียกว่าพลิกฟ้าหากันแต่ก็คว้าน้ำเหลว”

“ถ้างั้นฉันจะช่วยอะไรได้ หากันขนาดนี้ยังไม่เจอ หรือจะให้ไปขุดสุสานทั่วประเทศ แล้วตรวจชันสูตรหาแม่เพื่อนสาวของเธอ”

“เธอช่วยได้”

“อย่างไร”เจ้าหญิงผู้งดงามทรงขมวดพระขนงด้วยความข้องพระทัย ผู้หญิงคนนั้นสำคัญเพียงใดกันหนอ...เธอเองก็ยังใคร่รู้

“มีที่แห่งที่ฉันยังไม่ได้ค้นหา” สุรเสียงห้าวหาญจริงจังซึ่งเป็นสิ่งหาได้ยากนัก จากเจ้าชายขี้เล่นอย่างเจ้าชายฤธัตธรณ์ หากทว่าครั้งนี้กลับหนักแน่นพลางซ่อนบางสิ่งที่แสนอึดอัดพระทัยในกระแสเสียงนั่น

“ที่ไหนกันที่เธอไม่กล้าเข้าไป” คราวนี้ยิ่งสงสัยหนักเข้าไปใหญ่ด้วยอำนาจเจ้าชายแห่งเมลาจะย่างกรายเข้าไปที่ไหนใยจะมีผู้กล้าขัดขวาง

“พิรัยธา” สิ่งที่ทรงตรัสสามารถสร้างความตื่นตะลึงให้แก่คนฟังได้อย่างชะงักงัน

“ฮึ...” เนรัญชราหูผึ่งทันที ที่ได้ยังว่าพิรัยธาคือที่ที่เจ้าชายอย่างฤธัตธรณ์ไม่กล้าเข้าไปค้นหาผู้หญิงที่เขาว่าสำคัญนักหนา

“อะไรทำให้เธอสงสัยว่าแม่เพื่อนสาวของเธอจะไปอยู่ที่นั่น เธอก็รู้มิใช่เหรอว่าที่เธอคิดเท่ากับว่าเธอกำลังสงสัยพี่ชายของตัวเองอยู่” แม้จะไม่เข้าใจอะไรมากนัก แต่กระนั้นเจ้าหญิงผู้มาจากเมืองไกลก็พอจะสันนิษฐานอะไรบางสิ่งได้บ้างเล็กน้อย ฤธัตธรณ์กำลังสงสัยว่าที่เขาพยายามหาตัวแม่เพื่อนสาวแทบพลิกแผ่นดินนั้นก็ไม่พบหล่อนคนนั้นอาจจะมีเหตุบางประการให้เข้าไปอยู่ในเมืองพิรัยธาก็เป็นได้

แน่นอนว่าพิรัยธาขณะนี้เป็นเมืองชายแดนที่กำลังมีสถานการณ์ตึงเครียด การและเป็นเมืองที่เจ้าชายรัชทายาททรงเสด็จไปประทับอยู่ย่อมมีการอารักขาที่แน่นหนา ฉะนั้นถ้ามีคนจากส่วนกลางเข้าไปสืบหาคนหายเพียงคนเดียว มันดูเป็นเรื่องที่หยิบย่อยมากนัก หากเปรียบเทียบกับความตึงเครียดของเหตุการณ์บ้านเมืองที่กำลังเผชิญอยู่ ซึ่งสมเด็จพระราชาธิบดีและองค์รานีย่อมไม่เห็นด้วยเป็นแน่ที่จะเพิ่มความยุ่งยากพระทัยให้แก่พระโอรสด้วยเรื่องเช่นนี้

“ฉันเปล่าสงสัยพี่ชาย แต่ฉันสงสัยว่าปีนังอาจจะถูกพวกผู้ก่อการร้ายแถบชายแดนจับตัวไป ที่ฉันมาขอร้องให้เธอช่วย ก็เพราะวันนี้พี่ชายจะมารับเธอไปพิรัยธา ซึ่งฉันได้ทูลขอเสด็จทั้งสองแล้วว่า จะขอตามไปที่พิรัยธาด้วยเพื่อไปตามหาปีนัง” ฤธัตธรณ์เลี่ยงที่จะเอ่ยถึงข้อมูลที่เขาได้รับจากปินตาว่า ในวันนั้นมีขบวนเสด็จกลับพิรัยธาของพี่ชายเขาอยู่ที่สนามบินไล่เลี่ยกับเวลาที่เครื่องของปริชมนลงพอดี ด้วยรู้ดีว่าหากพูดไปจะเสียเรื่องเพราะความใจร้อนของเนรัญชราเสียเปล่าๆ

“ก็ดีนี่แล้วยังไงเธอไปพิรัยธา เธอก็ได้ไปหาเพื่อนเธอไม่ดียังไง” ทรงไม่เข้าพระทัยสิ่งที่เจ้าชายตรัสนัก

“จะห่วงอยู่เพียงเรื่องเดียว ฉันไม่อย่างให้พี่ชายรู้ว่าฉันทำอะไร”เจ้าชายหนุ่มทรงเปิดเผยความกังวลที่มีต่อเจ้าหญิงผู้ซึ่งเป็นเพื่อนเล่นและจะมาเป็นพระเชษฐนีในอนาคต

“ยากเธอก็รู้นิสัยพี่ชายเธอดีว่า หูตาว่องไวปราดเปรียวเพียงไรไม่เคยมีอะไรปิดหูปิดตาเขาได้ ยิ่งเธอคิดจะเข้าไปหาในเขตที่เขาปกครองยิ่งยาก เอาล่ะๆ เอาเป็นว่าฉันจะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เรื่องที่เธอบอกในวันนี้ก็แล้วกัน ไปถึงพิรัยธาเธอจะหาก็หาไป แต่จะให้ฉันช่วยปิดบังฉันไม่เอาด้วยล่ะ ฉันมาเพื่อเตรียมตัวเข้าพิธีหมั้นไม่ได้มาเล่นเป็นสายลับตามหาคนกับเธอ เสร็จธุระแล้วขอตัวนะฉันเพลียเต็มทน” เรื่องใดที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าหญิงหงส์มรกตก็คือเรื่องไร้สาระเสมอ เจ้าหญิงอย่างหล่อนเหตุใดต้องความทำตามคำขอร้องของใคร เชอะ...ผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้เป็นตายร้ายดีก็ช่าง

เจ้าชายแห่งวังริตวันมองตามร่างระหงที่กำลังเดินลับสายพระเนตรไปด้วยความรู้สึกยากยิ่งนักที่จะอธิบาย ผู้หญิงคนนี้นะเหรอที่จะมาครองพระทัยพี่ชายของเขา ช่างดูไม่เหมาะสมกันเสียเลย บางทีเขาเองก็คิดว่าเรื่องของปีนังหากบอกไปพี่ชายก็คงรีบเร่งช่วยค้นหา แต่เขาไม่อยากให้เรื่องของเขาสร้างความยุ่งยากพระทัย เพราะทุกวันนี้ก็ทรงงาน หนักอยู่แล้ว ฉะนั้นการเคลื่อนไหวในพิรัยธาอย่าให้รู้เลยจะดีกว่า ซึ่งนั้นก็เป็นเรื่องยากพอๆกับการตามหาปริชมนเลยทีเดียว
..............................................
บ่ายแก่ๆในเขตตำหนักเทพนารีที่แสนสงบ มันน่าจะทำให้จิตใจของคนที่พักพิงเยือกเย็นตาม หากทว่าปริชกลับรู้สึกทั้งอึดอัดร้อนรุ่มแปลกๆพิกล หญิงสาวกำลังคิดถึงเรื่องที่ทรงรับสั่งเมื่อคืนวาน ท่ามกลางบรรยากาศชวนฝันเธอได้ดินเนอร์ใต้แสงเทียน กลางแสงจันทร์ สองต่อสองกับเจ้าชายรัชทายาทแห่งเมลา เป็นอีกสิ่งประหลาดเหลือเชื่อที่คิดฝันมาพลันกลับกลายเป็นจริงเมื่อคืนวาน เจ้าชายทรงมีรับสั่งให้มาตั้งโต๊ะเสวยที่นี่อันนั้นก็แปลกสำหรับเธอแล้ว แต่ก็คิดว่าพระองค์คงอยากให้เธออุ่นใจหรือไม่น้อยใจว่า เหตุผลใดจึงต้องเนรเทศมาอยู่ซะกลางป่าดังถูกจองจำเช่นนี้

“ฉันหวังว่าพิรัยธาคงจะทำให้เธอมีความสุขตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่” ชิติโชคิมทรงตรัสพลางเสวยไปพลาง โดยไม่เหลือบแลคู่สนทนาเลย

“ก็คงตามอัตภาพเพคะ อันที่จริงหม่อมฉันได้ทูลแก่พระองค์ไปแล้วว่า หม่อมฉันมาเพื่อท่องเที่ยวพักผ่อน แต่ว่าตั้งแต่อยู่ในเขตแดนของเมลาหม่อมฉันยังไม่ได้พบเจออะไรเลย นอกเหนือจากสนามบินและวังพิรัยธา”ก็ไม่อยากประชดนักหรอก ถ้าเพียงเจ้าชายจะทรงมองหน้าเธอสักนิด นี่อะไรกันมาถึงก็นั่งสั่งแล้วก็กินๆๆๆ

“เธอไปเที่ยวข้างนอกได้ แต่มีข้อแม้ว่าต้องให้นกยูงไปเป็นเพื่อน ฉันไม่อนุญาตให้เธอไปคนเดียว”

“ไร้เหตุผล” ด้วยความหงุดหงิดใจปริชมนแทบจะวางช้อนเพราะกลืนอะไรไม่ลง

“มีเหตุผลตะหาก”

“อะไรเพคะ”

“ว่าที่คู่หมั้นฉันกับชายฤธัตธรณ์จะมาที่นี่” ทรงหยุดเสวยแล้วมองหญิงสาวว่าจะมีปฏิกิริยาเช่นไรหากก็พบเพียงความนิ่งเฉยบนใบหน้างามนั้น

“อ้อ...เหตุผลนี้เองหม่อมฉันจึงได้มาอยู่ที่เทพนารี ทำไมไม่ทรงตรัสเรื่องหม่อมฉันให้พระอนุชาทราบ ถ้าเขารู้ว่าหม่อมฉันอยู่ที่นี่เขาคงยินดีมาก ถ้าทรงวิตกเรื่องที่กลัวว่าเขาจะเข้าพระทัยพระองค์ผิด หม่อมฉันจะช่วยพูดให้ก็ได้ว่าความจริงแล้วมันเป็นเหตุสุดวิสัย” ปริชมนใจเต้นระส่ำแต่ก็ยังฝืนวางหน้าตาย รู้เมื่อครั้งได้สวมชุดเมลาว่าทรงมีว่าที่พระคู่หมั้นแต่ไม่ทันคาดคิดว่าว่าที่พระคู่หมั้นจะโผล่มาที่นี่ ส่วนเรื่องฤธัตธรณ์เธอเชื่อว่าด้วยความสนิทสนมของเธอกับเขาพูดอะไรไปเขาก็ย่อมรับฟัง

“ฮึ...เธอไม่คิดบ้างหรือว่าถ้าฉันต้องการให้เธอเปิดเผยว่าเธอมาอยู่ที่นี่ ให้น้องชายฉันได้รู้ ฉันจะย้ายเธอมาเทพนารีทำไหม”ทรงหยันพระนาสิก

“อาจจะทรงไม่อยากให้ว่าที่พระคู่หมั้นไม่สบายพระทัย ด้วยเกรงว่าพระองค์แอบนำหม่อมฉันมาเป็นชายาลับๆมั้งเพคะ”อยากจะบ้าตายนี่ถ้ามีดหั่นเนื้อสเต็กบนโต๊ที่วางอยู่คมพอ เธออาจจะกลายเป็นฆาตกรผู้ลอบปลงพระชนม์เจ้าชายรัชทายาทแห่งเมลาก็เป็นได้

“อืม...เป็นความคิดที่ฉันอาจจะรับไว้พิจารณา เพราะดูเธอก็เต็มใจอยู่แล้วนี่”ทรงตรัสโดยไม่มองหญิงสาวอีกเช่นเคย

“หม่อมฉันอิ่มแล้วเพคะ ขอบพระทัยที่ทรงพระกรุณาเลี้ยงอาหารค่ำมื้อนี้แก่หม่อมฉัน หม่อมฉันรู้สึกไม่สบายคงต้องขอตัวไปพักผ่อน”ปริชมนรวบช้อนก่อนจะยันตัวลุกขึ้นจากโต๊ะแล้วถอนสายบัว

“เดี๋ยวปีนัง ฉันหวังว่าตลอดเวลาที่เนรัญชรากับฤธัตธรณ์มาอยู่ที่นี่ เขาจะไม่รู้ว่าเธอมีตัวตน ฉันไม่รู้ว่าการเป็นอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยจะสามารถลาพักร้อนหรือลาหยุดได้นานแค่ไหน เธอสามารถอยู่ที่นี่ได้นานเท่าที่เธอต้องการ มีอิสระได้เท่าที่เธออยากมี แต่ทุกสิ่งทุกอย่างต้องขึ้นอยู่ที่ดุลยพินิจของฉันเช่นกัน ส่วนเหตุผลที่ฉันไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ ก็เป็นเพราะว่าฉันรู้จักนิสัยของน้องชายฉันและคนรักฉันดี ซึ่งฉันก็คิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายรายละเอียดให้เธอฟัง เธอมีหน้าที่แค่รับฟังจะดีกว่า” คราวนี้ทรงสบพระเนตรอย่างตั้งใจกับปริชมนหญิงสาวจึงได้แต่ยืนค้างรับฟังอย่างเดียว เมื่อตั้งสติได้จึงถอนสายบัวอีกคำรบหนึ่งแล้วเดินจากไปทิ้งให้เจ้าชายรัชทายาทเป็นฝ่ายมองตาม

ซึ่งสิ่งที่ทรงตรัสกับเธอเมื่อคืนมันจึงเป็นผลพ่วงให้เธอมานั่งกลัดกลุ้มอยู่แบบนี้ ยิ่งรู้จากนกยูงว่าวันนี้ทรงออกเดินทางแต่เช้าตรู่ เพื่อโดยเสด็จไปยังวังหลวงศีบันดาที่เมืองหลวงเมลา เธอก็ยิ่งกลุ้มใจ จะทำอย่างไรดี การมาของฤธัตธรณ์เท่ากับว่าเป็นการปลดปล่อยเธอ เพียงเธอเดินออกจากที่นี่ไปพบเขา เธอก็เป็นอิสระไม่ต้องมาถูกควบคุมโดยไร้เหตุผลที่นี่

ขณะเดียวกันหากเธอปรากฏตัว ก็เท่ากับว่าสูญเสียโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับเขาคนนั้นและเธอเองก็ก่อเกิดความรู้สึกผูกพันกันที่นี่บ้างแล้ว อีกปัญหาหนึ่งคือเจ้าหญิงว่าที่พระคู่หมั้นมาที่นี่ด้วย เธออยากจะพิสูจน์อะไรบางอย่าง เกี่ยวกับความรักของเจ้าชายรัชทายาทและเจ้าหญิงหากเธอไปก็หมดโอกาส แต่การจะให้อยู่อย่างไร้ตัวตนเธอก็ไม่ต้องการเช่นกัน ตอนนี้หญิงสาวสับสนจริงๆจะปรึกษาใครก็ไม่ได้แม้แต่นกยูงก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อใจได้มากแค่ไหน สุดท้ายก็เสี่ยงด้วยวิธีการแบบเด็กๆคือการโยนเหรียญหัว-ก้อย

“เอาน่า...ปีนังมาถึงขั้นนี้แล้วสิ่งศักดิ์ทั้งหลายช่วยลูกด้วยเถอะ”ร่ายมนต์ของพรเสร็จก็โยนเหรียญขึ้นสู่อากาศแล้วปล่อยลงสู่พื้น ออกหัวเธอจะอยู่ที่นี่โดยไม่เปิดเผยตัวตนจนกว่าจะคิดวิธีอื่นๆได้ ออกก้อยเธอจะไปทันทีเมื่อฤธัตธรณ์มาถึง

“หัว”บริชมนก้มมองดูเหรียญในมือช้าๆหรี่ตาข้างหนึ่งดูส่วนอีกข้างหนึ่ง หลับตาเผื่อไว้เมื่อพบว่าเป็นหัวหญิงสาวยิ้มกับตัวเองเล็กๆก็ใจเธอเอนเอียงมาทางนี้นี่น่า ต่อไปนี้ก็คงต้องรอดูว่าคนชอบวางอำนาจจัดแจงชีวิตคนอื่นจะทำอย่างไร ส่วนเธอจะยอมอยู่เงียบๆอย่างทรงร้องขอ

“แต่!!หม่อมฉันสัญญาว่าความเงียบของหม่อมฉันไม่นานนักหรอกเพคะ เมื่อทรงให้อยู่ที่เทพนารีหม่อมฉันก็จะอยู่อยู่เพื่อรอดูว่าคนเก่งของหม่อมฉันคิดการอะไรอยู่กันแน่”ปริชมนหมายมั่นไว้ในใจแม้จะยังไม่ชัดเจนในความรู้สึกแต่หญิงสาวก็เชื่อมั่นว่าเธอกำลังเกิดความรู้สึกหึงหวงเพียงเพราะการมาของเจ้าหญิงว่าที่พระคู่หมั้น ก็ดีหม่อมฉันก็อยากรู้เช่นกันว่าคนที่มีพันธสัญญาวัยเยาว์กับว่าที่พระคู่หมั้นพระองค์เมื่อถึงเวลาต้องเลือกจะทรงทำประการใด

****************************************************************************************




 

Create Date : 05 มกราคม 2551
0 comments
Last Update : 5 มกราคม 2551 22:41:27 น.
Counter : 318 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.