อิสระของชีวิต คือ การได้วิ่งตามฝัน Cute Sanrio Glitter Graphics

คูน้ำริน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





Group Blog
 
<<
มกราคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
10 มกราคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add คูน้ำริน's blog to your web]
Links
 

 

ณ แดนนี้ยังมีรัก ตอนที่ 10

ตอนที่10:คนไร้รัก

ตอนนี้คนที่ตื่นเต้นและดีใจที่สุดในเมลา เห็นจะไม่มีใครเกินองค์รานีแห่งประเทศนี้ ทรงเบิกบานพระราชหฤทัยอย่างยิ่ง ที่จะได้ทรงพบโอรสองค์โต อีกทั้งว่าที่สะใภ้หลวงที่ทรงโปรดปรานยังมาเข้าเฝ้าอยู่ใกล้ๆ เป็นที่รู้กันดีทั่ว3 วัง ว่าองค์รานีทั้งรักและยังออกจะเกรงพระทัยโอรสองค์โตค่อนข้างมาก ซึ่งต่างจากโอรสองค์เล็กที่ทรงเฝ้าประคบประหงมและทรงดุได้ เรื่องความเกรงพระทัยโอรสของตนนั้น สมเด็จพระราชาธิบดีก็เคยทรงสงสัยถึงขั้นตรัสถาม

“น้องเกรงใจลูกมากไปไหมฉัฏฐมี”

“แหม...ชายชิติเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว อีกหน่อยก็เป็นกษัตริย์ฝึกไว้ก็ไม่เสียหลายนี่เพคะ”

“อ้าวแล้วชายฤธัตเล่ายังไม่โตหรอกหรือ”

“โตเพคะ แต่หม่อมฉันก็ยังเห็นเขาเป็นเด็กเสมอ เขาไม่มีวันโตในสายตาของหม่อมฉัน”ตรัสอย่างที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าเอาแต่ใจตนจนคนถามอ่อนใจ

ตามหมายกำหนดการ เจ้าชายรัชทายาทจะต้องเสด็จมาถึงวังหลวงศีบันดาในตอนหัวค่ำและพร้อมที่จะเสวยพระกระยาหารร่วมกับสมเด็จพระราชาธิบดี องค์รานี และเหล่าพระบรมวงศานุวงค์เป็นการส่วนพระองค์

ซึ่งตอนนี้ทุกคนก็นั่งรอคอยการมาถึงของเจ้าชายรัชทายาทที่โต๊ะเสวยกันเรียบร้อยแล้ว

“ทำไมช้านัก” องค์รานีทรงตรัสอย่างร้อนพระทัยยิ่ง

“ใจเย็นสิ เธอนะไม่ใช่วัยรุ่นใจร้อนแล้วนะ”สมเด็จพระราชาธิบดีทรงปราม

“หม่อมฉันเป็นห่วงนี่เพคะ พระองค์คอยดูนะ ลูกกลับมาคราวนี้อย่างไรเสียหม่อมฉันก็ไม่ยอมให้ไปอยู่ที่พิรัยธาอีก พอแต่งงานแต่งการเสร็จ จะให้มาอยู่กันเสียที่ศีบันดาให้หมด” องค์รานีตรัสอย่างเอาจริงเอาจังแววพระเนตรมุ่งมั่น วิสัยคนเป็นแม่ไม่มีใครอยากจากลูกไปนานๆ และยิ่งรู้ว่าลูกจะต้องอยู่ในสถานที่แวดล้อมน่าเสี่ยงภัย หัวอกคนเป็นแม่ย่อมทำใจวางเฉยลำบาก

“แหม ! อาหญิงตรัสเช่นนี้ หม่อมฉันก็เขินจนทานอะไรไม่ลงนะสิเพคะ” เจ้าหญิงเนรัญชราผู้มีส่วนถูกพาดพิงในพระดำรัสขององค์ฉัฏฐมีรานีกล่าวอย่างขวยเขินเอียงอาย จนคนที่นั่งข้างๆอดหมั่นไส้ไม่ได้จึงหันไปเรียกร้องเอากับองค์รานี

“ใครจะเขินแล้วพาลทานอะไรไม่ลงก็คงไม่เกี่ยวกับหม่อมฉัน ใครอยากจะคอยพี่ชายก็คอยไป แต่หม่อมฉันหิวและคิดว่าหากให้รอโดยไม่ทานอะไรเลย มีหวังหม่อมฉันต้องเป็นโรคกระเพาะแน่ๆเลยท่านแม่จ๋า”เจ้าชายพระองค์น้อยในสายพระเนตรของพระมารดาตรัสออดอ้อน

“จริงสินะ พ่อว่าเราไม่ต้องรอกันแล้วล่ะ คิดว่าอีกเดี๋ยวชายชิติก็คงมา”สมเด็จพระราชาธิบดีทรงพยักพระพักตร์เป็นสัญญาณ ให้เหล่านางกำนัลผู้ทำหน้าที่ถวายเครื่องเสวย เริ่มนำพระกระยาหารมาลงโต๊ะเสวยได้

“เอ...อันนี้เขาเรียกอะไรนะชายฤธัต หน้าตาสวยน่าทานมาก รู้สึกว่าฉันจะเคยทานครั้งหนึ่งที่พิรัยธา แต่จำไม่ได้เสียแล้วสิว่าเรียกว่าอะไร รู้แต่ว่าเป็นการนำดอกไม้มาปรุงใช่ไหม”เจ้าหญิงคนงามทรงสนพระทัยอาหารสีสวยที่วางอยู่บนโต๊ะเสวยเป็นอย่างยิ่ง


“ถามฉัน ๆจะรู้ได้อย่างไร นั่นเธอต้องถามคนนั้นจะดีกว่า” เจ้าชายฤธัตธรณ์ทรงบุ้ยพระพักตร์ออกไปทางพระทวารห้องเสวยเมื่อเห็นร่างสูงสง่าย่างกรายเขามา เจ้าชายชิติโชคิม!

“อ้อ...ตายจริง ! ชายชิติมาแล้วหรือลูก ชายมาช้าจริงแม่รอนาน น้องก็รอนาน โดยเฉพาะหญิงเนรัญลูกไม่มาก็ไม่ยอมทานอะไรเลย”องค์ฉัฏฐมีรานี รีบรุดพระดำเนินจากที่ประทับทันทีที่เห็นโอรสองค์โต

“ลูกต้องขอประทานอภัยทูลกระหม่อมทั้งสองพระองค์ มีเหตุสุดวิสัยเล็กน้อยทำให้ลูกมาล่าช้า”เจ้าชายชิติโชคิมทรงนั่งประทับทันทียังโต๊ะเสวยด้วยความเหนื่อยล้า เหตุสุดวิสัยของเขาไม่ได้เล็กน้อยนักหรอก ก่อนขึ้นเครื่องจากพิรัยธามาศีบันดาเพียงครึ่งชั่วโมง เขาก็ได้รับรายงานว่ามีชาวบ้านที่อยู่ใกล้เขตวังพิรัยธาถูกสังหารยกครัว ซึ่งจากการตรวจสอบแล้ว ครอบครัวนี้ไม่เคยข้องแวะกันสิ่งผิดกฎหมายและไม่เคยมีศัตรูที่ไหนมาก่อน ฆาตกรได้ทิ้งสัญลักษณ์รูปกงจักรไว้ซึ่งสัญลักษณ์นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกลุ่มกบฏชาวอิดาลที่เพียรจะแบ่งแยกตัวเป็นประเทศใหม่ การที่พวกมันสามารถล่วงล้ำเข้ามาถึงใจกลางเขตพิรัยธา ก็เท่ากับว่าพวกมันท้าทายอำนาจรัฐมากขึ้นที่สำคัญสถานที่เกิดเหตุอยู่ใกล้เขตวังพิรัยธาเพียงกิโลเมตรเดียวเท่านั้น ราวกับพวกมันจะประกาศว่าที่ใดๆก็ไม่สามารถรอดพ้นการก่อการร้ายของพวกมันไปได้ แม้แต่เขตวังของเขา เขาจึงเร่งสั่งการให้เพิ่มกำลังทหารตามแนวชายแดนขึ้นเป็นเท่าตัวและให้เร่งมาตัวคนผิดมาลงโทษให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อเรียกขวัญและกำลังใจของประชาชนให้กลับมาโดยไว

“พี่ชายชิติ เนรัญชราถวายบังคมเพคะ” เจ้าหญิงถอนสายบัวงดงาม พระเนตรหยาดเยิ้มจับจ้องที่องค์ว่าที่พระคู่หมั้น

“เช่นกันจ้ะน้องหญิงเดินทางเหนื่อยไหม”

“นิดหน่อยเพคะ หม่อมฉันรอคอยพระองค์ เพราะคิดถึงพิรัยธาอยากให้เสด็จมารับเร็วๆ ฉะนั้นการเดินทางแค่นี้ไม่เหนื่อยหรอกเพคะ” คนงามยิ้มหวานอย่างสุขสม พี่ชายชิติของเธอยังสง่างามดุจเดิมยากที่จะหาใครเทียบได้ในเมลา ขอบคุณสวรรค์ที่ส่งเนรัญชราคนนี้มาเกิดเป็นเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์และมีรักอันงดงามน่าอิจฉา

“ดีแล้ว จะได้ชิน เพราะถ้าเราแต่งงานกันจริงๆน้องคงต้องตะลอนๆตามพี่ไปทั่วแดน” ชิติโชคิมทรงหยอดคำหวานเนรัญชราน้องน้อยของพี่งดงามเพียบพร้อมเสมอ ไม่เหมือนใครบางคนก๋ากั่นยากจะเยียวยา ปริชมน!

“หม่อมฉันล่ะอิจฉาสองคนนี้เสียจริง ท่านพ่อ ท่านแม่ ดูเถิดมีสุขนัก แต่หม่อมฉันสิแสนเศร้า หิวแล้วก็ยังไม่ได้ทานข้าวเสียที เอ้อ..นี่หญิงเนรัญตะกี้เธอถามฉันไม่ใช่หรือว่าอาหารที่ใช้ดอกไม้ปรุงเขาเรียกว่าอะไร ลองถามพี่ชายดูสิพิรัยธานะเป็นดินแดนแห่งมวลดอกไม้ พี่ชายน่าจะทรงรู้เอาลองชิมดู” ฤธัตธรณ์เคี้ยวตุ้ยๆพลางตักอาหารสีสวยใส่จานเจ้าหญิงต่างเมือง เขาหยอกเอินพี่ชายและเพื่อนสาวชีวิตสองคนสุขสมนัก ทูลกระหม่อมทั้งสองก็ทรงปลาบปลื้มจนทรงลืมเรื่องสำคัญของเขาเพื่อนรักของเขาหายตัวไปไร้ร่องรอย คิดแล้วก็เศร้านัก



“จริงด้วยแพคะ หม่อมฉันจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า เคยทานครั้งหนึ่งที่พิรัยธา พี่ชายทรงเล่าประทานหน่อยสิเพคะว่าเขาเรียกว่าอะไร” เจ้าหญิงทรงเพ่งพินิจดอกไม้สีม่วง ที่เกาะกลุ่มกันเป็นแพเรียงตัวกันเป็นดอกเล็กๆที่วางคู่มาพร้อมเครื่องเคียงที่เป็นหางกะทิปรุงรสอย่างสนพระทัย

“พี่เคยเข้าครัวหรือไรกันจึงจะมาถามพี่ ต้องทูลถามท่านแม่”ทรงเลี่ยงบาลีเอาดื้อๆ

“แม่ว่าแล้วเชียวสุดท้ายก็ไม่พ้นแม่ หญิงเนรัญคงจะพอรู้มาบ้างนะจ้ะว่าดอกไม้นะมีอยู่หลากหลายชนิดที่สามารถนำมาปรุงรสเป็นอาหารได้ แต่ที่เมืองของหลานอาจจะหายากกว่าที่เขตศีบันดา ริตวัน หรือที่พิรัยธาโดยเฉพาะที่พิรัยธาที่นั้นได้รับขนานนามว่าดินแดนแห่งมวลดอกไม้ เพราะทางทิศใต้ของเมืองที่ติดกับเชิงเขาหิมาลัยมีทุ่งดอกไม้นับพันๆไร่เบ่งบานอยู่ ไม่รู้ว่าชายชิติเคยมาหลานไปเที่ยวมาบ้างหรือยัง”องค์รานีทรงเริ่มอธิบายไขข้อข้องพระทัยของเจ้าหญิงต่างเมือง พระพักตร์ยามตรัสแย้มสรวลน้อยๆ

“ยังเลยเพคะ คงงามมาก”เจ้าหญิงทรงส่ายพระพักตร์พลางวาดภาพทุ่งดอกไม้ไว้ในพระทัย พลางหมายมั่นปั้นมือว่าไปพิรัยธาคราวนี้จะไปเยือนทุ่งดอกไม้ให้จงได้

“ไว้ไปคราวนี้ก็ให้พี่เขาพาไปสิ ความพิเศษของทุ่งดอกไม้ที่นั้นนอกเหนือจากความงดงามแล้วดอกไม้แทบทุกชนิดยังเป็นดอกไม้กินได้ทั้ง ดอกคาร์เนชั่น ดอกเดย์ลิลลี่ ดอกนัชเทอฌัม ดอกกุหลาบ และยังมีอีกเยอะเอ่ยถึงไม่หมดหรอกจ้ะ เจ้าดอกที่หลานเห็นอยู่นี่อาก็ให้เขาเอามาจากพิรัยธา ตัดเสร็จก็แช่แข็งเพื่อคงคุณภาพของดอกไว้มิให้เหี่ยวเฉามันเรียกว่า “ดอกไลแลค” จานนี้อาให้ห้องเครื่องเขาปรุงเป็นยำ เวลาทานเราก็นำดอกไลแลคมาคลุกกับกุ้งลวกแล้วก็หมูบดลวกปรุงรส กินคู่กับหอมแดงเจียวราดน้ำกะทิเมนูนี้ชายชิติชอบมากเลยนะ อาเลยสั่งเขาทำเป็นพิเศษเพราะเชื่อว่าอยู่ในพิรัยธาก็คงไม่มีใครทำให้ทานหรอก”

“จริงสิ หม่อมฉันพอจะทราบว่าพี่ชายชิติชอบทานดอกไม้ แต่ไม่เคยเห็นสักครั้ง ว่างๆทูลกระหม่อมอาต้องสอนหลานบ้างนะเพคะ จะได้เอาพระทัยคนชอบดอกไม้ถูก”เจ้าหญิงทรงตรัสกับองค์รานีหากสายพระเนตรจับจ้องอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นคือพระพักตร์ของเจ้าชายชิติโชคิม

“ถ้าน้องแต่งกับพี่แล้วต้องลำบากมานั่งทำกับข้าวให้พี่ทุกวัน เห็นทีว่าท่านพ่อของน้องคงต้องมาต่อว่าพี่แน่”เจ้าชายทรงกระเซ้าว่าที่พระคู่หมั้น ทำให้เป็นที่พอพระทัยแก่สมเด็จพระราชาธิบดีและองค์รานีที่ทรงเฝ้าทอดพระเนตรอยู่เงียบๆ การผสานระหว่างราชวงศ์จะช่วยให้ประเทศเมลามีศักยภาพและความเป็นหนึ่งเดียวมากยิ่งขึ้น

“จะเป็นไรไปเพคะ ท่านพ่อรักน้องจะตายไป แล้วยังทรงชื่นชมเจ้าพี่เป็นที่สุด ไม่มีทางมาต่อว่าเจ้าพี่ของน้องแน่นอนเพคะ”เจ้าหญิงคนงามเป็นสุขยิ่งนักในยามนี้ ด้วยพระภารกิจในฐานะเจ้าชายรัชทายาทและเจ้าหญิงแห่งนาบี ทำให้โอกาสใกล้ชิดกันของทั้งสองพระองค์น้อยลงตามไปด้วย

ดังนั้นในทุกๆคราวที่ว่างเว้นจากราชกิจเพื่อมิให้สายสัมพันธ์ที่แนบแน่นคลายลงไปเธอจึงต้องไปพักผ่อนที่เมืองพิรัยธาอยู่เสมอๆ แม้จะต้องเหนื่อยยากในการเดินทางหรือกันดานเพียงไรเนรัญชราก็ตั้งปฏิญาณกับตนเองไว้แล้วว่าเธอไม่มีวันยอมแพ้จนกว่าจะได้ครอบครองแผ่นดินนี้ครึ่งหนึ่งในฐานะองค์รานี

ฉะนั้นตอนนี้จึงต้องอดทน อดทน เท่านั้น ท่านพ่อของเธอเคยตรัสถามเช่นกันว่าระหว่างการสร้างให้ราชวงศ์หงส์มรกตกลับฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง กลับการเลือกรักเจ้าชายรูปงามอย่างพี่ชายชิติโชคิมเธอจะเลือกอย่างใด

เธอจำวันนั้นได้ดีวันที่ต้องนั่งเรียนชั่วโมงประวัติศาสตร์อันเจ็บปวดของเมืองนาบี เมืองทางใต้ที่เคยยิ่งใหญ่ต้องพ่ายแพ้อย่างราบคาบให้แก่พวกเมลา

เจ้าหญิงที่ดำรงอยู่เพียงฐานันดรอย่างเธอจึงเกิดคำถามมากมายขึ้นในใจ

“ท่านพ่อเพคะ ทำไมท่านพ่อจึงไม่มีอำนาจเหมือนท่านอาแห่งเมลา”เจ้าหญิงพระองค์น้อยยังทรงจดจำแววพระเนตรเจิดจ้าด้วยประกายอย่างหนึ่งในดวงเนตรของพระบิดาได้เป็นอย่างดีมันเป็นแววเนตรแห่งความเคียดแค้น

“สงครามอย่างไรเล่าลูกหญิง เพราะสงครามที่ชาวเมลาข่มเหงชาวนาบี แล้วอ้างความชอบธรรมเหนือดินแดนของเรา พวกเมลาถือตนว่าเป็นผู้กุมชัยชนะ ริดรอนศักดิ์ศรีย่ำยีผองเราชาวนาบี”

นั้นคือคำตอบที่ทรงได้รับ คำตอบนั้นนำมาซึ่งความเจ็บแค้นพระทัย จึงหมายมาดว่าสักวันหนึ่งนาบีจะต้องเหนือกว่าเมลาหรืออย่างน้อยก็ต้องทัดเทียมและการจะทรงกระทำดั่งพระประสงค์ได้นั้นต้องได้มงกุฎรานีแห่งเมลามาครองเสียก่อน
.......................
หลังเสร็จสิ้นการสนทนาบนโต๊ะเสวย ชาวพนักงานก็พากันทยอยเก็บพระกระยาหารออกไป สมเด็จพระราชาธิบดีและองค์รานีเห็นสมควรว่าเป็นเวลาพักผ่อน จึงเสด็จกลับ พระที่ปล่อยทิ้งให้สองหนุ่ม หนึ่งสาว ผู้ทรงศักดิ์ สนทนากันต่อ หากก่อนเสด็จองค์รานีก็มิวายตัดพ้อโอรสแม้จะทรงยื้อเพียงใดลูกก็มิฟัง จะกลับพรุ่งนี้เสียให้ได้ พิรัยธามีอะไรดีหนักหนา ยามนี้ทรงชื่นชมการกลับมาของโอรสองค์โตจนลืมอะไรบางอย่าง...โอรสองค์เล็กเด็กน้อยตลอดกาลของพระองค์...ที่ช่วงนี้ไร้รอยแย้มสรวล พระพักตร์หมองเศร้า..ฉัฏฐมีรานีทรงลืมเสียสนิท..พระทัยโอรสองค์เล็กจะเป็นเช่นไรหนอ

“ไม่น่ารีบกลับเลย” ท้ายสุดองค์รานีอีกนั้นแหละ ที่อดไม่ได้ต้องเข้ามาสวมกอดโอรสองค์โต

“อย่างไรเสียพรุ่งนี้เช้าลูกก็ยังอยู่เสวยของเช้ากับแม่”ยามใดที่ทรงต้องการออดอ้อนพระชนนีจะกระทำเฉกนี้เสมอเรียก “แม่”แทน “ท่านแม่” ทรงรู้จุดอ่อนคนเป็นแม่ชอบพระทัยยิ่งนักหากยังทรงถือองค์

“เรียกลับหลังคนอื่นนะได้ แต่ต่อหน้าธารกำนัลอย่าเรียก เพราะแม่ไม่อยากให้เสียการปกครอง ถ้าเสด็จพ่อของลูกทรงเป็นร่มโพธิ์แห่งเมลา แม่ก็คือร่มไทรเช่นกัน ฉะนั้นลับหลังอย่างนี้แม่จะเป็นแม่ของลูก แต่ต่อหน้าผู้อื่น แม่จะเป็นเสด็จแม่ของคนทั้งแผ่นดิน ไม่เว้นแม้แต่ลูกชายของแม่จำไว้”ครั้งทรงพระเยาว์ยามใดทรงเผลอเรียก เมื่อมีผู้อื่นร่วมอยู่ด้วยจะทรงโดนติเตียนเช่นนี้เสมอ

“รีบกลับนะดี หม่อมฉันอยากเห็นพิรัยธาไวๆ”คนร้อนรนคือเจ้าชายผู้อ่อนเยาว์ของทุกคน

“ชายจะรีบไปทำอะไรที่พิรัยธา แต่ก่อนพี่ชวนไม่เที่ยวด้วยไม่เห็นสน บอกแต่ว่าขออยู่ที่ริตวัน”คนเป็นพี่ขมวดพระขนงด้วยความสงสัย

“เอ้อ...เปล่าพะยะค่ะ...ไม่มีอะไรหรอก ชายเคยไปพิรัยธาก็นานหลายปี แล้วตั้งแต่กลับจากอังกฤษมาชายก็ยังไม่เคยออกมาเขตเมืองหลวงเลย ครั้งนี้ชายอยากเปิดหูเปิดตาบ้างพี่ชายคนไม่ว่าอะไรใช่ไหม” คนเป็นน้องซักถามด้วยกลัวนักหนาว่าคนเป็นพี่จะเปลี่ยนพระทัย ความจริงอยากทูลจะแย่ น้องขอทหารในบังคับบัญชาหมดกองไปคนหาผู้หญิงคนเดียวจะได้ไหม...หากพระชนนีขอไว้..อย่าทำให้พี่ชายยุ่งวุ่นวายพระทัยด้วยเรื่องเล็กๆ...

“เหรอ”

ถ้อยรับสั่งสั้นหากมีเพียงองค์เองที่รู้ลึก เขารู้มาว่าน้องชายของเขาตระเวนค้นหาเพื่อนสนิทคนหนึ่งทั่วแผ่นดินจากแถบตอนกลางของประเทศอย่างเมลาจรดทิศใต้ยอมแหย่หนวดเสือล่วงล้ำเข้าไปในเขตเมืองนาบีชนิดไม่ไว้พระพักตร์เจ้าถิ่นอย่างเสด็จพ่อของหญิงเนรัญชรา ขึ้นสู่ทิศเหนือแม้ถิ่นทุรกันดารก็ไม่เว้น พิรัยธาก็อยู่ทางเหนือ แต่น้องเขายังเกรงหรือจะเรียกว่าไว้หน้าพี่ชายก็ได้เลยยังไม่ได้เข้าไปค้นหา เพื่อนสนิทที่หายไป...เพื่อนคนนี้พระองค์ทรงรู้จักดีเสียด้วย.......

ปริชมน........ผู้หญิงที่เพียงพบก็ทรงไม่ต้องชะตา ยิ่งกิริยายังไม่ควรคู่กับน้องชายเขา ผู้หญิงที่เขาสรุปว่ามุ่งเจตนาปอกลอกหวังในทรัพย์ และต้องการเป็นเจ้าหญิงพระชายาของน้องชายเขา...ผู้หญิงที่ชอบส่งสายตาทอประกายประหลาดให้พระองค์ผู้หญิงเช่นนี้จะเป็นหญิงดีได้อย่างไร

ทรงคิดเช่นนี้..หากเสี้ยวหนึ่งของหทัยแย้งมา...เพียงเท่านี้หรือคือเหตุผลที่ทรงกระทำการอย่างที่ขัตติยะมิพึงกระทำ “ลักพาตัว”

“ทรงเป็นอะไรไปเพคะ” พระอาการครุ่นคิดราวตกอยู่ในภวังค์เดียวดาย เป็นสังเกตของเจ้าหญิงเนรัญชรา

“เปล่าจ้ะ พี่แค่คิดว่ากลับพิรัยธาคราวนี้จะพาน้องน้อยของพี่ไปเที่ยวทุ่งดอกไม้ให้ทั่ว”

“แหม!ดีจริงค่ะ หญิงจะได้เก็บดอกไม้มาลองทำเครื่องเสวยให้หมดทุ่งไปเลย” ทรงพระสรวลอย่างเริงร่าตำแหน่งองค์รานีไม่ต้องไขว่คว้า ชาวเมลาก็พร้อมใจถวายให้ สุขพระทัยทั้งตำแหน่งอันเป็นความต้องการของนาบีวางอยู่แทบพระบาท สุขพระทัยความรักแลความต้องการไปคู่กันได้อย่างปรองดอง เจ้าหญิงแดนใต้ยอมรับเธอรักเจ้าชายรัชทายาทแห่งเมลาอย่างล้นเอ่อในพระทัย และมั่นพระทัยเจ้าชายคงคิดมีแตกต่าง แม้นมิเอ่ยด้วยคำรัก หากการกระทำที่ทรงแสดงสำคัญยิ่งแน่แล้วทรงเป็นหนึ่งในพระทัยอย่างมิต้องพะวง

“ดูเหมือนจะสนพระทัยที่จะสนทนากันอยู่เพียงสองพระองค์หม่อมฉันทูลลาดีกว่า”เจ้าชายฤธัตธรณ์ทรงทูลลาในขณะนี้พระองค์ร้อนรนในพระทัยอย่างเป็นที่สุดจะให้มานั่งปั้นหน้าชื่นได้อย่างไร...ปริชมน..นี่ก็หลายวันแล้วจะเป็นตายร้ายดียังไงบ้างก็ไม่รู้

“ก็ดี” เจ้าหญิงคนงามเหยียดริมพระโอษฐ์ ดังจะตรัสว่า รู้แล้วนี่ น่าจะไปเสียได้ตั้งนาน

“แน่ล่ะฉันนะรู้ตัวดีทุกอย่างล่ะว่าแต่เธอเถอะเมื่อไหร่จะรู้ตัวสักที” เจ้าชายฤธัตธรณ์ทรงตรัสด้วยพระอารมณ์เย็นอย่างที่สุด แม้ใครต่อใครทั้งประเทศจะเข้าใจว่าสักวันพี่ชายของเขาอันเป็นเจ้าชายรัชทายาทจะต้องอภิเษกกับเจ้าหญิงเนรัญชราแห่งเมืองนาบีเป็นที่แน่นอน แม้ใครต่อใครทั่วทั้งเมลา และราชสำนักจะคิดว่าทั้งพี่ชายและหญิงเนรัญชราสนิทเสน่หากันและกัน หากเขาคนนึงล่ะที่ไม่คิดเช่นนั้นเพราะอะไรนะหรือเขารู้จักพี่ชายเขาดีกว่าใครนะสิ ด้วยพระนิสัยชอบทรงงานหนักตั้งแต่พระเยาว์ รักที่จะเรียนการปกครอง รักการเป็นทหาร รักชาวเมลา แต่เคยทูลถามเสียซ้ำไปว่าไม่เคยเห็นทรงรักหญิงใดสักคน

“ทรงรักเป็นไหม” น้องชายทูลถามยามอยู่ลำพังสองพระองค์ จะละฐานันดรที่ว่าพี่สูงกว่าด้วยเป็นรัชทายาทลงเสีย

“เป็นสิ...พี่...ก้อ...รักเสด็จทั้งสองแล้วก็ชายไง รักเมลาด้วยรักยิ่งชีวิต”คนตอบทีท่าหนักแน่น

“เปล่าสักหน่อยชายไม่ได้หมายความอย่างนั้น ผู้หญิงนะมีไหม...ที่ทรงรัก”คนน้องส่ายพักตร์ไม่สบพระอารมณ์ในคำตอบที่ได้รับ
“ไม่มั้ง ไม่เคยหรอก”เช่นกันตอบทีท่าหนักแน่น แววพระเนตรมองไกล

“แล้วหญิงเนรัญจอมร้ายกาจล่ะ อย่างไรก็ต้องอภิเษกกัน หม่อมฉันก็เห็นยามเธอมา พี่ชายก็รักใคร่ดีอย่างนั้นไม่เรียกว่าทรงรักเธอหรอกหรือ” ถามอย่างไม่อยากเชื่อ แล้วที่ปฏิบัติดุจหญิงเนรัญชราเป็นคนรักคืออะไร

“อย่างนั้นก็ไม่เรียกว่ารัก เคยคิดจะทำใจให้รักเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยทำได้ เพราะพี่เห็นเขาเป็นน้องจะรักได้ก็เพียงเป็นน้อง เหมือนที่พี่รักชายไง แต่ผู้หญิงที่รักแบบคนรักจริงๆไม่มีหรอก ไม่มีเวลาจะหา” ทรงโบ้ยไปโน้น เจ้าชายคนน้องรู้ดีต่อให้ไม่มีเวลาหา คร้านจะมีคนหามาถวายเต็มไปหมด และเพราะรู้เช่นนี้จึงกล้าบอกกับตัวเองเต็มที่ว่า

พี่ชายเขาไม่เคยรักใคร....จะเรียกว่าไม่เคยคงมิใช่..เรียกว่ายังไม่ทรงพบใครที่ทรงรักได้อย่างเปี่ยมพระทัยจะดีกว่า...

********************************************************




 

Create Date : 10 มกราคม 2551
0 comments
Last Update : 10 มกราคม 2551 22:17:26 น.
Counter : 378 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.