อิสระของชีวิต คือ การได้วิ่งตามฝัน Cute Sanrio Glitter Graphics

คูน้ำริน
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





Group Blog
 
<<
มกราคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
19 มกราคม 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add คูน้ำริน's blog to your web]
Links
 

 

ณแดนนี้ยังมีรัก ตอนที่:13

ตอนที่13:มายาจันทรา

สายลมอันหนาวเย็นพัดผ่านข้ามทิวเขาหิมาลัย พระอาทิตย์ใกล้จะลับเหลี่ยมขอบฟ้าแล้ว ตลาดกลางเมืองพิรัยธาที่ดูคึกคักพ่อค้าแม่ค้าเริ่มเก็บของเข้าร้านกลับบ้านกันหมด เสียงกรุ๊งกริ้งๆเล็กๆ ดังตามจังหวะก้าวเดิน จนคนที่เดินมาส่งและคนที่ตามมาเป็นเพื่อน ยังอดสงสัยไม่ได้

“เสียงกระดิ่งที่ไหน”

มีเพียงแต่ญาดาเท่านั้นที่เดินทำปากขมุบขมิบตลอดทาง นกยูงที่เดินคู่กับญาดาถึงบางอ้อทันที เมื่อพบว่าเสียงนั้นมาจากข้อเท้าของปริชมน นกยูงมองตามเงียบๆถ้าเป็นช่วงเวลาปกติที่อยู่กับปริชมน นกยูงอาจจะเตือนไปแล้วไม่เหมาะสม เพราะคนที่นี่ถือเรื่องสร้อยข้อเท้าเป็นเรื่องประเพณีที่ผู้ชายจะต้องใส่ให้ผู้หญิงอันเป็นที่รักเป็นสัญลักษณ์หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

แต่ ณ เวลานี้ปริชมนดูสนใจอยู่กับเพื่อนใหม่ที่พึ่งพบมากกว่า “รันท์” ผู้ชายคนนี้ขอตามส่งถึงหน้าวัง ยิ่งสร้างความข้องใจแก่นกยูง เพราะโดยปกติแล้วชาวบ้านที่นี่เมื่อรู้ว่าเป็นเขตวังก็จะเลี่ยงไม่เข้าใกล้เพราะเกรงไปสร้างความรบกวนแก่เจ้านายที่พวกเขาเทิดทูน แต่ผู้ชายคนนี้กลับตรงกันข้ามเขาไม่ได้มีทีท่าหวากเกรงเขตวังเลยแม้แต่น้อย นกยูงคิดเพลินๆจนมาถึงหน้าประตูวังที่ตอนนี้จวนใกล้จะปิดอยู่ร่อมร่อแล้ว

“เร็วเข้าเถอะค่ะคุณปีนัง ช้าจะไม่ทันการเดี๋ยวคนอื่นสงสัย”นกยูงแอบกระซิบข้างหูปรชมนเมื่อเห็นว่าถึงหน้าประตูวังแล้ว รันท์ชายคนนั้นเหลือบหางตามองเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหันไปสนใจปริชมนตามเดิม

“แล้วพบกันใหม่นะครับ”แทบจะไม่รอให้รันท์พูดจบนกยูงก็จูงมือปริชมนเข้ารั้ววังทันที ส่วนญาดาก็ได้แต่โบกมือลารันท์ก่อนจะรีบเดินตามเข้าไป

ปริชมนรู้สึกได้ถึงท่าทีความไม่พอใจต่อเพื่อนใหม่ของเธอที่นกยูงแสดงออก หญิงสาวคิดไปว่านกยูงคงอยากเร่งให้กลับเข้าวังเร็วๆและอาจคิดว่ารันท์เป็นคนรั้งไว้ก็เลยไม่ชอบใจ ผิดคาดแฮะ ตอนแรกคิดว่าเมื่อแนะนำให้รู้จักแล้วทั้งสองคนจะเข้ากันได้เสียอีก แต่ทั้งรันท์และนกยูงกลับดูไม่ชอบหน้ากันคล้ายมีอะไรปกปิดด้วยกันทั้งคู่

“ปีนังขอโทษค่ะ”

นกยูงออกอาการงงเล็กน้อยด้วยไม่เข้าใจว่าหญิงสาวขอโทษตนเรื่องใด “ขอโทษเรื่องอะไรกันคะ”

“เรื่องที่เข้าวังช้าค่ะ”ปริชมนสลัดเรื่องรันท์ออกไป ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุยระหว่างทางที่พากันเดินกลับตำหนักเทพนารี พูดเรื่องรันท์คงไม่มีประโยชน์ในเมื่อปริชมนไม่รู้ว่าจะอยู่ที่นี่อีกนานแค่ไหน จะได้พบรันท์อีกหรือเปล่า แต่หญิงสาวก็ได้ขอความช่วยเหลือจากรันท์ไปแล้วว่าช่วยติดต่อกลับเมืองไทยแทนเธอที บอกคุณแม่ด้วยว่าตอนนี้เธอท่องเที่ยวอยู่ในเมลาอย่าได้เป็นห่วง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าชายหนุ่มจะเชื่อถือได้หรือไม่


“ไม่เป็นไรค่ะ นกยูงเพียงแค่กลัวว่าเราจะเจอคนที่ไม่สมควรเจอเท่านั้นเอง แต่มาถึงที่นี่แล้วคงไม่มีอะไรแล้วล่ะค่ะ”

นกยูงยิ้มอย่างสดใสเมื่อพาปริชมนมาส่งที่ตำหนักเทพนารีได้ ส่งหญิงสาวเข้าที่พักเรียบร้อยแล้วนกยูงก็ขอตัวกลับไปที่ตำหนักใหญ่ของพิรัยธา ซึ่งเป็นสถานที่ที่จัดงานเลี้ยงคืนนี้ ปล่อยให้ปริชมนอยู่กับญาดาสองคน เพราะวันนี้นางข้าหลวงที่ปกติจะอยู่ช่วยที่นี่ก็ถูกดึงตัวไปช่วยงานที่โน้นกันหมด ทหารยามยิ่งไม่ต้องพูดถึงแอบอยู่ไหนไม่รู้ไม่เคยเห็น

แต่ก็ดีมิอย่างนั้นเธอคงแอบไปไหนต่อไหนไม่ได้ ปริชมนมองญาดาที่เดินถือเชิงเทียนมาเรียกเธอให้ไปอาบน้ำแล้วก็เกิดหดหู่ใจขึ้นมาทันที ...แสงสว่างอับปางที่เทพนารีเสียแล้ว...

เพราะเป็นรับสั่งจากเจ้าชายรัชทายาทที่ให้ปิดการเดินไฟทั้งระบบที่มาตำหนักนี้ เนื่องจากถ้ามองจากห้องบรรทมของเจ้าชายฤธัตธรณ์ลงมาจะทรงทอดพระเนตรเห็นแสงสว่างแล้วเกิดสงสัย คนที่ซวยก็ไม่ใช่ใครเธออีกนั้นล่ะ หญิงสาวรับเชิงเทียนจากญาดาแล้วรีบไปอาบน้ำทันทีเพราะนึกได้ว่า

วันนี้มีงานเลี้ยงต้อนรับว่าที่พระคู่หมั้น ...แล้วคนอย่างปริชมนจะพลาดร่วมงานด้วยได้อย่างไร...หญิงสาวคิดอะไรบางอย่างในใจแล้วยิ้มอย่างมีเลศนัยกับตัวเอง

.......................................

เสียงดนตรีพื้นเมืองอันน่าอภิรมย์ส่งเสียงเอื่อยอ่อนแกว่งไหวไปตามจังหวะของสายลม อาคันตุกะผู้ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยงต้อนรับการเสด็จมาเยือนของเจ้าหญิงว่าที่พระคู่หมั้นและพระอนุชาทยอยเดินทางกันมาอย่างพรั่งพร้อม

เจ้าหญิงเนรัญชราในชุดเมลาลีเหลืองอ่อน พระเกศาสวมคาเทียร์บ่งบอกสถานะเจ้าหญิงแห่งนาบีพระพักตร์งดงามฉาบด้วยสีสันจากเครื่องประทินโฉมอันเลอค่า ทรงเสด็จลงมารับรองแขกทั้งหลายนานแล้ว คนเหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลชั้นสูงที่อาศัยอยู่ในเขตพิรัยธาและเมืองใกล้เคียง นางหงส์มรกตเฉิดฉายงดงามกรีดกรายไปทั่วงาน ต้อนรับแขกเรื่ออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

งานเลี้ยงคืนนี้ถูกจัดให้มีบรรยากาศพื้นเมืองตามแบบเมลา หากอาหารกลับเป็นอาหารยุโรปเกือบทั้งหมด ทีแรกห้องเครื่องจัดเตรียมเมนูเป็นอาหารพื้นเมืองกับอาหารต่างชาติอย่างละครึ่ง หากเมื่อเจ้าหญิงคนงามทรงทราบก็มีพระประสงค์ให้เปลี่ยนเสีย เนื่องด้วยโปรดอาหารต่างชาติและคิดว่าแขกในงานก็ควรจะโปรดตามด้วย ห้องเครื่องจึงตามจัดทำตามพระประสงค์ แม้วัตถุดิบบางอย่างไม่มีในเมลาก็ต้องเพียรหามาจนได้

แขกในงานทยอยมากันจนครบ หากแต่องค์ประทานยังไม่เสด็จมาเจ้าหญิงต้องให้มหาดเล็กไปทูลเชิญ “ทั้งพี่ ทั้งน้อง” น่าโมโหนักมัวทำอะไรกันอยู่ เธอรับแขกพวกนี้มาคนเดียวเกือบชั่วโมงแล้วคุยจนเสียงแหบแห้งเพื่อคอยพี่ชายชิติโชคิมของเธอ แต่ก็ยังไร้เงาของพระองค์ไหนจะฤธัตธรณ์อีกหายไปไหนทั้งพี่ทั้งน้อง

“วันนี้ทรงพระสิริโฉมมากกระหม่อม ไม่ได้เจอกันเสียนานยังคงเหมือนเดิม”

รัฐมนตรีสาธารณสุขที่มาดูงานแถวเมลาก็ได้รับเชิญมางานเลี้ยงคืนนี้ด้วย

เจ้าหญิงคนงามยิ้มรับต่อคำชมนั้นก่อนตรัสตอบ “ขอบใจ” ยามนี้ส่งไม่ใส่พระทัยกับใครทั้งนั้น นอกจากพี่ชายเมื่อไหร่มาเสด็จมาเสียที ทรงกระแทกแก้วไวน์ทรงบนโต๊ะเสวยจนคนที่นั่งใกล้ๆสะดุด ...พิโรธแล้ว... แต่ใครกล้าทำให้พิโรธ

ดูเหมือนจะทรงรู้พระองค์ว่าทรงเป็นที่จับจ้องของผู้ร่วมโต๊ะ เจ้าหญิงเนรัญชราจึงค่อยๆผ่อนพระอัสสาสะ เข้า – ออก เบาๆคลายความขุนเคือง

“นั่นเด็จแล้วเพคะเจ้าหญิง เจ้าชายรัชทายาทกับพระอนุชา”ภริยารัฐมนตรีสาธารณสุขที่นั่งอยู่ใกล้ทูลถวายเผื่อว่าพระอารมณ์จะดีขึ้นและก็เป็นเช่นนั้น ทันทีที่ทรงเห็นเจ้าชายทั้งสองพระองค์เจ้าหญิงเนรัญชราก็ทรงลุกจากพระเก้าอี้ที่ประทับรอรับเสด็จทันที

“ทรงสายเพคะ”เจ้าหญิงตรัสอย่างขุ่นเคืองพระทัย หากเมื่อเห็นว่าที่พระคู่หมั้นแย้มพระสรวลเจ้าหญิงก็ทรงแช่มชื่นพระทัยทันที “สายก็ช่างมันเถอะ”

“พี่ขอโทษ ที่ปล่อยให้หญิงรอ มีงานด่วนที่ต้องจัดการ เราต้องขอโทษทุกท่านด้วย”

เจ้าชายชิติโชคิมทรงตรัสขอโทษเจ้าหญิงและผู้ร่วมงานทุกคน งานด่วนที่ว่าก็คือรอยและทัยคุน พึ่งมาบอกเขาว่าพบการเคลื่อนไหวของกลุ่มกบฏอิดาลในเขตตัวเมืองพิรัยธา

เขากลัวว่าพวกมันจะฉวยโอกาสงานเลี้ยงต้อนรับนี้ก่อความวุ่นวายขึ้น เพราะภายในงานมีแต่คนสำคัญ แน่นอนถ้าพวกเขาอยู่ในเขตวังย่อมไม่มีปัญหาแต่หากหลังงานเลี้ยงสิ้นสุดต้อนแยกย้ายกันกลับเป็นเรื่องยากมากต่อการอารักขาทุกคนเขาจึงได้สั่งเพิ่มเวรยามและทหารที่ประจำการอยู่บริเวณนอกวังให้คอยตรวจตราเป็นพิเศษหากพบผู้ต้องสงสัยจับก่อนแล้วคอยไตร่สวนทีหลัง ฤธัตธรณ์เองก็รู้เรื่องนี้เพราะอยู่กับเขาด้วย

“ข่าวแน่นอนกระหม่อมพวกมันซุ่มเหมือนรออะไรบางอย่าง”

ทัยคุนทูลให้เจ้าชายทรงทราบถึงเรื่องราวของกบฏอิดาลที่เข้ามาเคลื่อนไหวในพิรัยธา

“พวกมันอาจรอคำสั่งจากใครบางคน”

ทรงตรัส ขณะประทับอยู่ในห้องทรงพระอักษร ทรงเข้ามาหามุมสงบปราศจากเสียงรบกวนจากดนตรีภายในงาน ก่อนจะทรงมั่นพระทัยว่าพร้อมลงไปปั้นหน้ายิ้มกับใครต่อใครในงานเลี้ยงค่ำนี้

“พวกมันเป็นกลุ่มเดียวกับคนที่วางระเบิดสังหารหมู่ที่สนามบินปีก่อนใช่ไหมพี่ชาย”

เจ้าชายฤธัตธรณ์กับปินตาทรงเข้ามาทันได้ยินพอดิบพอดี กลุ่มกบฏอิดาลเป็นกลุ่มคนที่อันตรายมาก ที่ทางการพิรัยธาต้องการตัว เมื่อวันชาติเมลาปีที่แล้วพวกมันวางระเบิดที่สนามบินเมลา เป็นเหตุให้มีผู้เคราะห์ร้ายหลายสิบคน แต่จนแล้วจนรอดทางการเมลายังจับตัวพวกมันไม่ได้ แว่วหนึ่งของความคิด หรือ พวกมันเป็นคนพาปริชมนไป

“อืม ใช่ ชายมีอะไรกับพี่หรือ”

ทรงตรัสตอบด้วยสีพระพักตร์ครุ่นคิด

“เจอมหาดเล็กหน้าห้อง สงสัยหญิงเนรัญจะให้มาตามเพราะเลยเวลามากแล้ว”คนน้องทูลตอบเขาเองก็ช้าเพราะทันทีที่มาถึงเมลาก็ให้คนออกสืบหาตัวปรินมนทันที ที่นี่เมืองสุดท้ายแล้วหวังว่าจะเจอไม่อยากนั้นเขาคงตอบพิณริณีไม่ได้แน่ๆว่าเพื่อนรักของเธอหายไปไหน

เอ...แต่ยัยทอมนั้นบอกจะรีบมาเมลาให้เร็วที่สุด นี่ก็เป็นอาทิตย์แล้วทำไมยังเงียบอยู่อีกหรือว่าจะหายไปอีกคน

“จริงสิ รีบเถอะรีบๆกิน รีบๆกลับแหละดี”

ตรัสเสร็จ วรองค์สูงโปร่งก็รีบรุดมาที่งานเลี้ยงทันทีและก็ทันได้เห็นพระพักตร์ง้ำงอนของว่าที่พระคู่หมั้น

“คุณหญิงเคยไปหุบเขาดอกไม้หรือไม่”

เจ้าหญิงคนงามชักชวนคู่สนทนาที่อยู่ใกล้เคียงถาม คุณหญิงรัฐมนตรีสาธารณสุขที่ตัวผอมลีบขอบตาดำคล้ำจนเนรัญชราอดคิดไม่ได้ ช่างไม่เหมาะเป็นภริยารัฐมนตรีสาธารณสุขเอาเสียเลย ดูท่าสุขภาพไม่ค่อยดีเสียชื่อภริยารัฐมนตรีเจ้ากระทรวงหมด

“ว่าจะไปวันมะรืนเพคะ เห็นเขาว่าช่วงนี้พอดีที่ดอกไม้บานสะพรั่งงดงามทั้งหุบเขา คงงามมากเพราะมีฉากหลังเป็น “คิมาราย”เสียด้วย”

คุณหญิงทูลตอบด้วยทีท่านอบน้อมเอาอกเอาใจ ใครที่มาเยือนเมลาก็ต้องอยากไปคิมารายกันทั้งนั้นสถานที่ที่สวยงามมหัศจรรย์ดุจภาพฝัน หุบเขาที่ดารดาษไปด้วยดอกไม้หลากสีนานาพันธุ์ส่งกลิ่นหอมกำจายไปทั่วการได้เดินอยู่ในคิมารายหรือหุบเขาดอกไม้เป็นความใฝ่ฝันของผู้หญิงทุกคนเมลาเลยทีเดียว

“จริงสินะ ฉันขอไปด้วยสิกำลังคิดหาเพื่อนไปอยู่พอดี”

เจ้าหญิงคนงามตรัสเธอไม่ได้เห็น ยอดเขาคิมารายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัยมานานเท่าไรแล้วน่า

“พี่ชายไปกับน้องนะเพคะทรงช่วยเป็นไกด์พาเที่ยวหน่อย”

เจ้าหญิงทรงหันไปชักชวนคนที่อยากให้ไปด้วยจริงๆที่เอาแต่นั่งสนทนากับแขกคนอื่นๆจนแทบไม่ได้ตรัสอะไรกับเธอเลย

“ไปไหน”

รู้ทั้งรู้ว่าตรัสเช่นนี้ว่าที่พระคู่หมั้นจะขุ่นเคืองแต่พระองค์มัวแต่สนพระทัยเรื่องงบประมาณการลงทุนด้านใบชาที่คู่สนทนาซึ่งเป็นพ่อค้ารายใหญ่ทูลให้ฟังอยู่จึงไม่ได้สนพระทัยซึ่งที่พวกผู้หญิงเข้าพูดกัน

“พี่ชาย”น้องน้อยของเขาตรัสอย่างตัดพ้อ

“ไปหุบเขาดอกไม้เพคะ”ภริยารัฐมนตรีสาธารณสุขรีบทูลเสียก่อน

“วันมะรืนเพคะ ทรงพาหญิงเที่ยวหน่อยนะเพคะ”

“พี่จะพยายาม”ตรัสเท่านั้นเพราะรู้ดีว่าปฏิเสธไปเนรัญชราก็ไม่หยุดรบเร้าเขาง่ายๆ

“หญิงถือว่าทรงรับคำเชิญแล้ว”น่านเห็นไหมทึกทักเอาจนได้

นอกจากผู้ร่วมโต๊ะเสวยแล้ว บุคคลที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ภายในงาน ก็คือข้าราชบริพารที่รับใช้ใกล้ชิด ซึ่งรวมถึง รอยและทัยคุนที่ได้รับเกียรติให้นั่งร่วมโต๊ะเสวย ส่วนพระนมริยาก็คอยอยู่ความเรียบร้อยอยู่ในบริเวณงาน อีกมุมหนึ่งก็ให้นกยูงช่วยดูแลด้วย

“คุณปีนัง”

เสียงเรียกตกใจเล็ดลอดออกมาเบาๆจากริมผีปากของนกยูงเธอมองเห็นเงาตะคุ่มๆลับๆล่อๆอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ ทีแรกคิดว่าผีหรือข้าหลวงนางในแอบลักลอบทำอะไรเสียอีกแต่พอเพ่งมองให้ชัดๆกลับต้องตกใจยิ่งกว่า คุณปีนัง เข้ามาบริเวณงานได้อย่างไร แล้วมาทำไม นกยูงหันไปมองซ้ายมองขวาเมื่อคิดว่าไม่มีใครสังเกตเห็นจึงค่อยๆเดินมาหาปริชมนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ไม่ห่างจากโต๊ะเสวยที่อยู่บริเวณอุทยานกลางแจ้งหน้าวังมากนัก

“ค่อยยังชั่วคิดว่าคุณนกยูงไม่เห็นเสียแล้ว”ปริชมนยิ้มผ่อนคลายกลัวใครมาเห็นแทบแย่

“คุณเข้ามาได้อย่างไรกันค่ะ ทหารออกยั้วเยี้ย ที่ตำหนักเทพนารีก็เข้มงวดมากเลยนะวันนี้”นกยูงรีบถามพร้อมหันรีหันขวางไปในตัวมุมนี้คนที่นั่งอยู่โต๊ะเสวยถ้านั่งซ้ายหรือขวาไม่สังเกตไม่เห็นหรอกแต่คนที่นั่งเป็นองค์ประธานนะสิต้องเห็นแน่ แล้วจะไม่ให้เธอกลัวได้อย่างไร

“ดูดีๆสิคะ ฉันขอยืนชุดของญาดามาใส่ แล้วบอกว่าคุณให้มาช่วยงาน ที่ตำหนักนู้นถูกตัดไฟ ต่อให้คืนนี้แสงจันทร์เจิดจ้าแค่ไหน พวกทหารก็มองหน้าฉันไม่ชัดหรอกค่ะ”ปริชมนอธิบายเธอเปลี่ยนตัวกับญาดา

“โธ่! คุณรีบกลับเถอะค่ะเดี๋ยวทรงทราบเข้าจะเกิดเรื่องยุ่งกันใหญ่...หรือว่า...หรือว่า...คุณปีนังคิดที่จะเข้าไปหาเจ้าชายฤธัตธรณ์ค่ะ ไม่ได้นะค่ะตอนนี้ไม่ได้แน่ ถ้าคุณทำอย่างนั้นนิวเคลียร์ย่อมๆคงเกิดขึ้นที่นี่แน่ๆ”นกยูงคิดแล้วอดหวาดหวั่นไม่ได้รีบพูดอย่างละล้าละลัง

“เปล่าๆค่ะไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่ะเพียงแต่...แค่อยากมาเปิดหูเปิดตาค่ะ”

หญิงสาวตอบตะกุกตะกัก ก็จะให้เธอตอบได้อย่างไรเล่าว่า เธอต้องการมาเพื่อดูพระพักตร์ของเจ้าหญิงว่าพระคู่หมั้นโดยเฉพาะ และก็ได้เห็นแล้ว ทรงงดงามราวกับนางพญาหงส์สายพระเนตรคมเฉี่ยว ยิ่งเห็นเคียงคู่กับเจ้าชายชิติโชคิมผู้เป็นที่รักยิ่งของเธอช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน

นี่เธอมัวมาทำอะไรอยู่ที่นี่คิดว่าเจ้าชายผู้สูงศักดิ์จะมาสนใจกับคำมั่นสัญญาวัยเยาว์จนละทิ้งนางหงส์ผู้งดงาม

ยัยปีนังเอ๋ย.. ช่างฝันเฟื่องจริงๆ ณ วินาทีที่เห็นเจ้าหญิงผู้งดงามพระองค์นั้นปริชมนก็รู้ว่าเธอไม่มีทางเทียบได้เลย เธอกำลังจะกลับไปที่เทพนารีก่อนจะตัดสันใจอะไรบางอย่าง แต่บังเอิญเห็นนกยูงเข้าจึงพยายามส่งสัญญาณเรียกไม่คิดว่านกยูงจะตกใจมากขนาดนี้ที่เห็นเธอ

“เปล่าก็กลับค่ะ ถือว่านกยูงขอร้องนะค่ะ”นกยูงท่าทางร้อนรน

“ค่าๆๆๆกลับแล้วไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”หญิงสาวยิ้มให้ก่อนหันหลังเดินกลับไป ท่ามกลางความโล่งอกของนกยูง โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่เธอกลัวกำลังจะเกิดขึ้น

.......................................................

ปริชมนเดินแยกจากนกยูงมาจนแน่ใจว่าทิ้งห่างพอสมควร หญิงสาวก็หยุดเดิน แล้วถอนหายใจเหม่อมองฟ้าที่คืนนี้มีพระจันทร์วันเพ็ญงดงามทอแสงเหลืองนวล หญิงสาวจ้องมองจันทร์สลับกับการก้มลงมองที่ข้อเท้าซ้ายที่มีสร้อยข้อเท้าสวมอยู่ “ระบำดาราราย”เคยเห็นในหนังสือศิลปวัฒนธรรมเมลาอยู่เหมือนกัน ค่อนข้างยากคล้ายระบำหน้าท้องของพวกตุรกี แต่เปลี่ยนจากส่ายหน้าท้องมาส่ายข้อเท้าแทนคนรำยิ่งเก่งยิ่งพลิกหมุนข้อเท้าได้สอดคล้องกับจังหวะของดนตรีเสียงดนตรีอันรื่นเริงที่เทพีบันยีโปรดปราน

ช่างเถอะ...ระบำไปก็เท่านั้น

อยู่กับเจ้าหญิงเลอโฉมขนาดนั้นก็ไม่คงไม่ได้ยินเสียงกระดิ่งเล็กๆนี่หรอก และถ้าเป็นอย่างที่แม่ค้าพูดว่าผู้ชายที่เป็นเนื้อคู่เท่านั้นจึงจะมาหา เกิดไม่มีใครมาหรือมาเป็นฝูงล่ะทำอย่างไร

หญิงสาวขำกับความคิดของตนเองก่อนจะตัดสินใจเดินกลับเทพนารี แต่ทว่าเดินได้แค่เพียงครึ่งก้าวก็มีคนมาคว้าข้อมือเธอไว้ หญิงสาวตกใจมากคิดจะส่งเสียงร้องถ้าไม่ได้ยินเสียงที่คุ้นหูเสียงที่อยากให้มาแอบอิงอยู่ด้วยทุกค่ำคืนเอ่ยขึ้นเสียก่อน

“ฉันเอง”

สุรเสียงเอาแต่พระทัยอย่างนี้เป็นใครไม่ได้หรอก นอกจากเจ้าชายที่รักของเธอ

ปริชมนถอนหายใจโล่งอกไม่รู้ทำไมว่าโล่งอกเหมือนกัน ทั้งที่เขาเป็นคนที่เธอควรเจอเป็นคนสุดท้ายในคืนนี้ ถ้าจะมีใครมาพบเธอ ก็ไม่ควรเป็นเขา

“ทรงอยู่ในงานเด็จมาได้อย่างไร แล้วก็ทรงปล่อยหม่อมฉันได้แล้วเพคะ”

หญิงสาวพยายามแกะพระกรที่ยิ่งกว่ายางเหนียวนั้นออกทว่าคนจับกลับไม่ยอมปล่อยง่ายๆ

“เด็จได้สิ ทีเธอยังไม่เชื่อฟังฉัน ออกมาเพ่นพ่านข้างนอกได้เลย บอกมาว่าเธอคิดอะไร ฉันเห็นตอนที่เธอกระซิบกระซาบกันกับนกยูงวางแผนอะไรกัน”

ยอกย้อนเธอเสียด้วย หญิงสาวเริ่มกัดฟันแน่นเพราะคนจับเริ่มกดแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“ เปล่าไม่มีแผนอะไรทั้งนั้น หม่อมฉันแค่อึดอัด”

“อึดอัดอะไร”

ทรงตรัสถามอย่างข้องพระทัยที่นี่มีอะไรให้อึดอัดหนักหนา

ชิติโชคิมจ้องหน้าของหญิงสาวอย่างคาดคั้นต้องการคำตอบ เขาเพิ่งกลับมาก็มีเรื่องยุ่งวุ่นวายมากเกินพออยู่แล้ว ไปต้องการมานั่งแก้ปัญหาที่ผู้หญิงคนนี้ก่อขึ้นอีก

ทีแรกเขาลืมเจ้าหล่อนเสียสนิท เพราะมัวแต่กังวลเรื่องกลุ่มกบฏ แต่แล้วจู่ๆขณะที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเขาสังเกตเห็นนกยูงทำท่าทางลับๆล่อๆแล้วเดินเลี่ยงมาแถวๆบริเวณอุทยานหน้าวังที่มีหมู่ต้นสนขึ้นสูงเรียงรายอยู่

เขาเห็นนกยูงพูดคุยกับใครบางคน แต่ไม่แน่ชัดว่าเป็นใครจึงแกล้งทำเป็นขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำ จะได้ไม่มีใครสงสัยเขา แล้วก็แอบตามคนลึกลับมาจนถึงที่นี่ จึงเห็นว่าที่แท้คนลึกลับของเขาก็คือปริชมน ที่ก่อนหน้านี้เขาสั่งให้อยู่แต่ในเขตของตำหนักเทพนารี

แน่นอนมันทำให้เขาโกรธที่เธอไม่ฟังคำสั่งของเขา แล้วยังจะมีหน้ามาบอกกับเขาอีกว่าอึดอัด ให้ตายเถอะ อยู่ใกล้ผู้หญิงคนนี้ทีไรโมโหทุกที

“ก็ลองอยู่แต่ในห้องไม่ออกไปไหนดูบ้างจะทรงรู้เอง”

ปริชมนทูลตอบโดยไม่มองพระพักตร์สักนิด เมื่อคิดถึงสิ่งที่เขากระทำกับเธอมันช่างโหดร้ายนัก เธอไม่ได้อยากมากับเขาสักหน่อย จับเธอมาเองแล้วก็มาห้ามโน่นห้ามนี่บ้าอำนาจชอบออกคำสั่ง หญิงสาวพยายามอย่างที่สุดที่ไม่แสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น

“ถ้าทำตัวดีๆก็ไม่เป็นแบบนี้”

ชิติโชคิมกระชากหญิงสาวที่เอาแต่หลบหน้าหลบตาไม่ยอมมองมาที่เขาเลยสักนิด ราวกับรังเกียจเขามากนัก

“พระองค์ทัยร้าย ร้ายจน...จน....”

“อะไรฉันทัยร้ายอะไรอีกเล่า” ตรัสถามราวกับไม่ไม่ทรงทราบเรื่องอันใดเลย

“ในประเทศของหม่อมฉันการกักขังหน่วงเหนี่ยวอิสรภาพของผู้อื่น เป็นความผิดมีบทลงโทษทางกฎหมาย แต่สำหรับที่นี่หม่อมฉันชักไม่แน่ใจ”พูดอะไรออกไปไม่รู้ตัวเลยสักนิด รู้แต่เพียงว่ายามนี้เธอคิดถึงภาพที่เขาเคียงคู่กับเจ้าหญิงคนงาม มันมีความรู้สึกบางอย่างที่ยากจะอธิบายทั้งน้อยใจ ผิดหวัง เสียใจ ปะปนกันไปหมด

“ฉันมีเหตุผลที่จะทำ”ทรงตรัสเรียบเฉย ไม่รู้เหตุใดจู่ๆทรงเบื่อที่จะชวนทะเลาะกับผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าเสียดื้อๆอาจเป็นเพราะสายตาตัดพ้อของหญิงสาวที่ทำราวกับว่าเขาไปก่ออาชญากรรมร้ายแรงอะไรกับเธอกระนั้น

“เหตุผลอะไรเพคะ ทรงปรารถนาสิ่งใดจากหม่อมฉันกันแน่ทรงอ้างว่าทำเพื่อพระอนุชาทั้งๆที่หม่อมฉันทูลแล้วว่าไม่เคยคิดสิ่งใดเกินเลยจากความเป็นเพื่อนเลย”ปริชมนไม่รู้ว่าทำไมการเผชิญหน้ากับผู้ชายคนนี้ทุกครั้งจึงทำให้เธอรู้สึกต้อยต่ำด้วยค่ากลายเป็นคนอ่อนแอร่ำไป

“ตัวเธอไม่คิดไม่หวังฉันไม่ว่าหรอกนะ แต่น้องชายฉันฉันรู้จักเขาดี สิ่งที่ฉันคิดไม่เคยผิดเขามีใจให้เธอนั้นล่ะที่ฉันกลัว ถ้าเธอยอมอยู่เฉยๆ เงียบๆ กลับบ้านกลับเมืองเธอไปซะ แล้วเลิกคบค้าติดต่อกับน้องชายฉัน ฉันจะปล่อยเธอไป”

ทรงตรัสอย่างนุ่มนวลและอยากปลอบโยนให้หญิงสาวคลายกังวล เขาเข้าใจว่าปริชมนคงกลัดกลุ้มอะไรบางอย่าง ท่าทีของหญิงสาวในค่ำคืนนี้จึงผิดแปลกไปดูอ่อนแอ ไม่แกร่งกล้าเหมือนดั่งเคย ชิติโชคิมพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะให้หญิงสาวเงยหน้าเผชิญกับเขามัวแต่ก้มหน้าหลบไปหลบมาจะคุยอะไรกันได้รู้เรื่อง

“มองฉันสิปีนัง เธอกลัวฉันหรือเกลียดฉันจนไปอยากมองหน้ากันเชียวเหรอ ฉันเห็นใจเธอนะ อันที่จริงไม่คิดอยากขัดขวางความรักระหว่างเธอกับน้องชายฉันเลย แต่เธอควรจะเข้าใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ เธอเป็นหญิงต่างชาติลำพังหญิงสาวชาติเดียวกัน การจะเลือกใครให้เข้ามาร่วมราชวงศ์ เรายังต้องคัดเลือกจากสตรีที่มาจากตระกูลที่ดีเลย แล้วเรื่องของเธอกับฤธัตธรณ์จะเป็นไปได้อย่างไรลองตรองดู”

เขาเข้าใจว่าเธอกังวลเรื่องนี้ก็พยายามพูดคุยทำความเข้าใจ เพราะเห็นว่าไหนๆก็ได้มาเจอแล้วและคงยากนับจากนี้ที่จะมีโอกาสได้เจอ เพราะมันไม่ง่ายที่จะหลบเลี่ยงสายตาของฤธัตธรณ์และเนรัญชราลึกๆแล้วชิติโชคิมอดสงสัยแปลกใจในตัวเองไม่ได้ ความรู้สึกวาบหวามที่เกิดขึ้นจากการได้เจอปริชมนคือสิ่งใด ช่างเป็นความรู้สึกที่น่ากลัวจนตัวเขาเองตกใจ

เขาคิดเสมอว่าผู้หญิงคนนี้คือตัวป่วน ไม่ได้วิเศษสลักสำคัญอะไรต่อเขาหรือใคร เจอหน้าทีไรเขาก็รำคาญอยากไล่ไปให้พ้นๆ แต่คืนนี้เดี๋ยวนี้ ณ ช่วงเวลานี้ เขากลับตอบตัวเองไม่ถูกว่ายินดีที่ได้เห็นหญิงสาวยืนอยู่ตรงหน้าแค่ไหน

แต่เมื่อคิดว่าผู้หญิงต่างชาติคนนี้จะเข้ามาพัวพันกับน้องชายและทำให้ราชวงศ์ของเขาต้องด่างพร่อยเขาก็รับไม่ได้เช่นกัน

“แล้วถ้ามาเกี่ยวข้องกับเขาล่ะ”

เสียงแย้งแทรกขึ้นในหัวดุจเป็นคำถามหยั่งเชิงจากจิตใต้สำนึก ที่ดูเหมือนจะไร้ซึ่งคำตอบ “ถ้าเธอเกี่ยวข้องกับเขาเล่าจะเป็นอย่างไรเรื่องยุ่งยากคงมากมายเกินต้านรับ”

“หม่อมฉันอยากมองพระองค์มาตลอดชีวิต อยากมองทุกเสี้ยววินาทีที่เจอ อยากถ่ายทอดเรื่องราวหลังจากที่เราได้เจอกัน อยากเอ่ยถามคำมั่นสัญญาที่มีให้ แต่ดูเหมือนมันไม่จำเป็นสำหรับพระองค์อีกต่อไป”

ปริชมนเปลี่ยนทีท่าจากหลบสายพระเนตรมาเป็นจับจ้องแทนหญิงสาวแค่คิด คิดว่าอยากจะพูดสิ่งเหล่านี้เหลือเกินแต่มันจะมีประโยชน์อันใดหากพูดแล้วจะทำให้เธอกลายเป็นตัวตลกไร้ค่ายิ่งขึ้นในสายพระเนตรคมกล้าคู่นั้นสายพระเนตรที่เธอแอบเห็น ยามทอดมองเจ้าหญิงคนงามช่างอ่อนโยนผิดกับที่มองเธอยามนี้

ดุจจะรีบผลักไสไปให้ไกลๆ เธอแสดงความปรารถนาที่มีต่อตัวเขาราวผีเสื้อที่ไม่ยอมห่างความหอมหวานของดอกไม้ เธอเปิดเผยอย่างน่ารังเกียจ ทั้งที่เขาพาตัวเธอมาอย่างผิดๆ และทั้งยังเข้าใจผิดอย่างใหญ่หลวงว่าเธอกับน้องชายเขารักชอบกันไม่ยอมฟังคำอธิบายอะไรจากเธอเลย แล้วอย่างนี้เธอจะกล้าพูดอะไรได้อีก

ปริชมนครุ่นคิดกับตัวเอง จนกระทำสิ่งที่เธอเองโหยหามาเนิ่นนาน หญิงสาวค่อยๆยกมือเรียวเล็กของเธอขึ้นทาบที่ริมพระโอษฐ์อย่างแผ่วเบาโดยไม่รู้ตัว ชิติโชคิมชะงักไปนิดเพราะไม่คาดคิดว่าปริชมนจะทำเช่นนี้ มันค่อนข้างเหนือความคาดหมาย

แม้เขาจะรู้ชัดแต่แรกเจอว่าหญิงสาวมีท่าทีปลาบปลื้มเขา แต่ไม่คิดว่าจะกล้าทำขนาดนี้ แต่ตัวเขากลับรู้สึกราวต้องมนต์เมื่อถูกมือเรียวเล็กนั่นสะกดเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนไหวยามยืนประชิดตัวกันใกล้เสียจนได้ยินเสียงเต้นของหัวใจเช่นนี้ ปริชมนมีความสูงอยู่แค่ปลายพระหนุ(คาง)เจ้าชายเท่านั้น

เจ้าชายหนุ่มยอมรับว่าผู้หญิงตรงหน้านี้ งดงามผิวนวลเนียนมิใช่เพราะอาบแสงจันทร์ แต่เขารู้ดีผิวกายเธอนวลเนียนทั่วเรือนร่าง รู้ตอนไหนนะเหรอ ก็ตอนที่เข้าไปช่วยเธอจากห้องน้ำ ก่อนที่จะหลับลึกจนจมน้ำตายนั้นอย่างไร หญิงสาวขยับเท้าเข้ามาใกล้เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊งดังเบาๆจากปลายข้อเท้าซ้ายตามจังหวะการขยับตัว

จะด้วยมนต์แห่งจันทราหรือสิ่งใดก็สุดหยั่ง ที่ทำให้ริมพระโอษฐ์หนานุ่ม ผสานกับเรียวปากบาง เวลาจะเนิ่นนานหรือไม่ไม่รู้ รู้แต่สำหรับปริชมนจุมพิตนี้นานราวชั่วกัปชั่วกัลป์ หญิงสาวรู้สึกเหมือนความอบอุ่นมีขาดหายคืนกลับมาจุมพิตที่ราวกับจะย้ำเตือนว่าคำสัญญายังคงอยู่ ความอบอุ่นแผ่เข้าสู่หัวใจของเธอผ่านจุมพิตแสนหวานนี้ เพียงจุมพิตนี้ทดแทนทุกสิ่งทุกการกระทำที่เขาทำต่อเธอ

“ฝ่าบาทๆ ฝะ......”

เสียงนั้นดุจดั่งค้อนทุบทำลายมนตรา เสียงที่ทำให้ทั้งสองคนกลับขึ้นสู่ความจริงตื่นจากภวังค์ เสียงเรียกที่คนเรียกอยากกัดลิ้นตัวเองตาย

“ไม่น่าเลย ไม่น่าเรียกเลย”

ทัยคุนตะลึงกันภาพที่เห็น ไม่อยากจะเชื่อเพราเสียงเรียกของเขาทำให้ทั้งคนที่ลืมที่ลืมเวลาต้องผละออกจากกัน

“มีอะไร”

ชิติโชคิมรู้สึกหัวเสียมากมายเขาโกรธๆจนกระทำสิ่งใดไม่ถูกมิใช่เพราะว่าทัยคุนที่เข้ามาเรียกเขาหรอก แต่เขาโกรธและโมโหตัวเอง ที่ปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น

เพราะอะไรเขาจึงปล่อยอารมณ์ให้หลงไปกับมายาของผู้หญิงคนนี้ได้ ท้ายที่สุดเมื่อหาเหตุผลในการกระทำให้องค์เองไม่ได้เจ้าชายหนุ่มจึงโทษให้เป็นความผิดของหญิงสาวเสีย

“หายมานานกระหม่อมเจ้าหญิงทรงตรัสถึงเกล้ากระหม่อมเลยอาสามาตามเสด็จกลับ”

ทัยคุนมองพระพักตร์เจ้าชายที ปีนังทีเขาเข้าใจว่าหญิงสาวคนอับอายที่มีผู้มาพบเห็นจึงได้ยืนนิ่งที่พูดไม่จา

“ปีนังเธอกลับไปในที่ที่เธอควรอยู่ได้แล้ว ไปให้เร็วๆยิ่งดี” ตรัสโดยไม่ทอดพระเนตรมองสักนิด

“เพคะ”

ปริชนเองยามนี้หล่อนรู้สึกทั้งอับอายและอึดอัดเป็นที่สุด ดูหรือเขาจูบหล่อน จูบที่ใช่ว่าหล่อนอยากจะให้เกิดขึ้น แต่เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วเขาทำราวกับว่าหล่อนเป็นสิ่งน่ารังเกียจ ชั่วช้า ใช่เหตุมารยาหลอนล่ออย่างไรอย่างนั้น จูบที่อบอุ่นเมื่อครู่กลายเป็นเย็นชืดไปโดยปริยาย หนำซ้ำเขาไล่เธอกลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวมันหมายความว่าอย่างไร

“ทัยคุนไปบอกพวกในงานให้ทีว่าฉันมีงานด่วนกลับไปในงานไม่ได้ “

“แต่ฝ่าบาทเจ้าหญิง”

“พูดไม่รู้เรื่องหรือไง ไป ไปได้แล้ว”

นั้นไงเจ้าชายแห่งสายฟ้าเริ่มทรงฟาดสายฟ้าเข้าให้แล้ว

ทัยคุน รับคำแล้วรีบกลับไปรายงานตามพระประสงค์ทันที
.........................................................

กลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่ที่สมาชิกสวมชุดคลุมสีดำกลมกลืนอยู่ในความมืดกำลังสนทนากันอย่างเคร่งเครียดชายตัวสูงที่ยืนอยู่เหนือโขดหิน เป็นหัวหน้าที่กำลังถ่ายทอดคำสั่งแก่ลูกน้องที่นั่งฟังอย่างตั้งใจ

“โอกาสงามมาถึงแล้ว เจ้าชายทั้งสองพระองค์อยู่ที่นี่ เมื่อมีโอกาสเราจะลงมือทันที”

ชายหัวหน้ากลุ่มกล่าวเสียงก้องมือขวาชูปืนยาวอาวุธสังหารคู่กายขึ้นไว้เหนือหัวเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม"อิดาล"กลุ่มคนที่ทางการเมลาหมายหัวว่าเป็นกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน

หากนกยูง ญาดาหรืแม้แต่ปริชมนได้มาพบหน้าตาของหัวหน้ากลุ่มพวกเธอคงขวัญเสียไม่น้อย เพราะหัวหน้ากลุ่มไม่ใช่ใครอื่น คือ “รันท์”เพื่อนใหม่จากตลาดนั้นเอง

“รันท์” เงามัจจุราช

เงาทีจะคอยตามราวีราชวงศ์มังกรเหนือเมฆ จนกว่าพวกเขาจะได้รับความยุติธรรม

“จาส เรื่องที่ให้สืบได้ความไหม”

รันท์หันไปถมชายกลางคนที่หน้าตามีแผลเป็นรูปกากบาดขีดยาวที่แก้มทั้งสองข้าง ชายผิวเกรียมแลดูดุดันแม้แต่พวกเดียวกันยังหวาดกลัวแต่ทว่ากลับนอบน้อบต่อผู้เป็นนายยิ่งนัก

“ผู้หญิงคนนั้นพักอยู่ในวังพิรัยธาจริงๆนาย สายของเราบอกว่าเจ้าชายรัชทายาทนำตัวเธอมาไว้ที่นี่ แต่แปลกที่เธอไม่ได้อยู่ในวังใหญ่เธอถูกส่งตัวไปอยู่ที่ตำหนักร้างหลังวังได้หลายวันแล้วนาย”

“เธอบอกว่าเป็นนักท่องเที่ยวแต่ไม่ได้บอกว่าทำไหมถึงได้เข้าไปอยู่ในวังได้ ดูเหมือนเจ้าชายรัชทายาทจะทรงให้ความสำคัญกลับผู้หญิงคนนี้ไม่น้อยทีเดียว จาส ตามสืบต่อไปได้เรื่องอย่างไรรีบมารายงานด้วย”

รันท์มองกระดาษในมือที่ยับย่นจนแทบอ่านอักษรในนั้นไม่ออก กระดาษที่ปีนังมอบให้เขาที่ตลาดก่อนกลับในนั้นมีเบอร์โทรต่างประเทศปลายสายอยู่ที่ประเทศไทย

“นิอร พิราพล”
แม่ของหญิงสาวที่ต้องการให้ช่วยบอกว่าเธอท่องเที่ยวอยู่ในเมลา รันท์คิดถึงความสำคัญของหญิงสาวต่อวังพิรัยธาขึ้นมาทันที ก่อนจะเก็บกระดาษนั้นซุกไว้ที่ผ้าคาดเอวผืนโต

“ปริชมน หญิงผู้งามงามราวจันทร์ฉาย หวังว่าคงไม่ใช่ชายาลับของเจ้าชายรัชทายาทหรอกนะ”

รันท์ยกมือกอดอกสายตาเขาจับจ้องอยู่ที่เนินกลางเมือง อันสว่างไสวด้วยแสงไฟบนเนินอันเป็นที่ตั้งของวังพิรัยธาแววตาที่วาวโรจน์ด้วยไฟแค้น อิดาลจะต้องเอาพื้นที่ทำกินคืน

ความพยายามของพวกเขาเปลี่ยนผ่านมาแล้วถึงสามรุ่น จากปู่เขาสู่รุ่นพ่อและจนถึงตัวเขา.... ผู้นำของอิดาลคนใหม่....เรื่องทุกอย่างต้องสำเร็จในรุ่นของเขา ฆ่าเจ้าชายรัชทายาทได้ ก็สามารถต่อรองกับรัฐบาลได้และยังสามารถจารจารึกความหวาดกลัวให้ฝังรากลงสู่หัวใจของคนเมลาได้อีกด้วย

*****************************************************************




 

Create Date : 19 มกราคม 2551
1 comments
Last Update : 19 มกราคม 2551 21:31:17 น.
Counter : 454 Pageviews.

 

แวะมาอ่านค่ะ
ชื่อตัวละครน่ารักดี

 

โดย: โสดในซอย 20 มกราคม 2551 20:43:30 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.