|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
วิถีชีวิต วิถีธรรม
การ น้อม ....สิ่งต่างๆ สู่ใจด้วยธรรม ที่เรียกว่า " โอปนยิโก "
ในระยะหลังๆ แม่ ใช้เวลาส่วนใหญ่ ในการสวดมนต์ ไหว้พระ ดำเนินชีวิตด้วยวิถี ธรรม .... แม่ ทำให้ลูกเห็นด้วยการปฏิบัติของแม่เอง เห็น การน้อมใจ แบบที่เรียกว่า โอปนยิโก น่าแปลกที่ ... ลูก ระลึกถึง เมื่อครั้งที่ลูก ยังเล็กๆ พ่อ กับแม่จะพา ลูก นั่งรถไปไกลๆ ไปกราบครูบาอาจารย์ ที่พ่อกับแม่เคารพบูชา พ่อพาไป วัดถ้ำแกลบที่เพชรบุรี ที่พ่อเคยบวชเรียน เมื่อครั้งยังไม่มีพวกเรา แม่พาไป วัดป่าหลายๆ แห่ง ไปกราบครูบาอาจารย์
วันนี้ ประกายดาวได้อ่าน ธรรมที่ท่านทะไลลามะทรงแสดง ซาบซึ้ง....ถึง....หัวใจ ธรรมะไม่ควรอยุ่แต่ในหนังสือ เท่านั้น แต่ควรอยุ่ในวิถีชีวิต ....
มีคำกล่าว ว่า มนุษย์เรานั้น มีวิธีการเข้าถึงธรรมะ หลายรูปแบบ อาจจะผ่านการทำสมาธิ อาจจะผ่านการสวดมนต์ อาจจะผ่าน ดนตรี หรือ ผ่าน เรื่องราวรายละเอียด ต่างๆ ในวิถีชีวิต
อย่างที่ แม่ สอน และ ให้ตัวอย่างสิ่งนี้แก่ลูก สิ่งที่งดงามที่สุด ของชีวิต ของการได้เกิดเป็นมนุษย์ ด้วย โอปนยิโก ...น้อมใจ...น้อมกาย ให้ เห็น วิถี แห่งชีวิต วิถีแห่งธรรม
เพราะ แม่ สั่งสอน เพราะ บุญ ที่ได้เกิดมา เป็น ลูกแม่ ลูกจึงมีวันนี้
มี คำถาม ถามมาว่า ทำไมหนู สนใจไฝ่รู้ ในทางธรรม คงต้องตอบว่าเพราะ... แม่ ....
ตั้งแต่จำความได้ ก็ นั่งหน้าบ้านกับคุณยาย รอใส่บาตรด้วยกัน ทุกๆ รุ่งเช้า คุณ ตา มี พี่ชาย อีกคน ซึ่งได้บวชเป็นพระ ในบั้นปลายชีวิตทั้งสองคน หนู ได้ กราบ พระหลวงตา ....ทุกๆเช้า เวลารอใส่บาตร เช่นเดียวกัน
จน อ่านหนังสือออก แม่ก็พาไปกราบท่านปัญญา ที่วัดชลประทานฯ ไปเข้าพุทธมามกะ
แม่พาไปกราบ หลวงปู่ หลวงตามากมาย ตั้งแต่ยังเล็ก ทุกๆ วัดป่าที่แม่ไป แม่ไปด้วยใจที่เปี่ยมล้น ด้วยศรัทธา แม่ จัดดอกไม้ สวยงามปราณีต ละเมียดละไมถวายพระ ดอกไม้ ของแม่ สวยสุดบรรยาย เรียบง่าย งดงาม
แม่ สอน การทำบุญ และ การช่วยงานบุญ ผ่านตัวแม่เอง ไปวัด ต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ...ได้บุญ ทั้งนั้น แม่บอกอย่างนี้ หนูมารู้ชัด เข้าใจแจ่มกระจ่าง ก็เมื่อโตขึ้น ว่า บุญที่ได้ในทันที ก็คือใจที่เบิกบาน ชื่นใจ ปิติ ในสิ่งที่ทำนั่นแหล่ะ
ทุกครั้ง ที่เราแม่ลูก ได้ทำบุญด้วยกัน ไม่ว่า ใกล้กัน ในวาระเดียวกัน หรือไกลกัน เวลาอยู่ต่างเมือง ... ช่างน่าแปลก ที่ว่า แม่จะสัมผัสและ รับรู้ ได้เสมอ
หนู อิ่มใจ อิ่มบุญ ที่ได้ทำบุญกับแม่ค่ะ
วันออกพรรษา ที่ผ่านมา ป้าที่บ้าน ตำน้ำพริกหนุ่มแบบมังสวิรัต ไปกล่องใหญ่ พร้อมผักเต็มตะกร้า เพื่อนรักทำข้าวต้มลูกโยนไปจากบ้าน ไป ตักบาตรเทโว และถวายเพล ที่วัดมกุฏคีรีวัน เหมือน หลายๆ ปีก่อนที่ ท่านอาจารย์แดงเพิ่งมาสร้างวัดตรงนี้ .... เราก็เคยได้ไป ทำอาหาร ถวายพระ ด้วยกัน ที่ มหามงกุฏ ฯ ตรง วังน้อย หรือที่ พุทธโฆษ บาลีศึกษา ตรง พุทธมณฑล แม่ กัลยาณมิตร ทั้งหลาย ญาติธรรม ทั้งหลาย ของลูก คุณยาย ที่สอน อภิธรรม ให้ลูก ....
หนู ดีใจ ที่ ชาตินี้เราได้เกิดมาทำบุญ ด้วยกันค่ะ
ทุกๆ ครั้ง ที่ ลูกทำบุญ ... ลูก อิ่มใจ อิ่มบุญ ที่ได้เกิดมาเป็น ลูกแม่ ค่ะ ศรัทธา ของแม่ ที่ส่งต่อมา ถึงลูก เต็มหัวใจ เหมือนที่ ยายจ๋า สอนแม่มา เช่นเดียวกัน
โอปนยิโก พระธรรมเทศนาในพรรษาปี พ.ศ. 2535 พลิกนิดเดียว พระอาจารย์ มิตสูโอะ คเวสโก วัดป่าสุนันทาราม กาญจนบุรี...................
คนเราถ้ามีโอปนยิกธรรม จิตใจก็เป็นธรรมคุณ เป็นจิตใจที่มีสัมมาทิฏฐิ เมื่อใจเป็นธรรม เห็นอะไรๆ ก็โอปนยิโก น้อมเข้ามาสู่ใจเช่น ธรรมดาเมื่อเห็นรูปด้วยตา บางทีเห็นว่ารูปนั้นสวย จิตก็ปรุงไป เกิดราคะ เกิดความยินดีพอใจ อยากได้เป็นของเรา
ทีนี้ถ้าใจของเราเป็นธรรมแล้ว พอเห็นรูปสวยก็โอปนยิโก น้อมเข้ามาดูกาย พิจารณากาย เห็นกายตามความเป็นจริงว่าเป็นอย่างไร พิจารณาตั้งแต่เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ของตนเอง หรือพิจารณาข้างในกายว่า มีกระดูกบ้าง เลือดบ้าง น้ำเหลือง น้ำหนองบ้าง ตามความเป็นจริงแล้ว จะเห็นว่าร่างกายของมนุษย์นี้ล้วนเป็นปฏิกูล ของเน่าเปื่อยสกปรกเหมือนกันทั้งหมด
เห็นเป็นอสุภะบ้าง เป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ บ้าง ทำให้สามารถระงับราคะ ระงับตัณหา คือความยินดีรักใคร่ในรูปลงเสียได้ หรือถ้าเห็นรูปไม่สวย เห็นใครทำอะไรน่าเกลียด ก็โอปนยิโก พิจารณาว่าลักษณะอย่างนี้น่าเกลียดจริงๆ ไม่น่าศรัทธาเลย เราก็ดูว่าเรามีลักษณะอย่างนี้บ้างหรือไม่
ธรรมดาก็มีกันทุกคนมากบ้างน้อยบ้าง เราต้องรีบตั้งสติเตือนตัวเองว่า ลักษณะอย่างนี้ไม่น่าทำ ไม่ควรทำ เราอย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้ น้อมเข้ามาดูตัวเองพัฒนาตัวเอง ไม่คิดฟุ้งซ่าน ไม่คิดอัตตาตัวตน ว่าเขาว่าเรา เขาไม่น่าเป็นคนอย่างนั้น เขาไม่น่าทำอย่างนั้น คิดอะไรๆ ไปสารพัดอย่าง ยิ่งคิดก็ยิ่งเกิดกิเลส
ความจริงคนอื่นๆ ไม่สำคัญ สำคัญที่เรานี่แหละ ให้เราพัฒนาตัวเอง ระวังกิเลสตัณหาของตัวเอง ชำระจิตใจตัวเองไปเรื่อยๆ เสียงที่ได้ยินทางหูก็เหมือนกัน ใครพูดน่าเกลียด คำนินทาหรือดูหมิ่นดูถูก ใครด่าเรา พูดไม่ถูกใจเรา เราเกิดความไม่พอใจ เกิดความไม่สบายใจ เมื่อใจเป็นธรรมแล้วจะยกขึ้นพิจารณาทันทีว่า ความไม่พอใจเกิดขึ้นเพราะอะไร สาวหาสาเหตุ เหตุก็อยู่ที่ใจ เราจะเห็นกิเลสตัณหาที่ใจของเราเอง จะพบว่าทุกข์อยู่ที่ใจของเราเอง เหตุก็อยู่ที่ใจของเรานี่แหละ
คำพูดของเขา การกระทำของเขาเป็นเพียงปัจจัย เราควรพิจารณาเหตุผลและปัจจัย พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า เมื่อทุกข์เกิดขึ้นให้ระงับเหตุ ตัณหาเป็นเหตุ ทุกข์เป็นผล คำนินทาเป็นปัจจัย ไม่ใช่ไปเปลี่ยนปัจจัย ไม่ให้เขาพูด ไม่ให้เขาทำ
พระพุทธองค์ไม่ให้สนใจปัจจัย ไม่ให้สนใจที่คนอื่นมากนัก เพราะเราจะไปแก้คนอื่นทั้งโลกเพื่อให้เขาทุกคน ทำทุกอย่างให้เราพอใจ ให้เราสบายใจไม่ได้ดอก ต้องแก้ที่ใจเรา แก้ที่ตัวเรา แก้ที่ความคิดของเราเอง "อัตตนา โจทยัตตานัง" ให้กล่าวโทษโจทย์ความผิด ตรวจความผิดของตัวเอง และหมั่นแก้ไขเสมอๆ อย่าไปเสียเวลากล่าวโทษและพยายามแก้ไขที่คนอื่นเลย นี่เป็นการเข้าใจตามอริยสัจสี่ เป็นโอปนยิโก
ฉะนั้น เมื่อเกิดทุกข์เกิดความไม่พอใจขึ้น ให้รีบสำรวมกายวาจา สำรวมกายให้เรียบร้อย วาจาให้ระงับ รีบอบรมจิตใจให้คิดถูกคิดดี เพื่อระงับกิเลสตัณหาของตัวเอง คนอื่นช่างเขา ให้น้อมเข้ามาพิจารณาว่า คำนินทาสรรเสริญเป็นโลกธรรม 8 เป็นของธรรมดาประจำโลก
แม้แต่พระพุทธเจ้า ผู้ทรงพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อสัตว์โลกถึงปานนั้น ก็ยังไม่พ้นคนนินทา และพระองค์อาจจะ เป็นผู้หนึ่งที่ถูกนินทามากที่สุดในโลกก็ได้
ฉะนั้นการที่เราถูกนินทาจึงเป็นเรื่องธรรมดา สำหรับผู้ที่ทำงานรับผิดชอบมาก มีหน้าที่การงานสูง ยิ่งจะต้องถูกนินทามากขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อเขานินทาว่าเราทำผิด ทำไม่ดี เราก็รับฟังด้วยใจเป็นกลางๆ และพิจารณาดูว่า เราไม่ดีหรือทำผิดตามที่เขาพูดหรือเปล่า ถ้าเห็นว่าเขาพูดถูก เราก็ขอบคุณเขา และนำมาแก้ไขตัวเอง ถ้าเราพิจารณาแล้วเห็นว่าเราไม่ได้ผิดตามที่เขาพูด ก็เมตตาสงสารเขา เพราะเขาไม่รู้จริง เราไม่ต้องโกรธเขา "สิขีภูโต" เอาตนเป็นพยานของตน
แม้แต่รอบด้านจะนินทาเรา ถ้าเราไม่ผิด ปกติเราก็จะทุกข์มาก ทำใจไม่ได้คือไม่เชื่อธรรมะ เชื่อคำพูดของคนอื่น แต่ถ้าใจเป็นธรรมะจริงๆ เราก็ไม่หวั่นไหวไม่เสียใจ ให้น้อมเข้ามาดูใจเราว่า เรายังทุกข์ยังโกรธเขาอยู่หรือเปล่า ถ้ายังทุกข์อยู่ก็พยายามระงับเหตุ คือตัณหาอุปาทานที่ใจเรานี่แหละ ทุกข์เกิดเพราะเหตุปัจจัยพอดีกัน ถ้าเราระงับเหตุได้ ถึงแม้จะยังมีปัจจัย คือยังมีคำนินทาอยู่ เราก็ไม่เป็นทุกข์
ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ เป็นอกุศลมูลนอนนิ่งอยู่ในสันดาน อยู่ในจิตใจของคนเรา นี่คือมูลเหตุของทุกข์ เมื่อมีปัจจัยมาจากภายนอก เช่น รูปไม่สวย คำพูดไม่ไพเราะ มากระตุ้นก็ปรุงขึ้นมา ถ้าเราได้สติปุ๊บ พอเกิดทุกข์หรือยินร้าย หรือเกิดอุปาทาน ยึดมั่นถือมั่น หรือเกิดอารมณ์แล้ว ต้องรีบโอปนยิโก น้อมเข้ามาหาเหตุที่ใจเรา ไม่ต้องนึกถึงเขา เพราะนึกถึงเขาก็เกิดเรา เกิดเป็นอัตตาตัวตน เขาไม่ดีขนาดไหนไม่สำคัญ อย่าปล่อยจิตใจเราให้ฟุ้งซ่านออกไป
จิตคิดมากก็เกิดปฏิกิริยาออกทาง หน้าตา วาจา กาย จนรักษาศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 ไม่ได้ ธรรมดาเราน่าจะรักษากายวาจาให้เรียบร้อยได้ ยิ่งรักษาใจได้ ศีลจะยิ่งสมบูรณ์ขึ้น ทำใจเฉยได้ เรียกว่าศีลเป็นปกติ กาย วาจา จิต เรียบร้อย ศีลหนักแน่นเหมือนศิลา ถูกนินทาด่าว่าก็ทำใจเฉยได้ ใจเป็นศีล ก็มีแต่โอปนยิโกน้อมเข้ามาดูตัวเองพัฒนาตัวเอง ละความชั่ว บำเพ็ญความดี ยังประโยชน์ให้เกิดแก่ตัวเองฝ่ายเดียว เอากำไรไปเรื่อยๆ
โอปนิยิโก คือ การน้อมเข้ามาสู่ใจ เป็นกระบวนการของจิตที่พิจารณาตามกระแสของอริยสัจ 4 หรือปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปบาทนี่ให้ทบทวนบ่อยๆ ตั้งแต่ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส คอยตั้งสติทวนกระแสของปฏิจจสมุปบาท ไม่ให้ไหลไปตามวัฏฏสงสาร
ตั้งสติได้ตรงไหน เมื่อไร ก็ทวนกระแสเมื่อนั้นตรงนั้น ถ้าสติปัญญาว่องไว เมื่อผัสสะเกิดขึ้นทางตาหูจมูกลิ้นกายใจก็รู้ทันทีว่า สักแต่ว่ารูป สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่ากลิ่น สักแต่ว่ารส สักแต่ว่ารู้สัมผัสทางกาย สักแต่ความคิด คิดอะไรก็รู้ สักแต่ว่ารู้ เวทนา ตัณหาก็ไม่เกิด
"สักแต่ว่า" เป็นเรื่องของปัญญา เป็นวิปัสสนา ถ้าจับผัสสะไม่ทัน เมื่อเกิดความรู้สึกชอบไม่ชอบ เป็นเวทนา ถ้าปรุงแต่งต่อไปก็จะเกิดตัณหาอุปาทาน อันเป็นตัวทุกข์ ตามกระแสของปฏิจจสมุปบาท และถ้าคิดๆ ต่อไปก็จะเกิดเป็นภวะ เป็นภพ ถ้าปรุงๆ ต่อไปมากขึ้นๆ จนเกิดเป็นเรื่องราวก็จะเป็นชาติ โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสก็จะตามมามากมาย ฉะนั้นเมื่อความรู้สึก คือเวทนาเกิดขึ้น พยามยามให้เห็นว่าเป็นอนิจจัง ปล่อยวางเสีย อย่ายึดมั่นถือมั่น ทุกข์ก็ไม่เกิด
สอนใจตัวเองด้วยคำที่หลวงพ่อสอนง่ายๆ ว่า "ชอบหรือไม่ชอบ อย่ายึดมั่นถือมั่น" พยายามจับความรู้สึกแล้วก็ปล่อย หรือเมื่อทุกข์เกิดแล้ว ก็น้อมเข้ามาดูใจตัวเอง สาวหาเหตุของทุกข์ตามปฏิจจสมุปบาท หรืออริยสัจ 4 ก็จะพบตัณหาอุปาทาน ให้พยายามทวนกระแสปฏิจจสมุปบาท เพื่อระงับเหตุ คือตัณหาอุปาทาน ทุกข์ทั้งหลายก็จะดับไป การทวนกระแสนี้คือ การดำเนินตามมรรค จึงควรที่เราจะพยายามตั้งมรรคตลอดเวลา
กราบ ท่านอาจารย์ เจ้าค่ะ
Create Date : 26 ตุลาคม 2549 |
|
24 comments |
Last Update : 30 ตุลาคม 2549 8:17:57 น. |
Counter : 1057 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: พี่นัท IP: 203.188.54.55 26 ตุลาคม 2549 13:08:21 น. |
|
|
|
| |
โดย: ไร้ชื่อ IP: 58.9.176.25 26 ตุลาคม 2549 22:43:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: โม IP: 58.9.7.179 27 ตุลาคม 2549 17:08:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: สะเทื้อน 29 ตุลาคม 2549 10:38:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: Cymry 29 ตุลาคม 2549 13:40:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: ดำรงเฮฮา 30 ตุลาคม 2549 13:27:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: โสมรัศมี 30 ตุลาคม 2549 17:55:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: rebel 30 ตุลาคม 2549 19:40:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: catt.&.cattleya.. IP: 58.9.64.49 31 ตุลาคม 2549 10:22:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: กุมภีน 31 ตุลาคม 2549 14:34:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: รักบังใบ 31 ตุลาคม 2549 22:20:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: อะไรดี 2 พฤศจิกายน 2549 16:13:54 น. |
|
|
|
| |
โดย: แร้ไฟ 3 พฤศจิกายน 2549 4:19:13 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป่ามืด 4 พฤศจิกายน 2549 14:38:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: หลวงโอสถอักษร IP: 158.108.80.140 6 พฤศจิกายน 2549 12:09:49 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
รั ต ติ ก า ล
The Moonlight it was dancing
On the waves , out on the sea
The Stars of heaven hovered
In a shimmering galaxy
A Voice from down the ages
So huanting in its song
These ancient stones will tell us
Out love must make us strong..."
" ไม่มีโลกสมมุติ ที่นี่ ตัวตนทั้งหมดต่างสะท้อน มุมมอง ของการดำรงอยู่ อย่างสิ่งมีชีวิต ในจักรวาลอันไพศาล .......... มองจาก ดวงดาวไกลโพ้น สุดขอบฟ้า หรือมองผ่านพระจันทร์เสี้ยว ใกล้คืนแรม เจตจำนงหนึ่งในชีวิตก็คือ การพาปัญญา ประดับตน ไปพบอีกมิติหนึ่ง อันไม่มีในทุกสิ่ง ละเสียได้ ซึ่ง " ตัวตน " ไว้บนแผ่นดินนี้ ข้าม มหานที ไปสู่ อีกฝั่ง .... ปล่อยวาง ได้อย่างละซึ่ง ทุกหน้าที่ ทุกบทบาท ไม่เหลือ แม้ทุกสรรพสิ่ง
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539
หาก ผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือ นำส่วนหนึ่งส่วนใดของที่นี่ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาติเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด
กราบพระพุทธ ณ กลางใจ พระธรรม ใส เป็น ดวงตา ก้าวย่าง ด้วยปัญญา พบ มรรคา ณ ใจ ตน
ตั้งนโมสามจบอย่างนบนอบ บุญประกอบวางลงตรงเบื้องหน้า ศรัทธามั่นเพียรทำน้อมนำมา เดินช้า ช้าก้าวย่าง..อย่างตั้งใจ
"ดาวแววดาววาบน้อย.....ดาวราย ดาวดาษคาดฟ้าพราย.....พร่างแพร้ว ดาวดวงเด่นประกาย.......ดารดาษ .ดึกดื่นคงไม่แคล้ว........ จะอาจเอื้อม ครองดาว
เพราะมิใช่สกุณาท่องฟ้ากว้าง ในเวิงว้างระหว่างม่านการค้นหา กลืนน้ำตาทิ้งหัวใจไว้สักครา แล้วมุ่งหน้า...ก้าวย่าง...แม้ทางไกล
แผ้วทางใหม่ โดดเดี่ยว ฝ่าเชี่ยวกราก หมดเวลา ซ้ำซาก ใจอ่อนไหว เรื่องอ่อนล้า ใช่ถึงตาย ช่างปะไร ฟ้าวันใหม่ มิหวนคืน ฝืนชะตา
"
|
|
|
|
|
|
|