|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
เทพกระบี่ดาวเหนือ....ตอน สู่ยุทธภพ 2


บนเส้นทางยุทธจักร ......................................
เที่ยงวัน ดวงอาทิตย์แผดแสงแรงกล้า ร้านน้ำชาข้างทาง เต็มไปด้วยผู้สัญจรที่พากันแวะดื่มชาเพื่อหลบไอร้อน มีทั้งชาวยุทธ์ ขบวนเปาเปียวสำนักคุ้มกันภัย และ บรรดาพ่อค้า ที่เดินทางไปค้าขายยังต่างถิ่น ชายหนุ่มรูปกายสูงโปร่ง ใบหน้าคมคาย คิ้วดกคมเข้ม แต่งกายด้วยชุดผ้าฝ้ายตัดเย็บแบบประณีตพอดีตัว บุคลิกท่วงท่าองอาจ รอยยิ้มน้อย ๆ ที่ประดับอยู่ริมฝีปากบาง ยิ่งทำให้ดูน่าสนิทสนม จะมีก็แต่ประกายตาคมเจิดจ้า ที่ทำผู้ที่เผลอประสานสายตาเกิดความรู้สึกยะเยือกแผ่ซ่านขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมบังคับ มือซ้ายถือขลุ่ยหยกเลายาว ร้อยสายพู่แดง... สวมหมวกปีกกว้างกันแดด เดินมาเพียงลำพัง เมื่อมาถึงร้านน้ำชา จึงเข้ามาเลือกโต๊ะใต้ร่มไม้ริมชายป่า ที่ค่อนข้างห่างไกลผู้คน ทรุดนั่งลงถอดหมวกวางบนโต๊ะ แล้วร้องสั่งน้ำชาดับกระหาย
เวลาผ่านไปชั่วอึดใจ ก็ปรากฏม้าสามตัวควบมาอย่างเร่งร้อนรวดเร็ว หยุดที่หน้าเพิงน้ำชา มองปราดเดียวก็ทราบว่า ทั้งสามตัวเป็นอาชาพันธ์เลิศผ่านการคัดสรรและฝึกมาอย่างดี คนขับขี่ทั้งสาม หนึ่งเป็นดรุณีอ้อนแอ้นเองบาง รูปกายอวบอัดสมส่วน ใบหน้าเรียวรูปไข่ ริมฝีปากรูปกระจับแดงสด เอิบอิ่ม ซ่อนอยู่ใต้หมวกปีกกว้างกันแดด แต่ก็ยังไม่อาจบดบังราศีความงามของนางไว้ได้ สะพายบี่พู่แดงประดับด้วยหยกเนื้อดีราคาแพง อีกสองคนเป็นชายหนุ่มรูปงาม คนซ้ายมือไว้หนวดเรียวยาวเหนือริมฝีปาก ท่าทางกรุ้มกริ่ม เสียบพัดจีบไว้กับสายรัดเอว ชายหนุ่มด้านขวา รูปกายสูงใหญ่ ไหลกว้างบึกบึน หน้าตาคมเข้ม ท่าทางเงียบขรึม ชายหนุ่มที่ร่วมทางมาด้วยกัน กับมีบุคลิกที่แตกต่างกันเป็นตรงกันข้าม
การมาของคนทั้งสาม สร้างความไม่พอใจแก่เหล่าผู้สัญจรที่แวะพักอยู่ก่อนไม่น้อย ก็ด้วยผงฝุ่นคละคลุ้งที่เกิดจากการวิ่งห้อตะบึง และหยุดอย่างกะทันหันของอาชาพันธ์ดีทั้งสามตัวนั้นเอง
แต่ด้วยบุคลิกและการแต่งกาย ตลอดจนพาหนะของคนทั้งสาม ไม่มีใครบอก ทั้งหมดก็แน่แก่ใจว่า ทั้งสามต้องเป็นบุตรหลานตระกูลใหญ่ ไม่จำเป็น ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าตอแยแส่หาเรื่องราวใส่ตัว ทั้งหมดจึงได้แต่แสร้งเป็นไม่สนใจ แต่ การไม่แยแสของคนทั้งหมด กลับสร้างความไม่พอใจแก่ดรุณีน้อยยิ่งนัก โดยเฉพาะ ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่นั่งดื่มชาเพียงลำพัง คล้ายดั่งเพียงหางตาก็ไม่เหลือบมอง จึงกระโดลงจากม้าก้าวยาวๆเข้าไปหาทันที โดยมีชายหนุ่มท่าทางกรุ้มกริ่มรีบโดดลงตามไปติดๆ ปล่อยให้ ชายหนุ่มท่าทางเงียบขรึมนั้น จูงม้าทั้งสามไปผู้ไว้กับหลักไม้หน้าร้าน ก่อนจะรีบเดินตามมาสมทบ “นี่! เราจะนั่งโต๊ะนี้ ท่านย้ายไปนั่งโต๊ะอื่นได้หรือไม่ ?” หญิงสาวกล่าวด้วยเสียงอันดัง จนคนทั้งร้านน้ำชาหันมามองทางด้านนี้เป็นจุดเดียว แต่หญิงสาวกลับไม่แยแส สองตาเรียวสวยจ้องมองชายหนุ่มที่นั่งจิบน้ำชาราวไม่อนาทรใดใด เขม็งนิ่ง ชายหนุ่มซึ่งก็คือ แชฮุ้น เหลือบตาขึ้นมอง ก่อนจะก้มลงจิบน้ำชาต่ออย่างไม่สนใจ “เฮ้ย! เจ้าตัวบัดซบ คุณหนูป้อมอินทรีเหิร สั่งเจ้าไสหัวไป หูตึงหรืออย่างไร” ชายหนุ่มท่าทางกรุ้มกริ่มเอ่ยตะคอกใส่ เพื่อหวังประจบหญิงสาว “เฮ้อ! เป็นสุนัขจากที่ใด มาเห่าหอนแถวนี้ เสียบรรยากาศในการดื่มชาเสียจริง ๆ” แชฮุ้นเอ่ยคล้ายรำพึงคล้ายจงใจให้คนได้ยิน “เจ้า บังอาจนัก กล้าว่าเราเป็นสุนัขเชียวรึ บิดาไม่สั่งสอนเจ้าให้คลานออกไป ก็เสียทีที่เป็น อินทรีหน้าขาวมืออำมหิตแล้ว…. ไปของมารดาเจ้า” จบคำยื่นมือขวาตะปบลงบนบ่าของ แชฮุ้น แต่แล้วกับรู้สึกราวตะปบใส่พระพุทธรูปศิลา ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงหน้ากลับไม่สะทกสะท้านใดใด พอฉุกคิดว่าผิดท่า คิดจะกระชากมืออก กลับเผชิญพลังดึงดูดอันมหาศาลจนไม่อาจดึงสองมือออกได้
ขณะเดียวกัน เก้าอี้ที่ชายหนุ่มนั่งอยู่กลับคล้ายมีล้อเลื่อนไถลออกไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มท่าทางกรุ้มกริ่มนั้น จึงพลอยถูกดึงจนคะมำไปข้างหน้า พลังดึงดูดนั้นกลับหายไป ร่างที่คะมำไปข้างหน้า จึงปราศจากหลักยึดเห็นชัดเจนว่า จะต้องล้มคว่ำลงใบหน้าจูบพื้น แต่ ไม่เสียทีที่เป็นบุตรหลานตระกูลใหญ่ในบู๊ลิ้ม พริบตาก่อนที่ใบหน้าและริมฝีปากสัมผัสพื้น ก็บิดตัวคราหนึ่งพลิกกายกลิ้งออกไปด้านข้าง ยิ่งทำให้มันเกิดความอับอายกลายเป็นโทสะ กระโจนขึ้น ตีลังกากลางอากาศหนึ่งรอบกางนิ้วออกเป็นกรงเล็บ โฉบเข้าจู่โจมเข้าหาแชฮุ้นอย่างดุดัน ใช้ออกด้วยวิชากรงเล็บอินทรี ที่สร้างชื่อเสียงแก่ป้องอินทรีเหิร นั่นเอง กระบวนท่าที่ใช้ออกเรียกว่า อินทรีตะปบเหยื่อ ดูผิวเผินคล้ายกางเล็บโฉบจู่โจมธรรมดา แต่แชฮุ้นทราบดีว่า ในเมื่อเป็นวิชาไม้ตายก้นหีบของป้อมอินทรีเหิร ย่อมไม่ธรรมดาสามัญ ต้องมีกระบวนท่าพลิกแพลงตามหลังมาอีกมากมาย ดังคำที่ว่า สูงสุดสู่สามัญ มากด้วยกระบวนท่า ดูไปคล้ายไร้กระบวนท่า นั่นเอง แชฮุ้น ยามนี้ นั่งอยู่บนเก้าอี้ การเคลื่อนไหวจำกัด ไม่มีทางถอยหรือหลบเลี่ยง ได้แต่ลุกขึ้นดาหน้าเข้าประทะตรงๆอย่างหักโหม ยกฝ่ามือตั้งขึ้นเป็นสัน เมื่อสองฝ่ามือปะทะกัน ทำให้สันมือของแชฮุ้น แทรกเข้าไประหว่างนิ้วชี้แล้วนิ้วกลางอันงองุ้มของ อินทรีหน้าขาว จากนั้นใช้ออกด้วยเคล็ดหนึ่งตำลึงปาดพันชั่ง ใช้พลังสลายพลัง อินทรีหน้าขาว เห็นแชฮุ้นยื่นมือเข้าปะทะตรงๆอย่างหักโหม รีบทุ่มพลังลงไปในมือขวาอย่างเต็มเปี่ยม แต่แล้วกลับงงงันวูบ เมื่อพลังที่ใช้ออกราวกับสายน้ำตกที่ไหลลงมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง ว่างเปล่า สาบสูญจนไร้วี่แวว แชฮุ้น รวบมือกำ ออกแรงดึงมือของอินทรีหน้าขาวเข้าหาตัวแล้วผลักออกไปด้านข้างพร้อมกับเบี่ยงกายออก งอข้อศอกซ้ายหมายกระแทกชายโครงของอินทรีหน้าขาว อินทรีหน้าขาว มิยอมเสียที ยามคับขันไม่ลนลาน ใช้ฝ่ามือซ้ายตบใส่ใต้ข้อศอกขวาของตนกระแทกจากด้านล่าง จน หลุดจากการเกาะกุม หมุนตัวกลางอากาศหนึ่งรอบ พลิกตัวข้ามกายของแชฮุ้น พร้อมกับดึงพัดจีบออกจากสายรัดเอวแทงปราดใส่แชฮุ้นราวสายฟ้า ทางด้านแชฮุ้น พบว่ากรงเล็บของฝ่ายตรงข้ามหลุดจากการเกาะกุม ก็ทราบว่า ต้องมีท่าจู่โจมตามติดออกมาแน่นอน ก็พอดีเห็นพัดจีบแทงปราดมาอย่างเร่งร้อน ราวงูฉก จึงเอนกายหลบเลี่ยง ดึงขลุ่ยหยกออกมากระแทกใส่ตัวพัดจนเบนออกไป แล้วหมุนตัวคราหนึ่ง ลอยตัวถอยห่างออก อินทรีหน้าขาวไม่ยินยอมพร้อมใจ รีบขยับตามติด ฟาดฝ่ามือออกด้วยพลังถึงสิบส่วน จนเกิดกระแสพลังรุนแรง จนผู้คนรอบข้างรู้สึกได้ “ทำไม่ได้” เสียงหญิงสาวที่ร่วมทางมาเอ่ยห้าม แต่ไม่ทันการ เมื่ออินทรีหน้าขาว ทุ่มเทพลังฟาดออกไปแล้ว ก็ไม่มีปัญญาฉุดรั้งคืนกลับได้ เห็นแน่ชัดว่า แชฮุ้น จะต้องถูกพลังรุนแรงนี้กระแทกใส่ จนแหลกเป็นผุยผง แต่แล้วก็เห็น แชฮุ้น ยกฝ่ามือขวาขึ้นรับกระแสพลัง จากนั้นก้าวเท้าสลับ ถอยหลังก้าวหนึ่ง จากหนึ่งกระแทกฝ่ามือดันพลังคืนกลับใส่อินทรีหน้าขาว อินทรีหน้าขาว กำลังตื่นตระหนกที่พลังของตนไม่อาจทำอย่างไรฝ่ายตรงข้ามได้ กลับพบว่าพลังนั้นสะท้อนคืนกลับมาอย่างรุนแรง ก็จนปัญญาไม่อาจเลี่ยงหลบ ได้แต่ยอมรับชะตากรรม ชายหนุ่มหน้าขรึมและหญิงสาวที่ร่วมทางมาเห็นเหตุการณ์คับขันจวนเจียน รีบสะอึกเข้ายกฝ่ามือทาบไปบนหลังอินทรีหน้าขาว ถ่ายเทพลังภายในเข้าช่วยอีกแรงหนึ่ง อินทรีหน้าขาว รู้สึกถึงพลังภายในสองขุมที่ถ่ายทอดเข้ามา ก็คึกคักขึ้นอักโข รวบรวมพลังทั้งสองขุมประสานกับพลังภายในของตน ฟาดปะทะออกไปอย่างหักโหม เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง พลังทั้งสองปะทะกันจนเกิดการระเบิดของกระแสพลังผงฝุ่นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ คนทั้งสามถูกพลังกระแทกจนเซถอยหลังไปคนละสามก้าวจึงยืนหยัดมั่น “อา!...เคล็ดวิชายืมหอกสนองคืนผู้ใช้ พลังโยกย้ายฟ้าดิน” ชายหนุ่มหน้าขรึมครางออกมาเบา ๆ อินทรีหน้าขาว ยังไม่ยินยอมพร้อมใจ ขยับจะลงมืออีกครั้ง “หยุด!.... ” เสียงตวาดกึกก้องดังออกมาจากปากชายหนุ่มท่าทางเงียบขรึม ทำให้อินทรีหน้าขาวที่กำลังกระโจนเข้าหา แชฮุ้น ต้องหยุดยั้งลง ... ก่อนจะถอยไปยืนข้างหญิงสาวอย่างไม่ยินยอมเป็นอย่างยิ่ง “ยังขายหน้าคนอื่นไม่พอหรือไร... เมื่อสู้ไม่ได้ ไยต้องแส่หาความอัปยศใส่ตัว” หยุดนิดหนึ่ง ก่อนหันหน้ามาหา แชฮุ้น “พระคุณที่สอนสั่ง ป้อมอินทรีเหิรไม่ขอลืมเลือน หวังว่าคงมีโอกาสได้ตอบแทน”ก่อนหันหน้าไปเอ่ยกับหญิงสาว “…. คุณหนู เราไปหาที่แวะพักข้างหน้าดีกว่า” น่าแปลก ชายหนุ่มเงียบขรึมที่ปกติดูคล้ายดั่งเป็นเบี้ยล่างของคนอื่นในตอนแรก แต่ยามนี้ คำพูดของเขาคล้ายดังมีอำนาจที่ทั้งสองมิอาจขัดขืน ได้แต่รับคำเบาๆ และนับว่าเป็นชายหนุ่มที่ฉลาดลึกล้ำเลยที่เดียว ด้วยคำพูดเพียงคำเดียว กลับฉุดลากป้อมอินทรีเหิรมาเป็นอริกับแชฮุ้นทั้งป้อม จบคำ ทั้งสามก็หันกายกลับไปที่ม้าของตน ก่อนจากไป อินทรีหน้าขาว ยังหันมามอง แชฮุ้น ด้วยสายตาอาฆาตมาดร้ายอย่างเต็มเปี่ยม ตรงกันข้ามกับสายตาหยาดเยิ้มอีกคู่หนึ่ง ที่หันมอง แชฮุ้น อีกแวบหนึ่งเช่นกัน ในสายตาคู่สวยกลับแฝงแวว เอียงอายและตัดพ้ออยู่ในที และยังแสดงความอาลัยอาวรณ์อย่าเห็นได้ชัด แชฮุ้น เหม่อมองคนทั้งสามจากไปไกล จนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าแล้ว จึ่งคล้ายดั่งรู้สึกตัวขยับเก้าอี้กลับที่เดิมทรุดกายนั่งลง ยกน้ำชาขึ้นจิบช้า ๆ ครุ่นคิดจนซึมเซา ในห้วงสมองมีแต่ใบหน้าสวยซึ๊งท่วงท่าเย่อหยิ่ง แววตาเศร้าสร้อย อาลัย อาวรณ์ก่อนที่เขาจะจากมา สลับกับใบหน้าสวยคมท่าทางเกรี้ยวกราดเอาแต่ใจ สายตาหยาดเยิ้มแฝงแววตัดพ้อและเอียงอายก่อนที่จะจากไป นี่เป็นเหตุใดกัน เขาเองก็ไม่เข้าใจตนเองว่า หญิงสาวที่เพียงพบหน้าครั้งเดียวทั้งสอง กลับมีอิทธิพลทำให้จิตใจเขาป่วนปั่นได้ถึงเพียงนี้ ใช่เป็นรัก หรือ หลง... แล้วหญิงใดคือรัก ? จวบจนบ่ายคล้อย แสงอาทิตย์จางลง ชายหนุ่มจึงจัดแจงจ่ายค่าน้ำชาแล้วหยิบหมวกสวมใส่ ดึงกระบังด้านหน้าลงเล็กน้อย บดบังใบหน้าอันหล่อเหลาและสายตาคมกล้าเอาไว้ ก้าวยาวๆ ออกเดินทางไปตามถนน มุ่งสู่หอเทพกระบี่อันเลื่องชื่อ ชายหนุ่มก้าวเดินเดียวดายอย่างไม่รีบเร่งนัก ก้าวยาวๆช้า ๆ เป็นจังหวะสม่ำเสมอ บนเส้นทางที่โดดเดี่ยว เดินทางเพียงลำพัง มาตรว่าบนถนนจะพอมีผู้ที่สัญจรไปมาเป็นระยะ แต่ สำหรับแชฮุ้น แล้ว ก็แทบไม่ต่างจากเดินบนถนนเปลี่ยวร้าง จนผ่านไปหลายอึดใจ ก็แว่วเสียงฝีเท้าม้าถี่เร็วดังมาแต่ไกล แชฮุ้น ขยับกายเล็กน้อย เพื่อเปิดทาง ใช้ปลายนิ้วชี้ดันปีกหมวกขึ้นเล็กน้อย จึงเห็นว่า ม้าพ่วงพีที่วิ่งสวนทางไป กลับเป็นม้าหนึ่งในสามตัวของหนึ่งหญิงสาวสองชายหนุ่มที่จากไปก่อนหน้านั้นเอง ด้วยสายตาอันคมกล้าเขามั่นใจว่าจำไม่ผิด และ เหตุการณ์ก็เพิ่งผ่านไปสด ๆ ร้อน ๆ นี่เอง ผู้ที่ขับขี่ม้านั้น กลับเป็นชายหนุ่มรูปเค้านับว่าจัดได้ว่าหล่อเหลา แต่ ผิวกายขาวซีด ริมฝีปากแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย ภาคภูมิลำพอง บนอานม้าด้านหน้ามีร่างอันอ้อนแอ้นของหญิงสาวที่เป็นเจ้าของม้า หมดสติสลบไศลวางพาดอยู่ แชฮุ้น ก้มหน้าก้าวเดินต่ออย่างไม่แยแสสนใจ ในหูแว่วเสียงคำสอนของอาจารย์ “เจ้าอย่าได้ตอแยแส่หาเรื่องที่มิใช่เรื่องของตัว”อย่าว่าแต่ หญิงสาวบ่งบอกแล้วว่าเป็นคุณหนูป้อมอินทรีเหิร ซึ่งในยุทธจักรทราบกันดีว่า ตึกอสนีบาต เป็นประดุจตึกสาขาของป้อมอินทรีเหิร ซึ่งเท่ากับว่าเป็นปฏิปักษ์กับหอเทพกระบี่ นั่นเอง
แต่ทว่า เขาใช่จะทำใจวางเฉยกับเรื่องราวรายนี้ได้จริงๆหรือ ?
|
|
Create Date : 17 สิงหาคม 2553 |
Last Update : 17 สิงหาคม 2553 9:34:24 น. |
|
11 comments
|
Counter : 718 Pageviews. |
 |
|
|
โดย: อุ้มสี วันที่: 17 สิงหาคม 2553 เวลา:10:08:12 น. |
|
|
|
โดย: cvJ; วันที่: 17 สิงหาคม 2553 เวลา:10:28:52 น. |
|
|
|
โดย: พรหมญาณี วันที่: 17 สิงหาคม 2553 เวลา:13:47:16 น. |
|
|
|
โดย: เศษเสี้ยว วันที่: 17 สิงหาคม 2553 เวลา:14:42:26 น. |
|
|
|
โดย: อิ่ม_Aim วันที่: 17 สิงหาคม 2553 เวลา:17:44:06 น. |
|
|
|
โดย: d__d (มัชชาร ) วันที่: 17 สิงหาคม 2553 เวลา:21:06:56 น. |
|
|
|
โดย: peeamp วันที่: 17 สิงหาคม 2553 เวลา:21:19:53 น. |
|
|
|
โดย: Opey วันที่: 17 สิงหาคม 2553 เวลา:22:46:38 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
กรุงเทพฯ Qatar
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]

|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|