Group Blog
 
 
ธันวาคม 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
27 ธันวาคม 2554
 
All Blogs
 
O บุหรงรำแพน..O











เพลง....พญาโศก
ซอด้วง ไวโอลิน



... อารัมภบท ...


วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
O ความ, คำ-เพราะคัมภิระประพน-
ธะผจญผจัญใจ
พรรณนาประดาทิฐิพิสัย
ระบุไว้ระหว่างวัน

O พูด-ฟ้า, วลาหกะและฝน
เฉพาะคนก็มากครัน
พูด-ธรรมะย้ำสัตะถวัลย์
ประจุขวัญะแจ้งความ

O เห็นคราญก็จารสุภะประพันธ์
อภินันทะรูปนาม
ปรุงภาษะอาลัยะเพราะงาม-
ดละหวามและหวั่นไหว

O ร้อยเรียงประเดียงรติภิรม-
ยะผสมผสานนัย-
โน้มจินต์ถวิลอุสุมะไอ-
อุระใคร, และเฝ้าคอย

O คร่ำครวญสิล้วนสุภะพยางค์
นยะอ้างก็สำออย
กล่อมเยาวะเร้าบทะทะยอย-
กระแหนะถ้อยกระหนาบถึง

O ปวงเทพ..วิเลปนะประนัง
ก็ประดังและเหนี่ยวดึง-
อารมณ์ผสมพละคะนึง
บทะซึ้งผสานทรวง

O ใจความจะลามนยะกระทบ
ดละภพะในดวง-
จิตผู้เสาะรู้รหัสะปวง
ก็จะห่วงละห้อยหา

O เพียงเพื่อจะเอื้ออุระประอร
ระอุร้อนบ่โรยรา
กรองภาษจะหยาดมธุระผา-
นิตะจาระห้วงใจ

O โคลงฉันทะบันดละกมล
อนุสนธิความนัย
แรงซึ้งจะตรึงยุคะสมัย-
ประจุไว้จะให้หวาน

O อาวรณ์ บ่ ผ่อนพละประดัง
จะประนังสินับนาน
รูปเอยเพราะเคยอธิษฐาน
วัฏะวานก็ครบ-วง

O ใฝ่หาเพราะอาลัยะตระกอง
จิตะปองมิอาจปลง
ภพชาติและวาสนะ ฤ สง-
เคราะหะบ่งเพราะคำบวง

O พบงาม ณ ยามสุริยะแสง-
ผละละแหล่งและเร้นดวง
พร้อมจันทร์ถวัลยะ ณ สรวง
รติช่วงก็เชื้อเชิญ

O เริ่มงามละลามบทะสยาย-
เพราะชม้ายชม้อย..เมิน
สบเลศเพราะเนตรดุจะจะเขิน-
และสะเทิ้นสะท้อนถึง

O รูปองค์อนงค์ประดุจะเถา-
วัลย์เร้ากระหวัดรึง-
ใจ, พร้อมประนอมภวะคะนึง-
บทะซึ้งก็ร่วมสรรค์

O ยิ้มเขินสะเทิ้น, ลุหิตะเรื่อ
กระแหนะเนื้อประนอมนัน-
ทา-ภพ, เพราะสบนัยนะนั้น-
ดุจะหวั่นและสั่นไหว

O โอภาสพิลาสะเพราะศศิน
ดุจะภินทนาไป
โดยลักษณ์และพักตระประไพ
กระจะนัยน์กระจ่างนวล

O รูปนามเพราะสัมผัสะพินิจ
ก็ประชิดประหนึ่งชวน-
เสพสมภิรมยะกระสรวล
ภพะล้วนอุบัติรอ

O รูปน้อยประดอยอิริยะบท
ฤ-ประพจน์จะเพียงพอ-
พร้องพากยะฝากบทะพะนอ
เฉพาะล้อกะอาลัย

O เนียนปรางสะอางขณะประจบ
ดละภพะเพียบไพ-
บูลย์บทเพราะจดสิริพิสัย
พิสมัยะเมื่อมอง

O โอ..ภาษประกาศพระชินสี-
หะเพราะปรีดิด้วยปอง
ฤๅขวางมล้างมุหะละออง
ขณะพ้องกะพิมพ์พาล

O ใต้ภาวะอาทิตยะช่วง
ภวะบ่วงก็เบ่งบาน
วางทอดตลอดระยะขนาน-
ทรมานกะอาลัย

O ช้อยช่อเพราะรอรุจะประภา
กุสุมาประคองใบ,
กลีบ, ก้าน-ตระการเฉพาะจะไหว-
บทะไล้กะสายลม

O อวลกลิ่นประทิ่นรสะขจร-
และภมรก็จ่อมจม-
แทรกตัวและกลั้ว-มธุระ, ฉม
รสะห่ม ฤ ข่มหาย

O ก้าวย่างระหว่างมรรคะคระลอง
วรรณะผ่องก็พร่างพราย
เมียงเมินสะเทิ้นขณะชม้าย
นัยน์ชายก็รู้ชม

O โลมพลอดตลอดรัถยะหมาย
จะละลายระหว่างลม
คือใจเลาะไล้รติภิรมย์
ฤจะข่มจะอาจขืน

O หลังลมระดมพละกระโชก
พรรณะโยกและหยัดยืน
อ่อนเอนกระเวนภวะบ่ฝืน
ก็จะคืนจะยังคง

O พร่าพรางธุมางค์ขณะตระหลบ
ฤจะสบกะรูปทรง
พร่านัยกระไรจะพิศวง
และประสงคะสืบสาว

O แจ้ง, หม่นระคนบทะประดัง
ตละครั้งและต่างคราว
งดงาม ฤ ทราม ฤ จะอะคร้าว
ระยะก้าวก็บงการ

O ก้าวไปและใจก็ทรนง
นยะบ่งก็เบิกบาน
เร้ารุมผชุมจิตะสราญ
ถิระนาน ณ คำนึง

O ร้อน, ร่มและลมขณะกระหน่ำ
จิตะด่ำเพราะเหนี่ยวดึง-
ด้วยภาพกระหนาบนยะระรึง
บทะหนึ่งก็ซึ้งหนอ


… ความรัก ...


วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
O แผ่นน้ำ ณ ท่ามศศินะแสง
ดุจะแต่งระลอกรอ
ผืนกว้าง ณ กลางวตะพะนอ
ดุจะรอระริกผืน

O ลมโรยประโปรยชละระลอก
ดุจะหยอกจะยั่วคืน
แนวพฤกษ์ผนึกนิละทะมื่น
ระกะตื่นระรื่นตาม

O วงจันทร์ถวัลยะโพยม
กละโคมนะส่องคาม
วงพักตร์สุลักษณ์พฤติพิราม
ฤจะห้ามละห้อยเห็น

O ใจคนระคนทุขะสภาพ
ฤจะบาปะสาบเป็น-
บ่วงล่าม ฤ ห้าม ฤ ละ ฤ เร้น
ขณะเค้นก็สุดคลาย

O ฝ่าขวัญประจันฤดิพิมล
ปะทุผละพริ้งพราย
แผ่วผ่านประสารกมละหมาย
รสะผายก็พร่างพรม

O โหยเห็นบ่เว้นระยะถวิล
ขณะจินตะจ่อมจม
ห่างเห็นก็เข็ญอุระระทม
ฤจะข่มฤดีคอย

O หลับฝันก็มั่นจะเจอะจะเจอ
ขณะเผลอก็เหม่อลอย
ตื่นตาผวานัยนะพลอย-
จะละห้อยระโหยเห็น

O เต็มตรองคระลองรหัสะนัย
ก็พิไลพิลาสเพ็ญ
อกใจไฉนผิวะจะเร้น
ก็จะเค้นซะเค็มขม

O อบอุ่นละมุนระยะคะนึง
ขณะหนึ่งก็นานนม
งามหนึ่งก็ถึงบทะปฐม
ระดะห่ม ณ ห้องใจ

O โอ้..งามละลามนยะระบัด
ปฏิพัทธะอำไพ
ดวงมานสมานกะพิสมัย
ระยะใจก็เชื่อมถึง

O เที่ยวทางระหว่างระยะกมล
รติ..ดละเหนี่ยวดึง
อ่อนเอนกระเวนบทะคะนึง
ดละซึ้งผสานเสริม

O ลมรื่นระพื้นชละสะท้อน
อุระตอนก็ตวงเติม-
หวานซึ้งก็ถึงภวะกระเหิม
รติเริ่ม..ก็เพิ่มแรง

O เหมือนหวานและคราญสิริพิสุทธิ์
จะประทุษะเสียดแทง
โอ้ใจ..ไฉนจะผละจะแผลง
ยุติแว้งบ่วกเวียน

O หอมกรุ่นกะสุนทริยภาค
จะประจาคก็จวนเจียน-
เกินการณ์จะทานนยะระเมียร
ฤดิเพียระผูกพัน

O เกินการณ์จะผ่านนยะประพจน์
มธุรสะโรมรัน
สุดที่จะลี้จะผละจะผัน
รตินั้นนิรันดร

O ความบวง ณ ห้วงบุรพกาล
ฤ จะผ่านประสาทพร
เพรงบุญ ฤ หนุน บ่ ละ บ่ ถอน
เพราะสะท้อนและตามทัน



อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑

O สังคีตประณีตคำ
เฉพาะพร่ำจะรำพัน-
งดงามและความฝัน
นยะนั้นก็หนักหนา

O คร่ำครวญกระบวนถ้อย
ก็ประดอยประดังอา-
รมณ์ซึ้งคะนึงหา
ทรมาเพราะอาลัย

O เฝ้าคอยละห้อยเห็น
ฤ-จะเร้นจะหลบใจ
พาทย์กล่อมประนอมนัย
ฤ-ไฉนจะอาจหนี

O พลิ้วผ่านผสานโสต
ก็ประโมทยะมากมี
ความนัยและไมตรี
ณ ฤดีก็แว่วดัง

O หวั่นเพียงประเดียงพาทย์
จะปลาตะกำลัง
หวั่นไหวเพราะใจหวัง
ตละครั้งก็สุดคลาย

O นิ่งนึกคะนึงชู้
นิระรู้จะรำบาย
เพลงแว่วก็แล้วหาย
อุระคล้ายจะทอดถอน

O สุดที่จะลี้หลบ
รติภพะเว้าวอน
พากย์เพลงประเลงย้อน
นยะอ้อนก็แอบทรวง

O เหมือนดาวจะวาววับ
และระยับระยิบดวง
เร้นแฝงก็แรงหวง-
ดุจะช่วงเพราะอาวรณ์

O โอบอ้อมถนอมบท
รติรสะซอกซอน
แทรกซุก ณ ทุกตอน
ฤจะผ่อนจะพรางผล

O นัยเพลงประเลงล้อม
ก็ประนอมประนังพล
กำเริบและเติบตน
ปะทุผล ณ ที่ใจ

O บทเพลงประเลงล้อม
ก็ประนอมประนังนัย
เป็นขวัญประหวั่นไหว
ณ พิสัยะใครนี้

O สืบสร้างระหว่างคิด
สุจริตะใจมี
หมายว่าประดาปรี-
ดิพิถีจะทอดไป

O เพียงหวังจะหลั่งพาก-
ยะละหลากประนอมนัย
สัมผัสะรัดใจ
พิสมัยะหยั่งลง

O หวังโสตอุโฆษคำ
อุปถัมภะจำนง
สุดคิดจะปลิดปลง
จิตะคงจะคู่เคียง


… การเมือง …


วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
O เสร็จการณ์ก็ผ่านนยะประพัน-
ธะกระทั้นกระแทก, เพียง-
เย้ยหยามประนามทัศนะเสียง
จะประเดียงสดับรู้

O การเมืองนะเรื่องผละประโยชน์
ตละโฉดก็เชิดชู
ล้วนภาพะฉาบพิจิตระหรู
พิศะดูจะรู้ดี

O พูดคำเพราะคัมภิระประพจน์
มธุรสะวาที
หวังถ้อยจะปล่อยทิฐิวิถี
พจนียะหนักหนา

O ยั่วแย้งแสดงวุฒิวิภาษ
ผิวะปราศก็แต่ปรา-
กฎเลสและเจตนะจะพา-
มรคานะทอดคอย

O จึงคำเพราะคำระบุระบือ
ก็กระพือซะเลิศลอย
เชื่อเชื่องก็เปลื้องอุระทะยอย
ศิระคล้อยบ่อาจขืน

O พากย์ชี้วิถีมรรคะประพฤติ
จิตะยึดก็หยัดยืน
ส่องทางระหว่างนิละทะมื่น
นยะคลื่นประโลมคน

O แว่วเสียงก็เพียง..อุระระรัว
พิศะตัวก็ต่างตน
แห่ห้อมตะล่อมสัทะระคน
นยะล้นพิมลหลาย

O สรรสรรพะศัพท์ธิระประดิษฐ์
นิรมิตะมากมาย
ว่อนวางพยางคะอภิปราย
จิตะคล้ายจะคลอฝัน

O หวั่นไหวกระไร..สุระประพจน์
มธุรสะโรมรัน
หลักการก็ควานและเสาะกระสัน
อภินันทนาไทย

O การเมือง ณ เบื้องปุระสยาม
ขณะทรามละลามนัย
เสียงสู่ก็รู้มุสะสมัย
สุตะใด-ประดาเดียว

O เมื่อทราม..ละลามระยะประเทศ
พิเราะเลศะกรูเกรียว
คมคำกระหน่ำ ฤ จะเฉลียว
ผิวะเขี้ยวจะขบลง

O พรรณนาประดานยะประดุจ-
บริสุทธิแผ่วง
ไหนเลยจะเคยจะพิสวง
และก็คงจะคล้ายเดิม

O ลมรื่นระผืนทกะสะท้อน
อุระตอนก็ตวงเติม
คำหวานประสารพละกระเหิม
นยะเริ่ม..ก็ปรารมภ์

O เหมือนบัว ณ ทั่วทกะลออ
ระกะช่อพะนอชม
ผึ้งภู่เพราะรู้จะเสาะผสม
พะกะฉมก็เฉิดฉาย

O ดอกขาวอะคร้าวบุณฑริก
วตะพลิกก็พลิ้วพราย
ภู่ห้อมบ่ยอมจะผละละหาย
ดุจะตายก็ยอมตน

O อำนาจและอาชญะประการ
เพราะสมานกะดวงมน
ยิ่งหวานสุมาลยะระคน
จะผละพ้น ฤ แผดเผา ?

O ปรีดิ์เปรมเขษมเพราะสรเสริญ
จะประเมิน-ก็มัวเมา
ยศศักดิ์ฉลักบทะเฉลา
ก็ระเร้าฤดี-รมย์

O ขัดแย้ง ณ แหล่งธรรมะพระพุทธ
ก็ประดุจะโสมม
หลักการณะผ่านอัตะผสม
ก็ระดมประดังแดน

O แบ่งข้างระหว่างจิตะประชา
คุณะค่าก็คลอนแคลน
เกณฑ์กรอบระบอบศักยะแสน-
ยะจะแม้นจะมอดลง

O อำนาจและอาชญะประภาพ
กละบาปะบุญบง-
การ-เลศเพาะเจตนะประสง-
คะจะคงจะคอยเคียง


สัทธราฉันท์ ๒๑
O ฉาบฆ้องกลองกรับสลับเสียง
ศักยะผิวะจะเพียง
ล่มถล่มเอียง
ไผทไทย

O อวดงามข้ามพ้นสกลไกล
สัตะบุรุษะประไพ
ถ้อยประดอยไป
พิสัยนั้น

O ชื้นฉ่ำน้ำลายขจายกัน
อุตมะมุสะประชัน
ว่อนสลอนฝัน
ณ วันนี้

O ถ้วนถ้อยลอยฟุ้งจะปรุงปรีดิ์
รัถยะปุระจะมี
เลิศประเสริฐชี-
วะชนเวย

O จึงแผ่แถคำมุรำเพย
ศักยะธนะจะเผย
บทะชดเชย
พิชานชน

O ด้วยใจไขว่ขวายตะกายกล
อัคระยศะผจญ
ศักดิหนักหน
สิวนเวียน

O ด้วยเจตน์เลศซ่อน บ่ กร่อนเกรียน
รหัสะฤจะเสถียร
บิดและผิดเพี้ยน
มิเหมือนเดิม


อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
O ลมตื่นระผืนน้ำ
ภพะต่ำก็ตวงเติม-
คำหวานประสารเสริม
ฤดิเริ่มก็ปรารมภ์

O โกสุมปทุมา
ดละภาวะหอมพรม
ผึ้งภู่ ฤ รู้สม-
มุติห่มจะร้างหาย

O ดอกขาวอะคร้าวรูป
วตะลูบก็รำบาย-
หอมฟุ้งจรุงหมาย
ผิวะตายจะยอมตน

O อำนาจและอาชญา
เสาะสภาวะเพื่อพล-
อวยเดชวิเศษผล
จะผละพ้น ฤ แผดเผา ?

O เนานันทะสรรเสริญ
ขณะเพลิน ฤ ผ่อนเพลา
ยศศักดิ์ฉลักเขลา
ก็ระเร้าฤดีรมย์

O ขัดแย้งเพราะแย่งยำ-
สัทะธรรมะติดตม
เคลิ้มขำกะคำคม
ขณะถ่มเลอะดินแดน

O แบ่งข้างระหว่างข้า
คุณะค่าก็คลอนแคลน
จึงอานุภาพแสน-
ยะจะแม้นจะมอดลง

O อำนาจและอาชญา
ดละทาสะรูปทรง
การเลศะเจตมง-
คละคงจะมีหรือ

O ร่มบุญ..สกุลคน
ธนะผละร่วมมือ
เล่ห์ฉันทะบันลือ-
ก็กระพือกระเพื่อมหาง

O เก่งกาจกระไรคน
คติวนและว่อนวาง
เชื่องเชื่อ..ก็เหลือง้าง-
จะเสาะอ้างกะเหตุผล


วิชชุมมาลาฉันท์ ๘
O อึ้มแอ้มออกเสียง - - - นั้นเพียงเพื่อชน
เหลียวมองจ้องตน - - - คำรนโวหาร
O ฟังเถิดฟังคำ - - - ลึกล้ำหลักการ
อักโขโอฬาร - - - เพื่อบ้านเพื่อเมือง

O รับใช้อำนวย - - - ย่อมด้วยศรัทธา
หลงรักนักหนา - - - บอดบ้าเปล่าเปลือง
O ตอกลิ่มทิ่มแทง - - - พวกแดงพวกเหลือง
อกกรุ่นขุ่นเคือง - - - เชื่อเชื่องพอกัน

O เป็นไทด้วยชาติ - - - เป็นทาสด้วยใจ
ตื้นเขินเกินไหว - - - ทันไขรำพัน
O เรื่องนึกตรึกตรอง - - - บกพร่องเกินฝัน
แว่วโจษโทษทัณฑ์ - - - หูหันรอเสียง

O ปรุงแต่งภาพพจน์ - - - งามรสวาที
ออกสื่อช่วยชี้ - - - วาดวีสำเนียง
O นั้นถูกนี้ผิด - - - รอพิศรอเพียง-
ความถ้อยร้อยเรียง - - - อยู่เคียงหน้าตน

O จับโยงเรื่องราว - - - รู้กล่าวรู้คาด
เพื่อชนทั้งชาติ - - - รู้ภาษรู้พล
O ตราบน้อมใจนับ - - - ตอบรับลุกลน
กี่ครั้งกี่หน - - - ทุกหนทุกครั้ง

O คือปราชญ์คอยปราม - - - ป้องทรามเข้าแทรก
จำนรรจ์จำแนก - - - ความแจกให้ฟัง
O จงร่ำจงเรียน - - - ถ้อยเธียรเพียรฝัง
อย่าหยุดอย่ายั้ง - - - ตอบตั้งศรัทธา

O เยี่ยงนี้คือชน - - - พล่ามบ่นรักชาติ
เยี่ยงนั้นคือทาส - - - ปลอดปราศอัตตา
O เยี่ยงนี้คือไท - - - ผู้ไร้บัญชา-
จัดตั้งสั่งหา - - - ด้วยค่าของเงิน

O ภาพนั้นดูดี - - - แต้มสีแต่งตัว
จากเท้าจดหัว - - - ถ้วนทั่วมองเพลิน
O ภาพงามเร้ารุม - - - ให้อุ้มหยอกเอิน
อิ่มร่ำจำเริญ - - - ปานเหินเวหา

O ผ่านหัวผ่านหู - - - รับรู้รับฟัง
ลึกล้ำกำลัง - - - ฝากฝังปัญญา
O ผ่านหูผ่านหัว - - - เร้ารัวศรัทธา
อาทรอ่อนล้า - - - ให้บ้าเข้าเบียน

O ความคำทำว่า - - - คิดข้าควรการ
สามารถสามานย์ - - - ควรอ่านข้าเขียน
O ความจูงฝูงชน - - - หวังผลต้องเพียร
ทอทาบภาพเธียร - - - วกเวียนตราบวาย


วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
O แซ่เสียงเผดียงเฉพาะจะนับ
พิเราะศัพทะมากมาย
พูดคำก็คัมภิระสยาย
จะละลายกมล-หลง

O เขตคามสยามกษณะนี้
ทรพีจะสมพงศ์
อวยเลศและเดชธนะประสงค์
จะณรงคะต่อตี

O โดยเลศและเจตนะอสัตย์
อวิภัชะวาที
เขตแดนและแสนยะรัฐะสี-
มะก็ชี้จะแยกชน

O อำนาจและอาชญะประภาพ
ตละคาบและต่างคน
เสพลิ้มก็อิ่มกละกมล-
อนุสนธิด้วยสรวง

O อำนาจและอาชญะประดา
ประจุภาระเพื่อปวง-
ชนเอมเขษมหทัยะดวง
นิระห่วงจะยากเข็ญ

O สัมมาและอาชิวะประกอบ
เฉพาะชอบเหมาะควรเป็น
เอื้ออวยอำนวยตละประเด็น
ก็จะเห็นประโยชน์ผล

O เสนาพฤฒามุขะอมาตย์
ธิระชาติเชื้อชน
หากช่วยอำนวยสหะกมล
คณะชนจะอวยชัย

O ร่วมจิตะคิดประทุษะเข็ญ
ยุติ-เว้นซะโดยไว
ร่วมแรงและแปลงทุระสมัย
ทุขะภัยะหยุดผลาญ

O บำรุงผดุงกิจะประเทศ
ทุระเลศะล่มลาญ
ถูกถ้วนเหมาะควรอุดมการณ์
ก็ประสานประสมไป

O หากเพียงจะเบี่ยงกฏะและเกณ-
ฑะประเคนประโยชน์ใคร
ค้อมหัวเพราะกลัวธนะไฉน
ดนุใดนะโดยดี-

O นั่นเพียงจะเคียงกุละกะกา
คุณะค่าก็ราคี
ควรเพียงกะเสียงกุละกลี
เฉพาะที่จะกล่าวถึง

O ให้สัตย์จะพัฒนะประเทศ
ยุติเดชะเหนี่ยวดึง-
ลาภยศและพจนะจะพึง-
ระบุซึ่งประโยชน์สม

O ชื่อชั้นเพราะบั่นฉละประโยชน์
จะอุโฆษะชื่นชม
ผูกพันและมั่นคตินิยม
ยุติก้มพะนอเงิน

O เสนาพฤฒามุขะอมาตย์
นรชาติชวนเชิญ
กิจจาประชาพิศะประเมิน
ฤจะเกินสมรรถเขา

O คือใจไฉนจะมุจะมั่น
กิจะทันลุบันเทา-
ขับข่มและล่มทุขะระเร้า
ชนะเขลากำจัดเข็ญ

O เมื่อวัตถุรัดกมละชน
สุขะปรนก็เปลี่ยนเป็น-
ลุ่มหลงพะวงระยะ ฤ เว้น
ตละเห็นก็โหยหา

O ไขว่ขวายตะกายกิติเมลือง
จิตะเปลื้องเพราะปลอดปรา-
รมภ์ควรกระบวนพิเคราะห์เหมาะภา-
วะสถานะภาพตน

O ควรหรือกระพือมุหะกระสัน
ธนะคั้นนะใจคน
ควรฉันทะมั่นประทุษะฉล
ยุติกละกล้ำกลาย

O เงินชาติปลาตะก็เพราะพิษ-
ทุจริตะเรียงราย
แดนไทยก็ไทยล่ะนะจะขาย
ธนะถ่ายลุถังถุง

O ปากพูดพิสูจนะ ฤ เห็น
ฉละเป็นเพราะโฉดปรุง
เงินชาติ ฤ อาจปะทะพยุง-
ทุขะพุ่งจะเผาผลาญ

O ชนเอยผิว์เผยบทะกลี
กรรมะมีเพราะใจมาร
ขอสัตย์พิพัฒนะจะคว้าน-
วิญญาณะจองจำ

O ชนเอยผิว์เผยฉละประดา
คุณะค่าก็ควรคำ-
หมู, หมา, ระกา-กุละระยำ
เพราะกระทำกะแดนตน







Create Date : 27 ธันวาคม 2554
Last Update : 26 มิถุนายน 2561 6:57:41 น. 44 comments
Counter : 1514 Pageviews.

 


"O ใจความจะลามนยะกระทบ
ดละภพะในดวง-
จิตผู้เสาะรู้รหัสะปวง
บทะหวงจะหวนหา"

"บทะหวงจะหวนหา"..555


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.156.148 วันที่: 27 ธันวาคม 2554 เวลา:20:40:14 น.  

 
สวัสดีค่ะพี่สดายุ มารออ่านต่อค่ะ ^^


โดย: medkhanun IP: 202.28.45.10 วันที่: 28 ธันวาคม 2554 เวลา:6:36:01 น.  

 
สวัสดีปีใหม่ และ ถือโอกาสอวยพรวันเกิดล่วงหน้านะคะพี่

นางขอพรคุณพระ...อำนวยพรให้พี่และครอบครัวมีความสุข
ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
เป็นที่รักของพนักงาน และ คนรอบข้าง นะคะ




โดย: เพรง.พเยีย วันที่: 29 ธันวาคม 2554 เวลา:5:25:22 น.  

 
น้องนาง...ขอบคุณมากค่ะที่มาอวยพรปีใหม่
ดอกไม้สวยงามจริง

พี่ก็ขอให้นางมีความสุขในทุกเรื่องตลอดไปนะคะ


โดย: สดายุ... วันที่: 30 ธันวาคม 2554 เวลา:5:24:13 น.  

 

ดายุ..

"O คร่ำครวญสิล้วนสุภะพยางค์
นยะอ้างก็สำออย" !!


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.158.79 วันที่: 30 ธันวาคม 2554 เวลา:20:08:13 น.  

 

ดายุ...

ผู้ที่เกิดวันนี้ นั่งคอยว่าจะมีใครส่งฉันท์มาให้เป็นของขวัญ นะ..

"O สุดที่จะลี้หลบ
รติภพะเว้าวอน
พากย์เพลงประเลงย้อน
นยะอ้อนก็แอบทรวง"

มาส่งท้ายปีเก่าค่ะ...


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.169.222 วันที่: 31 ธันวาคม 2554 เวลา:21:09:20 น.  

 





สวัสดีปี 2555 ค่ะ พี่กาย

พูขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย มาอวยพรให้พี่มีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง เป็นที่รักของผู้คนรอบกาย สมหวังในทุกสิ่งนะคะ




โดย: พธู วันที่: 31 ธันวาคม 2554 เวลา:22:32:41 น.  

 


ขออวยพรให้ สดายุ และสาวลำปาง
มีความรักความเข้าใจต่อกันนานนาน และตลอดไป


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.169.222 วันที่: 1 มกราคม 2555 เวลา:0:17:59 น.  

 
พี่ชาย..
ปีใหม่นี้น้องขอให้..พี่ชาย..และครอบครัว
จงมีแต่ความสุขความเจริญคิดหวังสิ่งใด
ขอให้สมความปรารถนาทุกประการนะคะ

สวัสดีปีใหม่ค่ะ


โดย: น้องฟาง IP: 180.180.220.9 วันที่: 1 มกราคม 2555 เวลา:12:20:21 น.  

 



โดย: Peakroong วันที่: 2 มกราคม 2555 เวลา:16:29:35 น.  

 

...ประกาศรับสมัคร กวี ระดับ นายนรินทร์ ...

คุณสมบัติผู้สมัคร:-มีความรู้ทางโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน
-หนุ่มใหญ่ วัยกลางคนบุคคลิกดีสุภาพเรียบร้อย
-มีความรู้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
(จะมีการพิจารณา"ภาคพิเศษ"หากใช้ภาษาเยอรมันได้ดี)
-รักเดียวใจเดียวกับคนเดียว
ความก้าวหน้า:หากชำนาญพิเศษด้านโคลง..จะได้รับเลื่อนเป็น"ศรีปราชญ์"ภายในเวลาหนึ่งปีหลังจากทดลองให้ใช้ปฎิบัติงาน

เวลาทดลองงาน:หกเดือน สามเดือนในเยอรมัน สามเดือนรอบโลก

ผู้ใดสนใจสมัครได้ ในเวปนี้ ติดต่อ คุณบุษบามินตรา ในทุกเวลาราชการ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์
หรือติดต่อ หัวหน้าฝ่ายบุคคลากร "คุณแม่มด"



โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.158.62 วันที่: 2 มกราคม 2555 เวลา:16:37:40 น.  

 

หนูมด..

หายไปไหนมาตั้งแต่ปีที่แล้ว..ไปก็ไม่ลา ปีใหม่มาก็ไม่มาไหว้
ยังรักกันอยู่ไหมคะ..(จะได้ประกาศหาเพื่อนใหม่555)


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.158.62 วันที่: 2 มกราคม 2555 เวลา:16:41:27 น.  

 
สวัสดีปีใหม่ค่ะพี่สดายุ

ขอให้พี่สดายุสุขกายสบายใจ ตลอดปี และ ตลอดไปนะคะ ^___^


โดย: medkhanun วันที่: 2 มกราคม 2555 เวลา:21:15:49 น.  

 


สวัสดี ปีใหม่ค่ะ คุณมินตรา...

ช่วง ตั้งแต่ 30 มา เพิ่งอยู่บ้านวันนี้ค่ะ คุณย่า และ คุณอา ท่านมาน่ะค่ะ ไป ชร. ชม. ไม่ได้อยู่บ้านเลยค่ะ ตอนนี้กลับเข้าบ้านแป๊บนึง เด๋วเย็นๆไปอีกแล้ว คงไปค้าง ชม.ค่ะวันนี้ ...

คิดถึงคุณมินตราเสมอนะคะ มีความสุขมากๆมีสุขภาพแข็งแรงที่สุดเลยนะคะ คุณมินตรา ...

เมื่อวานวันเกิด ท่าน จขบ. 2 มค. ค่ะ แม่มดอวยพร ไปแล้ว คุณมินตรา ทราบรึยังคะ ?

ท่านจขบ.ก็คงไม่ว่างเช่นกันค่ะช่วงนี้ ... แต่วันนี้ท่านคงกลับมาแล้วล่ะค่ะ ...

รักคุณมินตราเสมอนะคะ (นะนะ อย่าหาเพื่อนใหม่ล่ะ แม่มดหวง) อิอิ


โดย: Witch IP: 118.172.111.184 วันที่: 3 มกราคม 2555 เวลา:10:59:04 น.  

 
สวัสดีขอรับทุกๆท่าน...

ขออภัยที่มาทักทายล่าช้า
ขอขอบคุณเป็นเด็ดขาดสำหรับคำอวยพรปีใหม่ และวันเกิด
ตามลำดับ...

ที่จริงแล้ว...เกิดแล้วเกิดเลย
ไม่มีอะไรต้องไปสนใจ เพราะวันเกิดนั้นไม่มีนัยะอะไรที่จะต้องไปฉลอง เลี้ยงกันอะไรแบบนั้น..เข้าใจว่าเอาอย่างฝรั่งมา...

ไม่เคยมีเลี้ยงฉลองสำหรับวันเกิดตัวเองมาตลอดชีวิต...
สำหรับวันเกิดคนอื่นยิ่งแล้วใหญ่....555

ฉันท์ชุดนี้คงเขียนไปหลากหลายเรื่องราว...ยาวอีกแล้วขอรับท่านผู้ชม...จนกว่าจะฝันเป็นฉันท์ 55


โดย: สดายุ... วันที่: 3 มกราคม 2555 เวลา:21:19:13 น.  

 

หนูมด..

"เมื่อวานวันเกิด ท่าน จขบ. 2 มค. ค่ะ แม่มดอวยพร ไปแล้ว คุณมินตรา ทราบรึยังคะ ?"

ไม่ทราบค่ะ สงสัยมินตราคงเกิดไม่ทัน เลยไม่ทราบ..555

"รักคุณมินตราเสมอนะคะ" ค่ะ มินตราก็รักมินตราเสมอค่ะ หนูมด..
ไม่หาหรอกเพื่อนใหม่..เดี๋ยวมารักเล่นเล่น..เนอะ..


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.159.217 วันที่: 4 มกราคม 2555 เวลา:0:37:13 น.  

 

ดายุ...

"ฉันท์ชุดนี้คงเขียนไปหลากหลายเรื่องราว...ยาวอีกแล้วขอรับท่านผู้ชม...จนกว่าจะฝันเป็นฉันท์ 55"
เวลาใจจรดใจจ่อที่จะเล่นอะไร หรือ โปรดอะไรมากมาก เช่นเล่น"หมากเก็บ"นี่..แม่จะบอกว่า เดี๋ยวจะต้มหมากเก็บให้กิน
ตั้งแต่นั้นมามินตราจะหาก้อนหินสวยสวยดูงามงามไว้เล่น..เวลาแม่ต้มให้รับประทานจะได้ดูน่ากินหน่อย! 555

สดายุจะเหมือนกัน..ให้มาเป็นชุดฉันท์เลยนะ..
ค่ะ! จะขอรับฉันฉันท์ด้วยฉันทาทีเดียวล่ะ
วสันตดิลกฉันท์ ๑๔..อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑..นี่คุ้นอยู่
วิชชุมมาลาฉันท์ ๘ ก็พอจะเคยได้ยินนะ
แต่สัทธราฉันท์ ๒๑ ไม่เคยได้ยินชื่อ..
ส่วนอีทิสังฉันท์ ๒๐ เสียงยังกะพระสวดแน่ะ..
สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙ โอย..ยิ่งหนักไปอีกค่ะ..หนูโง่สนิทใจเลย(อย่าไปบอกใครล่ะ นานนานถึงจะโง่..ไปถามคุณวีคิพิเดีย เธอก็ไม่รู้จัก)
ผู้ที่ฉันท์ฉันท์ น่าจะเล่าอะไร ฉันท์ฉันท์ประกอบฉันท์นะคะ
ที่มินตราบอกว่าชอบฉันท์น่ะเพราะไปชอบ มัทนะพาธา ไพเราะเหลือเกิน..จนอิจฉาเพื่อนที่ชื่อมัทนาทิพย์ เลยล่ะว่าชื่อไพเราะกว่ามินตรา...555
แถมคุณครูยังบอกว่า ฉันท์น่ะสำหรับพวกผู้คงแก่เรียน แต่งให้ผู้สูงศักดิ์ อย่างระดับพวกเธอน่ะกลอนแปดก็เอาตัวให้รอดก่อนนะจ๊ะ..

เลยจะ"คงแก่เรียน"และ"สูงศักดิ์"กะเค้าบ้าง !



โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.159.39 วันที่: 5 มกราคม 2555 เวลา:15:12:17 น.  

 
มินตรา....

ฉันท์มี 108 ชนิด ทั้งมาตราพฤต และวรรณพฤต..เราเอามาจากอินเดีย...

ฉันท์ที่นิยมเขียนส่วนใหญ่มีไม่มากนัก ไม่เกิน 15 ชนิด
เพราะหลายชนิดทั้งจังหวะจะโคน ทั้งลีลาที่จะพรรณนาโวหารมันไม่ได้เรื่อง

ส่วนที่ได้เรื่องได้ราวมีอะไรบ้างนั้นต้องไปดูที่แสดงไว้ใน
อิลราชคำฉันท์ หรือ สามัคคีเภทคำฉันท์ หรือหากขี้เกียจก็เปิด
มหาภารตะยุทธ ในบล็อคฉันท์นี้ดูก็ได้...55

ฉันท์โบราณเขียนโดยใช้เสียง หนัก เบา เป็นเกณฑ์ ของการแยกเป็น ครุ หรือ ลหุ...แต่สมัยใหม่ตั้งแต่รัชกาลที่ 6 เป็นต้นมาใช้เสียง สั้น ยาว ของสระที่กำกับเป็นเกณฑ์เพราะแน่นอนกว่า...

และนี่คือบทเก่งจากอิลราชคำฉันท์..ในลีลาแห่งวสันตดิลกฉันท์๑๔ ที่เปรียบเสมือนราชินีแห่งฉันท์....ซึ่งเขียนโดย พระยาศรีสุนทรโวหาร [ผัน สาลักษณ]
ช่อฟ้าก็เฟื้อยกละจะฟัด - - - ดลฟากฑิฆัมพร
บราลีพิไลพิศะบวร - - - นภศูลสล้างลอย

ส่วนตัวผมเองแล้วถือว่า สามัคคีเภทคำฉันท์ ของนายชิต บุรทัต เป็นเอก...

ส่วนเล่มที่มินตราพูดถึงใน คคห.17 นั้น ผมไม่มีความเห็นคล้อยตามด้วยเลยแม้แต่น้อย 55....

เพราะการลงท้ายวรรคด้วย"คำตาย"นั้นเป็นข้อถือสาอย่างแรง..ว่าเป็นร้อยกรองที่ไม่ได้เรื่อง.....นอกจากคำตายเสียงตรีในกลอนแปดเท่านั้นที่เป็นข้อยกเว้น...เช่น

....ชั่วเหยี่ยวกระหยับปีกกลางเปลวแดด
ร้อนที่แผดก็ผ่อนเพลาพระเวหา
พอใบไม้ไหวพลิกริกริกมา
ก็รู้ว่าวันนี้มีลม"วก"

....เพียงกระเพื่อมเลื่อมรับวับวับไหว
ก็รู้ว่าน้ำใสใช่กระจก
เพียงแววตาคู่นั้นสั่นสะทก
ก็รู้ว่าในหัวอกมีหัวใจ

....เพียงความเคลื่อนไหว
....เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

อย่างนี้คือลีลาของ "กวี" ที่ไกลจากคำว่า "คนเขียนกลอน" ไปมากมาย

ฉันท์ ไม่เหมาะจะใช้โค๊ดคำพูดในบทเจรจา...แบบละคอนอะไรแบบนั้น...

ไว้จะยกเอาฉันท์ที่เขียนโดยพระนารายณ์ที่ว่าอัปลักษณ์ในสายผมมาให้ดู...555


โดย: สดายุ... วันที่: 5 มกราคม 2555 เวลา:17:16:18 น.  

 

ดายุขา..

"ฉันท์มี 108 ชนิด ทั้งมาตราพฤต และวรรณพฤต..เราเอามาจากอินเดีย..."
ขึ้นประโยคแรก มินตราก็โดน เทคนิเคิลน๊อคเอ้าท์(technical knock out)อีกแล้ว.."มาตราพฤต และวรรณพฤต" นี่ ก็ไม่ทราบอีกเหมือนกัน..นี่ต้องเรียนแบบคนเยอรมันเรียนแล้วซิ..
คือก่อนจะมาถามอะไรนี่ ต้องไปหาความรู้มาประดับตนก่อน..
จะมานั่งทำหน้าตา"ไร้เดียงสา"มิได้ !

"ไว้จะยกเอาฉันท์ที่เขียนโดยพระนารายณ์ที่ว่าอัปลักษณ์ในสายผมมาให้ดู...555"
ไม่เอ๊า !..เดี๋ยวถูกเลขท้ายสามตัว แบบ๑๑๒ อะไรแบบนี้..
โชคดีนะที่สมัยพระนารายณ์ ยังไม่มี..
เพราะ"ธรณีนี่นี้"ยัง"เป็นพยาน"อยู่ ..พระบารมีโปรดเกล้า..

ตอนนี้ เกรงเหลือเกิน..ตรงที่"คิดอะไรไม่ออกบอกเฉลิม"
ท่านช่างคิด และขยันคิดอีกด้วย..นักการเมืองสมัยนี้...


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.159.39 วันที่: 5 มกราคม 2555 เวลา:21:03:58 น.  

 

หนูมด..

หายไปไหน มาช่วยกันสงสัยหน่อยซิ..
ปล่อยให้มินตรามานั่งสงสัยอยู่คนเดียว
เดี๋ยวโลกจะลือกันว่า"สะใภ้เยอรมัน"ของสดายุ นี่"ไร้เดียงสา"ซะเหลือเกิน..มาผลัดกัน"ไร้เดียงสา"บ้างซิคะ จะได้รักกันจริงจริง

"แม้นห่างอินทรีย์ อกพี่ระบม
อกตรอม อกตรม เสียจริงเอย..."555


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.159.39 วันที่: 5 มกราคม 2555 เวลา:21:13:27 น.  

 
มินตรา...

เอาฉันท์สมัยอยุธยาตอนกลาง-ปลายมาให้ดูกัน
ในยุคที่ใช้การ"ฟัง"ผ่านทำนองเสนาะ...หูก็จะรับเสียงหนักเบา เป็นเกณฑ์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับยุคสมัยปัจจุบันที่ใช้การ"อ่าน"แบบไม่ออกเสียง

และโดยปกติภาพของคนทั่วไปแล้ว...การใช้สระเสียงสั้นยาวเป็นตัวแยก ครุ ลหุ ดูจะเหมาะสมมากกว่า...

สมุทรโฆษคำฉันท์ แต่งขึ้นในสมัยพระนารายณ์..โดย
1. พระมหาราชครู แต่งขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา แต่แต่งตั้งปี พ.ศ. ใดไม่ปรากฏ คาดว่าน่าจะอยู่ในราว พ.ศ. 2200 ท่านได้แต่งไว้ 1,252 บท
2. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงพระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เอง 205 บท
3. สมเด็จ พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงพระนิพนธ์ต่อจากนั้นจนจบเรื่อง นับได้ 861 บท หลังจากที่ค้างอยู่นานถึง 160 ปี (นับจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จสวรรคต เมื่อ พ.ศ. 2231)


ตัวอย่าง - สำนวนของพระมหาราชครู
ตอนพราหมณ์ยอโฉมนางพินทุมดีให้พระสมุทรโฆษฟัง (วสันตดิลกฉันท์ 14)
00101110.......110102
00101112.......110103
1=ลหุ นอกนั้นครุ
เลขเดียวกัน = สัมผัสสระ

เจ้านั้นมีโฉมคือจะประโลม - - ใช้ มี คือ เป็นลหุ
ทั้งแหล่งหล้าและฟ้าดิน - - ใช้ ทั้ง แหล่ง เป็นลหุ
ทรงนาม(ะ)กร บวร(ะ)พิน- - - วรรคนี้ถูกต้อง
ทุม(ะ)ดี อันโฉมเฉลา - - ใช้ อัน เป็นลหุ

เสาวภาคย(ะ)พาล(ะ)พนิดา - - วรรคนี้ถูกต้อง
คือสุธา มาโกศเกลา - - ใช้ คือ มา เป็นลหุ
เนื้อเกลี้ยงสมบูรณ์บวร(ะ)เยา- - - ใช้ สม เป็นลหุ
ว(ะ)อย่าว่าจะมีสอง - - ใช้ อย่า เป็นลหุ

เกศาระรวยระทดระทวย - - ใช้ ทด เป็นลหุ
ประเหลฺ หางมยุระทอง - - ใช้ เหล เป็น ลหุ
ไรเกศ พะพราย รัศมิรอง - - วรรคนี้ถูกต้อง
คือโรมอัษฎ(ะ)กามา - - ใช้ คือ โรม เป็น ลหุ

พักตรา กฤดิ อันบริสุท- - - ใช้ อัน เป็น ลหุ
ธิพบูและโสภา - - วรรคนี้ถูกต้อง
ดุจจันทร(ะ)โสฬส(ะ)กลา - - วรรคนี้ถูกต้อง
และนะแน่งนะนวลอนงค์ - - วรรคนี้ถูกต้อง


ตัวอย่าง - สำนวนของพระนารายณ์
ตอนที่พิทยาธรสองตนรบกัน (ตนหนึ่งตกลงไปในสวน)
(สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ 19)
000110101112..............00102.............13
1=ลหุ นอกนั้นครุ
เลขเดียวกัน = สัมผัสสระ

แต่นี้พี่-อ-นุ-ช(ะ)ถึงแก่-กรร-ม(ะ )พิกล - - ชะ เป็น ครุ, ถึง เป็นลหุ
เรียมฤๅจะยากยล พธู

ตนกูตายก็จะตายผู้เดียวใครจะแลดู - - ผู้ ใคร แล เป็นลหุ
โอ้แก้วกับตนกู ฤเห็นฯ - - กับ เป็นลหุ

................

ข้างล่างนี้ว่าเอง...55

สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙
O น้ำค้างรุ่งระดะวาง ณ กลางติณะลดา-
วัลย์-เรื้องประเทืองกา - - ละนี้
O ม่านหมอกขาวดุจะพรางระหว่างชิวะ-รพี
แสงทอลออสี - - ฤ สม
O วาโยลูบวิ-ญ-ญาณะดาละอภิรมย์
แทรกเสียงประเดียง-ขรม - - ฤ คลาย
O ภาพแววตาขณะคอยชม้อยและก็ชม้าย
เมียงเมินสะเทิ้นอาย - - ก็อิง-
O แอบห้วงจินตะภวังคะหยั่งภพะประวิง
ลามล่วงจะช่วงชิง - - พิชาน

วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
O เพรงชาติ ฤ วาสนะประคอง-
ภพะพ้องกะพิมพ์พาล
ร่วมบาตร ฤ ภาษสัทะผสาน
อุปการะรูปกรรม
O จึ่งคอยละห้อยถวิละชู้
นิระรู้จะหยุดรำ-
บายนัยจะให้รมยะสัม-
ผัสะทำนุใจนั้น !



โดย: สดายุ... วันที่: 6 มกราคม 2555 เวลา:5:31:39 น.  

 

สวัสดีค่ะคุณสดายุ...

มาอ่านทุกวันค่ะ แต่คุยไม่ได้เลยนี่คะ เรื่อง ฉันท์ ทราบแต่เรื่อง ฉัน อิอิ

ทราบว่าคุณเข้าใจเพราะคนโบราณอย่างแม่มดไม่ถนัด แค่กลอนบางทียังต้องแปลเลยค่ะ ก็ คุณใช้ภาษาเหลือเกินนี่คะ...

มีความสุขมากๆนะคะ ทราบว่าสุขภาพคุณน่ะแข็งแรงที่สุด ^^

ขอบคุณค่ะ


โดย: Witch IP: 118.172.97.233 วันที่: 6 มกราคม 2555 เวลา:9:13:35 น.  

 

สวัสดีค่ะ คุณมินตรา...

มาอ่านทุกวันค่ะคุณมินตรา แต่ฉันท์กับแม่มดน่ะ โห...อย่าให้พูดเร๊ยยย... แปลแทบจะทุกคำ อิอิ แต่ชอบนะคะภาษาตะกุกตะกักดีค่ะ...

คุณมินตรามีความรู้รอบตัวเยอะ แม่มดไม่มีหรือมีน้อย รู้ เท่าที่รู้และอยากรู้เท่านั้นค่ะ บางเรื่องรู้มาก ปวดหมอง แม่มดบอกแล้วว่าแม่มดน่ะ แล้วแต่รมณ์...

อาทิตย์หน้า ถึงจะเริ่มวิเคราะห์ทองคำ ช่วงนี้ขอเอาเวลาให้ ท่านย่า ก่อนเจ้าค่ะ...

คิดถึงคุณมินตราเสมอ แต่ไม่อยากเถียงกับท่าน จขบ. และ เด๋วนี้ท่าน จขบ. ท่านไม่ค่อยมีไรให้น่าสงสัยนี่คะ... เอ๊ะ!! รึว่ามีคะ..?

มีความสุขมากๆนะคะ :"))


โดย: Witch IP: 118.172.97.233 วันที่: 6 มกราคม 2555 เวลา:9:20:41 น.  

 
แม่มดตัวน้อย...
คนเราไม่ต้องรู้ไปทุกเรื่องก็ได้นะ...อิๆๆ



มินตรา...
ลองใช้คำที่คนพูดกันบ่อยๆดูสิ...แล้วฉันท์จะอ่านง่าย
เช่น...

ถึงแม้นจะแคลนยศะเสมอ
จะเผยอพยายาม

ลักษณะนี้คำที่ใช้ เป็นครุ ลหุ ที่ไม่ต้องฝืนอ่านเลย
พยายาม = 1ลหุ+2ครุ เป็นคำที่ใช้บ่อย ใช้กันแพร่หลาย จะได้เสียงที่เป็นธรรมชาติที่สุด


พูดในส่วน วสันตดิลก และสัททุลที่ท้ายวรรคเหมือนกัน
คือท้ายวรรคคี่ ที่มี 3ลหุ+1ครุ นั้น..จะเขียนได้ 3 ลักษณะคือ

1. ลากลหุจากคำหน้ามาต่อด้วย 2 ลหุ+1ครุ...คนอ่านจะเสียจังหวะง่าย...เช่น
รูปคราญก็ดา-ละ-ป-ฎิ-พัทธ
เพียรทำนุธรร-มะ-บ-ริ-สุทธิ

2. 3ลหุอิสระ+1ครุ...ความไพเราะจะด้อยที่สุด...เช่น
เขตคามสยาม-ก-ษ-ณะ-นี้
ฟ้าครามวะวาม-รั-ศ-มิ-แสง


3. 2ลหุ+1ลหุควบ1ครุ(คำครึ่ง)...ซึ่งจะพลิ้วไพเราะที่สุด..เช่น
ถึงแม้นจะแคลน-ย-ศะ-เสมอ
รูปคราญก็ดาล-จิ-ตะ-กระหวัด
โหยหาเพราะอา-ลั-ยะ-ตระกอง

ลองเล่นดูนะท่านผู้ชม..


โดย: สดายุ... วันที่: 6 มกราคม 2555 เวลา:10:27:53 น.  

 

ดายุขา..

"ตนกูตายก็จะตายผู้เดียวใครจะแลดู
โอ้แก้วกับตนกู ฤเห็นฯ"
นี่น่ะติดปากมินตรามาตั้งแต่เรียนท่องจำ แล้วล่ะค่ะ ใช้เวลาโกรธแม่
เพราะปกติ เป็นเด็กเป็นเล็ก จะมา"ขึ้นมึงขึ้นกูได้ยังไง!"
ที่โรงเรียนก็เป็นโรงเรียนของ"กุลสตรี"ซะด้วยซิ!

"ข้างล่างนี้ว่าเอง..."....ตรงว่าเองนี่ล่ะ..คือเสน่ห์ประจำตน!

"มินตรา...
ลองใช้คำที่คนพูดกันบ่อยๆดูสิ...แล้วฉันท์จะอ่านง่าย เช่น"
"ถึงแม้นจะแคลนยศะเสมอ
จะเผยอพยายาม"
"จะได้เสียงที่เป็นธรรมชาติที่สุด"...ค่ะ มินตราเองก็ชอบใช้ภาษาไทยแท้แท้ไม่มีแขกปนในการเขียน..(ตอนนี้ไม่กล้า"เผยอ" ภายใต้รัศมีของสดายุ แล้วล่ะ)
ทราบไหมคะ ว่าเป็นการให้"เสรีภาพภาษา"ในการที่ไม่ให้ภาษาอื่นมาเป็น"เจ้าเข้าครอง"..ในภาษาเยอรมันและอังกฤษตอนนี้ ก็พยายามปลดตนออกจากภาษาละติน ในชีวิตประจำวัน...เป็นวิวัฒนาการของภาษาน่ะค่ะในเยอรมันก็เริ่มมาตั้งแต่ มาติน ลูเธ่อ
ออกมาประกาศนิกายใหม่ทางศาสนาด้วยภาษา"เยอรมัน"..แล้วเราประชาชนคนธรรมดาจะไม่มีความคิดในเรื่องเสรีภาพได้ยังไง จริงไหมคะ ลุงเหลิม..เฮ้อ..อดเฉไฉไม่ได้สักที!


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.159.231 วันที่: 6 มกราคม 2555 เวลา:14:29:57 น.  

 
มินตรา...

มาติน ลูเธอร์ คงเบื่อวาติกันเต็มแก่ที่พิธีรีตอง ลีลา เยอะนัก
เลยตั้ง โปรเตสแตนท์ (ที่อังกฤษ เรียก แองกลิกัน..ใช่ไหม)
จนยุโรปเหนือที่พัฒนาเหนือกว่ายุโรปใต้/ยุโรปตะวันออก...ทั้งหลายยอมรับกันหมด

ส่วนเหลิมดาวเทียม กับภาพการต่อสู้เชิงเสรีภาพ
หรือประชาธิปไตยนั้นอย่าเอามาปนกันเด็ดขาด...55

แม้จนตัว"น้องสาว-ตัวละคอนจากไอ้เท่งนั่งเมือง" หรือ "พี่ชาย" ก็ไม่ใช่...

มินตรารู้จักไหม "ไอ้เท่ง" ? อิๆ

ของแท้ต้องวัยนักศึกษา...
ไม่ใช่ลืมแล้วมานึกได้ตอนแก่...ว่าอ้อ
ประชาธิปไตยเพื่อมวลชนผู้ทุกข์ยากนี้ ไม่เคยรู้เลยว่ามันคืออะไร
จนเขามาฮิตกันช่วงหลังนี่แหละจึงขอโหนกระแสกะเขาไปด้วย...55

ดู..เนลสัน แมนเดลล่า นั่นของแท้...ติดคุก 29 ปียังสู้ไม่ถอย
ออกมาได้รับเลือกเป็นผู้นำ...แถมไม่ก้าวร้าวปากเปราะ เย้ยหยันคนไปทั่ว...เหมือนสุด love ของมินตรา...55


โดย: สดายุ... วันที่: 6 มกราคม 2555 เวลา:15:43:08 น.  

 

สดายุ..

"มินตรารู้จักไหม "ไอ้เท่ง" ? อิๆ"
แหมมาถามคนใต้..ตัวตลกในหนังตะลุงใช่ไหมคะ
ส่วนจะหมายถึงใคร นี่ไม่ทราบนะ..เดี๋ยวเดือดร้อน ถึงยูเอ็นอีก555 ดายุเขียนกลอนไว้นี่นะ..

"แถมไม่ก้าวร้าวปากเปราะ เย้ยหยันคนไปทั่ว...เหมือนสุด love ของมินตรา...55"
....ห้ามแตะ!555

"โปรเตสแตน" ใช่ค่ะ เริ่มที่แคว้นมินตรานี่เองเมืองWittenberg
แล้วมาแปะไว้ให้คนอ่านที่เมืองMagdeburgเมืองหลวงของแคว้นSachsen-Anhaltขณะนี้
โดยใช้เวลาสามร้อยวัน เขียนทฤษฎีออกมาประกาศ ตอนอยู่ที่ปราสาทของ คุณป้า มาเรียหลุยส์ ของบารอน เองแหละ..

พวกบารอนในยุโรปนี่มีเลือดปฎิวัติมาก เหมือนบารอนสิบสองคนของอังกฤษที่เริ่มกฎหมายอังกฤษ"Magna Carta" แล้วคนไทยก็ไปสอนกันว่า อังกฤษ ไม่มี"รัฐธรรมนูญฉบับที่เขียน"..
มินตราก็จำมาพูดกับคนยุโรป..งงกันเป็นแถว..หนูไปเรียนมาจากไหนจ๊ะ


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.159.231 วันที่: 6 มกราคม 2555 เวลา:22:52:42 น.  

 
มินตรา....

ส่วนตัวผมเองชอบเยอรมันมาต้งแต่เด็ก...โดยเฉพาะ
mercides bmw audi ....555

แคทอลิค น่าจะเป็นกลุ่มอนุรักษ์นิยมที่เน้นเรื่องศักดิ์สิทธิ์และ
รูปแบบพิธีกรรมมากกว่า โปรเตสแตนท์ ...ทำนองเดียวกับ เถรวาท ของพุทธ ....แถมมีองค์กรจัดตั้งแบบ paradigm dogma ที่เข้มแข็งและได้รับการปกป้องสูง

เคคุยกับพวกแคทอลิค แล้วรู้ได้ถึงหลัก"ศรัทธา"ที่อ่อนไหวและปกป้องตัวเองสูง คล้ายๆอิสลาม ....แต่พวกโปรเตสแตนท์จะต่างกันไปค่อนข้างอิงเหตุผลมากกว่า...

ดีหน่อยที่ เถรวาท และ มหายาน ของพุทธยังไม่ถึงกับยกพวกฆ่ากันเหมือน ซุนหนี่ กับ ชีอะ ในตะวันออกกลาง ทั้งๆที่เป็นผลผลิตของอัลเลาะห์เหมือนกัน...

งงจริงๆ...ทำไมนิรมิตแห่งสรวงสวรรค์ถึงยอมให้เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นได้...หรือว่าสร้างขึ้นมาแล้วควบคุมไม่ได้...?


ไม่เฉพาะ บารอน ในยุโรปหรอกที่มีเลือดปฏิวัติ....แต่ผู้มีปัญญาทุกคนที่มักวางจิตใจอิงกับเหตุผล ก็มีเลือดปฏิวัติทุกคนนั่นแหละ...คนยิ่งมีการศึกษายิ่งครอบงำยาก (ยกเว้นการศึกษาแบบไทยที่ชอบสอนให้เชื่อฟังผู้ใหญ่...555)

จะให้คนที่รู้เรื่อง เศรษศาสตร์ ปรัชญา และ การเมือง เป็นอย่างดีมาเชื่อเรื่อง บุญญาธิการ วาสนา บารมี ของคนบางคนอันเป็นเท็จและเป็นมิจฉาทิฐิ...ได้ไง....

อ่านประวัติศาสตร์ให้ดี มองให้ทะลุ ก็จะเห็นแค่เรื่องการแย่งชิงอำนาจกัน และ ผู้ชนะเป็นเจ้า....ก็แค่นั้น..555

และอ่านศาสนาให้ดี เข้าใจให้ถูกต้อง่องแท้ ก็จะเห็นว่า ทุกสิ่งต้องเปลี่ยนแปลงเสมอ ไม่มีสิ่งใดจะอยู่คงทนถาวรตลอดไปได้..อยู่ที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น ตามหลัก อนิจจัง

คนที่รู้เรืองพวกนี้ได้ดีย่อมมิใช่กลุ่มคนประเภท "บัวใต้น้ำ" อย่างเด็ดขาด ยกเว้นมี hidden agenda ในการแสดงออกต่อสาธารณะเท่านั้น....

แต่ "บัวใต้น้ำ" แท้ๆย่อมยังมีอยู่เต็มพื้นที่บึง ห้วย หนอง อย่างปฏิเสธไม่ได้...ซึ่งต้องใช้เวลาที่นานสักหน่อยจึงจะพอ"คุยกันรู้เรื่อง"


โดย: สดายุ... วันที่: 7 มกราคม 2555 เวลา:6:11:15 น.  

 

สดายุ...

"O เนตรฉายสยายรหัสะเลศ
ประจุเจตะจับจอง
แผ่อิทธิฤทธิ์รชะตระกอง
ตละจ้องก็จับใจ "

"โฉมสะคราญสุดแดนดิน" นี่ ดูท่าจะชอบใช้ตา พูดนะคะนี่
แล้วดูจะ ช่างหวงช่างแหน ซะด้วย..


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.154.118 วันที่: 7 มกราคม 2555 เวลา:14:47:56 น.  

 

สดายุ...

มินตราลำดับเรื่องไม่เป็นแล้วล่ะ ว่า ดายุต้องการจะสื่ออะไร...
บุรุษที่หนึ่งริมน้ำ ณ โคนพฤกษ์ ..นี่ยังนึกภาพพระพุทธองค์ตอนตรัสรู้ ได้..
บุรุษที่สอง ริมใจ ณ ในกาย
อาคันตุกะราตรี
โฉมสะคราญสุดแดนดิน
เงาดำจากบาดาล
ดับกล..อนธการ

ตอนหลังหลังของการลำดับเหตุการณ์นี่ยังเป็นเรื่องต่อเนื่องกันไหม..เริ่มจะไม่เข้าใจแล้วล่ะ..มัวแต่ดื่มด่ำกับ"น้ำคำ" จนลำดับเรื่องไม่ได้ว่ากวี กำลังต้องการสื่ออะไรน่ะค่ะ..แถลงค่ะ แถลง..


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.147.227 วันที่: 8 มกราคม 2555 เวลา:16:41:50 น.  

 
มินตรา...

คืนแห่งจันทร์....ชื่อก็บอกว่าค่ำคืนนี้ ดวงจันทร์จะถูกกล่าวขวัญถึงไปนานนับพันปี เพราะคืนนี้จันทร์เต็มดวง...

บุรุษที่ ๑ ณ โคนพฤกษ์ เป็นเพียง"รูป"ประการเดียวในบทนี้
ที่เหลือนั้นเป็น"นาม"ทั้งสิ้น...เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดเลือดพล่านเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ "ปฏิจจสมุปบาท" จะถูกลำดับใคร่ครวญด้วยปัญญาญาณอันแรงกล้าและถูกตัดวงรอบได้ในที่สุด...

หากมาลำดับเรื่องราวตามช่วงกาลเวลาแล้ว...จะเห็นได้ว่า

ด้วยวัย 10 พรรษาทรงบรรลุโสดาบันกลางพิธีแรกนาแห่งเมืองกบิลพัสดุ์

เมื่อวัย 29 ทรงออกแสวงหาโมกขธรรม และที่สำนักแรกคืออาฬารดาบสทรงบรรลุเพียง สกิทาคามี จึงทรงปลีกไปเสีย

จากนั้นที่สำนัก อุทกดาบส ทรงบรรลุอนาคามี และนั่นคือจุดสูงสุดของพราหมณ์ หรือ ทุกสำนักในยุคนั้นที่เฝ้าแต่เพ่งพิจารณาไปนอกตัวเพราะวาง"โลก"เป็น"รูปธรรม"คอยจับยึดและมีปฏิสัมพันธ์ด้วย...ซึ่งเป็นการวางจิตใจลงพิจารณาที่ผิดจุด เหมือนคนขุดหาสมบัติแล้วไม่มีลายแทงบอกตำแหน่งก็ต้องขุดไปเรื่อยจนหมดทั้งภูเขาก็ยังไม่เจอ...

จึงยังติดอยู่ที่"ตัวตน ของตน"ทั้งสิ้น

แต่ที่โคนต้นโพธิ์เดือนวิสาขะคืนจันทร์เต็มดวงนั่นเอง...ทรงบรรลุอรหันต์ด้วยพระองค์เอง หลังจากการใคร่ครวญลำดับขั้นตอนการเกิดของทุกข์อย่างละเอียดลึกซึ้ง...จนสามารถแยกแยะอาการในจิตอันเกิดขึ้นเพียงกระพริบตานั้นออกได้เป็น 11 ลำดับขั้นตอน...ซึ่งเป็นเหตุเป็นปัจจัยส่งต่อถึงกัน

อวิชชา -> สังขาร -> วิญญาณ -> นามรูป -> อายาตนะ ->ผัสสะ -> เวทนา -> ตัณหา -> อุปาทาน -> ภพ -> ชาติ -> ชรา มรณะ โศกะ ปริเทวะ -> ทุกข์ โทมนัส อุปายาส

และหากพิจารณาต่ออีกสักหน่อย...คงจำได้ว่าในบรรดาสาวกที่เป็นพระอรหันต์ทั้ง 1,250 รูปที่ไปประชุมโดยมิได้นัดหมายในวันมาฆะนั้น เป็นกลุ่มชฎิลสามพี่น้องเสีย 1,000 รูปทีเดียว

ซึ่งน่าตั้งข้อสังเกตุมาก..ว่าทำไมกลุ่ม ชฎิล ถึงบรรลุอรหันต์กันมากมายขนาดนั้น ?

ก่อนขอบวชกับพระพุทธเจ้านั้น ชฎิล มีวัตรปฏิบัติอย่างไร...ตรงนี้อนุมานเอาได้ว่าน่าจะมาถูกทางในแง่การฝึกฝนจิตใจ...แต่จุดสูงสุดก็ยังเป็นการ"บูชาไฟ" ซึ่งน่าจะใช้แทนภาวะที่ยังเข้าไม่ถึง เข้าใจไม่ได้อยู่ไปพลางๆก่อน...

(สำหรับแนวคิดที่เพ่งพิจารณาไปนอกกาย...จะต้องมี"อะไรสักอย่าง"มารองรับ หรือ รับรอง การวางจิตใจลงอาศัย...ซึ่งส่วนใหญ่ในยุคนั้นใช้ไฟ รวมทั้ง ดิน ลม น้ำ ภูเขา ต้นไม้ใหญ่ หุบเหว ดวงดาว ซึ่งในเวลาต่อมาได้มีพัฒนาการมาเป็นรูปเคารพในที่สุด)

เข้าใจว่าภาวะจิตของชฎิลสามพี่น้องรวมทั้งบริวารทั้ง 1000 คนนั้นถึงระดับ อนาคามีอยู่ก่อนแล้ว ยังเหลือ"ตัวตน"ที่นึกไม่ถึงเพราะอยู่ภายในกาย...

เมื่อฟังพระพุทธองค์ตรัสเรื่องปฏิจจสมุปบาทเท่านั้นก็บรรลุธรรม ถอนอาสวะ หรือ สัญชาติญาณแห่งสัตว์ออกจนหมด

และด้วย ปฏิจจสมุปบาทธรรมนี้เอง ที่ทำให้เรา"ไม่มี-การเวียนว่ายตายเกิดแบบวิญญาณเดิมหลังกายแตกดับแล้วเปลี่ยนเข้าร่างใหม่รอบแล้วรอบเล่า" ตามอย่างแนวคิดแบบพราหมณ์ซึ่งพระพุทธองค์ทรงปฏิเสธ

หากใครที่มาแอบอ่านแล้วรู้สึกขัดแย้งกับความเชื่อที่ตนมี...ขอให้รับรู้ว่า "คุณไม่ใช่พุทธ" และที่เชื่อนั้น "ผิดและเป็นมิจฉาทิฐิ 1000%"

สาธุ
อิๆๆ


โดย: สดายุ... วันที่: 8 มกราคม 2555 เวลา:19:36:08 น.  

 

สดายุ...

กราบขอบพระคุณที่ อธิบายให้เลื่อมใสจริง..
กำลังเคลิ้มตาม (เพราะไม่มีความรู้เรื่องศาสนาเลย) และจะลงด้วย"สาธุ"..
มาสะดุดตรง.."หากใครที่มาแอบอ่านแล้วรู้สึกขัดแย้งกับความเชื่อที่ตนมี...ขอให้รับรู้ว่า "คุณไม่ใช่พุทธ" และที่เชื่อนั้น "ผิดและเป็นมิจฉาทิฐิ 1000%" "

ทั้งมินตราและ142users online เลยตื่นจากพวังค์เพราะ เจอ เผด็จการตัวจริง1000%..555


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.147.227 วันที่: 8 มกราคม 2555 เวลา:22:05:27 น.  

 

แก้คำผิด..
"ภวังค์" ค่ะ มิใช่ พวังค์..ภาษาไทยยาก ตรงที่ชอบใช้ภาษาแขกนี่เอง..


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.147.227 วันที่: 9 มกราคม 2555 เวลา:0:40:52 น.  

 

ดายุ...

"คืนแห่งจันทร์....ชื่อก็บอกว่าค่ำคืนนี้ ดวงจันทร์จะถูกกล่าวขวัญถึงไปนานนับพันปี เพราะคืนนี้จันทร์เต็มดวง..."
เพ็ญแข...
ที่นี่เมื่อคืน พระจันทร์ทรงกลด งามนัก จับใจเหลือเกิน..


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.147.227 วันที่: 9 มกราคม 2555 เวลา:3:06:44 น.  

 
มินตรา...

จุดอ่อนของ"คนที่เรียกตัวเองว่าชาวพุทธ" คือการตีความหลักธรรมกันตามใจชอบ โดยขาดการตรวจสอบทักท้วง...เพราะใช้ความคิดว่า"ใครจะเข้าใจอย่างไรก็ได้ตามแต่ภูมิปัญญาที่ตั้งอยู่" เป็นเกราะป้องกันความคิดตนเอง...อันเป็นภาวะการณ์เดียวกับ "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่"..นั่นเอง

ซึ่งเป็นตัวทำลายศาสนาโดยตรง

ที่ถูกแล้วคือ "หากไม่ถูกต้องแล้ว..ต้องช่วยกันลบหลู่"

หากเราย้อนคิดสักนิดว่า...หากแนวคิดพราหมณ์ที่แพร่หลายอยู่ในช่วงพุทธกาลนั้นถูกต้องแล้ว...พระพุทธองค์จะมาประกาศหลักธรรมใหม่ทำไม ?

ดังนั้น มันต้องผิด 1000% อย่างที่ผมว่า...

แนวคิดเรื่อง วิญญาณ เวียนว่ายตายเกิด ออกจากร่างแก่ชราภาพ แล้ว อุบัติในร่างน้อยในครรภ์มารดาของอีกชาติหนึ่งนั้น...ทางพราหมณ์เขาถือว่าเป็น"ตัวตน"เดิมเดียว เปลี่ยนแต่รูปขันธ์เท่านั้น (อย่าไปพูดว่า "รูปสังขาร"เชียวนะ...เพราะสังขารคือ อำนาจแห่งการปรุงแต่ง ซึ่งเป็นนามธรรม...นาม คือ ไม่มีรูป จับต้องไม่ได้..) คือหลัก อาตมัน ของพราหมณ์

ซึ่งเปรียบเหมือนคนเราเปลี่ยนเสื้อผ้า...เสื้อผ้าเปรียบเหมือนเนื้อหนังมังสา...และเนื้อตัวเปรียบเหมือนวิญญาณ - ซึ่งเที่ยงแท้ และเป็นตัวตนเดิม ทุกการอุบัติ(การเกิดขึ้น) หรือ จุติ(คำนี้คือ การแตกดับทำลาย..ใครที่ชอบใช้คำนี้แทนการเกิดใหม่ จงเปลี่ยนซะ..เพราะมันน่าหัวร่อ..เป็นต้นว่า..เชิญจุติ แปลว่า เชิญตาย เชิญแตกดับ..ความหมายมันเท่ห์ไหม....555)


ทีนี้พอให้อิสระในการตีความ...ก็พากันลงเหวอย่างที่รับรู้กันนี่แหละ...พระพุทธโฆษาจารย์เอย...พระร่วงเอย...แถมยังเขียนเผยแพร่แนวคิดที่เป็นมิจฉาทิฐิอีกทั้ง วิสุทธิมรรค ทั้งไตรภูมิพระร่วง...

เถรวาท จึงขาดจาก พุทธจิต ไปโดยปริยาย
ขณะที่ มหายาน โดยเฉพาะของทางธิเบตนั้น กระบวนการ"ตรรกะวิภาษ" กลับสามารถกรอง"ขยะ"ออกจากพระศาสนาได้มากมาย และเป็นที่ยอมรับของชนชาวตะวันตกได้มากกว่า

องค์กรพุทธอย่างมหาเถรสมาคม ก็มีแต่พระแก่ๆติดลาภยศ พัดยศ จัดการเรื่องราวไม่ได้ คอยควบคุมดูแล...

สมเด็จ
พรหม
ธรรม
เทพ
ราช

มินตรา เห็นไหม "ยศศักดิ์ของพระ" ผู้ละทิ้งทางโลกออกแสวงหาพรหมจรรย์....5555





โดย: สดายุ... วันที่: 9 มกราคม 2555 เวลา:9:46:11 น.  

 
เพื่อเป็นวิทยาทาน...แก่ผู้สนใจ


จุติ-ปฏิสนธิ-อุบัติ

คำในภาษาบาลีที่เรานำมาใช้ในภาษาไทย และก็ปรากฏว่าใช้กันอย่างผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปจากความหมายเดิม บางทีก็ถึงกับ “ตรงกันข้าม” กับความหมายเดิมก็มีอยู่หลายคำด้วยกัน แต่คำที่ใช้กันผิดมากที่สุดคำหนึ่งก็คือคำว่า “จุติ”

คำว่า “จุติ” มักใช้เข้าคู่กับ “ปฏิสนธิ” และ “อุบัติ”

คำว่า “จุติ” นี้ ตามรูปศัพท์ แปลว่า “การเคลื่อน” คือเคลื่อนจากภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่ง หรือเคลื่อนจากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง เมื่อรวมความแล้ว ก็คือ “ตาย” นั่นเอง พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ให้ความหมายไว้ว่า “ก. ตาย (มักใช้แก่เทวดา).”

ตามปรกติถ้าเรานำเอาคำว่า “จุติ” มาใช้ เรามิได้ใช้กับมนุษย์ทั่ว ๆ ไป และก็มิได้ใช้แก่บรรดาสัตว์นรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์ดิรัจฉานอื่น ๆ จะใช้ก็กับเทวดาหรือพรหมเท่านั้น เช่น เทวดาจุติจากสวรรค์มาเกิดในโลก หรือ พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต มาปฏิสนธิในพระครรภ์พระนางสิริมหามายา เมื่อ “จุติ” แล้วก็ต้อง “ปฏิสนธิ” ทันที

คำว่า “ปฏิสนธิ” พจนานุกรม ฉบับ พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ให้ความหมายไว้ว่า “(แบบ) (คือคำแบบ) ก. เกิดในท้อง.” แต่ตามรูปศัพท์คำว่า “ปฏิสนธิ” แปลว่า “ความต่อเนื่อง” ก็ได้

คงจะเป็นเพราะความเข้าใจผิด จึงมีผู้นำคำว่า “จุติ” มาใช้ในความหมายว่า “เกิด” อยู่บ่อย ๆ เช่น “เขาจุติเป็นมนุษย์” ก็หมายความว่า “เขาเกิดเป็นมนุษย์” ที่จริงแล้วจะต้องบอกว่า “เขาจุติมาเกิดเป็นมนุษย์” คือ “เขาตายแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์” และในที่นี้ก็ต้องหมายถึงตายจากเทวโลกหรือพรหมโลกเท่านั้น

ในภาษาบาลี คำว่า “จุติ” ซึ่งแปลว่า “การตาย” นี้ ท่านนิยมใช้เข้าคู่กับ “อุบัติ” ซึ่งแปลว่า “การเกิด” พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ให้ความหมายไว้ว่า “น. การเกิดขึ้น, กำเนิด, การบังเกิด, รากเหง้า, เหตุ. ก. เกิด, เกิดขึ้น.” ดังในคำว่า “จุตูปปาตญาณ” แปลว่า “ความรู้ในจุติและเกิดของสัตว์ทั้งหลาย, ทิพยจักษุญาณ ก็เรียก.”

เมื่อกล่าวถึงคำว่า “อุบัติ” แล้ว ในปัจจุบันมีคำที่เกี่ยวกับ “อุบัติ” ที่ใช้กันมากอยู่ ๒ คำ คือ คำว่า “อุบัติเหตุ” (อุ-บัด-ติ-เหด) กับ “อุบัติภัย” (อุ-บัด-ติ-ไพ) แต่ในพจนานุกรมเก็บไว้เฉพาะคำว่า “อุบัติเหตุ” เท่านั้น ส่วนคำว่า “อุบัติภัย” เป็นคำเกิดใหม่ เพิ่งเกิดหลังจากที่พจนานุกรม ฉบับ พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ตีพิมพ์ออกมาสู่ท้องตลาดแล้ว

คำว่า “อุบัติเหตุ” พจนานุกรม ได้ให้บทนิยามไว้ว่า “น. เหตุที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด, ความบังเอิญเป็น.” ส่วนคำว่า “อุบัติภัย” นั้น ท่านหมายถึง “ภัยที่เกิดจากอุบัติเหตุ” แต่คำทั้ง ๒ นี้ มักมีผู้พูดหรืออ่านเป็น “อุ-บัด-เหด” และ “อุ-บัด-ไพ” อยู่เสมอ ตามหลักแล้วควรอ่านว่า “อุ-บัด-ติ-เหด” และ “อุ-บัด-ติ-ไพ” เพราะเป็นคำสมาส.

ผู้เขียน : ศ.จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต สำนักศิลปกรรม
ที่มา : ภาษาไทยไขขาน. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แพร่พิทยา. ๒๕๒๘. หน้า ๓๗๖-๓๗๘.



โดย: สดายุ... วันที่: 9 มกราคม 2555 เวลา:10:21:46 น.  

 
สะใภ้เยอรมัน...
อีกสักหน่อย

เวลา : วันที่ 31 ธันวาคม 2554
สถานที่ : พระธาตุลำปางหลวง
พฤติกรรม : การเดินวนรอบองค์พระธาตุ 3 รอบพร้อมธูปเทียนดอกไม้ และการกล่าวขอสารพัดเรื่อง พล่ามไปตลอดการเดิน
กลุ่มคน : ทั้งหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ ทั้งกลางคน ทั้งเฒ่าชรา

นี่คือภาพแห่ง "พิธีกรรมสืบทอดที่แทบจะไม่รู้เรื่องหลักธรรมเลย" ที่ไม่ใช่เฉพาะคนแก่เท่านั้น แต่เด็กหนุ่มสาวรุ่นใหม่ก็ด้วย ปริมาณมากพอๆกัน...

พฤติกรรมแบบนี้เกิดทุกภาค ทั้งสังคม

โดยหารู้ไม่ว่า...
ทำไมต้องเดินวนรอบพระธาตุ 3 รอบ ?
และเดินวนแล้วได้อะไร ?
แล้วที่ขอโน่นขอนี่นั้น ขอเอากับใคร ? หรือ สิ่งใด ?
และ ใคร หรือ สิ่งใด นั้น อยู่ที่ไหน ?
และใครนั้นจะรับรู้ได้อย่างไรว่าเราขอ ?
และจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าได้ตามขอเพราะใคร หรือสิ่งใดนั้นหรือไม่ ?

แล้วพฤติกรรมแบบนี้ ที่เยอรมันมีหรือไม่ ? สงสัยจริงๆ นะนี่

เห็นอยากจะเป็นประชาธิปไตยแบบเยอรมัน อังกฤษ กันเหลือเกิน...หากที่เยอรมันไม่มีเดินวนสามรอบ ก็แสดงว่าระหว่างเรา ไทย-เยอรมัน ก็ไม่เหมือนกันสินะ

555


โดย: สดายุ... วันที่: 9 มกราคม 2555 เวลา:16:59:46 น.  

 

ดายุ..

"แล้วพฤติกรรมแบบนี้ ที่เยอรมันมีหรือไม่ ? สงสัยจริงๆ นะนี่"
คนปกติธรรมดาจะเดิน มากมากตามริมน้ำ ในสวนสาธารณะ หรือป่าเพื่อสุขภาพ..มินตราก็เดินทุกวัน ใช้คำว่าไปเดินเล่น..

ส่วนเดินจงกรม มีตามโบสถ์ ซึ่งตาเถร..เณร..ชี เดินกัน..มาอยู่ที่นี่จึงเข้าใจว่า การเดิน"จงกรม"นั่น เดินเพื่อขยับกระดูก แขนขา ให้แข็งแรง เพราะเรามีแดดน้อย กระดูกจะเปราะบ่อย..

ฉะนั้นเดินไปบ่นไป สามสี่รอบเช่นที่บอก คนในยุโรปอาจจะเข้ามาถามว่า อะไรหายหรือคะ จะให้ช่วยหาให้ไหม ..
มีคำทางวิชาการว่า"ยุคก่อนวิทยาศาสตร์"..ก่อนที่มนุษย์จะมีความสามารถในการ"ตอบเรื่องปรากฎการณ์ธรรมชาติได้ด้วยเหตุและผล"..

ถามเช่นนี้ ก็ต้องตอบว่า"คนไทยไม่ได้ต้องการประชาธิปไตยหรอก"...
เพราะพอใจในสภาพที่เป็นอยู่ ไม่มีใครเดือดร้อน นอกจากจตุพรและณัฐวุฒิ..555ตั้งหน้าตั้งตากัน เอาเป็นเอาตาย ที่จะรวมพลให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้...
เพื่อเดินไปในกองไฟอันสวยงามเช่นแมงเม่า..ไปรวมกระจุกกันให้ใครเค้าขึ้นไปนั่งบนห้าง เลือกยิงได้ตามแต่อำเภอใจ..
ฑูตานุฑูต ได้ลงนามร่วมกันขอร้องประเทศไทยแล้ว สามวันก่อนที่จะเกิดเหตุราชประสงค์..ไม่เห็นมีใครเค้าจะสนใจแมงเม่าเลย..
จนบัดนี้ ก็ไม่เห็นมีใครเดือดเนื้อร้อนใจกับการตายของประชาชน นอกจากองค์การสหประชาชาติ สหภาพยุโรปและสมาพันธ์นักข่าว
ซึ่งคงจะเป็นเรื่องยาว ไม่จบง่ายง่าย..

ที่ต้องการจะเหมือนเยอรมันก็คงเป็นเช่นดายุ กระมัง 555 คือ
รู้จักเมอเซเดส แต่คนเยอรมันเห็นขบวนเมอเซเดสสิบกว่าคัน รูปแบบเดียวกันสีแดงเป็นขบวนยาวเมื่อเดือนธันวาคม.ยัง..อื้อฮือ..เยอรมันขอคารวะ เพราะ เรานั่งรถเมล์รถรางรถใต้ดินกัน(Mass Transport)
เช่นเดียวกับการมีเครื่องบินประจำตำแหน่ง สองสามก๊อปปี้..
ยึดไปหนึ่งยังมีอีกหนึ่งตามมาให้ยึดอีก..คนเยอรมันตกใจในความยิ่งใหญ่จนมิกล้ายึดอีกเลย..555 คงเข็ดไปอีกนาน..

มินตราจะหายไปบินชมพระจันทร์ ใกล้ใกล้..เหนือเมฆสักสองสามวัน จะดูว่าสวยเท่ากับดูบนพื้นดินไหม..เราก็สาวไทยนี่นา..จะให้มาเจียมเนื้อเจียมตัวเช่นคนเยอรมันที่แพ้สงครามโลกและถูกบังคับให้ใช้หนี้สงคราม จนมิกล้าฟุ่มเฟือย ได้ยังไง จริงแม๊ะ...

เราสองคนนี่ช่างคุยนิ..ยาวเหยียดเชียว..พันหนึ่งทิวา..


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.151.221 วันที่: 9 มกราคม 2555 เวลา:23:21:04 น.  

 
แก้คำผิด..
"องค์กร"สหประชาชาติค่ะ

อุปนิสัยชอบ"แก้"ค่ะ ..555 (เลยแกล้งทำผิดบ่อยบ่อย)


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.151.221 วันที่: 9 มกราคม 2555 เวลา:23:28:22 น.  

 

สดายุ..
"O เนตรต่อเนตรขณะสบก็ครบภวะวิสัย
แจ้งเภทและเลศนัย - - - กระนั้น "

กำลังหอบกระเป๋าบินไปชมจันทร์เหนือเมฆ นะ
จะพยายามหาดูว่าจะไป"เนตรต่อเนตร"กับหนุ่มไหนแล้วจะ
"...........ครบภวะวิสัย
แจ้งเภทและเลศนัย - - - กระนั้น "ได้อีกบ้างไหม..

หนูมด..
ออกมา"เจ๊าะแจ๊ะ"กับคุณกวีเธอบ้างนะคะ..หลอกล่อไว้จนกว่ามินตราจะเท้า"ติดดิน"..มิฉะนั้น ท่านจะหายเงียบจนต้องประกาศหากวีมาแทนที่..555(เอ..บล๊อคนี้ของใครนะ!)


โดย: บุษบามินตรา IP: 79.221.152.114 วันที่: 10 มกราคม 2555 เวลา:12:08:41 น.  

 
มินตรา...

ที่ลำปางนี้..
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้ทำงานใกล้ชิดกับระดับ"ค่าแรงรายวันขั้นต่ำ วันละไม่ถึง 300 บาท วันไหนไม่มาทำงานก็ไม่ได้เงิน" จะเรียกว่าระดับรากหญ้าก็คงไม่ผิดนัก..

นอกจากเรื่องสรรพเพเหระของผู้คนในชุมชนที่คนพวกนี้อาศัยอยู่แล้ว..ก็เรื่องไร่นาเรื่องทำมาหากิน...ที่พูดคุยกัน

เรื่องประชาธิปไตย...เรื่องแก้รัฐธรรมนูญ...เรื่องมาตรา 112 อะไรนั้นไม่เคยมีแม้สักแอะจะออกจากปากพวกเขา...ไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำว่า"อะไร"และ"อย่าไร" รวมทั้งเรื่องราวที่แยกราชประสงค์"ครั้งนั้น" ว่ามันเดือดร้อนอะไรกันนักหนา ...555

เพราะฉะนั้นที่เขียนว่า...
"คนไทยไม่ได้ต้องการประชาธิปไตยหรอก
เพราะพอใจในสภาพที่เป็นอยู่ ไม่มีใครเดือดร้อน "..
นั้น...ชอบแล้ว...ตรงตามที่เห็นในชีวิตจริง...

พอดีว่าผมเป็นคนที่ไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ ไม่ค่อยเชื่องกับใครง่ายๆ..แบบที่"นายแถวดูไบ"ดีดนิ้วเปรี้ยะก็กระดิกหางจนก้นส่ายหูลีบเข้าไปเลียมือทันทีนั้น...คงทำไม่เป็นไปจนตาย...555

จึงฟังนักโต้วาทีใส่เสื้อสีแดง แถวแยกราชประสงค์พูดได้ไม่เกิน 5 นาที...


ส่วน...สหประชาชาติ หรือจะสหรัฐ ก็ตาม...คงจบไม่ยาก..อย่าไปคิดว่ามันยิ่งใหญ่อะไรเลย...กับแนวทางตะวันตก

ไม่ว่าจะเรื่องส่งกำลังทหารไปยึดบ้านเมืองเขา ทั้ง อัฟกัน อิรัค ลิเบีย ก็ยังชอบธรรม...

ห้าม เกาหลีเหนือ อิหร่าน มีระเบิดนิวเคลียร์...
แต่สหรัฐเองมีเป็นพันลูก และเคยใช้ถล่มประเทศอื่นมาแล้ว ทั้งๆที่บอกว่ามีระบอบการเมืองชอบธรรม..

มีประเทศไหนเคยใช้นิวเคลียร์ฆ่าคนตายเป็นแสนบ้าง นอกจากอเมริกา บอกได้ให้ 5 บาท ?.....555

อิสราเอลมี 200 ลูก
อังกฤษ
ฝรั่งเศส
รัสเซีย
จีน
อินเดีย
ปากีสถาน

ก็ล้วนมีทุกประเทศ...แล้วคุณมีสิทธิ์อะไรมาห้ามคนอื่นไม่ให้มี...
ในเมื่อกองทัพ ทหาร คุณ อยู่รายล้อมเขาแบบนั้น...

ทั้งในอิรัค คูเวต ซาอุ อัฟกัน ยิวก็เป็นพันธมิตร..ปากีสถานก็เป็นมิตร....ล้อมอิหร่านทุกด้าน...แบบนั้น

ทีตัวเอง รัสเซียขนขีปนาวุธ จะไปตั้งในคิวบา ยังออกอาการโวยวาย...จนเกิดวิกฤตเกือบเปิดศึกกันมาแล้ว...จำได้ไหม ?

แล้วเรื่องภายในของไทย...จะมายุ่งอะไรได้ ?

สิทธิมนุษยชนเหรอ...จีน เวียดนาม ลาว เผด็จการล้วนๆ ไม่เห็นไปจุ้นเขาล่ะ ....ประเทศพวกนี้มันยิ่งกว่า รสช+คมช เสียอีก...

ทำไมไม่ไปบอกจีนว่า กรณีเทียนอันเหมิน ยังไม่เคลียร์ ฉันจะไม่ให้บริษัทอเมริกันมาลงทุนในแดนตัวนะจ๊ะ....แล้ว iphone จะได้ขายเครื่องละ 5 หมื่น เพราะ made in usa ...55555

ฝรั่งมันจอม โวหารภาพพจน์ โดยเฉพาะในแวดวงนักการเมือง...นักการทูต...อย่าไปบ้าตามมันมากนักเลย สะใภ้เยอรมัน...


ในความคิดผมแล้ว...
จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับใครทั้งนั้น...
ช่วงเวลานี้ก็แหกปากทำท่าห่วงใยกันตามหน้าสื่อไปงั้นเอง...เพราะเพิ่งมีคนตายเพราะช่วยต่อสู้ให้พวกนักพูดได้สู่อำนาจการเมืองมายังไม่นานนัก...

อภิสิทธิ์ สุเทพ รวมทั้งพวกนายทหารชั้นนายพล จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น...

ครั้ง จอมพลถนอม จอมพลประภาส พอ.ณรงค์ มีอะไรเกิดขึ้นกับคนพวกนี้ไหม

ครั้ง รสช. มีอะไรเกิดขึ้นกับหัวขบวน จปร.5 ไหม

คำตอบคือ ไม่มี ไม่เคยมี และไม่มีทางที่จะมีไปอีกนาน...หรือจนกว่า ไฟเหลืองตามสี่แยกทุกแยกทั้งประเทศจะมีรถทุกคันเคารพและหยุดลงอย่างเด็ดขาด 100% เสียก่อนจะเป็นไฟแดง...ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับชนชาตินี้.... 555

เพราะสังคมนี้...การบังคับใช้กฎหมาย มันล้มเหลว
เพราะสังคมนี้...ผู้คนไม่เคยเคารพกฎ กติกา การอยู่ร่วมกัน
เพราะสังคมนี้...ผู้คนขาดความคิดเป็นของตนเอง ชอบตามแห่ตามโห่ อย่างมืดบอด
ที่เป็นเช่นนี้...เพราะสังคมนี้ไม่ใช่สังคมอุดมปัญญา ไม่ใช่สังคมของการใฝ่รู้ในสาระแห่งชีวิต
ที่เป็นเช่นนี้...เพราะระบบการให้การศึกษาขั้นบังคับล้มเหลว แทบจะโดยสิ้นเชิง
ที่เป็นเช่นนี้...เพราะระบบการเมืองไม่สามารถวางคนให้ตรงกับงานได้อย่างเหมาะสม เรามักจะได้ หมู หมา กา ไก่ มาดูแลการศึกษาของชาติ และเราไม่เคยมองเห็นความโดดเด่นในนโยบายและการปฏิบัติจนทำให้ ranking ในระดับโลกกระเตื้องขึ้น หรือ เข้าใกล้ สิงคโปร์ได้เลย ไม่ว่ารัฐบาลใด

เอาแค่นี้ก่อน...กะเดี๋ยวคนอ่านขวัญอ่อน...ขวัญจะเตลิดเปิดเปิงไปหมด....555


โดย: สดายุ... วันที่: 10 มกราคม 2555 เวลา:21:33:11 น.  

 
สวัสดีครับคุณสดายุ

อยากบอกอย่างแรกว่า ชอบฉันท์ที่เขียนมากๆจริงๆ อ่านแล้ว "อุระล้ำระเริงใจ" (ขอยืมคำชิต บุรทัตมาหน่อยนะครับ แหะๆ)

ผมเองได้เรียนรู้วิธีการแต่งฉันท์ดีๆ ก็จาก blog นี้แหละครับ... อยากบอกว่า หาคนแต่งวสันตดิลกฉันท์ ดีกว่านี้ คงไม่มีแล้วอะครับ..

ขอคารวะจากใจจริงๆ


โดย: เอบีซี IP: 101.98.149.221 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:17:17:46 น.  

 
มาหาข้อมูลเรื่องวัตรปฏิบัติของชฎิลแต่มาเจอ ฉันท์ที่เล่าเรื่อง
ฉัน กะ ฉัน กะ เธอ กะ เขา แต่ทั้งหมด มีแต่เพียงชายหนึ่งหญิงกับเทพติรัจฉานหนึ่งเท่านั้น คือ ๑.พระสัมมาสัมพุทธเจ้า กับ อีก๑.คือ อิสตรีที่เอาข้าวมธุปายาสไปถวายเท่านั้น เงาดำในน้ำก็น่าจะหมายถึง กาฬนาคราชที่มารับถาดทอง ที่ พ. ลอยเสี่ยงทาย ที่เหลือล้วนเป็นบุคคลาธิษฐานทั้งหมด


โดย: L_ชฎิลมือใหม่ IP: 192.168.1.122, 171.96.12.165 วันที่: 20 พฤษภาคม 2555 เวลา:0:20:52 น.  

 
เงาดำ คือ พญามาร คือ ต้นตอความชั่วร้าย คือ อวิชชา
เป็นบุคคลาธิษฐาน เช่นกัน


โดย: สดายุ... วันที่: 20 พฤษภาคม 2555 เวลา:8:28:04 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.