Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
12 ธันวาคม 2552
 
All Blogs
 
เที่ยว "สังขละบุรี" กับคนท้องถิ่น


คอลัมน์ บันทึกเดินทาง

จิรพงศ์ เกิดเรณู-เรื่อง ศุภโชค สอนแจ้ง-ภาพ



*ทุกครั้งที่กลับบ้าน รอยยิ้มลึกๆ ในใจและความสุขลึกล้นมักจู่โจมเข้าหาอย่างไม่รู้ตัว เป็นความสุขที่หาจากที่อื่นมาเทียบมิได้

เหมือนเช่นครั้งนี้ ที่มีโอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านที่อำเภอ "สังขละบุรี" จังหวัดกาญจนบุรี เมืองแห่งอารยธรรมสามเชื้อชาติ คือ ไทย กะเหรี่ยง และ รามัญ

สัญลักษณ์หนึ่งที่เห็นเด่นไกลเมื่อผู้มาเยือนเดินทางมาถึง เป็นสะพานไม้ทอดยาวเชื่อมสองฝั่งแม่น้ำสามสาย-แม่น้ำซองกาเเลีย, แม่น้ำบีคลี่ และแม่น้ำรันตี ที่ไหลมาบรรจบกันบริเวณใกล้ๆ สะพานไม้

แล้วยังมี "เจดีย์สามองค์" อีกสัญลักษณ์ที่เป็นเสมือนป้ายบอกอาณาเขตที่มีมาตั้งแต่ครั้งโบราณ รวมทั้ง "วัดจมน้ำ" ประหนึ่งของขวัญจากธรรมชาติมอบให้กับชาวมอญ

     สังขละบุรี สามารถท่องเที่ยวได้ทั้งสามฤดูไม่ว่าหน้าร้อน หน้าหนาว หรือหน้าฝน

อย่าง "หน้าหนาว" ไม่ต้องสาธยายรายอะเอียดให้มากความ เพียงแค่สามหมอก หมอกเช้า หมอกสาย และหมอกเย็น แค่นี้ก็เกินบรรยาย เพราะจะเห็นสังขละบุรีล่องลอยอยู่ในกลุ่มหมอกสีขาวขุ่น ดั่งเมืองสวรรค์ที่มองหาพื้นดินไม่เจอ

"หน้าร้อน" อากาสกลับเย็นสบาย สามารถไปเที่ยววัดจมน้ำ แบบเดินได้รอบวัด เพราะน้ำในเขื่อนลดลงมาก ทั้งโบสถ์ ทั้งกุฏิพระเก่า และกำแพงวัดที่เคยเห็นแค่หลังคาจะผุดโผล่ขึ้นมาให้เห็นแบบครบชุด

ส่วน "หน้าฝน" สังขละบุรี ก็ยังน่าเที่ยวอยู่ดี เป็นการท่องเที่ยวอีกรสชาติ โดยนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางแบบผจญภัย ขี่ช้างท่องไปในป่า และล่องแพไม้ไผ่เลาะเลียบตามลำน้ำ

"ตลอดสิบปีที่ผ่านมา สังขละบุรีเปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กละน้อย แต่ความเปลี่ยนแปลงนั้นไม่ได้หวืออหวาหรือเปลี่ยนชนิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะขนาดคนพื้นที่เองนานๆ กลับไปเยี่ยมบ้าน ยังสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงนั้นได้น้อยมาก"

กลับมาเยี่ยมบ้านครั้งนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่กับสังขละบุรี เป็นการเดินเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องเพราะมี "แขก" มาเยือน


*อย่าคิดว่าเป็นแขกโพกหัวล่ะ เพราะแขกที่ว่าเป็นเพื่อนสนิทที่ขอติดตามมาสัมผัสบรรยากาศอันงดงาม และสงบของสังขละบุรี

เพราะปกติแล้วหากเป็นคนท้องถิ่นทุกซอกทุกมุมในสังขละบุรีไม่มีพลาดสายตาไปได้

ฉะนั้น ในฐานะคนท้องถิ่นและเป็นเจ้าบ้านที่ดี จึงต้องอาสาเป็นไก๊ด์พาอาคันตุกะจากเมืองหลวงชมเมืองแม่น้ำสามสายแห่งนี้

เพื่อนสองคนลงจากรถประจำทางที่ท่ารถตู้ ในตลาดสังขละบุรี แล้วแวะกินก๋วยเตี๋ยวที่ร้านในตลาดเพื่อฟื้นฟูกำลัง ก่อนจะออกเดินทางแบบทำเวลาไปไหว้พระที่ "วัดหลวงพ่ออุตตมะ" และนมัสการ "เจดีย์พุทธคยาจำลอง" ซึ่งหากมุ่งหน้าไปตามถนนสายหลักแล้ว จากตลาดไปไม่ถึงสิบนาทีจะถึงเจดีย์พุทธคยาจำลองก่อน

เป็นเจดีย์ทรงลังกาสีทองอร่าม โดย "หลวงพ่ออุตตมะ" ซึ่งปัจจุบันมรณภาพไปแล้ว ได้จำลองมาจากเจดีย์พุทธคยาในประเทศอินเดีย

ต่างกันตรงที่เจดีย์ของหลวงพ่ออุตตมะเป็นสีทองอร่าม ขณะที่เจดีย์องค์จริงเป็นสีแดงอิฐธรรมดา และมีขนาดย่อมกว่า เจดีย์แห่งนี้เป็นที่ประดิษฐาน "พระบรมสารีริกธาตุส่วนกระดูกหัวแม่มือขวา" ของพระพุทธเจ้าจำนวน 2 องค์ มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร ยอดบนสุดของเจดีย์ใช้ทองคำแท้หนักทั้งสิ้น 400 บาท และใช้อิฐในการก่อสร้างทั้งหมด 260,000 ก้อน

ตามธรรมเนียมของคนสังขละบุรี เมื่อมาถึงเจดีย์สีทองต้องนมัสการพระพุทธรูปปางต่างๆ ที่ประดิษฐานอยู่บริเวณฐานเจดีย์เสียก่อน เพื่อความเป็นสิริมงคล แล้วจึงค่อยเข้าไปภายใน

วิวโดยรอบเจดีย์แห่งนี้สวยงามเหมือนอยู่บนสรวงสวรรค์ บรรยากาศของแม่น้ำสมประสบ และยิ่งมองจากมุมสูงที่ฐานเจดีย์ทำให้มองไปเห็นวัดจมน้ำอยู่ไกลๆ ไม่มีใครอดใจไหวไม่ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก (นอกจากคนไม่มีกล้อง)

ที่ร้านขายของฝากด้านล่างเจดีย์ ทำให้ทุกคนซื้อของฝากกันยกใหญ่ สินค้าที่นำมาขายที่นี่ ส่วนมากนำมาจากประเทศพม่า มีทั้งสินค้าที่ทำจากไม้-ไม้สลักรูปสัตว์ รูปเทวดาแบบพม่า กล่องไม้สำหรับใส่ของจิปาถะ หรือพวกเครื่องประดับที่ทำจากเครื่องเงิน กำไล สร้อย แหวน อัญมณี หรือถ้าใครอยากผิวสวยเหมือนสาวพม่าก็ต้องซื้อหาแป้งจากไม้ทานาค


*ใช้เวลาอยู่กับการช็อปปิ้งพอสมควร ก็ขับรถไปวัดด้านบนเพื่อนมัสการ "หลวงพ่ออุตตมะ"ที่ละสังขารไปแล้ว ในโลงแก้ว ที่จัดแต่งไว้อย่างสวยงาม

กราบพระและชมวัดเสร็จเรียบร้อย อากาศเริ่มขมุกขมัว เป็นสัญญาณบอกว่า "หมดเวลา" สำหรับวันนี้ ไว้พรุ่งนี้จึงตระเวนกันต่อ เพราะฉะนั้นไปเที่ยวสังขละบุรีต้องมีเวลาอย่างน้อย 3 วัน

หกโมงเช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งเจ้าบ้านและอาคันตุกะเตรียมพร้อม จุดหมายแรกของวันอยู่ที่ร้านกาแฟในตลาด มนต์เสน่ห์ของตลาดยามเช้าที่นี่เป็นสีสันที่สร้างความประทับใจให้กับนักท่องเที่ยวอย่างมาก เพราะมีข้าวของหลากหลายให้เลือกดูเลือกซื้อหาและซื้อกิน

มื้อเช้าสำหรับคนสังขละบุรีแล้วขอแนะนำอาหารพื้นเมืองคือ "ขนมจีนน้ำยาหยวก" เป็นเส้นขนมจีนกินกับน้ำยาที่ทำมาจากหยวกกล้วยนั่นแหละ อีกอย่างชื่อ "กะบ่องโจ่" เป็นฟักเขียวทอดจิ้มน้ำจิ้มคล้ายน้ำจิ้มเต้าหู้ทอด ชั่วไม่กี่นาทีที่อาหารมาวางตรงหน้าทุกอย่างหายวับไปกับตา

ทุกคนจัดการกับอาหารเช้าเสร็จก็ออกตระเวนกันต่อ มุ่งหน้าสู่สะพานไม้ที่ทอดตัวยาวข้ามแม่น้ำสามสาย เดินเล่นบนสะพานและถ่ายรูปกันสักครู่รอเวลาที่นัดเรือไว้ เพื่อไปชม "วัดจมน้ำ" ก่อนจะไปลงเรือต้องขึ้นแพล่องออกไปจากท่าเสียก่อนเพื่อไปขึ้นเรืออีกที

อากาศยามเช้าเย็นพอสมควร เพราะหมอกลงหนาปิดกั้นแสงอาทิตย์ส่องลงมาได้ไม่เต็มที่ ประกอบกับไอเย็นจากสายน้ำระหว่างเรือแล่นฉิวทำให้ทุกคนกระชับเสื้อเข้ากับตัวป้องกันความเย็นเล็ดลอดเข้าไปได้

     เมื่อทุกคนขึ้นเรือได้แล้วหมอกเริ่มจางไปบ้าง แต่ก็ยังมองไม่เห็นทางเสียทีเดียว เรือขนาดเจ็ดคนนั่งจึงวิ่งไปตามร่องน้ำ ฝ่าสายหมอกไปอย่างชำนาญ สอบถามเอากับคนขับเรือว่ามองไม่เห็นทางอย่างนี้ไปถูกได้อย่างไร?

เสียงเหน่อๆแบบคนเมืองกาญจน์ตอบกลับมาว่า "มาจากประสบการณ์และความชำนาญ"

ไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึง วัดจมน้ำ ซึ่งตอนนี้ที่โผล่พ้นน้ำมีเพียงหอระฆัง และโบสถ์ โผล่มาเพียงสองในสิบส่วนเท่านั้น แต่ที่วิเศษคือหมอกเหนือผิวน้ำ ลอยล่องอยู่รอบๆ โบสถ์ ทำเอาทุกคนบนเรือตื่นตะลึงกับความงดงามที่ปรากฏต่อสายตา เพราะที่ผ่านมาเคยเห็นแต่ในรูปและโปสการ์ดเท่านั้น

เพื่อนสองคนตื่นตาตื่นใจอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต ต่างบันทึกภาพกันมือระวิง เสร็จจากนั้นก็มุ่งหน้าไปต่อที่ "ซองกาเลีย"

เสียงเพื่อนหนึ่งในสองคนโวยขึ้น ว่าชื่อเหมือนไฮโซฝรั่งเศส เสียงตอบสวนกลับไปว่า "ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็รู้ว่าเป็นยังไง"

รถวิ่งออกจากตัวอำเภอไปตามเส้นทางสังขละบุรี-ด่านเจดีย์สามองค์ ประมาณ 7 กิโลเมตร ก่อนถึงหมู่บ้านซองกาเลียเล็กน้อย จะถึง "ห้วยซองกาเลีย" ลำธารขนาดกลาง มีน้ำไหลตลอดทั้งปี เป็นที่พักผ่อนของคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยว

ที่แห่งนี้มีซุ้มทำจากไม้ไผ่ไว้บริการผู้มาเยือนและนักท่องเที่ยว มีเครื่องดื่มและอาหารไว้บริการด้วย สั่งอาหารเครื่องดื่มนั่งกินริมลำธารก็สุขใจเป็นไหนๆ

"ซองกาเลีย" เป็นภาษากะเหรี่ยงก็ใช่ ภาษามอญก็ใช่

โดยภาษามอญแปลว่า "ฝั่งฝรั่ง" เพราะชาวมอญจะแบ่งฝั่งแม่น้ำออกเป็นฝั่งของตัวเองและฝั่งของพวกผิวขาวซึ่งมอญเรียกว่าฝรั่ง

ส่วนภาษากะเหรี่ยงนั้น เขาว่าเพี้ยนมาจากคำว่า "ซ่งขะเลีย"

     คำว่า "ซ่ง" แปลว่า แห้ง ส่วน "ขะเลีย" หมายถึง หาดกว้าง รวมความแล้วหมายถึง หาดกว้างที่แห้งๆ ประมาณนี้ หรือใครมีความรู้เป็นอย่างอื่นช่วยสงเคราะห์ด้วย ไม่ว่ากัน

ใช้เวลาอยู่ที่ลำห้วยนานพอสมควร จนแสงอาทิตย์ลำสุดท้ายโบกมือทักทาย ทั้งหมดจึงต้องอำลาความงดงามของสายน้ำ ธรรมชาติ ป่าเขา กลับไปหาความศิวิไลซ์ที่จากมา

"สังขละบุรี ที่เพื่อนทั้งสองได้สัมผัสจึงเป็นเหมือนความสุขที่เติมพลังให้กับหัวใจที่อ่อนล้า..ให้มีเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้ในสังคมเมือง...ต่อไป"

หน้า 23
ขอขอบคุณ
ที่มา :
มติชนรายวัน วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552


สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์


H O M E




Create Date : 12 ธันวาคม 2552
Last Update : 12 ธันวาคม 2552 13:10:41 น. 3 comments
Counter : 1124 Pageviews.

 
ผมไปมาตอนหน้าฝน เขียวชุ่มฉ่ำไปหมด
วันหลังจะไปตอนหน้าหนาว อยากเห็นไอหมอกกะฟ้าใส ๆ


โดย: ibozla วันที่: 12 ธันวาคม 2552 เวลา:14:25:47 น.  

 
ผมอีกคน ชอบ"สังขละบุรี" ในฤดูฝนมันเขียวสดชื่นไปหมด ได้เห็นทะเลหมอกง่ายๆๆด้วย


โดย: ชายเอ ทุ่งรังสิต วันที่: 12 ธันวาคม 2552 เวลา:15:29:48 น.  

 
ผมก็ชอบสังขละเหมือนกัน อากาศสบายๆ มีหมอก มีน้ำ แล้วก็งามวัฒนธรรมอีกต่างห่าง


โดย: โดม โฆษณา IP: 119.46.107.67 วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:13:09:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.