พราวตะวัน...โรมานซ์สตอรี่
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2554
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728 
 
9 กุมภาพันธ์ 2554
 
All Blogs
 
ด มิ ศ ร า ย อ ด รั ก บ ท ที่ 4

รถตู้คันใหญ่ที่เลี้ยวสวนมานั้นดูเหมือนจะเซไปเซมา แถมยังร่ำๆจะข้ามเลนมายังฟากของเขา ...ชนวีร์เขม้นมองอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นหัวรถเบนเข้ามาหาจึงรีบกดแตร แล้วหักรถหลบเข้าข้างทาง ยังดีอยู่หรอกที่ถนนสายนั้นเป็นถนนลาดยางที่กว้างพอควร

“ไอ้รถคันนั้นมันแปลกๆนะ คนขับหลับในหรือเปล่า?” ชฎายุเปรยเบาๆเมื่อเห็นรถที่สวนมาหักหลบเข้าข้างทางและจอดนิ่งสนิทเช่นเดียวกัน

“สงสัยจะใช่ว่ะ” ว่าพลางเปิดประตูรถ ก้าวออกไป สาวตาคมตวัดมองอย่างพินิจพิจารณา เกือบๆจะอาละวาดอยู่แล้วถ้าไม่เห็นเรือนร่างระหงของเขมิกา กับร่างเล็กจ้อยที่เขาจำได้ติดตาเดินอ้อมมายังด้านหน้ารถ

ชนวีร์หรี่ตามองอีกครั้งให้แน่ใจ เรียวปากหยักเม้มแน่นจนเกือบเป็นเส้นตรง
“ไอ้วี นั่นคุณเขมนี่หว่า...มากับใครวะ” ชฎายุที่เดินมายืนข้างๆเขาถามขึ้นอย่างสงสัย “ฉันตาฝาดหรือเปล่าวะ”

ชนวีร์ไม่ตอบแต่กลับเดินข้ามถนนไปหา ภายใต้สีหน้าเรียบเฉยนั้น ชฎายุเองก็ไม่สามารถจับได้ว่าลูกพี่ลูกน้องคนนี้ของเขาคิดกระทำการอันใด ทำได้เพียงเดินตามอยู่ห่างๆ

“สวัสดีครับ คุณเขม”

ร่างระหงในชุดกางเกงขาสั้นอวดช่วงขาเรียวหันขวับมาตามเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นใครจึงยิ้มกว้างอย่างนึกไม่ถึง

“อ้าว...คุณชนวีร์ คุณชฎายุ ไม่นึกเลยนะคะว่าจะได้พบพวกคุณที่นี่” ไม่ใช่แค่เขมิกาเท่านั้นที่หันมาทักทาย ดมิศราเองก็หันมายิ้มใส่อย่างแสนทะเล้น ออกจะยียวนกวนประสาทเสียด้วยซ้ำ

“โอ๊ะโอ...คุณผู้ใหญ่รังแกเด็กนี่เอง” คนถูกแขวะถลึงตาใส่ ขณะที่ริมฝีปากยังฉีกยิ้มให้เขมิกา

“ผมกลับมาไร่ตั้งแต่เมื่อวานแล้วครับ”

“อ้อ...ฉันเพิ่งออกจากกรุงเทพน่ะค่ะ เลยมาถึงซะเกือบเย็น” เขมิกาเหลือบสายตาไปมองรถคันเล็กแสนเก่าที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้าม

“ผมขับผ่านมา เห็นรถคุณมันเซไปเซมาเกือบจะข้ามมาชนผมอยู่แล้ว” ชนวีร์เป็นฝ่ายอธิบาย ขณะที่ชฎายุเสริมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่ม

“สงสัยคนขับรถของคุณเขมจะหลับในมั้งครับ” หญิงสาวหัวเราะน้อยๆ หันไปมองชายร่างท้วมผิวคล้ำที่ก้มหน้างุดอย่างรู้สึกผิด

“เมื่อวานลุงเสือเค้านอนน้อยไปหน่อยน่ะค่ะ เห็นบอกว่าดูฟุตบอลเพลินเลยหลับซะเกือบตีสอง...เมื่อกี้ที่ขับมาฉันก็กลัวๆอยู่เหมือนกัน ยิ่งเมื่อกี้นี้หัวใจแทบตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยค่ะ”

สุ้มเสียงของเธอนั้นไม่มีวี่แววตกใจเลยสักนิด เช่นเดียวกับหลานสาวจอมแก่น ดมิศราหัวเราะลั่น ยกมือกอดอกทำเป็นเดินวนไปรอบๆชนวีร์และชฎายุ
“ที่จริงน่าจะให้ลุงเสือขับชนเสียให้รู้แล้วรู้รอด”

“ยัยเล็ก!” เขมิกาปรามเบาๆ พอจะทำให้เจ้าตัวเล็กยักไหล่เดินกลับมายืนอยู่หลังผู้เป็นอา

“เด็กคนนี้...” ชฎายุที่ได้พบดมิศราเป็นครั้งแรกถึงกับออกปากถาม ยิ่งเห็นวงหน้าผุดผ่องแก่นเซี้ยวนั้นแล้ว เขาก็ชักเอ็นดู

“ดมิศรา...หลานสาวของคุณเขมิกาน่ะ” คนที่ไขข้อข้องใจให้กลับเป็นชนวีร์ที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋าจ้องหน้าเจ้าตัวแสบอย่างกะจะเอาเรื่อง

“รู้จักชื่อเราได้ไง?” คนตัวเล็กถามเสียงรวน คนตัวโตก็ตอบกลับแบบรวนไม่แพ้กัน

“ทำไม? หวงชื่อนักหรือเราน่ะ”

“ไม่ได้หวง แต่ไม่อยากให้คนที่เราเกลียดขี้หน้ารู้ชื่อของเรา”

“ก็รู้ไปแล้วนี่...ทำไงได้” ชฎายุฟังถ้อยสนทนานั้นแล้วถึงกับขมวดคิ้ว มองใบหน้าคมสันด้วยแววตาประหลาดใจ ด้วยไม่เคยเลยสักครั้งที่เขาจะเห็นชนวีร์เถียงอะไรแบบกวนประสาทแบบนี้มาก่อน

“เอ๊ะ!” ดมิศราชักขึ้นเสียง จนอาสาวต้องรีบห้ามทัพ

“ยัยเล็ก! เข้าไปนั่งรอในรถไป เร็วซี่” คนถูกสั่งหน้างอง้ำ แต่ก็ยอมเดินขึ้นรถไปแต่โดยดี แว่วเสียงเขมิกาลอยตามเข้ามา ก่อนที่ประตูรถจะปิด

“ขอโทษแทนยัยเล็กด้วยนะคะ แกก็แบบนี้ล่ะค่ะ”

สักสองสามนาทีได้ที่เขมิกากลับขึ้นมานั่งบนรถตามเดิม สีหน้าของผู้เป็นอาทำให้ดมิศราลอบระบายลมหายใจด้วยรู้ดีว่าคงถูกตำหนิอีกเป็นแน่แท้

“ทีหน้าทีหลังจะทำอะไรก็คิดซะก่อนนะ เล็ก อย่าเสียมารยาทให้มากนักเลย” คนถูกตำหนิไม่เอ่ยอะไรนอกจากทอดสายตามองชายสองคนที่เดินกลับไปยังรถของตน ชั่วแวบหนึ่งที่ชนวีร์หันกลับมามอง ดมิศราเลยแกล้งทำปากยื่นปากยาวใส่ พร้อมกับชูกำปั้นหรา

ฟิล์มรถที่บางกว่าคันอื่นทำให้คนมองเห็นได้ชัดเจน เขาชูกำปั้นกลับไป ตีหน้ายักษ์ใส่ หากเมื่อรถตู้คันนั้นผ่านพ้นไปแล้ว ชายหนุ่มกลับอมยิ้มบางๆอย่างไม่รู้ตัว

...ยัยเด็กแสบเอ๊ย มันน่าจับมาตีก้นให้เข็ดเสียจริงๆ!....



เรือนไม้หลังใหญ่รายล้อมด้วยสนามหญ้าเขียวชอุ่ม ใกล้ๆกันมีศาลาไม้สีน้ำตาลเข้มยื่นยาวออกไป ร่างสูงผอมชายชราผู้หนึ่งเดินวนไปเวียนมาภายในศาลานั้น ดวงตาเรียวปรากฏริ้วรอยกังวลแบบที่เจ้าตัวไม่เคยจะเป็นเช่นนี้บ่อยนัก

เสียงครางของเครื่องยนต์ที่แล่นมาตามทางสายเล็กเรียกให้เขาหันไปมอง เรียวปากที่เริ่มเหี่ยวย่นและซีดเซียวฉีกยิ้มน้อยๆ พลางยกมือข้างหนึ่งโบกทักทาย มืออีกข้างกำไม้เท้าไว้มั่นก่อนจะออกเดิน

“ทำไมมาถึงช้านัก”

“เขมมัวแต่สะสางงานที่นู่นน่ะค่ะ เลยออกจากบ้านช้าไปหน่อย” เขมิกาเป็นคนตอบ หลังจากที่ยกมือไหว้ผู้อาวุโสเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนเจ้าตัวเล็กนั้นวิ่งตัวปลิวโผเข้ากอดปู่อนลที่ยกมือเหี่ยวๆลูบศีรษะของเธออย่างเอ็นดู

“ว่าไงเรา...ไปอยู่ที่นู่น ก่อเรื่องอะไรไว้รึเปล่าล่ะ?” ดมิศรายิ้มแป้น สั่นศีรษะดิก ดวงตากลมโตวาววามออดอ้อน

“ทำสายตาแบบนี้แสดงว่าทำอะไรผิดมาใช่ไหม ยัยเล็ก”

“เดี๋ยวเขมเล่าให้ฟังค่ะ” เมื่อเห็นหลานสาวตัวดีไม่ตอบอะไร คนเป็นอาจึงตอบแทนด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “ยัยเล็กก่อเรื่องซะจนเขมชักจะปวดหัวขึ้นทุกวันๆแล้วล่ะค่ะ”

ปู่อนลหัวเราะลั่น ก่อนจะชักชวนทั้งสองให้เข้าบ้าน ชายชราเดินโอบไหล่ดมิศราเข้าไปยังห้องรับแขก

“ปู่ว่าแล้วว่าเราต้องทำให้ใครๆที่บ้านนั้นวุ่นวาย”

“โธ่...ปู่คะ เล็กก็แค่หยอกนิดหยอกหน่อยเท่านั้นเอง” เจ้าตัวเล็กที่อิงแอบแนบชิดอยู่บนอกของชายชราพยายามหาข้อแก้ตัว

“ไปหยอกใครกันล่ะ?”

“ก็คุณชนวีร์...ลูกชายของลุงกนกข้างรีสอร์ตเรานี่ไงคะ” เขมิกาเป็นฝ่ายตอบอย่างออกจะขบขันแกมหมั่นไส้เล็กๆ “รู้ไหมคะ เจ้าตัวเล็กเล่นเอารังมดแดงโยนใส่เค้า จนแดงไปทั่วตัว แถมยังเป็นไข้ด้วย”

“แน่ะ ยัยเล็ก” ปู่อนลจับร่างเล็กให้นั่งตัวตรง แล้วเชยคางมนเพื่อให้สบตาเขา “ทำแบบนั้นทำไมกันฮึ?”

“ก็หมั่นไส้ โกรธ โมโห”

“แล้วเค้าไปทำอะไรให้เรานักหนาล่ะ” ดมิศราสั่นศีรษะ หน้างอง้ำ ดวงตากลมโตที่เคยปรากฏรอยสุกใสสุกสกาว กลับขุ่นมัวไม่พอใจ

“นายนั่นไม่ได้ทำเล็กหรอกค่ะ ...แต่ทำพี่เขมต่างหาก” ชายชราเลิกคิ้ว หันมามองหลานสาวอีกคนเพื่อรอฟังคำตอบหรือคำอธิบายจากปากของเธอ

“ยัยเล็กก็พูดเกินไป เขมกับคุณชนวีร์ก็แค่เถียงกันเรื่องแต่งงานเท่านั้นล่ะค่ะ ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้น...ที่สำคัญตอนนี้เราก็ตกลงเป็นพันธมิตรกันแล้วด้วยค่ะ”

“นายชนวง ชนวีร์นั่นต้องมีแผนอะไรอยู่ในใจแน่ เชื่อเล็กเถอะ” เสียงใสๆเจื้อยแจ้ว เต็มไปด้วยคำกระแทกกระทั้น หากก็ไม่ทำให้ทั้งอาสาวและปู่อนลเชื่อแต่อย่างใด

“เราน่ะชอบมองโลกในแง่ร้าย” คนว่าคือเขมิกาที่ลุกขึ้นยืนบิดกายอย่างเมื่อยขบ จากนั้นจึงขอตัวขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง ทิ้งให้ดมิศราอยู่คุยกับชายชราตามลำพัง

“ที่พี่เค้าว่าก็ถูกนะ ยัยเล็ก เราน่ะมันไม่รู้จักโต ชอบแกล้งคนนู้นคนนี้ไปทั่ว แถมยังทำซุกซนเหมือนเด็ก” ปู่อนลได้ทีจึงอดสอนหลานสาวที่รักไม่ได้ มือเหี่ยวย่นจับตัวดมิศราให้ลุกขึ้นยืน จากนั้นก็จับให้ร่างนั้นหมุน สองตาจ้องมองอย่างชื่นชม“รู้ไหมว่าเราโตเป็นสาวแล้ว เลิกเล่นซนได้แล้วนะ เจ้าตัวเล็ก”

“อื้อ...สาวอะไรกันคะ” หญิงสาวทำปากยื่นปากยาว หมุนตัวให้อีกฝ่ายดูอีกรอบ “ดูให้เต็มๆตาซิคะ เล็กน่ะก็แค่เด็กกะโปโลคนหนึ่งเท่านั้นเอง”

“ยังไงๆปู่ก็เห็นความน่ารัก ความงดงามในตัวมอมๆของเล็ก ถ้าถูกขัดสีฉวีวรรณเสียหน่อย รับรองหัวกระไดบ้านปู่ไม่แห้งแน่นอน”

“อย่ามาทำเป็นชมเล็กเลยค่ะ” เจ้าตัวเล็กบุ้ยปากตามหลังคนที่เพิ่งเดินขึ้นห้องไป “นู่น...คนนู้นต่างหากที่จะทำให้หัวกระไดบ้านนี้ไม่แห้ง” ปู่อนลหัวเราะลั่นอีกครั้ง ก่อนจะจับอีกฝ่ายเข้ามาหอมให้หายคิดถึง

“ไม่เอาละ ไม่พูดเรื่องนี้ก็ได้...”

“แล้ว...” ยังไม่ทันได้ถามชายชราก็โพล่งขึ้นมาอย่างเสียงดังฟังชัด

“ปู่อยากรู้เรื่องเรียนของเล็ก” ฟังแล้วดมิศราถึงกับถอนใจเฮือก “ตัดสินใจได้หรือยังว่าอยากเรียนอะไร? ใกล้จะเอ็นท์แล้วไม่ใช่รึไง ช่วงนี้เขาก็ปิดให้อ่านหนังสือไม่ใช่หรือเล็ก อ่านไปบ้างหรือยัง?”

หญิงสาวสั่นศีรษะดิก

“ขี้เกียจ” เป็นคำตอบสั้นๆแต่ได้ใจความเป็นที่สุด “ปู่ก็รู้ว่าเล็กหัวไม่ดี”
“หัวไม่ดียังไงก็ต้องเรียน จะได้มีความรู้ติดตัว”

“ไม่เอาล่ะ” เจ้าตัวเล็กเดินถอยหลัง ยิ้มหวานใส่ปู่อนล “เล็กไม่อยากพูดเรื่องนี้ ...ขอตัวไปหาเพื่อนๆแถวนี้ก่อนนะคะ” แล้วดมิศราก็วิ่งหนีไปอย่างลิงโลดไม่รอฟังคำคัดค้านของชายชราเลยสักนิดเดียว


ร่างเล็กวิ่งลัดมาจนถึงเขตบริเวณท้ายรีสอร์ท จักรยานคันเก่าที่เจ้าตัวจอดทิ้งไว้ยังอยู่เฉยอยู่ที่เดิมเหมือนไม่มีใครมาสนใจหรือมายุ่งกับมันเลยสักคนเดียว หญิงสาวจับมันขึ้นมาปุดฝุ่น ก่อนจะขึ้นขี่แล้วพามันแล่นฉิวไปตามถนนหนทางที่รกเรื้อด้วยต้นหญ้าๆเล็ก ออกจากรีสอร์ททางด้านข้างที่ติดกับไร่ดวงดาว

แสงตะวันเกือบๆจะลับขอบฟ้าแล้วเมื่อตอนที่ดมิศราพาจักรยานคันเล็กแล่นไปตามทางเล็กๆของสวนองุ่น ซึ่งปกติแล้วเธอถูกห้ามไม่ให้เข้ามายุ่มย่ามที่นี่ แต่ความที่อยากจะแกล้งใครบางคนเจ้าตัวจึงตัดสินใจข้ามฟากมา

ไม่นานนักเลยเจ้าตัวเล็กก็ขับมาถึงบ้านหลังใหญ่ เห็นรถคันเล็กจอดอยู่ในโรงจอดรถ ...ก็รถคันที่เป็นของชนวีร์ นั่นแหละ ดมิสรายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ลงจากจักรยานและจัดการพิงมันไว้กับต้นไม้ใหญ่ สองขาก็พาตัวเองย่องเข้าไปยังบ้านหลังนั้น

หญิงสาวผลุบๆโผล่ๆอยุ่ตรงกระจกเพื่อสำรวจความเป็นไปภายในบ้าน หากกลับพบเพียงความว่างเปล่า เธอเดินเลียบไปตามหน้าต่างของบ้าน และความที่ใจจดจ่ออยู่กับภายในบ้านนั้นเองที่ทำให้ดมิศราไม่ทันระวัง
ร่างเล็กชนโครมเข้ากับอะไรบางอย่าง...ไม่ใช่ซิ น่าจะเป็นคน เพราะเธอสัมผัสได้ถึงเลือดเนื้อของอีกฝ่าย

ตายละวา!...จะโดนจับไหมวะ?! ไม่เสียเวลาคิดใดๆทั้งสิ้น เจ้าจอมซนหันหลังออกวิ่งไปได้

สามสี่ก้าว แต่โชคร้ายเสียเหลือเกินที่เพียงแค่ฝ่ายนั้นกระโจนเข้าใส่ เธอก็กลับตกอยู่ในกำมือของเขาอย่างง่ายดาย

“นึกว่าใคร?” ฟังเสียงแล้ว ดมิศราถึงกับถอนใจเฮือก...จะเป็นใครไปได้เล่า ก็ไอ้คู่ปรับของเธอนี่เองน่ะซิ

“ว่าไง เจ้าตัวเล็ก...แอบเข้ามาสอดแนมอะไร ฮึ หรือริคิดจะเป็นขโมย”
คนตัวเล็กกว่าสะบัดตัวจนหลุด หันขวับมาชักสีหน้าใส่ชนวีร์

“เราน่ะหรือจะขโมย อย่ามากล่าวหากันพล่อยๆดีกว่า” แล้วเธอก็ไม่รอใดๆทั้งสิ้น สองเท้าพาร่างเล็กจ้อยออกวิ่ง ไปยังต้นไม้ที่พิงรถจักรยานทิ้งไว้ คว้าจักรยานได้ก็กระโดดขึ้นขี่มันออกไป

ชนวีร์เองวิ่งตามมาเกือบคว้าตัวไว้ได้ทัน แต่ไม่อาจทำได้อย่างที่หวัง ชายหนุ่มหันซ้ายแลขวา เห็นจักรยานของชนาธิปจอดอยู่ในโรงจอดรถก็รีบวิ่งไปคว้ามันมา กระโดดขึ้นขี่แล้วขี่มันออกไปด้วยความรวดเร็ว

เขาสัญญากับตัวเองแล้วว่าถึงจะอย่างไร วันนี้เขาก็ต้องสำเร็จโทษแม่ตัวแสบให้ได้...ต้องสะสางบัญชีแค้น ทั้งเรื่องที่เอามดแดงมาปล่อยใส่ตัวเขา ทั้งเรื่องโยนก้อนหินมาโดนศีรษะเขา และสุดท้าย เรื่องที่ทำหน้าทะเล้นใส่เขา ช่างไม่รู้จักเด็ก ไม่รู้จักผู้ใหญ่เอาเสียเล้ย คอยดู....ไอ้วีคนนี้แหละจะปราบมันให้อยู่หมัดเลยเชียว!

ชนวีร์เห็นหลังของดมิศราไวๆอยู่ข้างหน้า ก่อนที่อีกฝ่ายจะเลี้ยวโค้งไปอีกทาง ชายหนุ่มไม่รีรอรีบตามไปติดๆอย่างหมายมาด

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ เจ้าตัวเล็ก!”เขาตะโกนฝ่าความมืดออกไป แว่วเสียงใสๆของอีกฝ่ายลอยตามลมกลับมาว่า

“หยุดให้โง่น่ะซิ แน่จริงก็ตามให้ทันซี่”

“หนอย...ท้ากันรึไง อย่างนี้ก็สวยซิวะ” แรงฮึดทำให้ชายหนุ่มรีบปั่นจักรยานสุดแรง จนไล่ตามทัน ห่างกันเพียงเอื้อมสุดแขนเท่านั้น

“มานี่เลยนะ มานี่เลยเจ้าตัวเล็ก”

มันเร่งปั่นจนหน้าดำหน้าแดงจนเกือบๆจะแซงหน้าเขาได้แล้ว ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุเอาเสียก่อน รถจักรยานที่มันปั่นเหมือนๆจะตกหลุมจนทำให้เซ ร่างเล็กล้มลงบนพื้นดินอย่างแรงตามมาด้วยเสียงร้องโอดโอย เสียงรถจักรยานล้มคว่ำดังก้องไปทั่วความเงียบสงัดรอบๆไร่

“เฮ้ย!” ชนวีร์อุทาน รีบเบรกรถ ร่างสูงทิ้งจักรยานของตน แล้ววิ่งมาประคองดมิศราอย่างเป็นห่วง

“เป็นไงบ้าง?”

เจ้าตัวเล็กเหลือบสายตามามอง ดวงตาของมันเป็นประกายดั่งดวงดาวจนชรวีร์ถึงกับตะลึงงัน ละม้ายต้องมนต์ในความงดงามนั้น

“จะเป็นไงเล่า...ก็เจ็บน่ะซี่” คนตัวเล็กพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้น แต่กลับเจ็บแปล๊บที่ข้อเท้าจนต้องทรุดนั่งลงอีกรอบ

“สงสัยจะเท้าแพลง เดินไหวไหมล่ะเรา”

“ไหว!” เจ้าตัวแสบยังทำเป็นเก่ง ตอบชัดถ้อยชัดคำ “เราเดินไหว”

ชนวีร์เห็นดังนั้นจึงลองปล่อยให้ ‘คนเก่ง’ เดินเอง หากโชคร้ายนัก ดมิศราเดินใม่ไหว! หญิงสาวสบถคำอย่างหัวเสีย

...ไอ้เล็กเอ๋ย หน้าแตกเพล้งไม่รับเย็บก็คราวนี้ล่ะวะ....
“ไง? ทำเป็นเก่ง สุดท้ายก็ต้องให้ฉันช่วยจนได้”

“ไม่ต้องมาช่วย เรามาเองเราก็กลับเองได้”

“เอ๊....เรานี่ยังไงนะ เจ็บจนเดินไม่ได้ แล้วยังปากเก่ง อยากให้ฉันปล่อยให้นอนตากยุงอยู่ตรงนี้รึไง?!” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยสุ้มเสียงระอาใจ ระคนหมั่นไส้ “ให้ฉันช่วยดีกว่า ถ้าขืนฝืนเดินกลับบ้าน ไอ้ที่บวมอยู่แล้วต้องบวมกว่านี้แน่ แถมยังจะทำให้หายช้าอีกด้วยนา”

“ไม่...” คราวนี้ชนวีร์ไม่ฟังเสียง ชายหนุ่มอุ้มเจ้าตัวเล็กแนบอก ก่อนพาออกเดินท่ามกลางเสียงร้องแรกแหกกระเชอของมัน

“เฮ้ย! ปล่อยเรานะ จะทำอะไรน่ะ ปล่อย! บอกให้ปล่อยไง!”

“เงียบน่า! อยากให้ฉันปล่อยเธอให้ตกลงไปเจ็บหนักกว่าเก่ารึไง” ความที่เขาเป็นคนตัวสูง ร่างของดมิศราจึงลอยเหนือจากพื้นดินมาก จนหญิงสาวไม่กล้างอแง หรือโวยวายอีก

“อยู่เงียบๆซะ อย่าตะโกนโวยวายอีก ไม่งั้นฉันไม่รับรองความปลอดภัยหรอกนะ ตอนนี้เราน่ะเจ็บข้อเท้าจะทำอะไรก็ไม่ถนัด ถ้าฉันคิดจะแกล้งอะไรเรา ฉันก็ทำได้สบาย ใช่ไหม?” คนตัวโตลอบยิ้มอย่างสาแก่ใจ...

เออแฮะ...บทมันจะหงอ มันก็น่ารักดีนี่หว่า

“ฉันจะพาไปดูแผลที่บ้านก่อน แล้วจะพาไปส่งบ้านเราให้ถึงที่เลย โอเค้?” ดมิศราเกือบจะตอบกลับไปแล้วว่าไม่โอเค แต่เพราะอะไรไม่ทราบได้ เธอจึงเอาแต่นิ่งเงียบ ส่งเสียงฮึดฮัดในลำคออย่างขัดใจ

ก็เพราะคนอย่างดมิศราแล้ว ไม่เคยแพ้ใครได้อย่างน่าอายเท่านี้เลยน่ะซิ...เพราะไอ้หลุมบ้าๆนั่นเชียว เธอถึงได้หน้าแตกถึงขนาดนี้!...หญิงสาวคิดค่อนขอดอยู่ในใจ ดวงตากลมโตวาววับมักจะหันไปจ้องใบหน้าเรียบเฉยของชนวีร์อยู่เสมอ

...ฝากไว้ก่อนเถอะ คราวหน้าเธอจะเอาคืน!....




Create Date : 09 กุมภาพันธ์ 2554
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2554 23:20:34 น. 1 comments
Counter : 143 Pageviews.

 
เสียหน้าเลยไอ้ตัวแสบของเรา


โดย: keepwalkinggirl IP: 71.183.83.81 วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:2:26:13 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

runsita
Location :
พิษณุโลก Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ขอสงวนสิทธิ์ใด ๆ ตามกฎหมาย ในการทำคัดลอก เผยแพร่ ดัดแปลง ส่วนหนึ่งส่วนใด หรือทั้งหมดของนิยาย เรื่องสั้น ในบล็อคแห่งนี้ โดยไม่ได้รับอนุญาต และ หากผู้ใดกระทำการคัดลอกหรือนำไปโพสในเวปอื่น ๆ หรือบล็อค โดยมิได้รับอนุญาตมีโทษปรับตั้งแต่ 20,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือ หากนำเรื่องไปเสนอต่อสำนักพิมพ์ ถือเป็นการเสนอขาย มีโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 4 ปี หรือปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 800,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 69 แห่ง พ.ร.บ.กฏหมายลิขสิทธิ์

หลังไมค์
เมลล์ถึงพราวตะวัน
ออนไลน์
ผู้เยี่ยมชมทั้งหมด

อยากอ่านนิยายแนวไหนมากที่สุด

View Results
Create a Poll


Friends' blogs
[Add runsita's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.