<<
พฤษภาคม 2554
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
24 พฤษภาคม 2554

ญี่ปุ่นหมุนรอบตัว ... ตอนที่ ๑ [แปรรูปความฝัน]

..

[บทนำพิเศษ]
ความงดงาม ในยามวิกฤต



ช่วงเวลาที่ผมรู้สึกว่า ได้เดินทางมาสัมผัสความเป็นญี่ปุ่นอย่างแท้จริง ไม่ใช่นาทีที่มองผ่านหน้าต่างบนเครื่องบิน เห็นภูเขาไฟฟูจิเร้นกายในม่านหมอก หรือ นาทีที่เดินยืดอกอย่างมั่นใจ เมื่อผ่านขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองในสนามบินนาริตะ

แต่ความรู้สึกที่บอกกับตัวเองได้ชัดเจนที่สุด คือ นาทีที่หอบสะพายสัมภาระ ก้าวออกจากพื้นที่สถานีรถไฟใต้ดินสถานีอูเอโนะ สุดปลายทาง KeiSei Skyliner

ภาพชาวโตเกียว ตัวเป็นๆ เน้นๆ ยืนกันอย่างเป็นระเบียบเพื่อรอสัญญาณไฟข้ามถนน แม้ว่าถนนเส้นเล็กๆจะว่างก็ตาม



วินาทีนั้นต่างหาก ที่เติมเต็มความรู้สึกว่า ผมมายืนอยู่บนผืนแผ่นดินแดนอาทิตย์อุทัยแล้วจริงๆ


..


11 มีนาคม 2011 เป็นวันแห่งความสูญเสียอันยิ่งใหญ่อีกครั้งในประวัติศาสตร์ของชาวญี่ปุ่น อันเนื่องมาจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว-สึนามิ ในภูมิภาคโทโฮกุ ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนในพื้นที่ไปกว่าหมื่นราย และสูญหายอีกนับไม่ถ้วน

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลเมืองฟุกุชิมะ ยังได้รับความเสียหายอย่างหนัก ซ้ำเติมให้สถานการณ์วิกฤตเพิ่มขึ้นจากผลกระทบของกัมมันตรังสีที่แพร่กระจาย

... ประเทศญี่ปุ่นในห้วงเวลาของเดือนมีนาคม จนล่วงมาถึงเมษายน 2011 จึงนับเป็นช่วงแห่งความวิกฤต ความสูญเสีย มากที่สุดในรอบหลายสิบปี



เมื่อย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ความสูญเสียอันเนื่องมาจากภัยธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวแล้ว ประเทศญี่ปุ่นนับเป็นดินแดนแห่งแผ่นดินไหวระดับต้นๆของโลก

ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่บนรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกขนาดใหญ่พอดิบพอดี รวม 4 แผ่น ได้แก่ แผ่นยูเรเชีย แผ่นแปซิฟิก แผ่นฟิลิปปินส์ และแผ่นอเมริกาเหนือ

การเกิดแผ่นดินไหวในแดนซามูไร จึงไม่ใช่เรื่องที่เกิดตามคำทำนายของนักโหนกระแสโลกแตก แต่เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นตามหลักวิทยาศาสตร์ เพียงแต่ความสูญเสียจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับการขยับตัวของเปลือกโลกทั้งหลาย


*ภาพประกอบจาก Boston.com , NYTimes

..

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากย้อนประวัติศาสตร์เท่ามีเคยมีการบันทึกไว้ เคยมีความเสียหายครั้งใหญ่ซึ่งเกิดจากแผ่นดินไหวในประเทศนี้หลายต่อหลายครั้ง เช่น ปี 1293 มีแผ่นดินไหวพร้อมสึนามิที่เมืองคามาคุระ คร่าชีวิตคนไปกว่า 2 หมื่นราย

ถัดมาในยุคสมัยที่โตเกียว เรียกว่า “เอโดะ” มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวส่งท้ายปี “Genroku – 31 ธันวาคม 1703” ผู้คนดับสูญไปอีกกว่าแสนราย

แต่เหตุการณ์ว่าด้วยภัยธรรมชาติครั้งร้ายแรง สร้างความสูญเสียมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น คือ “The Great Kanto - 1 กันยายน 1923” ซึ่งเป็นเหตุการณ์แผ่นดินไหวในภูมิภาคคันโต สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างครอบคลุมทั้งโตเกียว โยโกฮาม่า ชิบะ คานางาวะ ชิซึโอกะ

มีผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนั้นราว 100,000-140,000 ราย สาเหตุหนึ่งที่เพิ่มเติมตัวเลขความสูญเสีย เนื่องจากเกิดเหตุในเวลา 11.58 น. ซึ่งคนกำลังหุงหาอาหารพอดี

กอปรกับบ้านเรือนสมัยนั้นยังเป็นเรือนไม้แบบญี่ปุ่น ไม่ได้เป็นตึกคอนกรีตสมัยใหม่เหมือนยุคปัจจุบัน จนเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ลุกลาม และต้องใช้เวลาถึง 3 วัน กว่าพระเพลิงจะสิ้นฤทธิ์



จากนั้น แผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่นยังคงเกิดขึ้นเรื่อยมา ความเสียหายแตกต่างกันไปตามแรงสั่นสะเทือน หรือสถานที่เกิดเหตุ มียอดผู้เสียชีวิตตั้งแต่หลักสิบไปจนถึงหลักพัน

โดยครั้งหลังสุดที่คนไทยอาจยังพอจดจำคุ้นเคยอยู่บ้าง คือ “Great Hanshin – 17 มกราคม 1995” แผ่นดินไหวทางตอนเหนือของเกาะอาวาจิ ซึ่งส่งผลให้เมืองท่าสำคัญอย่างโกเบ พักราบเป็นหน้ากลอง มีผู้เสียชีวิตรวมกว่า 6 พันราย และประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจในขณะนั้นคิดเป็นมูลค่านับล้านล้านเยน


* ภาพประกอบค้นหาจาก Google Image

..

การที่ชาวญี่ปุ่นต้องเผชิญกับภัยธรรมชาติครั้งแล้วครั้งเล่า รวมถึงความสูญเสียจนประเทศแทบจะล่มสลายจากสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้บทบันทึกประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ไม่ได้สวยงามไปทั้งหมด แต่กลับเต็มไปด้วยร่องรอยคราบน้ำตาและการต่อสู้

แต่ทว่าประวัติศาสตร์เรื่องเศร้าที่เกิดขึ้น ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนอันทรงพลังที่หล่อหลอมสร้างคนแห่งแดนพระอาทิตย์ให้ยืนหยัดลุกขึ้นต่อสู้ชีวิต สร้างระบบความคิด ระบบการศึกษา และระเบียบวินัย สั่งสมเรื่อยมากลายเป็นเอกลักษณ์ที่ยากจะหาประเทศใดเสมอเหมือนได้ง่ายๆ



สิ่งเหล่านั้นสะท้อนเห็นชัดในเหตุการณ์โทโฮกุวิปโยค 2011 ซึ่งนอกจากข่าวสารหลักๆ ตามข้อเท็จจริงว่าด้วยภัยพิบัติ และผลกระทบแล้ว สิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ให้คนทั่วโลกกล่าวถึงในวงกว้างไม่น้อยไปกว่ากัน คือ “ความงดงาม ในยามวิกฤต”



*ภาพประกอบจาก Boston.com , NYTimes


..

ในช่วงเวลาวิกฤตที่รอบกายมีเพียงซากปรักหักพัง ขณะเดียวกันกับสภาพจิตใจที่แหลกสลาย แต่สำหรับชาวญี่ปุ่น ดูเหมือนว่า คุณค่าของระบบระเบียบที่หยั่งรากฝังลึก รวมถึงสติอันตั้งมั่นต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มิได้เสื่อมสลายไปพร้อมกับภัยธรรมชาติ

แม้เหตุการณ์ครั้งนี้ เป็นความสูญเสียครั้งร้ายแรงที่สุดของญี่ปุ่นนับจากสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา เกิดผลกระทบลูกโซ่เป็นวงกว้างไปหลายภูมิภาคของประเทศ ทั้งด้านเครื่องอุปโภคบริโภค พลังงาน สุขภาพ การคมนาคม ฯลฯ

แต่เรากลับไม่เห็นภาพความแตกตื่น โกลาหลวุ่นวาย ลักวิ่งชิงปล้น หรือพฤติกรรมด้านลบอื่นๆที่ซ้ำเติมสถานการณ์ให้ย่ำแย่ไปกว่าเดิม

ตรงกันข้าม สิ่งที่คนทั่วโลกได้รับรู้ผ่านสื่อต่างๆ รวมถึงคำบอกเล่าจากคนในพื้นที่ คือ ระเบียบวินัย สำนึกพลเมืองที่มีต่อส่วนรวม ความเสียสละของผู้แทนประชาชนในการยอมลดเงินเดือนตัวเอง การยอมสละชีวิตเพื่อกอบกู้สถานการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ การมีสติภายใต้สถานการณ์อันไม่ปกติ น้ำจิตน้ำใจที่หยิบยื่นให้แก่เพื่อนร่วมชะตากรรม ตลอดจนการรู้จักให้เกียรติผู้เสียชีวิต


ความงดงามจากสิ่งเหล่านี้ ล้วนเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์อันสุดวิกฤตทั้งสิ้น ช่วยตอกย้ำถึงนิยามคำว่า “ประเทศพัฒนา” ได้เป็นอย่างดี และในกรณีนี้ อาจต้องเพิ่มเติมคำว่า “ระดับสูง” พ่วงท้ายเข้าไปอีกด้วย



*ภาพประกอบจาก Boston.com , NYTimes



..

ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ใช่คนที่มีระเบียบวินัยต่อตนเองนัก ... นอนตื่นสาย ไว้ผมยาว รองเท้าเปื้อนๆ เสื้อยืดยับๆ ห้องรกๆ (พอแค่นี้ก่อน ... เดี๋ยวภาพพจน์จะแย่ไปกว่านี้)

แต่สำหรับความมีระเบียบวินัยต่อสังคม หรือสำนึกต่อความเป็นพลเมือง นั่นเป็นสิ่งที่ผมยึดถือเสมอ ... เมื่อมีโอกาสได้ไปสัมผัสประเทศที่มีระเบียบวินัยระดับแนวหน้าของโลกอย่างเช่นญี่ปุ่นแล้ว จากความชื่นชอบเป็นทุนเดิม จึงกลายเป็นความหลงรักไปโดยปริยาย

กระทั่งใครก็ตาม ที่อาจไม่เคยนิยมชมชอบ หรือใฝ่ฝันอยากไปประเทศญี่ปุ่นมาก่อน แต่ถ้าโดยพื้นฐานเป็นคนที่มีระเบียบวินัยเคร่งครัด สำนึกพลเมืองเข้มข้น อ่อนน้อมถ่อมตน และให้เกียรติผู้อื่น

... หากมีโอกาสได้ลองไปเยือนสักครั้ง ผมเชื่อว่า ญี่ปุ่นจะกลายเป็นประเทศในดวงใจได้ไม่ยาก

..

แม้ในการเดินทางไปญี่ปุ่น ผมก็มีวัตถุประสงค์หลักไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวทั่วไป นั่นคือ “ไปเที่ยว” แต่ทว่าในอีกเป้าหมายหนึ่ง คือ ความพยายามใช้ระยะเวลาแสนสั้นเก็บเกี่ยวความทรงจำ และความประทับใจ ในแง่ “วิถีชีวิต” ของผู้คนที่นั่นมาให้ได้มากที่สุด


แน่นอนว่า ด้วยประสบการณ์เพียงไม่กี่วันจากการท่องเที่ยว ผมคงไม่สามารถอธิบายวิถีชีวิต ความคิดความอ่านของคนญี่ปุ่นได้อย่างเจาะลึกครอบคลุม ถูกต้องรอบด้าน เหมือนคนที่อาศัยอยู่ที่นั่นมาเป็นระยะเวลานาน

แต่หากเป็นการเล่าสู่กันฟัง ผ่านมุมมองของ “บันทึกนักเดินทาง” ที่เคยไปเยือนดินแดนแห่งนี้ในระยะสั้นๆ ผมก็กล้ายืนยันว่า “ความงดงาม” ของคนญี่ปุ่นในมุมที่ทั่วโลกได้เห็นจากเหตุการณ์วิกฤตครั้งล่าสุด คงไม่ใช่เรื่องที่กล่าวยกยอเกินเลย เพื่อสร้างกำลังใจ หรืออารมณ์แง่บวก

... แต่ความงดงามนั้น ล้วนเป็นสิ่งที่มีอยู่จริง

จากวันนี้ต่อไป ... ไม่ว่าสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ในอนาคตของประเทศญี่ปุ่นจะเป็นเช่นไร

ผมจึงเชื่อมั่นว่า ตราบเท่าที่พวกเขายังมีความงดงามเหล่านั้นฝังแน่นอยู่ในสายเลือดและจิตวิญญาณ ... ชาวญี่ปุ่นจะยืนหยัดฟันฝ่าวิกฤตร้ายๆผ่านไปได้อีกครั้ง


..






[บันทึกการเดินทาง ผสม ความเรียง] ญี่ปุ่นหมุนรอบตัว ... ตอนที่ ๑

แปรรูปความฝัน


“เมื่อปล่อยความคิด ให้เดินทางไปล่วงหน้า นั่นเป็นเวลาเริ่มต้น ... แรงบันดาลใจ”

.

คืนนั้น เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้ยืนโหนรถบัสรับส่งผู้โดยสารสายการบินราคาประหยัด จากตัวเครื่องไปสู่อาคารผู้โดยสารขาเข้า สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งแม้จะต้องห้อยโหน เบียดเสียดกับเพื่อนร่วมทาง

แต่ผมก็ยังพอเพลิดเพลินไปกับการชมบรรยากาศยามค่ำคืนของท่าอากาศยานนานาชาติอันดับหนึ่งประเทศตัวเอง ผ่านกระจกรถบัส

รถวิ่งผ่านฝูงนกเหล็กขนาดยักษ์หลากหลายสัญชาติ ซึ่งมีขนาดแตกต่างจากเครื่องที่ผมเพิ่งจะเดินลงมาอีกเกือบเท่าตัว เห็นแล้วน่าตื่นตาตื่นใจชะมัด

... แล้วสายตาก็ไปสะดุดกึกกับเจ้านกยักษ์ซึ่งมีสัญลักษณ์ที่ปลายหางเป็นตัวอักษร “JAL”

..

“ผมอยากไปญี่ปุ่น”


... เป็นคำตอบเดิมๆ ทุกครั้งเวลาใครถามถึงประเทศที่อยากไปเที่ยวเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอิทธิพลมาจากการอ่านหนังสือว่าด้วยประวัติศาสตร์ สังคมและวัฒนธรรมญี่ปุ่น นิตยสาร-เว็บไซต์ท่องเที่ยว รายการสารคดี ภาพยนตร์ที่โรงหนังลิโด มิวสิควิดีโอของสาวๆ Berryz Koubou มิตรภาพที่เคยได้รับจากชาวญี่ปุ่น หรือการ์ตูนโดราเอมอน

แต่เชื่อว่า คงเป็นหลายสิ่งหลายอย่างข้างต้นนั่นล่ะ ที่ค่อยๆหล่อหลอมความคิด และซึมซับลงไปในความรู้สึก จนผมกลายเป็นสาวกแดนอาทิตย์อุทัยไปตั้งแต่ยังไม่เคยไปเหยียบย่าง

... แล้วอิทธิพลทางความคิดหลายๆอย่างที่รวมกัน ก็แปรรูปเป็นแรงบันดาลใจ ว่าสักวันต้องเก็บเงินเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นด้วยตัวเองให้ได้

แต่ความแตกต่างระหว่าง “แรงบันดาลใจที่สั่งสมมานาน” กับ “แรงบันดาลใจที่ปรากฏตรงหน้า” ในคืนนั้น คือ การที่ได้เห็นเครื่องบินสายการบินแห่งชาติญี่ปุ่นแบบเต็มตา มันสามารถกระตุ้นอารมณ์ความอยากเดินทางได้มากกว่าเดิมหลายเท่านัก

ภาพเครื่องบินลำโตในบรรยากาศของสนามบินซึ่งเต็มไปด้วยผู้โดยสารหลากหลายสัญชาติ ย่อมเป็นสิ่งกระทบความรู้สึกแบบ “จี๊ดๆ” สำหรับนักเดินทางที่อยากไปท่องเที่ยวต่างประเทศได้เป็นอย่างดี

..

ในจังหวะที่รถบัสกำลังเคลื่อนผ่านนกยักษ์ JAL ผมจึงเปรยกับตัวเองในใจว่า ... “สักวันจะต้องนั่งเครื่องบินลำนี้ไปญี่ปุ่น”

นาทีนั้น ตัวผมยืนเมื่อยอยู่บนรถบัส แต่ความคิดออกเดินทางล่วงหน้าไปนั่งอยู่บนเครื่อง JAL ... แม้คิดๆดูแล้วจะเป็นเพียง “ความเพ้อฝัน” ของมนุษย์เงินเดือน(น้อย)คนหนึ่ง แต่ความเพ้อฝัน จะถูกแปรสภาพเปลี่ยนไปเป็น “แรงบันดาลใจ” ทันที หากเราตั้งใจ มุ่งมั่นที่จะทำให้ความฝันเป็นความจริง

ในท้ายที่สุด อีกราวปีครึ่งหลังจากคืนนั้น ... “ความเพ้อฝัน” ที่แปรเปลี่ยนเป็น “แรงบันดาลใจ” ก็กลายเป็น “ความจริง”

แม้ความจริงที่ว่า จะไม่ตรงร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเครื่องบินลำโตที่นำผมลัดฟ้าไปสู่แดนอาทิตย์อุทัยเป็นครั้งแรก กลับไม่ใช่ “JAL” ตามที่เคยใฝ่ฝันตั้งใจเอาไว้ หากเป็นสายการบินเอกชนสัญชาติเดียวกันอย่าง “ANA” ไปแทน

แต่ก็ไม่เป็นไร ... เพราะแอร์โฮสเตสสาวญี่ปุ่นบนเครื่องก็น่ารักเหมือนกัน

นี่ไม่ใช่ความเพ้อฝัน ผมพูดเรื่องจริง !



..


รู้เขา รู้เรา

“ทำความรู้จักปลายทาง - รู้จักตัวเองก่อนไปท่องเที่ยว ... คือ หนึ่งในแผนการเดินทางที่ดีที่สุด”



นานมาแล้ว ผมเคยคิดเอาไว้ว่า ถ้าไปเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อไร จะลองใช้บริการจากบริษัททัวร์ เพราะสะดวกและประหยัดเวลาในการวางแผนเองไปได้มาก

หน้าที่สำคัญ คงมีแค่เตรียมเอกสารว่าด้วยการขอวีซ่า กับ เตรียมหาเงินให้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ส่วนที่เหลือก็ไปเที่ยวตามโปรแกรมที่โฆษณาหราอยู่บนหน้าเว็บ ...

“ตะลุยแดนปลาดิบ 5 วัน 3 คืน ราคาสุดพิเศษเพียง 39,xxx บาท , ลัดฟ้าไปด้วยสายการบิน XX ชอปปิ้งโตเกียว ชมภูเขาไฟฟูจิ กินปูโอซาก้า” โอ้วว ... มันยอดมาก

ในช่วงนั้น สำหรับคนที่แทบไม่ค่อยเดินทางไปไหนอย่างผม ... การเดินทางไปตัวคนเดียวในต่างประเทศ ที่การสื่อสารด้วยภาษาสากลไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก

เมื่อลองคิดถึงการติดต่อหาที่พัก มองหาที่กิน วางแผนเลือกสถานที่หรือเมืองที่จะไปเที่ยว วางแผนเดินทางด้วยรถไฟที่มีโครงข่ายแทบไม่ต่างกับใยแมงมุม

คิดไปก็ปวดหัว หาทัวร์ดีกว่า ... (หา “ทัวร์” นะครับ อย่าจำสับสนกับวลีอื่นที่คล้ายกัน)

..

แต่จุดเปลี่ยนสำคัญ ซึ่งทำให้ผมเริ่มมองข้ามบริษัททัวร์ มาจากการเริ่มต้นเดินทางในรูปแบบแบ็คแพ็คตะลุยเดี่ยว เที่ยวคนเดียวมาร่วมปีก่อนหน้านั้น จนทำให้หลงเสน่ห์ของการเดินทางในรูปแบบนี้เข้าอย่างจัง และเมื่อรู้ซึ้งถึงเสน่ห์ว่ามันโดนใจ มันใช่เลย

... ถึงคราวต้องไปประเทศที่ใฝ่ฝัน ผมจะพลาดโอกาสสำคัญในการซึมซับอรรถรสของการเดินทางสนุกๆด้วยตัวเองได้อย่างไร

โดยเฉพาะประสบการณ์จากการเดินทางที่ผ่านมา ทำให้ผมรู้จักรสนิยมในการท่องเที่ยวของตัวเองว่า ไม่เหมาะสำหรับใช้บริการบริษัททัวร์เอาเสียเลย

... ไม่ว่าจะเป็น ชอบซึมซับกับบรรยากาศรอบๆตัวโดยไม่มีเวลาเป็นเครื่องผูกมัดตายตัว ถ้าชอบมากก็นั่งแช่ได้นานๆ ถ้าไม่ชอบก็ปรับเปลี่ยนโปรแกรมสลับไปตามอารมณ์ รวมถึงเรื่องนอนตื่นสาย เที่ยวดึก แถมยังชื่นชอบกับการสำรวจเส้นทางสถานที่เที่ยวแปลกๆอยู่เป็นนิจ

ยังไม่นับว่า คงไม่มีบริษัททัวร์แห่งไหน รอให้ผมเดินเก็บภาพวิถีชีวิตผู้คนได้เป็นชั่วโมงๆจากถนนหนทาง หรือตรอกซอกซอยเล็กๆ ซึ่งไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยว

..

ที่ร่ายมาเสียยืดยาว ใช่ว่าการท่องเที่ยวกับบริษัททัวร์ เป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง ... ตรงกันข้ามอาจเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่เหมาะสมกับใครต่อใครอีกหลายคน เพียงแต่ทว่า เมื่อได้ลองทำความรู้จักรสนิยมตัวเองแล้ว มันไม่เหมาะกับผมก็เท่านั้นเอง

ดังนั้น เมื่อตัดสินใจจะเดินทางไปญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ภาระหน้าที่สำคัญ จึงไม่ใช่แค่เอกสารขอวีซ่า กับ การหาเงินให้เพียงพออีกต่อไป ...แต่ยังต้องรวมถึง “การศึกษาประเทศญี่ปุ่น เพื่อการท่องเที่ยว” เข้าไปด้วย

คำว่า “ศึกษาประเทศญี่ปุ่น ... เพื่อการท่องเที่ยว” มีความหมายครอบคลุมมากกว่า การศึกษาข้อมูลเพื่อการท่องเที่ยวเฉยๆ เพราะหมายถึง การศึกษาความเป็นญี่ปุ่น หรือบริบทพื้นฐานด้านอื่นๆของประเทศแห่งนี้เสียก่อน แล้วค่อยวางแผนเพื่อการท่องเที่ยวอีกที

ความจริง การทำความรู้จักพื้นฐานของประเทศที่เราต้องการไปเที่ยว เป็นการบ้านที่นักเดินทางควรทำอยู่แล้ว เพราะข้อมูลหลายด้าน ล้วนสอดคล้องกับแผนการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาที่ตั้งของเมือง ฤดูกาล วัฒนธรรม หรือวิถีชีวิต

..

“มีเวลา 7 วัน อยากไปชอปปิ้งที่โตเกียว เที่ยวดิสนีย์แลนด์ ชมความงามของธรรมชาติฮาโกเน่ เตร็ดเตร่เมืองเก่าคามาคุระ ไหว้พระที่เกียวโต เล่นหิมะฮอกไกโดปิดท้าย”

“ลางานได้ในช่วงปีใหม่พอดี อยากไปชมใบไม้เปลี่ยนสีที่ญี่ปุ่น”

“ผู้หญิงตัวคนเดียว จะไปเที่ยวโตเกียวเนี่ยนะ !! .. จะไหวเหรอ เมืองใหญ่ๆปลอดภัยหรือเปล่าก็ไม่รู้ ?”

ประโยคตัวอย่างข้างต้นที่ว่าด้วยการ (จะไป) ท่องเที่ยวนี้ ไม่ผิดที่จะคิด แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เป็นความคิดซึ่งยังขาดการศึกษาประเทศญี่ปุ่นในขั้นพื้นฐานอยู่พอสมควร

หากลองทำความรู้จักญี่ปุ่นก่อนสักนิด ... นักท่องเที่ยวย่อมรู้ว่าภูมิภาคของแดนอาทิตย์อุทัยแบ่งออกเป็นกี่เขต แต่ละเขตนั้น ตั้งอยู่ตำแหน่งใด มีเมืองอะไรที่สำคัญ ห่างไกลกันกี่มากน้อย

รู้ว่าฤดูกาลในประเทศญี่ปุ่นทั้ง 4 ฤดู อยู่ในช่วงเดือนไหน มีปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าสนใจอย่างไร

รู้ว่าสังคมญี่ปุ่น มีสถิติอาชญากรรมอยู่ในระดับใด ปลอดภัย และทำได้ไหมสำหรับนักเดินทางผู้หญิงตัวคนเดียว

เมื่อมีความรู้พื้นฐานของประเทศญี่ปุ่นแล้ว การวางแผนในการท่องเที่ยวก็จะง่าย ประหยัดทั้งเวลา ทั้งงบประมาณ และมีทิศทางเหมาะสมมากขึ้นกว่าเดิม

โดยเฉพาะเมื่อผนวกเข้ากับ “การศึกษารสนิยมการท่องเที่ยว” คือ การรู้ใจ – เข้าใจ สไตล์การท่องเที่ยวของตัวเอง ว่าชอบทำอะไร ชอบสถานที่แบบไหน ... จุดเริ่มต้นในการวางแผนท่องเที่ยวแดนซากุระ ก็ไม่ใช่เรื่องยาก

..

เมื่อวางแผนตามหลักพื้นฐาน 2 ข้อ ... การเดินทางไปเยือนญี่ปุ่นครั้งแรกของผมในระยะเวลาสั้นๆ จึงเลือกไปเพียง “โตเกียว” เมืองเดียว ... แล้วก็ไม่ได้เก็บแต้ม ทำคะแนนสะสมจากสถานที่ท่องเที่ยวมากแห่ง แต่ตั้งใจท่องเที่ยวในรูปแบบปล่อยให้ “โตเกียวหมุนรอบตัว”

ผลที่ได้ แม้อาจไม่ใช่การเดินทางที่ “สมบูรณ์แบบ” แต่ก็เป็นการเดินทางที่ “สมบูรณ์สุข”อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของตัวเอง




การเติมเต็มความสุขจากเมืองโตเกียวในครั้งนั้น จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดการเดินทางครั้งใหม่ ซึ่งผมเลือกวางแผนท่องเที่ยวในรูปแบบปล่อยให้ ... “เกียวโตหมุนรอบใจ”







- โปรดติดตามตอนต่อไป –



..




Create Date : 24 พฤษภาคม 2554
Last Update : 24 พฤษภาคม 2554 12:33:17 น. 6 comments
Counter : 1967 Pageviews.  

 
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดี ๆ


โดย: vandy IP: 202.60.203.227 วันที่: 24 พฤษภาคม 2554 เวลา:16:13:08 น.  

 
ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ

เป็นอีกคนหนึ่งที่หลงรักญี่ปุ่นมาก มีอะไรหลายๆอย่าที่ทำให้ชอบประเทศนี้มากจริงๆ

ญี่ปุ่นคือประเทศที่อยากไปมากที่สุด..ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่

แต่...ก็ยังไม่ได้ไปสักที


โดย: KK_FUMIHIKO วันที่: 24 พฤษภาคม 2554 เวลา:18:21:32 น.  

 
wow!!!



โดย: ^RyOkO^ วันที่: 2 มิถุนายน 2554 เวลา:16:01:54 น.  

 
ยังละเมียดละมัยเหมือนเดิม ขอบคุณนะครับ สำหรับภาพสวยๆ

จาก *ภาพประกอบจาก Boston.com , NYTimes
รูปแถวบน ตรงกลาง คืออะไรเหรอครับ


โดย: vbaserv IP: 192.168.1.133, 58.11.46.225 วันที่: 10 มิถุนายน 2554 เวลา:14:55:43 น.  

 
ภาพสวย ความเรียงยอดเยี่ยมอีกเช่นเคยคะ

จะรอตอนต่อไปนะคะ


โดย: strawberry banana&cream วันที่: 21 มิถุนายน 2554 เวลา:9:00:15 น.  

 
ขอบคุณมากๆค่ะ เหมือนได้อ่านหนังสือเล่าเรื่องดีๆหนึ่งเล่ม


โดย: ดอกโสนบานเช้า IP: 171.5.68.149 วันที่: 1 มิถุนายน 2556 เวลา:15:51:16 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

POGGHI
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




..

บทความ และผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog นี้
สงวนลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗

ห้ามผู้ใดละเมิด ด้วยการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ และ ผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร


POGGHI

..
[Add POGGHI's blog to your web]