|
 |
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
 |
11 พฤษภาคม 2552
|
|
|
|
ปล่อยสมองว่าง ปล่อยหัวใจวาง ที่เกาะลันตา (กระบี่) - ตอนพิเศษ เกาะพีพี ไม่มีเหงา
..
ด้วยเหตุผล เรื่องตารางเวลาในชีวิตการทำงานที่เอาแน่เอานอนไม่ได้มากนัก
ผมจึงมีโอกาสท่องเที่ยวคนเดียวบ่อยครั้ง และนั่นเป็นสาเหตุให้ผมต้องเจอกับคำถามลักษณะว่า ไปคนเดียวจะสนุกมั๊ย ไม่เหงาเหรอ บ่อยพอกัน
คำถามลักษณะนี้ หากเป็นเมื่อก่อน ครั้งที่ยังไม่เคยออกเดินทางไปไหนไกลๆโดยลำพัง ผมคงให้คำตอบว่า เหงาสิ ไปคนเดียวไม่รู้จักใครเลยสักคน
แต่ทว่า หลังจากวันที่แบกเป้ขึ้นบ่า พร้อมสะพายกล้องคู่ใจ ออกไปสัมผัสโลกกว้าง
ผมค้นพบว่า คำตอบนั้นไม่เหมือนเดิม เพราะ ความเหงา ค่อยๆเบาบาง และถูกแทนที่ด้วยความหนาแน่นจาก มิตรภาพ และ ความงามรอบๆตัว
..

ทำไม..ไปพีพี
เช้าวันที่สอง บนเกาะลันตา ผมเลือกท่องเที่ยวลักษณะ One Day Trip ไปเกาะพีพี ตามคำแนะนำของ กิ๊ฟ
ด้วยสาเหตุว่า น่าจะเป็นการเดินทางที่ปลอดภัยต่ออุปกรณ์ถ่ายภาพมากที่สุดแล้ว เนื่องจากไม่ได้เตรียมตัวสำหรับถ่ายภาพใต้น้ำมาก่อน จึงขอเน้นการไปเก็บภาพบรรยากาศท่องเที่ยวมากกว่าจะสมบุกสมบัน
ผมซื้อทัวร์จาก Lanta Casuarina .. เพื่อความสะดวก ในราคา 950 บาท ประกอบไปด้วย รถรับส่งที่รีสอร์ท ค่าเรือเฟอร์รี่ ค่าเรือหางยาว พร้อมอาหารกลางวัน
ราคาดังกล่าว อาจจะถูก หรือแพงกว่านี้ แล้วแต่ว่าจะซื้อจากแหล่งใด ซึ่งไม่ว่าจะเป็น ทัวร์ไป กลับ ค้างแรม หรือ เลือกเดินทางไปยังเกาะแก่งอื่นๆ นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อได้จากโรงแรมที่พัก หรือจะหาซื้อเองตามละแวกบ้านศาลาด่านก็ได้
เวลาประมาณ 7 โมงเช้า มีรถกระบะมารับไปยังท่าเรือเฟอร์รี่ บริเวณบ้านศาลาด่าน ก่อนจะนำผมออกไปสูดกลิ่นคลื่นลมแห่งท้องทะเลอันดามัน
..

..
ล่องเรือใหญ่ ไปเที่ยวเกาะ
ภายในเรือเฟอร์รี่นั้น นักท่องเที่ยวสามารถจับจองที่นั่งได้ตามสะดวก และไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด หากผู้โดยสารส่วนใหญ่ คือ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเกือบทั้งลำ
..

..
เมื่อเรือออกจากฝั่งได้ราว 5 นาที เจ้าหน้าที่บนเรือก็คว้าไมโครโฟนมากล่าวสวัสดี พร้อมข้อแนะนำเบื้องต้นอีกเล็กน้อย
ข้อแนะนำหนึ่ง คือ ใน 30 นาทีแรกของการเดินทาง ขอให้นักท่องเที่ยวนั่งอยู่ภายในห้องโดยสารก่อน
จากนั้นเมื่อผ่านจุดตรวจไปแล้ว จึงสามารถออกไปรับลมชมวิวทะเลด้านนอกได้
..

..
แม้การเดินทางในเช้าวันนั้น เต็มไปด้วยผู้โดยสารชาวต่างชาติ แต่ก็พอจะมีนักท่องเที่ยวเจ้าของประเทศปะปนอยู่บ้างราว 10-15 คน
หนึ่งในนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ผมได้รู้จัก คือ น้องโบว์ ซึ่งเป็นนักศึกษาคณะทันตแพทยศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ผมจึงเรียกเธอว่า หมอโบว์
หมอโบว์ กับเพื่อนๆอีก 3 คน ขับรถกันมาเที่ยวเกาะลันตา และเลือกเดินทางเที่ยวไป กลับ เกาะพีพี แบบเดียวกับผม
..

..
เรือแล่นออกมาจนถึงจุดเปลี่ยนเรือกลางทะเล สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการจะเดินทางไปภูเก็ต
ผมเห็นหมอโบว์ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ โบกไม้โบกมือให้ใครสักคนบนเรืออีกลำ
เมื่อมองไปยังเรือฝั่งตรงข้าม จึงได้รู้ว่า หมอโบว์กำลังโปรยเสน่ห์สาวไทยให้หนุ่มน้อยผมทองอยู่นี่เอง
"เป็นหมอฟัน ต้องรักเด็ก น่าจะเป็นเรื่องจริง"
..

..
เรือโดยสารใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงเกาะพีพีดอน ซึ่งเป็นเกาะใหญ่ ที่ตั้งของรีสอร์ท ร้านค้า และกิจกรรมท่องเที่ยวสารพัด
จากการเดินทางในท้องทะเลกว้างใหญ่ว่างเปล่า จึงเปลี่ยนเข้าสู่บรรยากาศแห่งความคึกคัก
..

..
"โต้คลื่นไปกับเรือหางยาว"
เมื่อเรือเข้าเทียบท่าเป็นที่เรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะนำนักท่องเที่ยวแยกออกไปตามลักษณะของทัวร์ที่ซื้อเอาไว้
สำหรับทัวร์ ไป กลับเที่ยวชมเกาะพีพี พบว่ามีนักท่องเที่ยวเลือกเดินทางในรูปแบบเดียวกันนี้ประมาณ 15 คน
โดยนักท่องเที่ยว จะออกสู่ทะเลกว้างด้วยเรือหางยาว แบ่งผู้โดยสารออกไปลำละ 7-8 คน ไม่รวมคนเรืออีก 2 คน
สำหรับเรือที่ผมนั่งนั้น มีนักท่องเที่ยวทั้งหมด 8 คน ประกอบไปด้วย
นาย POGGHI ไอ้หนุ่มผมยาวจากแดนสยาม พี่สาวชาวใต้พูดน้อย คู่รักลุง-ป้าชาวนอร์เวย์ 2 คู่ และสองสาวคู่ดูโอจากสาธารณรัฐเช็ค (ซึ่งจนถึงวันนี้ผมยังสงสัยอยู่ว่า สาวชาวเช็คสองคนนั้นเป็นแค่เพื่อนสนิท หรือเป็นแฟนกัน ... ฮา)
..

..
เรือหางยาวลำที่ผมนั่ง มีชื่อว่า เรืออาบีน มีเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลนักท่องเที่ยว หรือที่เราเรียกว่า คนเรือ ชื่อ แบต และคนขับเรือ ชื่อ ลิ้ง
แรกเห็น ผมมีความรู้สึกว่า แบต หน้าตาดุ๊ดุ แต่เมื่อได้คุยกันเท่านั้นล่ะ จึงได้รู้ว่าหนุ่มใต้ผิวเข้มรายนี้ คุยเก่งไม่เป็นรองใคร
ส่วน ลิ้ง นั้น ดูเป็นคนขี้อาย เลือกที่จะยิ้มมากกว่าพูด ซึ่งผมเองไม่ได้คุยเท่าไหร่ เพราะนั่งอยู่หัวเรือ แต่ ลิ้ง ต้องทำหน้าที่ขับเรือ
.
เป็นเวลาเกือบ 10 โมงเช้า เรือหางยาวนำผมออกไปสู่ทะเลกว้างอีกครั้ง ท่ามกลางท้องฟ้าครึ้ม และเมฆทึมๆตั้งเค้ามาแต่ไกล
..

..
แล้วก็เป็นไปตามคาด ว่าการเดินทางของผมในวันนี้คงได้ภาพถ่ายมาไม่โดนใจตัวเองเท่าไรนัก
สายฝนเริ่มโปรยปรายลงมาเล็กน้อย ท้องฟ้าครึ้ม เมฆหนา มองไม่เห็นฟ้าครามสดใสเหมือนอย่างในโปสการ์ด
.
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ยังทำเอาคนว่ายน้ำไม่เป็นอย่างผมใจเต้นตุ้มๆต่อมๆไปตลอดทาง
โดยเฉพาะในช่วงแรกที่เรือหางยาวแล่นออกสู่ทะเล เป็นจังหวะที่ผมยังไม่ทันได้หยิบเสื้อชูชีพขึ้นมาสวมใส่
แต่ด้วยแรงคลื่น แรงลมของท้องทะเลยามฝนตก ทำให้เรือหางยาวโต้คลื่น ขึ้นลงๆ น่าหวาดเสียว ชนิดที่ผู้โดยสารทั้งชาวไทย และต่างชาติ สามารถพร้อมใจเปล่งเสียงเป็นคำเดียวกันได้ว่า "อู้ววววว......"
.
รูปประกอบ เรือหางยาว One Day Trip อีกลำหนึ่งที่เดินทางไปด้วยกัน ฟองคลื่นขาวๆที่ปะทะกับเรือ
บ่งบอกได้ดีว่า เช้าวันนี้ คลื่นลมในทะเลไม่สงบนัก และฟองคลื่นนี้ ยังสาดกระเซ็นขึ้นมาจนผู้โดยสารเปียกโชกไปทั้งตัว
..

..
"เกาะพีพีเล สวรรค์สำหรับนักดำน้ำ"
หลังจากนั่งเรือหางยาวฝ่าคลื่นลมมาได้ราว 20 นาที เรือนำเราเข้าสู่บริเวณเกาะพีพีเล ซึ่งเขาหินปูน หน้าผาสูงชันตั้งตระหง่านกลางทะเล
พีพีเลเป็นแหล่งชมปะการังน้ำตื้นขึ้นชื่ออีกแห่งหนึ่ง และเป็นที่ตั้งของอ่าวมาหยาที่โด่งดังไปทั่วโลก
แต่เหมือนฟ้าฝนช่างไม่เป็นใจเอาเสียเลย เพราะจากฝนโปรยปรายเล็กน้อย ได้กลายเป็นฝนเทกระหน่ำมากขึ้น และด้วยความที่ผมนั่งอยู่บริเวณหัวเรือ ซึ่งเป็นพื้นที่ด้านนอกหลังคา ทำให้จำต้องเก็บอุปกรณ์ถ่ายภาพทั้งหมด นอนแน่นิ่งอยู่ในกระเป๋า
.
แต่ ... ด้วยความงดงามของบรรยากาศรอบๆเกาะ ทำให้ผมอดใจไม่ไหว ยอมเสี่ยงหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพท่ามกลางสายฝน จนได้ภาพที่มีละอองน้ำเกาะอยู่หน้าเลนส์
..

..
เรือหางยาวขับวนรอบเกาะ 1 รอบ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมความงามของผืนน้ำสีเขียวมรกต ก่อนลงไปสัมผัสกับความงามใต้น้ำ
ส่วนฟ้าฝนในวันนั้น ช่างเดาใจได้ยากเย็นเหลือเกิน เพราะเพียงช่วงเวลา วนรอบเกาะ ฝนก็หยุดตกดื้อๆซะอย่างนั้น
..

..
เรืออาบีน จอดหยุดนิ่งเหนือผืนน้ำใสๆ
แบต บอกนักท่องเที่ยวว่า มีเวลาให้สำหรับดำน้ำได้ 40 นาที
นักท่องเที่ยวบนเรือต่างทยอยกันลงน้ำไปทีละคนสองคน จนกระทั่งเหลือตัวผม แบต ลิ้ง และคุณป้าชาวนอร์เวย์ ที่ขอแค่นั่งชมบรรยากาศจากบนเรือ และนั่งคุยกันสบายๆ
..

..
แม้ผมไม่ได้ลงไปชมความงามใต้ผืนน้ำของเกาะพีพีเลด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ได้นึกเสียดายอะไรนัก
เพราะการท่องเที่ยวครั้งนี้ ตั้งใจมาเพื่อเน้นการถ่ายภาพบนผิวน้ำ และเก็บบรรยากาศการเดินทางมากกว่า
ไว้โอกาสหน้า หากมีกล้องถ่ายใต้น้ำเมื่อไหร่ ค่อยดำผุดดำว่ายอย่างคนอื่นเขาบ้าง
แต่กระนั้น ด้วยความใสปิ๊งของน้ำทะเลบริเวณเกาะพีพีเล ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป ที่เราจะมองผ่านผิวน้ำไปชมความงามด้านล่างด้วยตาเปล่า
..

..
ขณะที่กำลังคุยกับคุณป้าชาวนอร์เวย์เรื่องอาหารไทยอยู่เพลินๆ
สาวชาวเช็คคนหนึ่ง ก็มองมาที่ผม แล้วว่ายน้ำกลับมายังที่เรือ
เธอพาร่างเปียกชุ่มโชก ในชุดบิกินี่ตัวจิ๋วขึ้นมาบนเรือ แล้วหันมาสบตากับผมด้วยความหมายบางอย่าง ก่อนจะพูดเบาๆว่า
"คุณช่วยถ่ายรูปเดี๊ยนกับเพื่อนให้หน่อยนะคะ"
.
รูปประกอบ หลังจากผมถ่ายรูปสองสาวจากสาธารณรัฐเช็ค ด้วยกล้องของเธอเสร็จแล้ว จึงขออนุญาตถ่ายภาพจากกล้องของผมบ้าง
สองสาวยิ้มรับด้วยความยินดี ก่อนจะไปดำน้ำด้วยอารมณ์กะหนุงกะหนิงกันต่อสองคน
.. 
..
ผ่านไปครู่ใหญ่ เรือสปีดโบ๊ทนำเที่ยวหลายลำ เริ่มทยอยเข้ามาในพื้นที่ชมปะการัง
เกาะพีพีเลที่ดูเงียบๆเมื่อราวครึ่งชั่วโมงก่อน จึงเต็มไปด้วยความคึกคักจากบรรดานักท่องเที่ยว ที่ลงไปชมความงดงามใต้น้ำพร้อมกันเป็นหมู่คณะ
..

..
อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวบางรายที่พอมีทุนทรัพย์ และรักในความเป็นอิสระ อาจเลือกวิธีจ้างเรือหางยาวมาลุยเดี่ยว
อยากให้คนเรือแวะจอดดำน้ำ มุมไหน ก็สามารถทำได้ตามความต้องการ
..

..
เมื่อมองไปรอบๆ พบว่าไม่เพียงแค่ตัวผมเท่านั้น ที่เลือกชมความงามของทะเลโดยไม่ยอมลงน้ำ
หากยังพอมีนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีบางกลุ่ม เลือกกิจกรรมรูปแบบเดียวกัน ด้วยการขอถ่ายภาพความงามจากบนเรือ
สาวเกาหลี เก็บภาพความใสของผิวน้ำ ส่วนผมเก็บภาพความงามจากแดนกิมจิ
..

..
"มื้อเที่ยงริมหาดส่วนตัว"
หลังจากการดำน้ำเกือบชั่วโมง เรือนำพวกเราไปยังชายหาดแห่งหนึ่งเยื้องกับอ่าวมาหยา
ผมไม่ได้ถามเหตุผลจากคนเรือว่า ทำไมเราไม่ไปแวะที่อ่าวมาหยา เพราะเมื่อเห็นปริมาณนักท่องเที่ยวบนอ่าวชื่อดังแล้ว ผมขอเลือกความสงบเงียบของชายหาดเล็กๆ ซึ่งอยู่ตรงหน้าดีกว่า
.
นักท่องเที่ยวและคนเรือ จากเรือ 2 ลำ รวมกันประมาณ 15 คน แวะทานมื้อเที่ยงกันที่นี่
ชายหาดเล็กๆส่วนตัวแห่งนี้ จะเป็นของเรา
.. 
..
เมื่อจอดเรือเสร็จสรรพ คนเรือพากันหิ้วอาหารการกินออกไปจัดแจงบนแคร่ไม้ไม่ไกลจากริมหาด
อาหารในมื้อนี้ ประกอบด้วย แกงเขียวหวานไก่ ไข่เจียว ผักผัด และผลไม้
แม้จะเป็นกับข้าวง่ายๆ แต่รสชาติอร่อยทีเดียว และยังมีเพียงพอที่จะทานได้คนละ 2-3 จาน
.
หลังจากนักท่องเที่ยว ได้อาหารกันครบทุกคนแล้ว บรรดาคนเรือก็ทยอยมาตักบ้าง
ด้วยเหตุผลที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติร่วมเดินทางมาด้วย แกงเขียวหวานไก่ ในวันนั้นจึงไม่มีรสเผ็ดจัดจ้านแบบทางใต้
ผมนั่งทานกับคนเรือ จึงแซวเรื่องรสชาติอาหารไปว่า "แกงเขียวหวาน หวานสมชื่อจริงๆครับ"
..

..
หลังจากทานไปได้ครึ่งจาน ผมขอตัวไปนั่งทานกับเพื่อนใหม่ชาวต่างชาติบ้าง
คุณป้าชาวนอร์เวย์ ทานข้าวจนหมดจาน แล้วบอกผมว่า "อาหารอร่อยมากเลยค่ะ แต่แกงเขียวหวานมีรสชาติเผ็ดไปนิด"
..

..
เมื่ออิ่มหมีพีมันกันไปถ้วนหน้า ก็เป็นเวลาปล่อยให้พักผ่อนเต็มที่อีกประมาณครึ่งชั่วโมง
นักท่องเที่ยวบางรายเลือกนั่งคุยกันริมทะเล บางรายนั่งเงียบๆริมหาดทราย ขณะที่บางรายลงไปเล่นน้ำอีกครั้ง
.
อย่างไรก็ตาม แม้หาดทรายขาวละเอียดเล็กๆแห่งนั้นมีความสวยงามในระดับหนึ่ง แต่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่บางพื้นที่ลึกเข้าไปบนหาดเต็มไปด้วยขยะ
นักท่องเที่ยวต่างชาติถามคนเรือว่า ทำไมจึงมีการปล่อยให้ทิ้งขยะกันเกลื่อนกลาด คำตอบที่ได้ คือ เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบไม่ได้เข้ามาเก็บขยะบ่อยๆ ขยะจากนักท่องเที่ยวจึงเพิ่มขึ้นวันละชิ้นสองชิ้นกลายเป็นกองใหญ่
.
ผมมองว่า วิธีป้องกันอย่างยั่งยืน คือ ไม่ทิ้ง
ส่วนวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คือ หากหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ ไม่สามารถไปเก็บขยะได้บ่อยๆ รบกวนช่วยจัดหาถังขยะสักใบไปวางบนชายหาดก็ยังดี ทราบแล้วเปลี่ยน!!
..

..
ผ่านไปราวชั่วโมงครึ่ง ก็ได้เวลาเดินทางออกจากชายหาด
แบต เดินลงไปสำรวจความเรียบร้อยของเรือ ก่อนนำคณะนักท่องเที่ยวออกไปโต้คลื่นอีกครั้ง
ผมนึกสภาพที่ต้องออกไปเด้งๆดึ๋งๆโต้คลื่นอีกรอบ กลัวว่าตัวเองจะปล่อยอาหารปลาระหว่างทางเสียจริง
..

..
"อ่าวลิง"
เรือหางยาวฝ่าลม ฝ่าคลื่นให้ได้หวาดเสียวอีกรอบ ก่อนจะนำเราไปแวะ "อ่าวลิง" หรือชื่อท้องถิ่นว่า "อ่าวยงกะเส็ม"
ที่มาของชื่ออ่าว คงมาจากริมหาดแห่งนี้ เป็นที่อยู่ของบรรดาเหล่าลิงแสมหลายสิบตัว
..

..
กิจกรรมบริเวณอ่าวลิง มีหลากหลาย นอกจากนักท่องเที่ยวแวะมาถ่ายรูป ให้อาหาร หรือเล่นกับลิงแล้ว
หาดขาวๆแห่งนี้ ยังเป็นที่นิยมสำหรับการเล่นน้ำ ดำน้ำชมปะการัง พายเรือคายัค
รูปประกอบ ลูกลิงตัวน้อย กำลังเล่นน้ำอยู่บริเวณอ่าวลิง
..

..
การเดินทางครั้งนี้ ผมได้รู้จักคุณลุงชาวนอร์เวย์อีกคนหนึ่ง
ผมคิดว่า การได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ชาวตะวันตก ทำให้เราได้รับรู้ความคิดเห็นที่แตกต่าง จนถึงเรื่องขำๆเกี่ยวกับมุมมองในบางเรื่องตามสายตาของชาวต่างชาติ
.
คุณลุงเห็นผมคุยกับแบต อยู่นานสองนาน ก็ถามขึ้นมาว่า "พวกคุณ คุยภาษาญี่ปุ่น หรือภาษาไทยกันเหรอ" (หน้าตาของผม กับ แบต เนี่ย คงจะ ญี่ปุ๊นนนน ญี่ปุ่นในสายตาลุงมากเลยนะนั่น)
นั่งเรือกันไปครู่ใหญ่ คุณลุงก็ชมว่า "พวงมาลัยดอกไม้ประดับหัวเรือสวยดีนะ เค้าผูกไว้ทำไมเหรอ" ผมจึงให้ความกระจ่างไปถึงความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพของชาวไทย เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง
.
อย่างไรก็ตาม มุมมองหนึ่งที่คุณลุงชาวนอร์เวย์ศึกษามาเป็นอย่างดี และแสดงความชื่นชมคนไทยมาก คือ การอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติระหว่างคนต่างศาสนา
เพราะในทะเลอันดามัน มีทั้งชาวบ้านชาวมุสลิม ชาวพุทธ ตลอดจนนักท่องเที่ยวต่างชาติ แต่ทุกคนต่างอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน
..

..
"เดินเล่นรอบเกาะพีพีดอน"
เรืออาบีน นำเรากลับมาถึงเกาะพีพีดอน อย่างปลอดภัย
แม้ผมจะไม่มีอาการเมาเรือ แต่ด้วยเวลากว่า 20 นาที ที่ต้องนั่งโต้คลื่นบนเรือ ขึ้นๆลงๆ เมื่อเดินลงฝั่งได้ครู่หนึ่ง จึงเกิดอาการ "เมาบก" ขึ้นมาทันที รู้สึกว่าพื้นมันเอียงๆ เวียนหัวชอบกล
.
กิจกรรมบนเกาะพีพีดอน นักท่องเที่ยว One Day Trip สามารถเลือกได้ตามอิสระ โดยมีเวลาให้ประมาณ 2 ชั่วโมง ก่อนจะมาขึ้นเรือเฟอร์รี่กลับไปเกาะลันตาในช่วงเย็น
ฝนเริ่มลงเม็ดโปรยปรายเป็นละอองอีกครั้ง ผมไม่มีอะไรทำดีไปกว่าการเดินเล่น เก็บบรรยากาศรอบๆเกาะ
..

..
ผมเดินไปยังอีกฝั่งหนึ่งของเกาะ ก็พบกับครอบครัวนักท่องเที่ยวครอบครัวหนึ่ง ซึ่งจำได้ว่า เรานั่งเรือเฟอร์รี่ลำเดียวกันมาจากเกาะลันตา
เมื่อเห็นว่าต่างฝ่ายต่างคุ้นหน้าคุ้นตา เราจึงได้ทักทายพูดคุยกัน
.
ครอบครัวนี้ เดินทางมาจากสวีเดน คุณพ่อคุณแม่ มีลูกสาวถึง 3 คน น่าอิจฉาน้องคนสุดท้องที่อายุยังไม่ทันครบขวบปี ก็มีโอกาสได้มาตะลอนๆเที่ยวเมืองไทยแล้ว
..

..
ผมไม่แน่ใจว่า น้องเล็กคนสุดท้อง ชื่อ มายา หรือ มาหยา (เพราะสำเนียงชาวตะวันตก ไม่มีเสียงวรรณยุกต์เหมือนภาษาไทย)
แต่ผมขออนุญาต คุณพ่อคุณแม่ เรียกว่า "น้องมาหยา" ไปเป็นที่เรียบร้อย พร้อมบอกเหตุผลว่า ชื่อตรงกับอ่าวมาหยาที่สวยงามนั่นเอง
..

..
หลังจากสำรวจโดยรอบๆแล้ว ผมคิดว่าสถานการณ์ของลมฟ้าอากาศคงไม่ดีไปกว่านี้แล้ว
วันนี้ฟ้าคงปิดทั้งวัน และไม่มีประโยชน์ที่จะเดินไปหามุมถ่ายภาพทะเลสวย ฟ้าใสๆตรงไหนอีก
.
ผมจึงนั่งปักหลักปล่อยเวลา ปล่อยใจสบายๆ
เก็บภาพบรรยากาศกิจกรรมริมหาดของคนอื่นๆแก้เบื่อไปเรื่อย
..

..
การท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ มักมีเวลาสำหรับให้สมองปล่อยว่างสบายๆ
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะมีระยะเวลาในการท่องเที่ยวยาวนานกว่าคนไทย
จึงเป็นภาพชินตา หากเราจะเห็นนักท่องเที่ยวจากแดนไกล นอนอ่านหนังสืออยู่ริมหาดได้เป็นชั่วโมงๆโดยไม่ทำกิจกรรมอย่างอื่น
..

..
แต่หากเป็นนักท่องเที่ยววัยเด็ก คงอยู่นิ่งๆได้ยากสักหน่อย
เด็กๆฝรั่งส่วนมากจึงวิ่งเล่นได้แทบจะรอบหาด
..

..
ส่วนนักท่องเที่ยวกลุ่มวัยรุ่น มักเลือกกิจกรรมพายเรือคายัคไปยังเกาะใกล้เคียง
ในวันนั้น คงมีทัวร์นักท่องเที่ยวจีนมากันกลุ่มใหญ่ เพราะผมสังเกตเห็นลูกค้าวัยรุ่นชาวจีนเป็นจำนวนมาก มาอุดหนุนร้านเช่าเรือคายัค
..

..
เมื่อใกล้เวลาที่จะต้องกลับไปยังเรือเฟอร์รี่ ผมเดินชมร้านค้าต่างๆภายในเกาะพีพีดอนอีกครั้ง
เหลือบไปเห็นเจ้าแมวอ้วน กำลังทำความสะอาดตัวเองอย่างเพลิดเพลิน จึงเก็บภาพเอาไว้หน่อย ตามประสาคนรักสัตว์
เจ้าอ้วนรายนี้ น่าจะเป็น แมวดัง ในละแวกร้านรวงแถวนั้น
ใครผ่านไปผ่านมา มักทักทายว่า เจ้าแดง
.
แต่คุณแดงก็ไม่สนใจใครทั้งนั้น ยังคงเลียท้องแผล่บๆอย่างสบายอารมณ์
..

..
กลับมาที่ท่าเรืออีกครั้ง ผมเห็นกลุ่มคนเรือ กำลังเรียกลูกค้าที่เพิ่งเดินทางมาถึง
คนเรือเหล่านี้ ก็คือ คนขับเรือหางยาว ที่รอลูกค้า ผู้มาว่าจ้างไปชมความงามตามเกาะแก่งต่างๆนั่นเอง
มีคนหนึ่งหันมาถามผมด้วยภาษาอังกฤษ ด้วยเข้าใจว่าเป็นชาวต่างชาติ ผมจึงบอกไปว่าเป็นคนไทย จึงได้จังหวะขออนุญาตถ่ายภาพเก็บไว้เป็นบรรยากาศในการท่องเที่ยวเสียเลย
.
หลังจากนั้นความโกลาหลเล็กๆจึงเกิดขึ้น บรรดาคนเรือต่างพากันจัดตำแหน่งยืนเพื่อถ่ายภาพกันใหญ่
"ไปเรียกคนนั้นมาด้วยสิ คนนั้นล่ะนายหัวเลย"
"มาเร็วๆ เค้าจะขอถ่ายรูป"
"เอาป้ายมาถ่ายด้วยนะ"
"ผมขอทำท่าไม่มองกล้องได้ไหม"
.
แม้ภาพลักษณ์ภายนอก ของกลุ่มคนเรือ เหมือนเป็นคนดุ และดูน่ากลัว
แต่เมื่อได้เอ่ยคำทักทายกันด้วยรอยยิ้ม ผมรับรู้ได้ทันทีว่า เจ้าถิ่นกลุ่มนี้ พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวผู้มาเยือนเสมอ
..

..
"กลับสู่ลันตาอีกครั้ง"
การนั่งเรือเฟอร์รี่ขากลับ นับเป็นความสบายอย่างแท้จริง เพราะกลุ่มนักท่องเที่ยวขามาส่วนใหญ่ เลือกเดินทางต่อไปยังภูเก็ต หรือไม่ก็ค้างคืนบนเกาะพีพี
ทำให้เรือโดยสารจำนวนกว่า 300 ที่นั่งในขากลับนั้น โล่ง ว่าง นั่งสบาย เป็นส่วนตัว
.
ผมนั่งๆนอนๆในห้องโดยสารได้ราวครึ่งชั่วโมง ก็อดรนทนไม่ไหว ขอเดินสำรวจเรือสักหน่อย สำรวจไปสำรวจมา ก็ขึ้นมาอยู่บนดาดฟ้า พร้อมกับนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มเล็กๆ
.
ความจริงแล้ว การขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือ นับว่าอันตรายสำหรับคนที่แข้งขาไม่ดี ซุ่มซ่าม หน้ามืดง่าย และกลัวความสูง เพราะการขึ้นมาด้านบนนั้น ต้องเดินผ่านทางแคบๆ ก่อนจะต้องปีนป่ายราวเสาขึ้นมาโดยไม่มีบันไดอำนวยความสะดวก
ดังนั้น หากเป็นขาไปเกาะพีพี เจ้าหน้าที่คงไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวขึ้นมาบนดาดฟ้าได้ แต่คงจะอนุโลมให้สำหรับขากลับซึ่งมีจำนวนนักท่องเที่ยวไม่มากนัก
.
อากาศบนดาดฟ้านั้น ค่อนข้างร้อน เพราะรับแดดเต็มๆ แต่ด้วยลมทะเลเย็นๆ และเมฆครึ้ม จึงพอทำให้ความอบอ้าวบรรเทาเบาบางลงไปได้บ้าง
..

..
ผมมองลงไปยังด้านล่าง เห็นเด็กๆกำลังเพลิดเพลินกับการดูสายน้ำ และฟองคลื่นข้างลำเรือ
เมื่อเด็กสาวสวีเดนคนเดิมเห็นผมเข้า จึงยิ้มร่าให้ ส่วนข้างๆอีกสองคน เป็นเด็กสาวท้องถิ่นซึ่งเป็นฝาแฝดกัน
..

..
ไหนๆก็อุตส่าห์ปีนป่ายขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือแล้ว ผมจึงขออนุญาตเจ้าหน้าที่ เข้าไปดูห้องบังคับการสักหน่อย
.
กัปตันเรือเฟอร์รี่ บอกผมว่า การขับเรือไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรไปนัก โดยเฉพาะหากอยู่กลางทะเล เพราะเรือยุคใหม่ มีระบบคอมพิวเตอร์นำร่องในการควบคุมทิศทางให้เสร็จสรรพ
ตรงหน้าจอมอนิเตอร์นั้น บอกทั้งพิกัดละติจูด ลองติจูด ระยะห่างจากฝั่ง ความเร็วของเรือ ความเร็วของกระแสลม ตลอดจนระดับความลึกใต้น้ำ โดยใช้การส่งสัญญาณคลื่นโซนาร์
..

..
"ช่วงเวลาแห่งความสวยงาม"
เมื่อกลับมาถึงที่ท่าเรือตรงบ้านศาลาด่าน ผมกล่าวคำอำลากับเพื่อนร่วมทาง ไม่ว่าจะเป็นคุณลุงคุณป้าชาวนอร์เวย์ทั้ง 2 คู่ สองสาวชาวเช็ค ครอบครัวชาวสวีเดน หมอโบว์และเพื่อนๆ รวมไปถึงแบต ที่เดินเข้ามาจับไม้จับมือ พร้อมคำชวนให้กลับมาเที่ยวเกาะลันตาอีก
.
จากนั้นรถกระบะนำผมกลับมาที่ Lanta Casuarina
หลังจากล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว ผมลงมาริมชายหาดพระแอะ นั่งมองทะเลยามเย็น
..

..
แม้การนั่งอ้อยอิ่งริมทะเล ปล่อยสมองให้โล่งๆ คล้ายกับเป็นการปล่อยเวลาให้เลื่อนไหลไปไม่เกิดประโยชน์
หากแต่ในความเป็นจริง ผมเชื่อว่า การเคลื่อนไหวของเวลาทุกวินาที มีผลลัพธ์ของมันเสมอ แม้เป็นจังหวะที่เราหยุดนิ่ง
อย่างน้อยๆ เวลานั้น ผมรู้สึกว่าเซลล์สมองได้รับการเติมพลังงานอย่างเต็มที่
..

..
เมื่อนั่งนิ่งๆได้ครู่ใหญ่ ผมเดินทอดน่องไปตามหาดพระแอะ
ชมบรรยากาศริมทะเล ปล่อยอารมณ์ไปตามคลื่นลมสงบๆ ที่ยังมีความเคลื่อนไหว
..

..
ผมเดินออกมาจาก Lanta Casuarina ไปเรื่อยๆ จากไม่กี่สิบเมตร เป็นกิโลเมตร
.
จนกระทั่งมาเจอพื้นที่หนึ่งของหาดพระแอะ ที่เหมาะสำหรับนั่งชมพระอาทิตย์ตก
ผมเห็นครอบครัวหนึ่ง นั่งมองความงามยามเย็นอยู่ด้วยกัน ทำให้นึกถึงภาพยนตร์ญี่ปุ่นเรื่องโปรดอย่าง Always : Sunset on Third Street
ภาพยนตร์เรื่องนี้ สื่อเป็นนัยว่า เวลาพระอาทิตย์ตกนั้น นับเป็นช่วงเวลาแห่งความสวยงามอันแสนอบอุ่นอีกช่วงหนึ่งของวัน
ซึ่งแน่นอนว่า เวลาพิเศษเช่นนี้ ย่อมมีความหมายเพิ่มขึ้น หากเราได้ร่วมดื่มด่ำบรรยากาศไปพร้อมกับคนรัก - คนในครอบครัว
..

..
แสงสุดท้ายค่อยๆหายไปกับหมู่เมฆ นับเป็นความงดงามของธรรมชาติ ที่มิอาจหาศิลปินเอกรายใดไปแต่งแต้ม
แม้เย็นนี้แสงแห่งความงามจะค่อยๆลาลับหายไปจากขอบฟ้า
แต่เราทุกคนก็รู้ดีว่า
ในเช้าวันใหม่ พระอาทิตย์ดวงเดิมจะกลับมาอีกครั้ง
- โปรดติดตามตอนจบ ในครั้งหน้า -
..
Create Date : 11 พฤษภาคม 2552 |
Last Update : 11 พฤษภาคม 2552 17:36:49 น. |
|
7 comments
|
Counter : 3761 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: no filling วันที่: 11 พฤษภาคม 2552 เวลา:17:05:24 น. |
|
|
|
โดย: mame (@FirstblusH ) วันที่: 14 พฤษภาคม 2552 เวลา:0:25:13 น. |
|
|
|
โดย: POGGHI วันที่: 14 พฤษภาคม 2552 เวลา:17:25:22 น. |
|
|
|
โดย: ด.ญ คณิตกร วันที่: 16 พฤษภาคม 2552 เวลา:2:40:40 น. |
|
|
|
โดย: LoveOnly วันที่: 21 พฤษภาคม 2554 เวลา:15:40:33 น. |
|
|
|
| |
|
 |
POGGHI |
|
 |
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]

|
..
บทความ และผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
ห้ามผู้ใดละเมิด ด้วยการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ และ ผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
POGGHI
..
|
|
|