|
 |
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
 |
13 ธันวาคม 2552
|
|
|
|
โตเกียว หมุนรอบตัว ตอนที่ 4 : ไหลเอื่อยไปกับเวลา
..
เมื่อกลับมาถึงเมืองไทย ผมหยิบสมุดโน้ตเล่มเล็กๆ ซึ่งเขียนตารางการท่องเที่ยวโตเกียวเอาไว้
เช้าวันแรกแวะเที่ยวที่ไหน บ่ายวันที่สองต้องทำอะไร เย็นวันที่สามควรไปที่นั่นกี่โมง ฯลฯ
อักษรทุกตัวยังคงเป็นสีดำเข้มจากหมึกปากกา กระดาษทุกหน้า มีเพียงรอยยับบ้างนิดหน่อย
ผมศึกษา และวางแผนตารางเวลาเหล่านั้นร่วมสองเดือน
แต่เมื่อไปถึงโตเกียวจริงๆ ... กลับมีโอกาสได้ทำตามตารางไม่ถึงสองวัน เพราะบ่อยครั้ง การเดินทางเพื่อค้นหาความหมายที่ลึกซึ้ง จำเป็นต้องใช้...
เวลา

..
ในแต่ละวัน มนุษย์ทุกคนมีสิ่งที่ได้รับกันอย่างเท่าเทียม คือ เวลา
แม้กรรมการในสนามฟุตบอล ทดเวลาบาดเจ็บออกไปอีก 5 นาที แต่ไม่ได้หมายความว่า ในวันนั้น นักฟุตบอล จะมีเวลาเพิ่มขึ้นเป็น 24 ชั่วโมง 5 นาที
หรือ ในวันที่สภาพการจราจรติดขัด ทำให้เราบ่นกับตัวเองว่า แย่ชะมัด ... เสียเวลาไปตั้งเกือบชั่วโมง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า วันนั้นเรามีเวลา 23 ชั่วโมงเศษ
การบริหารจัดการเวลา จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมหานครอย่างโตเกียว ที่คนมองเวลา ว่ามีค่า ทุกวินาที
.
ไม่เว้นแม้กระทั่ง นักท่องเที่ยว ที่เดินทางมาเยือน ซึ่งต้องวางแผน จัดตารางให้ลงตัว เพื่อให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด
ผมเองก็ไม่แตกต่างจากนักท่องเที่ยวทั่วไป ซึ่งมีการเตรียมตัวล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี
แต่ทว่า เมื่อได้มาสัมผัสความเป็นโตเกียวจริงๆแล้ว ผมจำต้องปรับเปลี่ยนแผนเดิมที่วางเอาไว้ เพราะหากผมยึดเอาแบบแผน และเวลาเป็นสิ่งสำคัญ ... นั่นคงทำให้ผมต้องเร่งรีบไปตามกระแสของคนเมืองโตเกียว
แน่นอนว่า หากเดินทางไปทำงาน ผมควรจะยึดตามกระแสเหล่านั้น แต่สำหรับการท่องเที่ยวที่ต้องเร่งรีบ รวดเร็ว มีเวลาเป็นเครื่องผูกมัด กำหนดกรอบมากเกินไป
... อาจทำให้เรามองอะไรไม่ถนัดชัดเจน จนพลาดรายละเอียดบางอย่าง
 ..
การเดินทางท่องเที่ยวออกนอกกรอบ นอกแผนตารางเวลาของผมนั้น เริ่มสั่งสมไปเรื่อยๆ เมื่อได้เจอกับบรรยากาศของสถานที่หลายๆแห่ง ซึ่งเหมาะที่จะเดินไปช้าๆ มองดูความเป็นไปของวิถีชีวิต
ดังเช่นที่ผมเคยพูดไว้ว่า ...พื้นที่ภายในรั้วมหาวิทยาลัยโตเกียว ถูกจำกัดจังหวะการเดินของเวลาให้ช้าลง...
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริง เพราะเมื่อลดจังหวะฝีเท้า ก้าวไปช้าๆ ผมจึงได้เห็นบรรยากาศภายในรั้วสถาบันการศึกษาแห่งนี้ละเอียดขึ้น มหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของเอเชีย ไม่ได้มีเพียงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยแห่งความคร่ำเคร่ง นักศึกษาจมอยู่กับกองตำราวิชาการ
หากยังมีช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลายไม่ต่างไปจากสวนสาธารณะใจกลางเมือง
 ..
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้เดินทางไปยังถนนสายเล็กๆอย่าง Jizo-dori ในย่าน Sugamo
สถานที่ซึ่งจังหวะของเวลา สอดประสานกับจังหวะการเดินของผู้สูงวัย
นับเป็นการย้ำความรู้สึกของตัวเองได้ดีว่า ... อัตราเร่งของการเดินแข่งขันกับเวลา ไม่มีผลกับอัตราการเติบโตของความสุข
. .
เที่ยวนอกตาราง
บ่อยครั้งที่ผมให้เวลากับสถานที่แต่ละแห่งมากเกินที่กำหนดเอาไว้ตามแผนเดิม
หากมองในแง่ลบ นั่นย่อมทำให้พลาดโอกาสที่จะเที่ยวได้อย่างหลากหลายมากขึ้น
แต่หากไม่ต้องมองในแง่ไหนเลย ... เพียงแค่ปล่อยวาง เดินไปตามกำลังขา และความต้องการของใจ
จะเที่ยวตามตาราง หรือ นอกตาราง ... ก็ไม่มีอะไรน่ากังวล
ในวันที่ผมเดินทางไป Meiji Jingu หรือ ที่เราเรียกกันติดปากว่า ศาลเจ้าเมจิ
กว่าจะได้ฤกษ์งามยามดี เดินไปถึงที่หมาย ก็เป็นเวลาใกล้ 5 โมงเย็นเต็มที บรรยากาศของศาลเจ้าขนาดใหญ่ ที่ปกติจะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว จึงกลายเป็นสถานที่แห่งความเงียบสงบ
. .
Meiji Jingu เปิดรับนักท่องเที่ยวตลอดทุกวัน แต่มีเวลาปิดทำการ โดยยึดจากแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า
ในช่วงฤดูใบไม้ร่วง จึงเป็นอีกฤดูกาลหนึ่งที่ศาลเจ้าแห่งนี้ปิดเร็วขึ้น ... เมื่อเข้าไปในบริเวณ Meiji Jingu ผมจึงเห็นนักท่องเที่ยวเหลืออยู่ไม่กี่คน
ได้ถ่ายรูปไม่ทันไร แสงสุดท้ายของวันก็ค่อยๆลับหายไปหลังต้นไม้ใหญ่เขียวครึ้ม เจ้าหน้าที่ชาวญี่ปุ่น จึงเดินมาพูดกับผมว่า %)(&);;$# 時間!!:{
พร้อมกับผายมือไปยังทางออก - -
. .
แม้การเดินทางมาเที่ยวแบบผิดเวลา จนตารางที่วางเอาไว้ผิดเพี้ยน อาจทำให้เราอารมณ์เสียได้ง่ายๆ
แต่ในเมื่อผมเลือกที่จะไม่เดินทางอิงกับกรอบเวลา จึงไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดอะไรนัก
ผมเดินออกมา เก็บภาพ บริเวณด้านหน้า Meiji Jingu อีกหน่อย
ข้อดีของบรรยากาศที่ปราศจากผู้คนนั้น ... ทำให้ผมได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวในความเงียบสงบอย่างชัดเจน
. .
สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่า การเดินทางรูปแบบทัวร์ หรือการเดินทางในรูปแบบตามตารางเวลาเป๊ะๆ ไม่สามารถจะทำได้ง่ายนัก
นั่นคือ ... การขอเดินทางไปซ้ำ หรือขอไปแก้ตัว กับสถานที่เดิม
แน่นอนว่า บางคนอาจมองว่า นี่เป็นข้อแก้ตัวน้ำข้นๆ (มากกว่าน้ำขุ่นๆ)
แต่ผมไม่คิดมาก เพราะอย่างน้อย เราก็เดินทางมาต่างวัน ต่างเวลา อยู่ดี
ในเมื่อประวัติศาสตร์จริงๆ ไม่มีคำว่าซ้ำรอย ... การเดินทางมาคนละวันเวลา จึงย่อมมีสิ่งที่แตกต่างกันเสมอ
. .
ความเงียบสงบที่มีเพียงเสียงลมหายใจ กับสายน้ำรินไหล ในเมื่อวาน
หากเพียงเปลี่ยนช่วงเวลา ...
สถานที่แห่งเดียวกัน ก็เต็มไปด้วยความคึกคักจากบรรดานักท่องเที่ยวอีกครั้ง
. .
เก็บเวลาแห่งความสุข
หากถามถึงสถานที่ในโตเกียว ซึ่งเต็มไปด้วยความสุข คำตอบอันดับต้นๆ คงเป็นสวนสนุกต่างๆ
แต่หากมองความสุขในมุมที่เรียบง่ายกว่านั้นอีกหน่อย ผมคิดว่า วัดวาอาราม ศาลเจ้า หรือ ศาสนสถานทั้งหลาย ล้วนเป็นสถานที่ซึ่งมอบช่วงเวลาแห่งความสุขให้แก่สุขภาพใจได้ดีไม่น้อยไปกว่ากัน
บรรยากาศแห่งความสุขเรียบง่ายที่ Meiji Jingu ไม่ต่างจากบรรยากาศที่เห็นตามวัดวาอารามในบ้านเรา
ที่ผู้เดินทางมาเยือน ต่างพกพาเอาความเชื่อ ความศรัทธา ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไปด้วย
Meiji Jingu ในวันหยุดเสาร์อาทิตย์ นอกจากเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติแล้ว จึงสมทบไปด้วยจำนวนเจ้าถิ่นแดนอาทิตย์อุทัย
. .
เอกลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่ง ที่ใครๆก็หลงเสน่ห์ญี่ปุ่น
คือ การรักษาประเพณี และวัฒนธรรมของชาติไว้ได้อย่างเหนียวแน่น
เมื่อสาวๆชาวอาทิตย์อุทัย ต้องเดินทางไปศาสนสถาน หรือไปร่วมพิธีสำคัญต่างๆของนั้น
การแต่งกายด้วยชุดที่เป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ไม่ว่าภายนอกศาลเจ้าแห่งนี้ จะเป็นแหล่งรวมแฟชั่นทันสมัยหลุดโลกเพียงใด แต่ภายในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสงบร่มรื่นของ Meiji Jingu กลับคลาคล่ำไปด้วยสาวๆในชุดที่เป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิม
ความแตกต่างอย่างสุดขั้วที่ว่านี้ กลายเป็นความผสมผสานกันได้อย่างกลมกลืนของเมืองโตเกียว
. .
ความสุขเรียบง่ายที่พบเห็นได้จาก Meiji Jingu ครอบคลุมถึงบรรยากาศน่ารักๆแบบครอบครัว เพราะมีชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย จูงลูกหลานมาไหว้พระ ขอพร สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคล
เด็กๆส่วนใหญ่จะได้สวมใส่เสื้อผ้าเต็มยศไม่ต่างไปจากคุณพ่อคุณแม่
..
ผมเดินเก็บช่วงเวลาแห่งความสุขของคนอื่น รอบ Meiji Jingu ไปเรื่อยๆ
โดยสิ่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวมักจะได้เห็นจากสถานที่สำคัญแห่งนี้ ในช่วงอากาศดีๆ เช่น ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูใบไม้ผลิ คือ
พิธีแต่งงานแบบญี่ปุ่นในรูปแบบดั้งเดิมของศาสนาชินโต
ขณะที่คู่รักบางคู่ กำลังอยู่ในพิธีแต่งงาน อีกมุมหนึ่งของศาลเจ้าฯ คู่รักบางคู่กำลังวุ่นอยู่กับการถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
เจ้าหน้าที่ ผู้ดูแลเครื่องแต่งกายของเจ้าสาวนั้น ใส่ใจในรายละเอียดอย่างดีที่สุดแทบทุกกระเบียดนิ้ว
โดยเจ้าบ่าวทำได้แค่ยืนดูอยู่ห่างๆอย่างใจเย็น ... รอ เวลาที่จะได้ยืนเคียงข้างกัน
. .
เมื่อเครื่องแต่งกายของฝ่ายหญิง เสร็จสมบูรณ์ เรียบร้อย ... เจ้าบ่าวจึงเข้าไปยืนเคียงข้างเจ้าสาว
ช่างภาพ รับช่วงต่อ สำหรับการบันทึกช่วงเวลาแห่งความทรงจำที่ดีที่สุดของคนสองคน
. .
ช่างภาพแต่ละคนนั้น ใส่ใจในรายละเอียด ไม่แพ้เจ้าหน้าที่ฝ่ายเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย
ด้วยสายตาปกติของคนทั่วไป อาจมองว่าคู่บ่าวสาว ต่างสวยสง่าแล้ว
แต่ช่างภาพก็พร้อมที่จะเดินเข้าไปเพื่อจับ ปรับแต่ง ชายเสื้อเพียงนิดเดียว ให้รอยยับของเครื่องแต่งกายเรียบร้อยไร้ที่ติ
ถ่ายไปได้ไม่กี่ภาพ ก็เดินเข้าไปจัดวางท่วงท่า การยืน การวางมือ มุมก้ม เงย เชิดหน้า ของคู่บ่าวสาวอีกรอบ
แม้จะต้องทำงานแข่งกับเวลา แต่บันทึกความทรงจำครั้งเดียวในชีวิตของคนสองคน
การต้องให้เวลากับรายละเอียดจุกจิกไปบ้าง ย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่
. .
นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายัง Meiji Jingu จำนวนไม่น้อย นิยมเดินชมศาลเจ้าฯ เข้าไปสักการะ หรือรอชมพิธีการต่างๆด้านใน
แต่ผมกลับชอบบรรยากาศแห่งความสุข ของการถ่ายภาพแต่งงาน ซึ่งอยู่ทางด้านฝั่งขวาของ Meiji Jingu และให้เวลากับการเดินชมบริเวณนี้นานที่สุด
คู่บ่าวสาวบางคู่ มีญาติสนิท มาร่วมถ่ายภาพไม่กี่คน ขณะที่บางคู่ มีญาติๆเดินทางกันมาเป็นครอบครัวใหญ่
ผมเก็บภาพบรรยากาศนั้น จากระยะไกล เมื่อมองอย่างผิวเผินแล้ว ก็เห็นใบหน้าทุกคนอิ่มเอมมีความสุขดี
แต่เมื่อกลับมาดูภาพถ่ายของตัวเองอย่างละเอียด
ผมพบว่าถ่ายติดบางอย่างมาด้วย ... เพราะหากสังเกตอย่างถี่ถ้วน จะมองเห็นว่า
...ภาพถ่ายนั้นมี ความรัก อบอวลลอยฟุ้งไปทั่ว
. .
ความสุข จากการเดินทางมา Meiji Jingu เกิดจากอะไร ?
คำถามนี้ อาจเป็นคำถามเชิงนามธรรม ซึ่งหาคำตอบได้หลากหลายไม่มีถูกผิด
ผมลองหาคำตอบนั้น ด้วยการเดินชมไปรอบๆ จนกระทั่งอย่างน้อยก็ตอบได้ว่า ความสุขของตัวผมเองเกิดจากอะไร
ความสุขเรียบง่ายของผม คือ การใช้เวลา มองหาความสุขของคนอื่น มาแปรรูปเป็นรอยยิ้มของตัวเอง
..
หลงทาง (ไม่) เสียเวลา
การหลงทางระหว่างท่องเที่ยว อาจเป็นฝันร้ายที่ใครหลายคนไม่อยากเจอ
แต่สำหรับนักเดินทาง ที่ไม่ค่อยจะใส่ใจกับเวล่ำเวลาอย่างผมนั้น การเดินหลงทางบ้างนิดๆหน่อยๆ ถือว่า เป็นกำไรชีวิต ให้เราได้เจอกับสิ่งแปลกใหม่
... โดยเฉพาะการเดินหลงในเมืองโตเกียวนั้น ไม่ใช่การหลงป่า! เดินไปเดินมาเพียงเดี๋ยวเดียว ก็กลับสู่เส้นทางเดิมได้ไม่ยาก
บ่ายวันหนึ่ง ผมเดินเรื่อยเฉื่อยแฉะไปตามแผนที่ ... ปรากฏว่ายิ่งเดินก็ยิ่งไกล จึงรู้ตัวว่า ดูแผนที่กลับหัว ผิดด้าน - -
นาทีนั้น ผมมีตัวเลือกตัดสินใจได้สองอย่าง คือ ข้อแรก เดินกลับไปเส้นทางเดิมเพื่อให้ถึงจุดหมายโดยเร็ว
หรือ ข้อสอง ไหนๆก็เดินหลงมาแล้ว เดินเล่นดูสักหน่อยแล้วกันว่า ณ จุดที่ตัวเรายืนอยู่นั้น มีอะไรน่าสนใจบ้าง
แน่นอนว่า นักเที่ยวนอกตารางอย่างผม เลือกข้อสอง โดยไม่ต้องคิดนาน
.
ยามบ่ายของย่าน Nezu ช่างสงบเงียบ แตกต่างไปจากภาพเมืองหลวงของญี่ปุ่นที่คุ้นเคย
สองข้างทางที่เรียงรายไปด้วยร้านรวงขนาดเล็กนั้น นานๆจึงจะมีใครเดินผ่านไปมาสักคน
ทั้งหมดล้วนเป็นบรรยากาศอีกมุมหนึ่งของโตเกียว ที่ผมมีโอกาสได้สัมผัส จากการเดินมาผิดเส้นทาง
. .
รวมถึงการได้สัมผัสกับมุมสงบๆในศาลเจ้าฯ เล็กๆริมถนน ซึ่งผมไม่เคยรู้จัก ไม่เคยได้ยิน และไม่อยู่ในแผนการเที่ยวมาก่อน
แต่เพราะการหลงทาง ทำให้โตเกียวในสายตาของผมกว้างขึ้นกว่าเดิม
ทั้งหมดนี้ คงเป็นข้อดีของการท่องเที่ยวที่ไม่ผูกติดกับเวลามากเกินไป เพราะแม้แต่การเดินหลง เดินผิดเส้นทาง ... ก็สามารถทำให้เราเก็บเกี่ยวความเพลิดเพลินจากสถานที่ซึ่งไม่คุ้นเคยได้
. .
ยามเย็น เดินเล่น Sensoji
วัด Sensoji หรือที่บางคนนิยมเรียกว่า วัด Asakusa นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวภาคบังคับอีกแห่งหนึ่ง สำหรับการเดินทางมาโตเกียว
ด้วยความเป็นวัดพุทธศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองหลวงแห่งนี้ โดยสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 628 โน้นเลยทีเดียว
แล้วก็เหมือนทุกๆครั้ง เมื่อตารางเวลาท่องเที่ยวของผมปรับเปลี่ยนไปตามอารมณ์ และความสะดวก กว่าจะเดินทางมาถึงวัดดังแห่งย่าน Asakusa ก็เป็นเวลาเย็นย่ำ
แต่สำหรับวัดซึ่งตั้งอยู่ติดกับถนนใหญ่ และสถานีรถไฟเพียงไม่กี่ก้าวแห่งนี้ ยังเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว ทั้งชาวต่างชาติ และชาวญี่ปุ่นในปริมาณที่หนาตา
. .
หลังจากเดินผ่านบริเวณประตูทางเข้าหน้าวัด ที่เรียกว่า Kaminarimon Gate มาแล้ว
ผมพบความคึกคักจากคลื่นมหาชนอีกจำนวนมาก เดินเบียดเสียดยาวไปตลอดเส้นทาง ที่เรียกว่า Nakamise
ว่ากันว่า หากอยากสัมผัสกับบรรยากาศอันเงียบสงบไร้ผู้คนของวัด Sensoji เราคงต้องสลัดความขี้เกียจ รีบเดินทางมาก่อนเวลา 7 โมงเช้า (ซึ่งผมทำไม่ได้แน่นอน ฮ่าๆ)
. .
ระยะทางกว่า 200 เมตร ของ Nakamise เต็มไปด้วยร้านค้าตลอดสองข้างทาง ประมาณ 90 ร้าน
บางคนเรียกถนนเส้นนี้ว่าเป็น ซอยละลายทรัพย์ของโตเกียว เพราะร้านค้าทั้งหลายเน้นจำหน่ายของที่ระลึกกระจุกกระจิกแบบญี่ปุ๊นญี่ปุ่น ในราคาที่ยั่วยวนใจให้หยิบกระเป๋าตังค์ออกมาจ่าย
..
เมื่อผ่านด่านทดสอบสภาพจิตใจจาก Nakamise มาได้แล้ว ก็เข้ามาสู่บรรยากาศของความเป็นวัดมากขึ้น
บริเวณลานกว้าง หน้าศาลาใหญ่ของวัด Sensoji เต็มไปด้วยผู้คนที่เดินทางมาสักการะ บ้างก็เดินวุ่นกับการถ่ายภาพเป็นที่ระลึก
ส่วนตัวผมก็ทำตามสูตรเดิม
... หลังจากนมัสการองค์พระแล้ว ผมเดินชมบรรยากาศรอบบริเวณว่า ผู้มาเยือนวัดแห่งนี้ ทำอะไรกันบ้าง
บรรยากาศอย่างหนึ่งที่คล้ายคลึงกับวัดในเมืองไทย คือ เซียมซี แต่มีความต่างกันบ้าง เช่น เซียมซีญี่ปุ่นเป็นกระบอกเหล็ก มีรูขนาดเล็กที่สามารถเท หรือดึงไม้ออกมาได้โดยไม่ต้องเขย่าให้เมื่อยข้อมือแบบบ้านเรา
แต่ผมยังเห็นนักท่องเที่ยวหลายคน เขย่าสักนิดพอเป็นพิธี หรืออาจจะเพื่อความมันส์ก็ไม่แน่ใจ
. .
ความเชื่อที่เหมือนกันอีกอย่าง คือ เราจะไม่นำคำทำนายในด้านลบติดตัวกลับไป
โดยในวัด Sensoji นั้น ใบเซียมซีในด้านลบ ไม่ได้ถูกโยนทิ้งลงถังขยะ หากแต่จะผูกติดเอาไว้กับราวเหล็กรอบๆบริเวณศาลา
. .
ผมเดินชมวัด Sensoji ได้ราวชั่วโมงเศษ ท้องฟ้าแห่งฤดูใบไม้ร่วงก็เริ่มเปลี่ยนสี
จุดนี้ หากจะนับเป็นข้อเสียของการท่องเที่ยวตามใจฉัน ไม่ทำตามตารางเวลาก็คงได้เช่นกัน เพราะการปล่อยใจไหลเอื่อยไปกับสถานที่ต่างๆเนิ่นนาน ย่อมต้องแลกกับการพลาดชมสถานที่บางแห่ง
โดยตามตารางเดิมนั้น ผมต้องแวะไปชมสวนสนุกเก่าแก่ อย่าง Asakusa Hana-yashiki ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากวัด Sensoji
จากนั้นจะเดินย้อนกลับมาเก็บบรรยากาศยามเย็น ริมแม่น้ำ Sumidagawa
.
แต่เมื่อไม่เคยทำได้ตรงตามตารางเวลา ตั้งแต่เช้า เที่ยง จนกระทั่งเย็น ทำให้ในแต่ละวัน ผมจำต้องตัดสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งออกไป
อย่างไรก็ตาม หากยึดมั่นตั้งใจแน่วแน่ ว่าจะเดินทางโดยปราศจากข้อผูกมัดของเวลาแล้ว
ฟ้าครามเข้ม ที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทา ก่อนจะมืดสนิทในเวลาอีกไม่กี่นาทีนั้น ... ไม่ได้หมายความว่า การเดินทางของวันจะสิ้นสุดลง
ตรงกันข้ามนี่เป็นสัญญาณเริ่มต้นของการท่องเที่ยวโตเกียวในยามราตรี"
. .
โตเกียว เที่ยวกลางคืน
แผนการเดินทางเยือนโตเกียวของผมนั้น แทบไม่ได้เขียนตารางการท่องเที่ยวในเที่ยวภาคกลางคืนเอาไว้เลย เพราะตั้งใจว่า จะตื่นตั้งแต่เช้ามืด ออกไปชมบรรยากาศความสงบไร้ผู้คน
ตะลอนเที่ยวให้ทั่วในภาคกลางวัน ก่อนจะกลับโรงแรม มานอนนวดขา อย่าให้เกิน 3-4 ทุ่ม
แต่เมื่อเอาเข้าจริง แผนการทุกอย่างล้วนจำต้องปรับเปลี่ยนตั้งแต่จุดเริ่มต้นของแต่ละวัน
.
วันไหน อากาศเย็นสบายกำลังดี ... ผมนอนกลิ้ง ซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่นๆจนสาย
วันไหน ตื่นเช้ามาเจอฝนพรำหนาเม็ด ... ผมขอยืดระยะเวลานอนต่อไปเรื่อยๆ
แม้กระทั่งบางวันที่อุตส่าห์จัดการภารกิจส่วนตัวอย่างรวดเร็ว ... แต่ผมก็แวะลงไปนั่งคุยกับเพื่อนรุ่นน้องชาวญี่ปุ่นที่ Juyoh จนเกือบเที่ยง
เมื่อเวลาเที่ยวในภาคกลางวัน ถูกใช้ไปกับกิจกรรมข้างต้น ผมจึงกลายเป็น นักเที่ยวกลางคืน ไปโดยปริยาย
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ สำหรับโตเกียวซึ่งเป็นมหานครอีกแห่งของโลกที่ไม่เคยหลับใหล
.
แม้เราอาจจะมองเห็นเพียงความเงียบสงบสงัด ไร้ผู้คน ห้างร้านต่างๆปิดทำการ ... แต่ค่ำคืนในเมืองใหญ่แห่งนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวซุกซ่อนอยู่ทุกซอกมุม
. .
อาจเป็นเรื่องตลกสำหรับบางคน ... แต่กิจกรรมเที่ยวกลางคืนของผมในบางครั้ง คือ การทัศนศึกษาระบบรถไฟในโตเกียว
ในช่วงเวลาทำงานยามเช้า ปริมาณผู้โดยสารรถไฟในเมืองแห่งนี้แออัดมากเกินกว่าจะมีอารมณ์สนุกๆให้เรียนรู้ หรือหากเป็นช่วงกลางวัน ผมมักให้เวลากับสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆมากกว่า
ดังนั้น กิจกรรมที่ผมแสนจะโปรดปรานอย่างการสำรวจระบบรถไฟ จึงเหมาะที่สุด ที่จะทำในภาคกลางคืน เพราะถึงแม้บางขบวน และบางเส้นทางจะยังมีผู้โดยสารแออัดอยู่บ้าง
แต่ก็พอเฉลี่ยความหนาแน่นออกไปได้มากกว่าช่วงกลางวัน
เวลาหลังเลิกงานนั้น หากจะกลับถึงบ้านค่ำไปนิด ดึกไปหน่อย ... อย่างน้อย คงไม่โดนคุณแม่บ้านหักเงินเดือน
. .
แต่ใช่ว่ามนุษย์เงินเดือนทุกคน จะรีบโดยสารรถไฟกลับบ้าน
วิถีชีวิตหลังเลิกงานของคนโตเกียวจำนวนไม่น้อย จำเป็นต้องเข้าสังคมด้วยการไปฉลอง ไปดื่มกินกับเพื่อนฝูง หรือเจ้านาย
จึงเป็นสิ่งที่เห็นได้ไม่ยากนัก สำหรับภาพชาวโตเกียวนั่งหมดเรี่ยวแรงอยู่ตามสถานีรถไฟในยามดึก
. .
แสงสียามราตรีของเมืองแห่งนี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นแสงสีอลังการวับวาวจากห้างร้านขนาดใหญ่ หรือสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ
เพราะสีสันบางอย่าง ก็อยู่ใกล้ตัวเราเพียงแค่หันไปเหลียวมอง
ในช่วงที่ตารางเวลาไร้ความหมาย ผมชอบเดินทอดน่องเก็บภาพตู้อัตโนมัติแปลกๆ ตู้กดน้ำ ป้ายร้านค้า ที่เปิดไฟสว่างสะดุดสายตาในเวลากลางคืน
การเดินเล่นไปเรื่อยๆในบางครั้ง ทำให้เราค้นพบว่า ถนนหนทางที่เดินผ่านบ่อยๆ อาจมีสิ่งคุ้นเคยใกล้ตัว
หากเพียงแค่ลดจังหวะเดินช้าลง และสังเกตรายละเอียดของสีสันข้างทาง
. .
เพื่อนรู้ใจ ยามดึก
แม้โตเกียวยามดึก อาจหาของกินยากกว่ากรุงเทพฯอยู่บ้าง (อย่างน้อย ร้านข้าวต้มโต้รุ่งบ้านเรา ต้องมีจำนวนมากกว่าแน่นอน)
แต่ถ้าใครลองสำรวจเส้นทางใกล้ที่พักเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่า อยู่ในรัศมีทำการของเพื่อนรู้ใจ 24 ชั่วโมง อย่าง 7-Eleven ... จะดึกดื่นแค่ไหน เวลาย่อมไม่ใช่อุปสรรค
การเที่ยวภาคกลางคืน จึงไม่เป็นอุปสรรคสำหรับผมในเรื่องอาหารการกิน เพราะไม่ว่าจะหิวโซมาขนาดไหน
ระหว่างทางเดินกลับโรงแรมย่าน Minami-senju นั้น มี 7-Eleven ตั้งตระหง่านอยู่หัวมุมถนน ห่างจากโรงแรมไปเพียงไม่ทันชั่วเคี้ยวหมากแหลก (ขออนุญาตใช้ศัพท์วัยรุ่นครับ ... ฮา)
ส่วนประเภทสินค้าใน 7-Eleven โตเกียว ก็ไม่ต่างจากบ้านเรานัก เพียงแต่สินค้าทุกอย่าง มียี่ห้อ รูปลักษณ์ หรือผลิตภัณฑ์ที่ไม่คุ้นตาคนไทยอย่างเราๆเท่านั้น
... และนั่นเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ในบางคืน หากไม่ง่วง หรือเหนื่อยเกินไป ผมมักใช้เวลาหมดไปกับเดินสำรวจ และเลือกซื้อสินค้าหน้าตาแปลกๆกลับไปลองชิม
(หรือจะไปยืนดูหนังสือนางแบบใน 7-Eleven ก็น่าตื่นตาตื่นใจมิใช่น้อยนะครับ ... ฮา)
. .
นอกจากเพื่อนรู้ใจยอดนิยมอย่าง 7-Eleven แล้ว ... ห่างจากสถานีรถไฟ Minami-senju ไปเพียงไม่กี่ก้าว ผมยังมีตัวเลือกเป็น Super market ขนาดย่อมอีกแห่ง คือ Santoku
ผมไม่แน่ใจเรื่องเวลาทำการของ Santoku นัก แต่เคยใช้บริการในเวลาประมาณเที่ยงคืนเศษ ก็ยังมีลูกค้าเดินจับจ่ายซื้อของอยู่พอประมาณ
ข้อดีของ Santoku คือ มีข้าวของให้เลือกมากกว่า 7-Eleven เช่น สินค้าประเภทของสด ผัก ผลไม้ แถมยังมีราคาที่ถูกกว่านิดหน่อยเมื่อเทียบกับร้านสะดวกซื้อยอดนิยม
บางคืน นึกครึ้มอกครึ้มใจ ... ผมเข้า Santoku คว้าตะกร้า เดินเลือกซื้อหาผลไม้ แปลงกายเป็นพ่อบ้านชาวญี่ปุ่นไปอย่างแนบเนียน
..
โดยปกติแล้ว ผมไม่ค่อยทานอะไรหนักๆในมื้อค่ำ หรือยามดึก
แต่การไปเที่ยวโตเกียวนั้น ถือเป็นช่วงเวลายกเว้น เพราะนอกจากมีอาหารแปลกใหม่น่าลิ้มลองแล้ว
สภาพร่างกายจากการเดินเที่ยวมาทั้งวัน ก็อ่อนระโหยโรยแรงเกินกว่าจะปล่อยให้ท้องร้องยามดึก
โดยเฉพาะโรงแรม Juyoh นั้น มีเครื่องอำนวยความสะดวกอย่างหนึ่ง คือ ตู้เย็นขนาดเล็ก เอาไว้เก็บเสบียงกรังพลังงานสำรอง
... ยิ่งทำให้ 7-Eleven และ Santoku กลายเป็นเพื่อนซี้รู้ใจของผมไปทุกคืน
.
.
ตื่นตาตื่นใจ ใน Shinjuku
ในเวลากลางวัน ย่านการค้าอันสุดแสนจะวุ่นวายอย่าง Shinjuku ก็เต็มไปด้วยสีสันมากพอดูแล้ว
แต่เมื่อท้องฟ้ามืดมิดเปลี่ยนเป็นสีดำแห่งค่ำคืน สีสันเหล่านั้น ไม่ได้ลดน้อยลงไปแต่อย่างใด กลับเปลี่ยนบรรยากาศให้เร้าใจไปมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ด้วยแสงสีจากหลอดไฟสว่างไสวเกินกว่าจะนับ จากตึกสูงระฟ้า ป้ายโฆษณา ห้างสรรพสินค้า โรงภาพยนตร์ ฯลฯ รายล้อมอยู่รอบด้าน
ผสมเข้ากับเสียงอึกทึกครึกโครมจากเครื่องเสียงในร้านค้า หรือเสียงฝีเท้าของชาวโตเกียวนับพันนับหมื่น
... จึงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า Shinjuku คือ ย่านกลางคืนซึ่งแสนจะคึกคักที่สุดในมหานครโตเกียว
..
ความหนาแน่นของร้านค้าในย่าน Shinjuku รวมกับปริมาณประชากรที่สัญจรผ่านเส้นทางสายนี้นับเป็นหลักล้านคนต่อวัน
จึงไม่ใช่เรื่องเกินจริง หากจะนับว่าย่านการค้าแห่งนี้ เป็นแหล่งรวมสินค้าขนาดใหญ่ติดระดับโลก
ทั้งแฟชั่นเสื้อผ้า เครื่องสำอาง เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้ามือสอง อุปกรณ์ด้านไอที ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ ฯลฯ
แน่นอนว่า คนรักการถ่ายภาพอย่างผม อดไม่ได้ที่จะผ่านไปสัมผัสกับร้านจำหน่ายสินค้าด้านการถ่ายภาพด้วยตัวเอง
เพื่อให้รู้ว่า บรรยากาศการค้าขายสินค้าประเภทนี้ ของประเทศต้นตำรับกล้องถ่ายภาพยี่ห้อดังนั้นเป็นเช่นไร
.
เมื่อแวะไปชม ผมพบว่าราคาสินค้าด้านอุปกรณ์ถ่ายภาพในโตเกียว ไม่แตก ต่างจากเมืองไทยมากนัก เผลอๆบางแหล่ง บางร้านในเมืองไทยอาจจะมีราคาถูกกว่าด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างที่เห็นได้ชัด คือ การปล่อยให้ลูกค้าสนุกกับการทดลองใช้ บรรดาอุปกรณ์ที่ละลานตาอยู่ตรงหน้าได้อย่างเต็มที่
กล้องถ่ายภาพ ซึ่งคิดเป็นเงินไทยมูลค่ากว่าครึ่งแสนนั้น ถูกวางเอาไว้ให้ลูกค้าสัมผัส จับต้อง กดชัตเตอร์ ได้อย่างอิสระตามใจต้องการ
โดยไม่จำเป็นต้องมีพนักงานมาดเข้ม มายืนคุมเชิง เหมือนพ่อกำนันหวงลูกสาว
. .
ร้านค้าอีกประเภทหนึ่งในย่าน Shinjuku ซึ่งเปรียบเสมือนดินแดนแห่งโลกในจินตนาการ นั่นคือ ร้านเช่าหนัง
แม้ว่าป้ายหน้าร้านประเภทนี้ ปิดประกาศด้วยสีสันฉูดฉาดว่าเป็นร้านวิดีโอ/ดีวีดี
แต่สภาพความเป็นจริงของเทคโนโลยียุคปัจจุบันนั้น ดีวีดี ก็กินพื้นที่ไปกว่าค่อนร้านแล้ว ... ผมจึงเรียกร้านประเภทนี้โดยรวมว่า ร้านเช่าหนัง
.
รูปแบบของร้านประเภทนี้ คล้ายกับร้านเช่าหนังทั่วไปในเมืองไทย เพียงแต่ในตัวตึกชั้น 2 ขึ้นไป จัดเป็นพื้นที่ห้องส่วนตัวสำหรับลูกค้าที่ต้องการใช้บริการที่ร้าน
บริเวณชั้นล่างนั้น มีเคาน์เตอร์พนักงานด้านหน้า ฝั่งตรงข้ามเคาน์เตอร์ มีหนังดังมากมายจากฮอลลีวู้ด ดาราระดับโลกที่เราคุ้นหน้า วางเรียงรายให้เลือกสรร
แต่ทว่า พื้นที่ดังกล่าว นับเป็นเพียงส่วนน้อยของร้านเท่านั้น เพราะเพียงก้าวข้ามผ่านบริเวณหน้าร้านเข้าไปอีกไม่กี่ก้าว ... เราจะพบกับโลกแห่งจินตนาการ ความใฝ่ฝันของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ ที่รอให้คุณไปสัมผัส
.
บริเวณด้านในร้าน ซึ่งกินพื้นที่ราว 3 ใน 4 ของชั้นล่าง คือ อาณาจักรแห่งหนังโป๊ หรือ ที่รู้จักกันในนามหนังเอวี (AV-Adult Video) ซึ่งเท่าที่ผมกวาดสายตาดูคร่าวๆแล้ว หนังทั้งหมด ล้วนเป็นหนังสัญชาติญี่ปุ่น
เรื่องของวงการหนังเอวีของญี่ปุ่นนั้น เป็นเรื่องยาว และซับซ้อนมากพอที่จะจัดเป็นสัมมนาเชิงวิชาการเกี่ยวกับสังคมญี่ปุ่นได้สบายๆ
แต่หากอธิบายสั้นๆ พอจะกล่าวได้ว่า หนังประเภทนี้เป็นสื่อที่มีการควบคุมการเข้าถึง และไม่ได้เป็นสื่อหลัก กระแสดัง หรือเป็นที่ยอมรับในสังคมวงกว้างได้ทั้งหมด อย่างที่คนไทยบางคนเข้าใจกันไปเอง
. .
โดยส่วนตัว แม้ผมจะเคยผ่านตาหนังประเภทนี้มาบ้าง แต่ก็นับว่าน้อยครั้ง และขาดความเชี่ยวชาญในวงการหนังเอวีโดยสิ้นเชิง
ชนิดที่เพิ่งจะรู้จัก น้องอ้อย - โซระ อาโออิ เป็นครั้งแรก ก็ครั้งที่เธอมาแสดงหนังไทยเมื่อไม่นานมานี้แหละ
แต่ด้วยความสนใจใคร่รู้ในวัฒนธรรมของแดนปลาดิบ ผมจึงพอรับรู้ข้อมูลความเป็นมา ความเป็นไปของวงการหนังประเภทนี้ในภาพรวมอยู่บ้าง
.
บางคนบอกว่าอุตสาหกรรมหนังโป๊ในญี่ปุ่นนั้น เป็นการกระตุ้นเพื่อให้ประชากรแดนปลาดิบมีอัตราการเกิดมากขึ้น
บ้างก็บอกว่า เป็นธุรกิจผิดกฎหมายที่มีมูลค่าหลักล้าน ซึ่งมียากูซ่าระดับประเทศคุมอยู่เบื้องหลัง
บ้างก็ว่าเป็นการตอบสนองจินตนาการหลุดโลก สนองความบ้าคลั่ง หรือการปลดปล่อยอารมณ์เครียดที่แฝงอยู่ลึกๆในประเทศที่มีการแข่งขันสูงอย่างญี่ปุ่น
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม หนังโป๊ได้ซึมลึกฝังรากเข้าไปในสังคมญี่ปุ่น จนกลายเป็นแขนงย่อยทางวัฒนธรรมของประเทศแห่งนี้ไปโดยปริยาย
.
สำหรับการสำรวจ ร้านเช่าหนัง ในโตเกียวนั้น ผมเห็นว่าร้านประเภทนี้ เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง (ต้องนับเป็นเพื่อนรู้ใจ ยามดึกสำหรับบางคนได้เหมือนกัน...ฮา) พร้อมอำนวยความสะดวกด้วยห้องส่วนตัวหลากรูปแบบให้ลูกค้าได้เลือกใช้บริการได้อย่างทันท่วงที
โดยไม่ต้องเอาหนังกลับไปซ่อนไว้ใต้เตียงที่บ้าน
ส่วนพฤติกรรมการใช้บริการของลูกค้า ก็ไม่ต่างจากการจับจ่ายซื้อของใช้ทั่วไป
ทั้งหนุ่มออฟฟิศ คุณลุง คุณน้า ต่างเดินเลือกอย่างพิถีพิถัน
หยิบหนังใส่ตะกร้า ราวกับคุณแม่บ้านเลือกซื้อกับข้าว
..
ชมแสงสี ที่ Akihabara
Akihabara หรือ Akiba เป็นแหล่งรวมสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ชื่อดังอีกแห่งหนึ่งของเมืองโตเกียว ซึ่งหลากหลายไปด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์สื่อสาร อุปกรณ์ด้านไอที
แต่เมื่อเปรียบกับย่าน Shinjuku ซึ่งมีสินค้าใกล้เคียงกันอยู่บ้าง ... Akihabara ก็มีจุดขายที่โดดเด่นเป็นของตัวเอง เพราะภาพพจน์ของย่านการค้าแห่งนี้ เต็มไปด้วยกลิ่นอายในโลกแห่งจินตนาการอย่างเอนิเมชั่น เกมส์ การ์ตูน cosplay ฯลฯ
นอกจากนั้น Akihabara อาจเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ในช่วงเที่ยงของวันที่ 8 มิถุนายน 2551
เมื่อฆาตกรโรคจิตอย่างนาย Tomohiro Kato ขับรถบรรทุกพุ่งเข้าใส่ฝูงชนในย่านนี้ ก่อนจะเอามีดยาว 12 นิ้ว ไล่ทำร้ายผู้คน จนมีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ครั้งนั้นถึง 7 ราย
. .
ความจริงแล้ว ผมไม่ได้วางตารางการท่องเที่ยวย่าน Akihabara เอาไว้เลย ... ไม่ได้กลัวใครจะมาเอามีดไล่แทงหรอกนะครับ แต่ด้วยความที่เป็นคนเชยๆ ล้าสมัยเรื่องอุปกรณ์ไฮเทคทั้งหลาย แถมยังไม่อ่านการ์ตูน หรือนิยมชมชอบอะไรแนวๆนั้นมากนัก ความสนใจในย่านนี้จึงลดลงไป
แต่เมื่อปล่อยเวลาไหลเรื่อยเปื่อย จนตารางที่วางไว้เดิม ไร้ความหมาย ... สถานที่ซึ่งพอจะเดินเที่ยวชมแสงสียามค่ำคืน อย่าง Akihabara จึงกลายเป็นตัวเลือกที่ต้องลอง
.
เมื่อได้ตะลอนๆใน Akihabara ยามราตรีแล้ว โดยส่วนตัวผมคิดว่าบรรยากาศอาจจะคึกคักน้อยกว่าภาคกลางวันอยู่บ้าง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะช่วงนั้นมีละอองฝนโปรยปรายลงมาตลอดคืน
อย่างไรก็ตาม ปริมาณฝนที่โปรยปราย ไม่ได้ทำให้แสงสีของ Akihabara เปลี่ยนแปลง
. .
ผมเดินชมแสงสีของ Akihabara ในคืนฝนโปรยไปเรื่อยๆ แม้ความเคลื่อนไหวจากสีสันตามห้างร้านรอบตัวยังคงเติมบรรยากาศให้แลดูคึกคัก
แต่ผมกลับไม่รู้สึกตื่นตาตื่นใจอะไรมากมายกับสินค้าหลากหลายเบื้องหน้า . .. อาจจะจริงอย่างที่คิดไว้ว่า ผมคงไม่ค่อยเหมาะกับย่านการค้าแห่งนี้
.
แต่แล้ว ความเคลื่อนไหวหนึ่งริมฟุตบาท ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า Akihabara ยังมีจุดขายอีกเรื่อง นั่นคือ เป็นแหล่งรวม Maid Cafe .
ถ้าแปลความหมายกันแบบทื่อๆตามตัวอักษร นิยามของ Maid Cafe คงเป็น ร้านกาแฟที่มีสาวรับใช้
แต่หากมองบริบทและต้องการสื่อให้ตรงขึ้น ละเอียดมากขึ้น Maid Cafe ก็คือ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือแม้กระทั่งบาร์
โดยมีจุดขายสำคัญอยู่ที่เครื่องแต่งกายของพนักงาน ที่แปลงร่างเป็นสาวใช้สุดจะน่ารัก กุ๊กกิ๊ก ไม่ต่างจากโลกของเกมส์ หรือการ์ตูน ซึ่งในที่นี้ ครอบคลุมถึงบรรยากาศภายในร้าน หรือรูปแบบการให้บริการ ที่ต้องสร้างอารมณ์ให้ลูกค้าเปรียบเสมือนเจ้านายจริงๆ
โดยปัจจุบัน อาจมีการปรับเปลี่ยน เพิ่มเติมเครื่องแบบอื่นๆด้วย เช่น เครื่องแบบนักเรียน หรือ cosplay และแม้กระทั่ง Butler Cafe ซึ่งเน้นลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอย่างคุณสุภาพสตรี
แต่ด้วยสื่อใต้ดินอย่างหนังเอวี หรือนิตยสารวาบหวิวทั้งหลาย มีส่วนทำให้ภาพพจน์ของ Maid Cafe ผิดเพี้ยน กลายเป็นจินตนาการเกี่ยวกับเรื่องเพศไปได้เหมือนกัน ไม่ต่างกับพยาบาลแสนสวย นักเรียนวัยใส หรือคุณครูสาวแว่น
(ย้ำอีกครั้ง ว่าผมไม่เชี่ยวชาญนะครับ แค่รู้จักค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติม ... ฮาๆ)
. .
ในมุมมองของผม คิดว่า Maid Cafe เป็นการเล่นกับพื้นฐานด้านจิตวิทยาเพิ่มจินตนาการให้แก่ลูกค้า
...เพราะคงเป็นเรื่องที่สร้างความรู้สึกพิเศษ และอารมณ์กระชุ่มกระชวยน่าดู หากเข้าไปในร้านอาหารสักแห่ง แล้วจะมีสาวรับใช้ในชุดสวยๆ หน้าตาบ้องแบ้ว มาคอยต้อนรับขับสู้ บริการทุกอย่าง ราวกับตัวเราเป็นเจ้านายผู้สูงศักดิ์
ท่านชายป๊อกกี้ กลับมาแล้วเหรอคะ ทานน้ำเย็นๆให้ชื่นใจก่อนนะคะ
หลักสำคัญของ Maid Cafe ก็ไม่น่าจะมีอะไรซับซ้อนไปกว่านั้น
. .
ท่องราตรี Kabukicho
การท่องเที่ยวโตเกียวในยามราตรีนั้น คงไม่อาจสมบูรณ์แบบได้ หากพลาดโอกาสไปสัมผัสสถานที่ท่องเที่ยวภาคกลางคืนอันโด่งดังที่สุดอย่าง Kabukicho
ย่านสถานบันเทิงยามราตรี ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโตเกียวอย่าง Kabukicho นั้น มีบรรยากาศคล้ายกับแหล่งเที่ยวกลางคืนละแวกถนนสีลม หรือบางตรอกซอกซอยของถนนสุขุมวิท
อาณาบริเวณของความบันเทิงเริงรมย์แห่งนี้ ครอบคลุมไปทั้ง ผับ บาร์ เลานจ์ คาราโอเกะ ภัตตาคาร ร้านอาหาร ร้านนวด โรงแรม โรงภาพยนตร์ ฯลฯ และทุกๆอย่างที่แหล่งเที่ยวกลางคืนพึงมี
ทว่าจุดเด่นที่อาจแตกต่างจากบ้านเราไปบ้าง คือ Host Bar หรือ บาร์เพื่อคุณสุภาพสตรี
เพราะในเมืองไทย อาจมีบาร์ประเภทนี้ไม่มากนัก หรือเท่าที่มี ก็ต้องหลบๆซ่อนๆ ไม่โจ่งแจ้งเกินงาม ด้วยเหตุผลด้านค่านิยม และวัฒนธรรมของบ้านเรา
แต่สำหรับญี่ปุ่น บาร์ประเภทนี้เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะในย่านเที่ยวอย่าง Kabukicho ถือเป็นแหล่งรวม Host Bar จำนวนมาก มีหนุ่มน้อยหน้าใสสไตล์เจป๊อปเดินกันให้ว่อน และหากมองในแก่นเรื่องการบริการของบาร์ประเภทนี้แล้ว ก็ใช้หลักการเดียวกันไม่ต่างจาก Maid Cafe นั่นเอง
.
ในสายตาของนักท่องเที่ยวบางส่วน อาจมองว่า Kabukicho ในยามค่ำคืนนั้น เป็นสถานที่อโคจร หรืออาจมองว่ามีบรรยากาศน่ากลัว
... ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดครับ เพราะแหล่งเที่ยวกลางคืนแห่งนี้ ไม่ใช่สถานที่อันเหมาะสมสำหรับทุกคน
แต่ชายไทยอกสามศอกอย่างผมนั้นคิดว่า ในเมื่อ Kabukicho ถูกบรรจุอยู่ในหนังสือแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในโตเกียวแล้ว
การเดินทางไปในฐานะนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ คงไม่มีอะไรเป็นสิ่งน่ากังวล
เว้นเสียแต่ว่า ต้องเดินดีๆด้วยความระมัดระวัง อย่าทะเล่อทะล่าไปเหยียบเท้า หรือเดินกระทบไหล่ยากูซ่าเป็นพอ
.
ผมคิดว่า ถ้ารู้จักวางตัวให้ดี ปฏิเสธพนักงานที่เดินตามจอแจอย่างสุภาพ หรือชักชวนเพื่อนๆไปกันหลายคน
การแวะไปเดินชมบรรยากาศของ Kabukicho นับเป็นกิจกรรมที่น่าสนใจ เพราะย่านสถานบันเทิงแห่งนี้ ก็เป็นหนึ่งในแหล่งเรียนรู้วิถีชีวิตคนเมืองโตเกียว
. .
ละอองฝนพรำในค่ำคืนที่ผมเดินทางไปนั้น ไม่ได้ทำให้ความคึกคักของ Kabukicho ลดน้อยลง
เมื่อมองดูบรรยากาศโดยรอบ ทุกร้านยังเปิดไฟสว่างจ้า พนักงานยังเดินประกบเชิญชวนลูกค้าที่เดินผ่านไปมา ขณะที่คนเหงาๆชาวโตเกียวยังเดินขวักไขว่ใต้แสงไฟราตรี
.
ผมเดินชมแสงสีผ่านไปหน้าบาร์แห่งหนึ่ง ซึ่งมีรูปโฆษณาเป็นสาวๆญี่ปุ่นหน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา เสริมความเด่นด้วยโทนสีชมพู จึงหยุดมองด้วยความสนใจเล็กน้อย
พนักงานชาย (ผมตั้งชื่อนามแฝงว่า ทาเคชิ) รีบเดินมาประกบตัวผมทันที พลางพูดเชื้อเชิญด้วยประโยคภาษาญี่ปุ่นมาชุดใหญ่
ผมยิ้มให้ทาเคชิ แล้วตอบด้วยภาษาอังกฤษไปว่า ไอเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
แม้ ทาเคชิ จะพูดภาษาอังกฤษ ไม่ได้ หรือไม่ยอมพูดก็ตาม ... แต่เขาเข้าใจในสิ่งที่ผมสื่อสารออกไป จึงยังพยายามพูดโต้ตอบกับผมเป็นภาษาญี่ปุ่น ซึ่งพอจะตีความ (มั่วๆเอาเอง) ได้ว่า
ไม่เป็นไรๆ ต่างชาติก็เข้าไปได้
ผมจึงย้ำให้ ทาเคชิ ทราบข้อจำกัดอีกอย่างว่า ไอ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์หรอกนะ ยูจะให้ ไอจะเข้าไปทำอะไรล่ะ
อาโน.... ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก็ไม่เป็นไร เรามีชา มีน้ำอัดลมบริการ ทาเคชิ ตอบกลับ
ทาเคชิ พยายามจะโน้มน้าวให้ผมลองแวะเข้าไปใช้บริการ โดยชี้ไปที่ป้ายโฆษณาสาวญี่ปุ่น
พร้อมทำท่าไม้ตายประกอบ ด้วยการประคองฝ่ามือยกขึ้นไปที่หน้าอกทั้งสองข้างของตัวเอง
ต้องใช่แน่ๆ ! ...
ทาเคชิ กำลังพยายามจะสื่อสารให้ผมทราบว่า ถ้าไม่ดื่มชา หรือน้ำอัดลม บาร์นี้มีนมสดบริการด้วยนะ
คุยไปได้สักครู่ ก็มีพนักงานอีกคนหนึ่ง ซึ่งพอจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้บ้างนิดหน่อย (ดูแล้วน่าจะเป็นระดับหัวหน้าของทาเคชิอีกที) เดินออกมาพูดคุยกับผม ... ซึ่งทุกอย่างเหมือนจะเป็นไปด้วยดี
ผมเป็นชาวต่างชาตินะ (ไม่เป็นไรครับ) ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์นะ (ไม่เป็นไรครับ) และ... ผมพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้นะ (อ้าว... โอ้ พูดไม่ได้เลยเหรอครับ?)
.
เหตุผลข้อหลังนี่ล่ะครับ โครงการบาร์นมสดจึงต้องพับเก็บไปในทันที กลายเป็นคติข้อคิดเตือนใจว่า
ถ้าพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ ก็ไปกดนมรสกล้วยหอม 120 เยน ตามตู้แทนแล้วกัน
. .
แต่ความไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น เป็นเพียงข้อจำกัดสำหรับบางร้านเท่านั้น เพราะ ผับ บาร์ บางแห่งใน Kabukicho ก็พอจะมีพนักงานบริการที่พูดภาษาอังกฤษได้ โดยเฉพาะร้านไหนที่มีพนักงานบริการเป็นคนสัญชาติอื่น
ผมมีโอกาสได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศ เลานจ์แห่งหนึ่งใน Kabukicho ที่ชื่อว่า Senorita
ความจริงแล้ว ผมไม่ได้มุ่งมั่นตั้งใจจะแวะเข้าไปแต่อย่างใด แต่จุดเริ่มต้นนั้น มาจากการเดินเข้าไปหลบฝนใต้ตึกแห่งหนึ่ง แล้วมองป้ายต่างๆรอบตัวไปเรื่อย
รวมถึงป้ายซึ่งบอกรายละเอียดว่า ภายในตึกแห่งนี้มีร้านอะไรให้บริการในแต่ละชั้น
มองไปมองมาเพียงครู่เดียว ก็มีพนักงานผิวสีรูปร่างสูงใหญ่สวมสูทสีดำเข้ม หน้าตาประมาณ รอย โจนส์ จูเนียร์ นักมวยชาวอเมริกัน ปรี่เข้ามาทักทาย และบรรยายสรุปความว่า
มาเถอะน้องชาย แวะไปนั่งเล่นหาอะไรดื่ม คุยกับสาวๆสักชั่วโมง พร้อมทั้งยิ้มฟันขาวเชิญชวน
ผมมองแล้วเห็นว่า รอย โจนส์ ดูมีอัธยาศัยจริงใจดี จึงไม่คิดมาก ถือว่ายอมจ่ายค่าประสบการณ์แปลกใหม่ เดินตามขึ้นลิฟต์ไปอย่างว่าง่าย
Senorita เป็นเลานจ์เล็กๆ มีที่นั่งเพียง 3-4 โต๊ะ พนักงานก็เป็นคนสัญชาติอื่นทั้งหมด
ได้แก่ รอย โจนส์ กับเพื่อน ซึ่งทั้งคู่เป็นชาวแอฟริกาใต้ พนักงานแคชเชียร์สาวเกาหลี 1 คน พนักงานบริการอีก 3 คน เป็นชาวฟิลิปปินส์ เวียดนาม และสาวผู้มาไกลอย่างจาเมกา
นาทีนั้น มันเป็นบรรยากาศที่รู้สึกแปลกดีนะครับ
หนุ่มไทย กับคนอีก 5 สัญชาติ 3 ทวีป ต่างคนต่างที่มา ต่างความฝัน ... เรากำลังนั่งอยู่ในโลกส่วนตัวเล็กๆใบเดียวกันใจกลางเมืองโตเกียว
. .
สาวฟิลิปปินส์ ชื่อ เบส เป็นคนดูแลผม เธอยกน้ำอัดลมมาบริการ และนั่งเป็นเพื่อนคุย ซึ่งเราต่างสนทนาแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับประเทศของตัวเอง และหน้าที่การงานที่เป็นอยู่ เบส บอกผมว่า เธอตั้งใจจะทำงานในโตเกียวอีกไม่เกิน 5-10 ปี เมื่อเก็บเงินได้เพียงพอแล้ว คงกลับไปเปิดร้านอาหารเล็กๆในประเทศบ้านเกิด
... ฟังแล้วชีวิตของสาวฟิลิปปินส์คนนี้ คงไม่ต่างจากสาวไทย หรือแรงงานไทยทั้งหลายทั่วโลก
.
เราพูดคุยได้ราวครึ่งชั่วโมง ก็มีลูกค้าชาวญี่ปุ่นเริ่มทยอยเข้ามาใช้บริการ ...
ผมไม่อยากให้เพื่อนใหม่ชาวฟิลิปปินส์เสียโอกาสในการได้ทิป หรือได้ค่าเครื่องดื่มที่มากกว่า จึงขอตัวกลับ
รอย โจนส์ ทำหน้าสงสัย และถามผมว่า มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ยังเหลือเวลาอีกตั้งครึ่งชั่วโมง
ผมยิ้มพลางตอบเพื่อนชาวแอฟริกัน ไปว่า
อย่าไปคิดอะไรให้มากมายกับเรื่อง ... เวลา . .
รายละเอียดของความทรงจำ
เราทุกคนมีเวลาอย่างเท่าเทียมกัน ความแตกต่างของชีวิตในหนึ่งวัน จึงขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการกับเวลาของแต่ละคน
.
หากมองด้วยสายตาของนักธุรกิจ ที่ต้องการความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐกิจ ... การจัดสรรเวลาท่องเที่ยวโตเกียวของผมนั้น คงขาดทุน ตัวเลขติดลบเป็นสีแดง
แต่หากมองด้วยสายตาของนักเดินทาง ที่ต้องการค้นพบความแตกต่าง หรือค้นหาบางอย่างที่คนอื่นมองข้ามไป ... การท่องเที่ยวซึ่งไม่ยึดติดกับเงื่อนไขของเวลา มีแต่จะเพิ่มพูนผลกำไรจนประมาณค่าเป็นตัวเลขไม่ได้
. .
มหานครระดับโลกอย่างโตเกียว เต็มไปด้วยสถานที่น่าสนใจมากมาย
แต่หากผมเร่งรีบ ตื่นเช้า เดินให้เร็ว เก็บสถานที่ท่องเที่ยวให้ครบตามตาราง หรือให้ได้มากที่สุด
ผมกลัวว่าการเดินทางในรูปแบบนั้น จะมีเพียงแค่ภาพถ่ายจำนวนมากของสถานที่ท่องเที่ยวอันหลากหลายกลับมาเมืองไทย
การเดินทางท่องเที่ยวแต่ละครั้ง สิ่งที่ผมต้องการกลับมามากที่สุด ไม่ใช่จำนวนสถานที่ หรือจำนวนภาพถ่าย หากแต่เป็น ความทรงจำ
.
ความทรงจำที่ว่านี้ ไม่ใช่เพียงแค่ความทรงจำจางๆลางเลือน แต่ต้องเป็นความทรงจำที่ยังกระจ่างชัด แม้จะผ่านไปนานแสนนาน
สำหรับผม ... การบันทึกความทรงจำให้มีความเด่นชัด มีรายละเอียดเพิ่มขึ้น หรือมีมุมมองที่แตกต่างนั้น ไม่ยุ่งยากอะไร และไม่จำเป็นต้องไปซื้อ Memory Card มาเพิ่ม
แต่ทำง่ายๆเพียงแค่ ใช้เวลา บันทึกความทรงจำ"

-โปรดติดตามตอนต่อไป-
..
Create Date : 13 ธันวาคม 2552 |
Last Update : 13 ธันวาคม 2552 17:59:21 น. |
|
10 comments
|
Counter : 6253 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: Mr.chanpanakrit (Mr.Chanpanakrit ) วันที่: 13 ธันวาคม 2552 เวลา:17:36:37 น. |
|
|
|
โดย: juandmee วันที่: 13 ธันวาคม 2552 เวลา:19:39:37 น. |
|
|
|
โดย: แม่ลูกสุดสวย IP: 124.120.197.152 วันที่: 15 ธันวาคม 2552 เวลา:3:48:38 น. |
|
|
|
โดย: โซดาบ๊วย IP: 61.90.73.162 วันที่: 16 ธันวาคม 2552 เวลา:3:06:51 น. |
|
|
|
โดย: mommylion IP: 110.164.127.10 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:21:51:23 น. |
|
|
|
โดย: ตี้ IP: 125.27.191.147 วันที่: 11 กรกฎาคม 2553 เวลา:22:12:38 น. |
|
|
|
โดย: ต้น IP: 171.99.148.187 วันที่: 12 มีนาคม 2558 เวลา:22:20:44 น. |
|
|
|
โดย: Note Sarawut IP: 180.180.5.120 วันที่: 7 ตุลาคม 2558 เวลา:15:50:30 น. |
|
|
|
โดย: Note Sarawut IP: 180.180.5.120 วันที่: 7 ตุลาคม 2558 เวลา:15:50:59 น. |
|
|
|
| |
|
 |
POGGHI |
|
 |
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]

|
..
บทความ และผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
ห้ามผู้ใดละเมิด ด้วยการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ และ ผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
POGGHI
..
|
|
|
ชอบพี่ถ่ายรูปเหมือนกัน รูปสวยๆๆเพียบเลย
อ่านก็เพลินเลย ข้อมลูแยะดีครับ....