|
 |
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
 |
12 พฤศจิกายน 2551
|
|
|
|
เรื่องเล่าจากวัดพระธาตุดอยสุเทพ - เก็บตกในตัวเมือง (เชียงใหม่)
..
เสียงแขกผู้มาพักห้องด้านล่าง พูดคุยกันเสียงดัง ปลุกให้คนนอนตื่นสายอย่างผมรู้ตัวว่า สมควรแก่เวลาที่จะลุกขึ้นจากที่นอนเสียที
แม้จะมีอาการงัวเงียอยู่บ้าง แต่เมื่อออกมาเจอแดดอ่อนๆในช่วงสายวันเสาร์ ก็ให้ความรู้สึกสดชื่น สลัดความง่วงออกไปปลิดทิ้ง
ผมลงมาจากห้องพัก เห็นคุณคีโบน กำลังเลียขนให้เจ้าเหมียวตัวเล็กอย่างสบายใจ ส่วนเจ้าตัวเล็กนั้น อยู่นิ่งได้ไม่นาน ตามธรรมชาติของลูกแมวที่ซุกซน วิ่งไปมา ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวมันน่าสนใจไปทั้งหมด
... นี่แหละครับ บรรยากาศ สายๆในวันเสาร์ ที่ บ้านอ้ายหล้า...

ผมเดินทางมาเชียงใหม่ครั้งนี้ มีธุระเรื่องการงาน ต้องไปติดต่อ จึงไม่ได้ตระเตรียมจะไปเที่ยวที่ไหนอย่างเป็นทางการ ตั้งใจไว้แค่ว่า ได้เปลี่ยนบรรยากาศที่กินที่อยู่บ้างก็พอแล้ว
แต่ทว่าการเดินทางมาเชียงใหม่ (ครั้งแรกอีกด้วย) หากไม่แวะไปนมัสการพระครูบาศรีวิชัย และพระธาตุดอยสุเทพ แล้ว รู้ถึงไหน คงอายเขาถึงนั่น
ความตั้งใจแรกนั้น ผมกะไว้ว่าจะไปหารถประจำทางแถวๆทางขึ้นดอย แต่เมื่อได้ขับเจ้า phantom หลงไปหลงมาในตัวเมืองอยู่หลายรอบ ผมจึงเปลี่ยนแผนว่า ลองขับมอเตอร์ไซค์ไปเลยดีกว่ามั้ง
...แต่ เสียงในใจก็แว่วเตือนมาว่า นี่เป็นการกลับมาขับมอเตอร์ไซค์ครั้งแรกในรอบ 4 ปี และผมไม่เคยขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นดอยมาก่อนเลย !...

ผมดูแผนที่ ที่พี่อ๊อฟ ให้ไว้ แล้วขับมอเตอร์ไซค์จากบ้านอ้ายหล้า ทะลุออกมาทางถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ มุ่งหน้าไปสู่ดอยสุเทพ ตื่นเต้นครับ ... ผมกำลังขับมุ่งไปหา ภูเขาสีเขียวทึบ ที่สูงตระหง่านอยู่ด้านหน้า
เมื่อถึงบริเวณลานอนุสาวรีย์พระครูบาศรีวิชัย ผมจอดมอเตอร์ไซค์ ตรงหน้าร้านขายดอกไม้ธูปเทียน เสียงเจื้อยแจ้วของแม่ค้า ต่างเชิญชวนให้ซื้อเครื่องบูชา
ชุดละเท่าไหร่ครับ
20 บาทเจ้า
เอาชุดนึงครับ ... อ๊ะๆๆ เดี๋ยวก่อนนะ ขออนุญาตถ่ายรูปด้วยครับ แม่ค้ายิ้มให้ถ่ายภาพแต่โดยดี ก่อนจะจัดชุดดอกไม้ให้ผม
เป็นไงบ้างครับ วันนี้ขายดีไหม
ก็ดีเจ้า วันเสาร์อาทิตย์คนจะเยอะกว่าวันธรรมดาเจ้า

ลานพระครูบาศรีวิชัย คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ทั้งมากันเป็นคู่ เป็นครอบครัว และเป็นหมู่คณะ
แม้อาการจะค่อนข้างร้อนอบอ้าว แต่ก็ไม่อาจลดทอนแรงศรัทธาของคนที่แวะมานมัสการ
...ธูปเทียนดอกไม้ แห่งความศรัทธา ยังคงเต็มหน้าลาน...

ผมค่อยๆคล้องพวงมาลัย ตรงหน้าพระครูบาศรีวิชัย เพิ่งจะรู้ว่าพวงมาลัยของผมเป็นสีส้มสดใสดีจริงๆ
อย่างที่บอกไว้ครับว่า ตอนแรกผมยังชั่งใจอยู่ว่า จะขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นดอยดีไหม แต่หลังจากนมัสการพระครูบาศรีวิชัยแล้ว ผมก็ตัดสินใจได้ไม่ยาก
...ได้กำลังใจเต็มเปี่ยมแล้วครับ...

การขับมอเตอร์ไซค์ขึ้นดอย ไม่ยากอย่างที่คิด แต่นั่นหมายถึง ต้องคุ้นเคยกับการขับมอเตอร์ไซค์อยู่บ้าง เพราะหากยังเป็นมือใหม่ หรือยังไม่ชำนาญ แนะนำรถโดยสาร จะปลอดภัยกว่า
ผมขับกินลมชมวิวไปเรื่อยๆ ปล่อยให้รถคันอื่นๆทั้งมอเตอร์ไซค์ รถตู้ รถแดง รถยนต์ แซงไปได้ตามสบาย ผมขอปลอดภัยไว้ก่อน ไม่รีบร้อนไปไหน
จนกระทั่งขับมาได้ครึ่งทาง ก็เจอรถขายเครื่องดื่มตรงจุดชมวิว กำลังคอแห้งพอดีเลย
ทันทีที่ผมจอดรถ แม่ค้าก็เชิญชวนเป็นภาษาเหนือสำเนียงน่ารักๆ ผมซื้อกาแฟ 1 แก้ว ราคา 20 บาท เย็นชื่นใจ
มาขายทุกวันหรือเปล่าครับ
ขายทุกวันเลยเจ้า
...กาแฟบนจุดชมวิว อร่อยชะมัด ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า...

จุดชมวิวระหว่างทาง ทำให้ผมได้เห็นเมืองเชียงใหม่ในมุมสูง
แต่หากถามว่า สวยไหม ตอบตรงๆว่า เฉยๆล่ะครับ เพราะมันไกลมากไปจนมองไม่เห็นอะไร แถมยังมีหมอกจางๆปกคลุมไปทั่ว
...แต่เอาเถอะ ถือว่าได้เปลี่ยนบรรยากาศ ที่นั่งจิบกาแฟบ้างแล้วกัน...
>
อย่างไรก็ตาม บนจุดชมวิวทำให้ผมรู้ว่า เมืองเชียงใหม่เป็นเมืองที่มีพื้นที่สีเขียวแทรกซึมอยู่กับตึกรามบ้านช่องไม่น้อยเลย
แม้จะมีตึกสูงๆมากมาย แต่ต้นไม้สีเขียวครึ้ม ยังคงมีอยู่รอบด้าน นับเป็นการจัดผังเมืองที่ยอดเยี่ยมมาก
...พื้นที่สีเขียวมีมากเท่าไหร่ สุขภาพกายใจมีมากขึ้นเท่านั้น...

ผมขับมอเตอร์ไซค์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดหมาย วัดพระธาตุดอยสุเทพ แต่แล้วก็มีเรื่องให้ระทึกใจก่อนถึงเส้นชัยเล็กน้อยครับ ... ใครที่เคยไปดอยสุเทพ คงทราบดีว่า เนิน โค้งหักศอก สุดท้ายนั้น มีความชันที่สุด
ผมขับมอเตอร์ไซค์มาด้วยเกียร์ 3 แต่กลัวว่ามันอาจขึ้นไม่ไหว จึงตัดสินใจเปลี่ยนเกียร์ 2 ขณะที่รถกำลังพุ่งขึ้นไป ผมตื่นเต้นไปนิด จังหวะเปลี่ยนเกียร์ บีบคลัตช์น้อยไปหน่อย ... เครื่องจึงดับทันที!
ผมรีบบีบเบรกมือค้างไว้ แต่รถมันก็หนักมาก จนไหลลงไปทีละนิดทุกครั้งที่ผมพยายามจะออกตัว แต่โชคดีมากๆที่รถรุ่น phantom นั้น ใช้การสตาร์ทจากมือ ทำให้ผมยังใช้เท้าทั้งสองข้างยันตัวรถไม่ให้ไหลตกดอยไปซะก่อน
รถจากด้านล่าง และรถจากด้านบน ยังคงวิ่งผ่านสวนไปมา ทำให้ผมไม่กล้าจะบิดให้รถพุ่งออกไป ผมค้างอยู่ตรงเนินลาดชันนั้นกว่า 2-3 นาที
จนสุดท้าย อาจจะเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ หรือความเชื่อใดก็แล้วแต่ ในช่วงความคิดแวบหนึ่งในสมอง ผมนึกถึงพระครูบาศรีวิชัยที่นมัสการไปเมื่อครู่
...รถของผมพุ่งออกมาได้ และถึงดอยสุเทพอย่างปลอดภัยครับ...

ดอยสุเทพ ในวันเสาร์มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเป็นจำนวนมาก เมื่อเดินเข้าสู่บันไดนาค มองแล้วผมคิดว่าไม่สูงเท่าไหร่
แค่นี้สบายมาก สำหรับหนุ่มๆอย่างเรา
แต่ที่ไหนได้ ... ผมเดินไปได้ราวครึ่งทาง เริ่มต้องคว้าราวบันไดหางพญานาคเป็นตัวช่วย เหมือนคุณลุงคุณป้าซะแล้ว
...แหม ก็คนมันไม่ได้ขึ้นทุกวันนี่นา...

เมื่อขึ้นไปถึงด้านบน ผมเดินสำรวจรอบๆด้านนอกก่อน ก็ไปเจอกิจวัตรของสงฆ์ที่นานๆจะได้เห็น
บรรดาพระหนุ่มๆ และเณร กำลังขะมักเขม้นอยู่กับการทำความสะอาดหลังคาโบสถ์
หลวงพี่ต้องใช้บันได ปีนขึ้นไปบนหลังคา ขณะที่แดดร้อนๆทำให้ต้องนำจีวรมาคลุมศีรษะ
...กลายเป็นภาพแปลกตา ที่สร้างรอยยิ้มได้เป็นอย่างดี...
>
บรรยากาศอีกมุมหนึ่งด้านนอก คือ ภาพของผู้มาเยือน ตีระฆังที่วางอยู่เรียงรายเป็นระเบียบ
ผมสังเกตว่า ผู้ใหญ่มักจะตีระฆังเบาๆ แต่ถ้าเป็นเด็กๆ โดยเฉพาะวัยกำลังซนนั้น ตีระฆังแต่ละครั้ง ทำเอาหูแทบอื้อ
...เสียงระฆังทั้งจากผู้ใหญ่ และเด็ก ก้องดังกังวานไปทั่ว...

ผมทราบว่า จะเดินทางมาเชียงใหม่ก่อนล่วงหน้าประมาณ 2 เดือน ขณะนั้นมีข่าวออกมาแล้วว่า พระธาตุดอยสุเทพ กำลังอยู่ในช่วงบูรณะซ่อมแซม เพื่อเตรียมต้อนรับนักท่องเที่ยวและผู้ศรัทธา ที่จะเดินทางมาในช่วงหน้าหนาว
ตอนนั้นก็หวังเอาไว้ครับว่า ขอให้บูรณะเสร็จทันที่เรามาเถิ๊ดด จะได้มีภาพสวยๆกลับมา
แต่เมื่อได้มาเห็นพระธาตุ ขณะกำลังบูรณะอยู่ในวันนี้ ผมกลับมองต่างไปจากวันวานครับ เพราะพระธาตุที่มีโครงเหล็กล้อมรอบอยู่ ยังคงมีความงดงาม และสวยแปลกตาดีเหมือนกัน
...ใครๆก็เคยเห็นพระธาตุดอยสุเทพในแบบธรรมดา ต้องคิดในแง่ดีมุมกลับว่า เรามีโอกาสได้เห็นไม่เหมือนคนอื่น...

ผู้รับผิดชอบในการบูรณะ เป็นคนที่น่าจะมีความคิดความอ่านในทางศิลปะไม่น้อยครับ เพราะหากนำโครงเหล็กสีทึมๆ มาล้อมรอบพระธาตุแล้ว ความงดงามคงถูกบดบังลงไปมาก
...เหล็กที่นำมาล้อมรอบเอาไว้ จึงทาด้วยสีเหลืองสด เข้ากับสีทองอร่ามของพระธาตุ...

วันนั้น ฟ้าฝนเป็นใจมากครับ เพราะแดดแรงทีเดียว
แน่นอนว่า แดดแรงเท่าไหร่ ความสวยงามของพระธาตุย่อมมีมากขึ้นเช่นกัน
...แสงแดดยามตกกระทบกับผิวสีทองของพระธาตุแล้ว เพิ่มความงดงามขึ้นอีกหลายเท่า...

บรรยากาศบนวัดพระธาตุดอยสุเทพ ในวันนั้น ค่อนข้างคึกคักครับ อาจเพราะเป็นวันเสาร์ จึงมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก
เท่าที่ผมพอฟังสำเนียงออก มีกรุ๊ปทัวร์จาก จีน และญี่ปุ่น จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
ที่น่าปลื้มใจ คือ ไม่ว่าจะเป็น ฝรั่ง จีน ญี่ปุ่น ต่างก็ชื่นชมในความงาม และเดินเวียนเทียนรอบพระธาตุ
... ไม่ว่าเชื้อชาติไหน ภาษาใด ต่างก็ชื่นชมความงามได้เหมือนกัน...

การเดินหามุมถ่ายภาพไปรอบๆนั้น ผมเห็นตู้รับบริจาคอยู่หลายตู้ มีทั้งตู้บริจาคเพื่อการบูรณะ ปฏิสังขรณ์ ตู้เพื่อนำไปช่วยเหลือเด็กด้อยโอกาส ตู้ช่วยเหลือค่าน้ำค่าไฟของวัด ฯลฯ
ผมบริจาคไปไม่มากมาย แต่ก็ด้วยใจศรัทธา
...คนละไม้คนละมือ คนละสิบคนละร้อย เพื่อให้ปูชนียสถานอันงดงาม อยู่คู่เราไปนานๆ...

ผมเดินสำรวจชื่นชมกับความงาม และรายละเอียดอันวิจิตรบรรจงของศิลปะแบบล้านนา
สมัยเรียนมัธยม ผมเลือกเรียนวิชาศิลปะไทย แต่กลับมองไม่เห็นว่า ลวดลายของไทยในแต่ละภาคมีความแตกต่างกัน แต่เมื่อได้มาสัมผัสด้วยตาตัวเอง ถึงรู้ว่า ลวดลายของแต่ละภาค มีความต่างกันจริงๆ
...แต่ละภูมิภาค ย่อมมีเอกลักษณ์ของตนเอง...

เดินไปเดินมาอยู่รอบๆพระธาตุ ผมสังเกตเห็นพี่ๆช่างภาพ ที่รับจ้างถ่ายรูปนักท่องเที่ยวคู่กับพระธาตุ เดินกันขวักไขว่ทั้งชายหญิง ต่างก็คอยเรียกเชิญชวนผู้มาเยือน ให้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
พี่ช่างภาพคนหนึ่ง ยืนอยู่ข้างๆผม เรายิ้มทักทายกัน แล้วพูดคุยกันเรื่องอุปกรณ์กล้อง
เลนส์ของน้อง ราคาเท่าไหร่เหรอ
ไม่ทราบว่าเท่ากันหรือเปล่านะครับ แต่ถ้าซื้อที่กรุงเทพฯ ราคาประมาณ xx ครับ
มันเอาไว้ถ่ายระยะไกลๆใช่ไหม
ใช่ครับ นี่ไงพี่ อย่างรูปนี้ ผมซูมเข้าไปเห็นชัดๆได้เลย
...ต่างที่ ต่างถิ่น แต่เราคุยภาษาเดียวกัน...

ผมคุยกับพี่ช่างภาพ จึงได้ทราบว่า ช่างภาพถ่ายรูปที่ระลึกบริเวณรอบพระธาตุนั้น มีทั้งหมด 60 คน ไม่มีเกินไปกว่านี้ หรือถ้าใครลาออก ขาดหายไป ก็จะมีการหามาทดแทน ในจำนวนเท่าเดิม
พี่เขาเล่าว่า ทุกคนก็ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการถ่ายภาพบนนี้ ไม่ได้รับงานถ่ายภาพที่อื่น ซึ่งก็พออยู่ได้
ช่วงนี้ คนเริ่มเยอะแล้ว พอเข้าหน้าหนาวกับช่วงสงกรานต์นี่แหละ คนจะเยอะเป็นพิเศษ
...อาชีพ บันทึกความทรงจำให้ผู้อื่น...

ผมยังคงเดินสำรวจต่อไปรอบๆ สังเกตว่าวัดวาอารามทางเหนือ มีระฆังประดับประดาจนเป็นเอกลักษณ์
วัดพระธาตุดอยสุเทพก็เช่นกัน
แต่ระฆังที่ผมถ่ายภาพมานี้ ท่าจะไม่มีใครมาทำความสะอาดเป็นเวลานาน
...สงสัยต้องเป็นภาระของหลวงพี่ ด้านนอกโบสถ์อีกแล้ว...

แม้เวลาจะบ่ายคล้อยไปแล้ว แต่ยังคงมีผู้คนหลั่งไหลเดินทางมาอย่างไม่ขาดสาย
นอกจากประชาชนคนทั่วไปแล้ว ผมเห็นพระสงฆ์จำนวนไม่น้อย ที่เดินทางมาสักการะ
...ช่วยกันสืบสานพระพุทธศาสนาต่อไปอย่างมั่นคง...

ผมออกจากวัดพระธาตุดอยสุเทพ เวลาประมาณบ่าย 3 จึงไม่ได้เดินทางขึ้นไปพระตำหนักภูพิงค์ หรือดอยปุย เพราะกลัวว่าหาก เที่ยวเพลินจนเป็นเวลาเย็นแล้ว จะเป็นอันตรายในการเดินทาง
โดยเฉพาะการขับมอเตอร์ไซค์ ลงจากดอยนั้น ผมเพิ่งรู้ว่า ยากกว่าการขับขึ้นมาเสียอีก เพราะด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้รถมีความเร็วกว่าปกติ
แต่สุดท้าย ผมก็ขับลงมาได้โดยสวัสดิภาพ จากนั้นแล้วก็เลี้ยวซ้าย แวะเยี่ยมชม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซักหน่อย
...อยากแวะไปดูว่า มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สวยเหมือนที่เห็นในรูปหรือเปล่า...

ผมขับมอเตอร์ไซค์ตระเวนชมบรรยากาศใน มช. ไปเรื่อย พบว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ร่มรื่นน่าอยู่มากครับ
ขนาดเป็นช่วงปลายฝน ต้นหนาว อากาศยังสดชื่นมากๆ ขับไป ขับมา ก็มาเจอภาพน่ารักๆ ตรงด้านหน้าศาลาธรรม
... ร เรือหายไป เพราะน้องหมามัวแต่แอบหลับแน่ๆ...

ช่วงที่ผมไป ยังเป็นช่วงปิดภาคเรียน ทำให้บรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงาไปนิด
แต่ก็ได้บรรยากาศที่เงียบสงบไปอีกแบบ
...ความเงียบสงบ ที่หาได้ไม่ยาก จากมหาวิทยาลัยในต่างจังหวัด...

รุ่นน้องที่เรียน ม.ช. บอกผมว่า ถ้าไปถึงมหาวิทยาลัยแล้ว อย่าลืมแวะไปดูอ่างแก้ว
ซึ่งเป็นอ่างเก็บน้ำที่สะท้อนเห็นเงาของดอยได้ชัดเจน ราวกับเป็นแก้วใบใหญ่
...พื้นที่กว้างใหญ่ มีคนนั่งถ่ายรูปอยู่คนเดียว สูดเอากลิ่นไอบริสุทธิ์มาเต็มปอด...

ผมออกจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ยังพอมีเวลาขับมอเตอร์ไซค์รถหลงไปในตัวเมือง
ขับผ่านวัดโลกโมฬี ซึ่งพี่อ๊อฟ บอกว่า เป็นวัดที่สวย และยังเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง พระนเรศวร มาแล้ว
...พี่อ๊อฟรับประกันทั้งที ต้องแวะไปชมซักหน่อย...

วัดวาอารามทางเหนือ มีความสวยงามแปลกตาเป็นเอกลักษณ์ ด้วยสถาปัตยกรรม การแกะสลักลวดลายต่างๆ มีความผสมผสานกันอย่างลงตัว
...ผสมผสานทั้งความอ่อนช้อย และความแข็งแกร่งเข้าไว้ด้วยกัน...

ปกติแล้ว ผมเป็นคนชอบถ่ายรูปในวัด แต่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปวัดบ่อยนัก ถ่ายไปถ่ายมาก็เพลิน จนกินเวลาเป็นชั่วโมง
จากตอนแรกตั้งใจว่าจะถ่ายวัดในคูเมืองให้ได้ซัก 10 วัด สุดท้าย ก็เย็นย่ำเสียก่อน คงต้องไว้โอกาสหน้า
...แต่ภาพที่ได้มา ก็คุ้มกับเวลาที่หมดไป...

จากวัดโลกโมฬี ข้ามมาฝั่งตรงข้าม คือ วัดมณเฑียร ซึ่งมีความสวยงามตามแบบล้านนาเช่นกัน
แต่ด้วยสภาพแสงไม่เป็นใจให้แล้ว ผมจึงได้มาแค่ภาพสถาปัตยกรรมสวยแปลกตา บนหลังคาโบสถ์
...เชื่อแล้วครับว่า วัดที่เชียงใหม่สวยงามจริงๆ...

ก่อนจะพลบค่ำไปกว่านี้ ผมขับมอเตอร์ไซค์เข้าไปในคูเมือง โดยตั้งใจว่าจะขับรถเล่น ชมบรรยากาศ
แต่ก็โชคดี ที่ขับหลงไปจนเจออนุสาวรีย์สามกษัตริย์ ตรงด้านหน้าศาลากลางเมืองเชียงใหม่
...สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองเชียงใหม่...

ลานตรงหน้าอนุสาวรีย์สามกษัตริย์นั้น กว้างพอสมควร และเป็นลานโล่งๆว่างๆ นั่นจึงกลายสภาพเป็นสนามของบรรดากลุ่มวัยรุ่น ที่นิยมชมชอบกับการเล่นสเก็ตบอร์ด ได้มาประลอง ฝึกซ้อมฝีมือกัน
ผมนั่งถ่ายรูปไปเรื่อย น้องๆหันมามองบ้าง ว่าใครมาแอบถ่ายหว่า ? แต่ก็ยังคงเล่นกันต่อไป
...แต่รู้สึกว่า น้องๆจะโชว์ท่าแปลกๆยากๆ บ่อยขึ้น คงรู้ว่ามีคนถ่ายรูปอยู่ล่ะสิ...

วันสุดท้ายในเมืองเชียงใหม่ ผมร่ำลา พี่อ๊อฟ พร้อมได้โปสการ์ดสวยๆจาก บ้านอ้ายหล้า เป็นที่ระลึก
นาทีที่ผมขับมอเตอร์ไซค์ออกมา ช่างเป็นความรู้สึกที่แตกต่างจากการเช็คเอาท์ ออกจากโรงแรมทั่วๆไป มันเป็นความรู้สึกเหมือนเรากำลังเดินทางจากเพื่อน พี่ น้อง ที่เราคุ้นเคย
.
ตารางในวันสุดท้ายนี้ ผมไม่มีแผนอะไรอีก เพราะนัดรุ่นน้องคนเชียงใหม่ให้นำเที่ยว แต่เป็นการเที่ยวที่เน้นนั่งกิน นั่งคุยซะมากกว่า
หลังจากเอารถมอเตอร์ไซค์ไปคืนที่ร้านเช่า หาอะไรรองท้องเสร็จสรรพ รุ่นน้องก็นำผมไปชมร้าน สุริยันจันทรา ซึ่งเป็นร้านของตกแต่งบ้านอย่างหรู ที่ถนนนิมมานฯ
พี่เจ้าของร้านน่ารักมากครับ แม้เขาทราบว่าเราแวะมาขอถ่ายภาพ ไม่ได้ซื้ออะไร ก็ยังคงยิ้มต้อนรับ และให้คำแนะนำเป็นอย่างดี
...เสน่ห์ส่วนหนึ่งของร้าน สุริยันจันทรา ก็คือ เจ้าของร้านนี่แหละ...

ช่วงเย็นๆ รุ่นน้องพาผมไปจิบกาแฟแถวหน้า ม.ช. ก่อนจะพาไปเดินเล่นกินลมชมวิวบนศูนย์วิจัยเกษตร ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัย
มีอะไรบนนั้นเหรอ
ไม่มีอะไรหรอกพี่ ก็เป็นอ่างเก็บน้ำ คล้ายๆอ่างแก้ว แต่เคยเป็นสถานที่ถ่ายหนังเรื่องเพื่อนสนิทนะ ฉากที่ไข่ย้อยมันสอนขับมอเตอร์ไซค์ให้เพื่อนของดากานดาน่ะ
ผมได้ยินแบบนั้น ก็ต้องลองไปสิครับ ไปดูว่าบรรยากาศจะสวยเหมือนในหนังหรือเปล่า ซึ่งก็สวยจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ฟ้าครึ้มๆเริ่มเคลื่อนตัวมาแต่ไกล ทำให้อยู่ที่นั่นได้ไม่นาน
. .
สุดท้ายผมจึงจบการเดินทางที่เชียงใหม่แบบดื้อๆตรงนี้ เพราะจากนั้นรุ่นน้องก็พาไปกินอาหารเหนือที่ร้านอะไรซักแห่งไกลๆนอกตัวเมือง จนไม่ได้แวะกลับมาถนนคนเดิน
คืนนั้นผมเดินทางกลับโดยเครื่องบิน ขณะที่เครื่องทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน เห็นแสงไฟจากถนนหนทางไกลลิบๆ ผมคิดถึงวันสองวันที่ผ่านมาว่า ยังพลาดถ่ายรูป พลาดเที่ยวสถานที่น่าสนใจของเมืองเชียงใหม่อีกหลายแห่ง
...ไม่เป็นไร ครั้งนี้แค่แวะมาทักทายให้รู้จักกันเอาไว้ สัญญาว่าครั้งต่อไป ผมจะตีสนิทให้มากกว่านี้...
Create Date : 12 พฤศจิกายน 2551 |
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2551 17:42:52 น. |
|
7 comments
|
Counter : 5618 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: A'Jim วันที่: 8 ธันวาคม 2551 เวลา:22:22:18 น. |
|
|
|
โดย: ปุราณ IP: 202.129.57.19 วันที่: 10 มิถุนายน 2552 เวลา:17:05:25 น. |
|
|
|
โดย: YCL&ZXT IP: 222.123.141.27 วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:46:06 น. |
|
|
|
โดย: ละอ่อน3เค(3คิงส์) IP: 118.172.63.74 วันที่: 2 ธันวาคม 2552 เวลา:9:06:51 น. |
|
|
|
โดย: Ae FineArts IP: 1.47.84.240 วันที่: 16 กรกฎาคม 2554 เวลา:19:26:27 น. |
|
|
|
โดย: ลอง กอย IP: 118.172.10.85 วันที่: 25 กันยายน 2554 เวลา:19:27:21 น. |
|
|
|
| |
|
 |
POGGHI |
|
 |
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]

|
..
บทความ และผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
ห้ามผู้ใดละเมิด ด้วยการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ และ ผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
POGGHI
..
|
|
|
แล้วก็ได้เข้ามาเจอบล๊อกดีๆ อย่างนี้ได้
ภาพสวยงามมากๆ คือมันกลมกลืนไปกับคำเขียนด้วย เลยเหมือนได้เดินเที่ยวไปด้วยกับคุณ PoGghI เพลินตามากค่ะ
ขอบคุณสำหรับภาพถ่ายสวยๆ และ เนื้อหาที่เป็นไกด์ไลน์ได้ด้วย