<<
ธันวาคม 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
18 ธันวาคม 2552

โตเกียว หมุนรอบตัว ตอนที่ 5 : ค้นหาความสงบ

..

สายลมเย็นกลางฤดูใบไม้ร่วง
พัดพาความชุ่มชื่นของเม็ดฝนเป็นละอองไอลอยล่องกระจัดกระจาย

เสียงประกาศภาษาญี่ปุ่นในขบวนรถไฟ
กลบเสียงสนทนาของกลุ่มนักเรียนวัยรุ่นข้างๆ

Tokyo Tower ตั้งตระหง่าน แดงโดดเด่น
ท่ามกลางตึกสูงระฟ้าทันสมัย

รอยยิ้มในแววตาผู้สูงวัย
บ่งบอกความสุขเรียบง่ายใกล้ตัว


ท่ามกลางชีวิตที่เคลื่อนไหวของเมืองโตเกียว

“ผมถามตัวเองว่า กำลังยืนอยู่ตรงไหน ? ”


.
.

“ค้นหา...บางสิ่ง”


แรงบันดาลใจในการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นของผม บ่มเพาะจากการติดตามสื่ออย่างภาพยนตร์เป็นหลัก

ภาพยนตร์ญี่ปุ่นหลายเรื่องใช้เมืองโตเกียวเป็นฉากหลัง
... ภาพของมหานครอันดับหนึ่งของประเทศ มักถูกถ่ายทอดออกมาให้รับรู้ถึง
ความหนาแน่นของจำนวนประชากร ความวุ่นวายของวิถีชีวิต และความเจริญก้าวล้ำทางด้านวัตถุ

จนกระทั่งเมื่อได้เดินทางไปโตเกียวด้วยตัวเอง แม้สิ่งที่ผมเห็นในภาพยนตร์ อาจไม่แตกต่าง

แต่ทว่าผมได้ค้นพบมิติที่ลึก และกว้างขึ้นของโตเกียว

ในความ “สับสน” ยังมีความ “สงบ”

ใน “โลกอันยุ่งเหยิง” ยังมี “โลกส่วนตัว”

สองสิ่งที่แลดูขัดแย้งกัน อาจมีเพียงเส้นคั่นความแตกต่าง เพียงระยะก้าวเดิน
..

ย่านศูนย์การค้า Omotesando ในวันหยุดสุดสัปดาห์
คลาคล่ำไปด้วยประชากรเมืองโตเกียว ซึ่งออกมา “เดิน”

ต่างคนต่างเดิน ต่างคนต่างจุดหมาย ต่างแฟชั่นต่างสไตล์
... รวมอยู่บนถนนสายเดียวกัน

จังหวะก้าวของถนนสายนี้ รวดเร็ว สม่ำเสมอ ต่อเนื่อง
.. จนผมคิดว่า บางครั้งอาจไม่มีที่ว่าง กระทั่งให้ใครสักคนทำของตกหล่น หรือสะดุดล้ม

..

ในความอึกทึกวุ่นวายของคลื่นมนุษย์ แห่งย่าน Omotesando อาจไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะค้นหาความสงบ

อย่างไรก็ตาม หากมองข้ามจังหวะก้าวที่เคลื่อนไหวรอบกาย
หรือ พยายามทำหูทวนลมต่อเสียงเซ็งแซ่ที่รายล้อมโสตประสาท

ความสงบก็เกิดขึ้นได้ง่ายๆ ภายในจิตใจ
เพียงแค่ลอง “หยุด” ยืนนิ่งๆ มีสมาธิกับสิ่งที่ตัวเองสนใจอยู่ตรงหน้า

“โลกส่วนตัว” อาจเกิดขึ้นได้ไม่ยาก

..

ปีวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ 2551 ที่ผ่านมา
บริษัทยักษ์ใหญ่แดนอินทรีอย่าง เจนเนอรัล มอเตอร์ (GM) เสียแชมป์ยอดขายรถยนต์ให้กับบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ จากแดนอาทิตย์อุทัยเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 7 ทศวรรษ

แต่สถิติดังกล่าว ไม่น่าจะส่งผลอะไรต่อสภาพการจราจรของโตเกียวมากนัก เพราะยอดขายหลักของรถยนต์ญี่ปุ่นนั้น กระจายไปเพิ่มปริมาณรถยนต์ในประเทศอื่นๆเสียมากกว่า

ตามท้องถนนในเมืองอย่างโตเกียว รถยนต์ส่วนใหญ่จึงมักเป็นรถสาธารณะ หรือรถแท็กซี่ มากกว่าจำนวนรถยนต์ส่วนบุคคล

ภาพการจราจรอันแสนคับคั่ง รถติด แถวยาวเป็นกิโลฯ ขยับไม่ได้เป็นชั่วโมง คงเป็นสิ่งหายากในโตเกียว

... เว้นเสียแต่ว่า จะเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง หรือมีก๊อตซิลล่า ออกมาถล่มเมือง

..

บรรยากาศบนท้องถนนกรุงเทพที่เราคุ้นเคยตามสี่แยกจราจร คือ รถติดยาวเหยียด โดยมีบรรดาสิงห์นักบิดทั้งหลายเป็นทัพหน้า
ขับลัดเลาะไปจอด ออกันใกล้สัญญาณไฟ ราวกับเป็นจุดปล่อยการแข่งขัน

ปริมาณรถที่เบียดเสียด ไประหว่างช่องว่างแคบๆ ยังอาจทำให้คนซ้อนมอเตอร์ไซค์ โดยเฉพาะคุณสุภาพสตรี ต้องฝึกเก็บขา เกร็งบั้นท้าย เพื่อมิให้หัวเข่าไปทดสอบความแข็งแกร่งกับรถคันข้างๆโดยไม่จำเป็น

แต่สำหรับเมืองที่สภาพการจราจรปลอดโปร่งโล่งสบายอย่างโตเกียว
... สิงห์นักบิดชาวญี่ปุ่น คงไม่เคยประสบกับปัญหาดังกล่าว

ตรงกันข้าม พื้นที่หลังสัญญาณไฟตามท้องถนน อาจจะเป็นโลกส่วนตัวอันแสนสงบด้วยซ้ำ

..

“รถไฟ เหงาๆ”


รถไฟ คือ ตัวเลือกอันดับหนึ่ง สำหรับการเดินทางไปไหนมาไหนของพลเมืองชาวโตเกียว

ในชั่วโมงเร่งด่วน ผู้โดยสารในขบวนรถไฟ แปรสภาพเป็นมนุษย์ปลากระป๋องที่ต้องแออัดยัดเยียดเบียดชิดกัน
ชนิดที่หากคันก้นขึ้นมา อาจจะสะดวกกว่า ถ้าให้คนด้านหลังช่วยสะกิดเกา

หรือ แม้กระทั่งในช่วงเวลาปกติของสถานียอดฮิต
บรรยากาศรถไฟปลากระป๋อง ก็สามารถเกิดได้ทุกช่วง ไม่เลือกเวลา หรือฤดูกาล

แต่กระนั้น ใช่ว่ารถไฟญี่ปุ่น จะไม่เคยมี “นาทีเหงา”

..

บางสถานี เมื่อผู้โดยสาร เข้า หรือ ออก ไปหมดแล้ว
... นาทีนั้นความสงบจึงเกิดขึ้น

บางสถานี ซึ่งไม่ใช่สถานียอดนิยม ... นาทีที่รถไฟเคลื่อนจากไป ก็เหลือไว้เพียงเสียงลมพัดหวีดหวิว

ขณะที่บางสถานีรถไฟรอบนอกเมือง หรือสถานีเล็กๆระหว่างทางนั้น
แม้จะเป็นช่วงเวลากลางวัน

... ก็อาจมีเพียงเสียงฝีเท้าของตัวเราคนเดียว

..

ห่วง - ราว สำหรับจับยึดบนรถไฟ ซึ่งช่วงเวลาปกติ ถูกใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

แต่ในนาทีเหงาๆของโตเกียว ...

ห่วงเหล่านั้น ว่างเปล่า กลายเป็นเพียงวัตถุที่ขยับโยกไหวไปตามจังหวะขับเคลื่อนของรถไฟ

..

ชานชลาในสถานีรถไฟ ซึ่งเคยคลาคล่ำไปด้วยผู้โดยสารเบียดเสียดกัน เข้า –ออก

แต่แค่นาทีเดียวหลังจากนั้น อาจกลับกลายเป็นลานกว้าง อ้างว้าง


บางครั้งในความสับสนวุ่นวายรายล้อมตัว เราอาจจะต้องอดทนรอจังหวะเวลา

... โลกอีกใบที่หลบซ่อนอยู่จึงค่อยๆปรากฏกายออกมาให้ได้สัมผัส

..

“ความสงบ ใกล้ตัวที่ Minami-Senju”


เมืองหลวงอย่างกรุงเทพมหานครนั้น หากเราเอ่ยถึง “ชานเมือง”

ฟังแล้วอาจจะรู้สึกไกล๊ไกล เดินทางร่วมชั่วโมง -นั่งรถ 3 ต่อ - ซ้อนมอเตอร์ไซค์เข้าซอยเปลี่ยว

ก่อนมาโตเกียว เมื่อรู้ตัวว่าเลือกที่พักเอาไว้ในย่านชานเมืองอย่าง
“Minami-Senju”
ผมก็คิดหวั่นอยู่บ้างเหมือนกันว่า ชานเมืองแบบญี่ปุ่นๆนั้น จะต้องเดินเปลี่ยว เสียวหลังเหมือนบ้านเราหรือเปล่า

ตั้งแต่ทำการบ้านเรื่องที่พักในโตเกียว ส่วนใหญ่ผมก็มักจะได้ยินแต่

... ชินจูกุ อูเอโนะ อิเคะบุคุโระ ฯลฯ

ไม่ค่อยมีใครจะกล่าวถึง มิยาบิ อุ๊บ! ... มินามิ เซ็นจุ สักเท่าไหร่

แต่ทว่า เพียงแรกเห็น ผมก็รับรู้ถึงเสน่ห์ในย่านชานเมืองโตเกียว

เพราะพื้นที่รอบนอกอย่าง Minami-Senju เป็นละแวกซึ่งเต็มไปด้วยที่อยู่อาศัยขนาดกลาง ไม่มีตึกสูงๆ ไม่ใช่แหล่งธุรกิจ ไม่มีสถานที่สำคัญซึ่งนักท่องเที่ยวต้องแวะมาชม

เมื่อรวมเข้ากับบรรยากาศของถนนโล่งๆ ผู้คนดำเนินไปเรื่อยๆ เอื่อยๆ
... ยิ่งช่วยตอกย้ำความรู้สึกได้ดีว่า ผมเลือกแหล่งที่พักได้ถูกกับรสนิยมของตัวเองแล้ว

..

บรรยากาศความสงบนั้น คงช่วยกล่อมเกลาให้จังหวะชีวิตคนในเมืองใหญ่ช้าลงอีกนิด

ผมคิดว่า คนโตเกียวคงมีสัญชาตญาณของการแข่งขันกันสูง
เพราะขณะที่ต้องใช้ชีวิตในใจกลางเมือง ซึ่งมีคนอื่นอีกมากมายเป็นตัวเปรียบเทียบ
แต่ละคนจึงต้องทำอะไรๆด้วยความเร่งรีบ แข่งกับเวลา แข่งกับคนรอบข้าง มองไปทางไหน ก็มีแต่จะเดินจ้ำอ้าวแทบไม่มองหน้ามองตากัน

แต่เมื่อชาวโตเกียว เดินอยู่ในบรรยากาศของชานเมือง

จังหวะก้าวขา หรืออัตราเร่งของชีวิต ก็ดูจะลดลงไปเองตามสภาพแวดล้อม

..

ปริมาณร้านค้าในตัวเมืองโตเกียว มีมากมายเหลือคณานับ แต่คล้ายกับว่า ไม่เคยเพียงพอกับจำนวนประชากร

หากไม่ตื่นตั้งแต่เช้าก่อนไก่(โตเกียว)โห่ หรือกลับดึกดื่นในเวลาคุณแม่ดุ

เรามักจะต้องต่อคิวซื้อข้าวของร่วมกับชาวโตเกียวอีกหลายคน

แต่ทว่า ร้านค้าเล็กๆ ระหว่างทางเดินไปที่พักย่าน Minami-Senju ... แม้เวลาเที่ยงวัน ก็ยังแลดูเงียบสงบ

..

โตเกียว เป็นเมืองที่ผู้อยู่อาศัยต้องใช้ “พลังงานสูง”

ต้องใช้กำลังสมอง คิดบริหารจัดการเวลา ต้องใช้กำลังขา เดินก้าวไวๆ ต้องใช้กำลังใจ รับมือกับภาวะเครียด
... และยังมีอีกสารพัดกำลัง สำหรับการดำรงชีวิตในมหานครระดับโลก

เมื่อทุกอย่างในชีวิตคนเมืองใหญ่ ช่างดูเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้าขนาดนี้ ..
. อะไรเป็นเหตุให้กว่า 12 ล้านชีวิตในโตเกียว ยังมีพละกำลังสู้ต่อไปได้

ผมคิดว่า นั่นอาจเป็นเพราะชาวโตเกียว มีแหล่งเติมเต็มพลังงานชีวิตในแต่ละวัน
เพราะแม้จะต้องต่อสู้ดิ้นรนกับการแข่งขันในตัวเมือง แต่หลังเลิกงาน ประชากรส่วนใหญ่ ก็นั่งรถไฟกลับบ้าน


บ้านที่ชาวโตเกียวพักผ่อน คือ “แหล่งพลังงานสำรอง” ที่เรียกว่า
“ชานเมือง”

..

“ความเงียบที่ซ่อนอยู่ ... ใน Shinjuku”


แหล่งรวมสีสันแห่งโลกยุคใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยความวุ่นวาย อึกทึก ครึกโครม มากที่สุดแห่งหนึ่งของโตเกียว
คือ Shinjuku

ประโยคที่ว่า “โตเกียวไม่เคยหลับใหล”
จึงอาจเป็นการเปรียบเปรยครอบคลุมถึงพื้นที่แห่งนี้ด้วย เพราะไม่ว่าจะเป็นกลางวัน หรือดึกดื่นเที่ยงคืน
ใจกลาง Shinjuku ยังมีความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา


ด้วยเขต Shinjuku เป็นย่านธุรกิจสำคัญ ซึ่งเป็นแหล่งห้างร้านขนาดยักษ์ แทรกซึมด้วยโรงแรมระดับ 5 ดาวอีกไม่ต่ำกว่า 10 แห่ง
ที่ตั้งรายล้อมอยู่รอบๆสถานีรถไฟซึ่งมีความซับซ้อน และวุ่นวายที่สุดของโตเกียว
แถมยังเป็นย่านอภิมหาบันเทิงเริงรมย์ในภาคกลางคืนอย่าง Kabukicho


แต่ผมก็ค้นพบว่า Shinjuku มีเส้นทางลับสู่ความเงียบสงบ

..

เขต Shinjuku เป็นที่ตั้งของตึก “Tokyo Metropolitan Government”

สถานที่ยอดฮิตอีกแห่งหนึ่ง อันเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว เพราะไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับการขึ้นไปชมทิวทัศน์โตเกียวในมุมสูง
... ซึ่งของฟรีแบบนี้ ผมย่อมไม่พลาด

ความจริงแล้ว การเดินทางไปตึกที่ทำการเมืองโตเกียว โดยสะดวกที่สุด
คือ การนั่งรถไฟ Toei Oedo Line ไปลงสถานี Tochomae (E28)
เมื่อเดินขึ้นมาจากสถานี ก็จ๊ะเอ๋กับตึก Tokyo Metropolitan Government พอดี

แต่เนื่องจากผมนิยมใช้บริการรถไฟ JR หรือ Tokyo Metro มากกว่า
จึงต้องเดินจากสถานีรถไฟ Shinjuku ไปอีกราว 15 นาที

แต่การอ่านแผนที่ในย่าน Shinjuku ฝ่าความอึกทึกไปยังที่หมาย ก็นับว่าเป็นมึนงงอยู่เอาการ
สุดท้ายผมจึงต้องขอความช่วยเหลือจากคุณป้าชาวโตเกียว


ความน่ารักของชาวญี่ปุ่นอย่างหนึ่งที่เหมือนกับน้ำใจคนไทย นั่นคือ
แม้ว่าจะสื่อสารกันคนละภาษา แต่ชาวญี่ปุ่นก็พยายามจะสื่อความหมายให้เข้าใจอย่างสุดความสามารถ

คุณป้าผู้ใจดี พูดภาษาญี่ปุ่นเป็นประโยคยาวๆ พลางชี้มือชี้ไม้ประกอบไปยังทิศทางสู่เป้าหมายตามแผนที่
และเมื่อได้ลองเดินไปตามเส้นทางนั้น ผมจึงพบความลับจากคุณป้าว่า

โลกของความสงบในย่าน Shinjuku อยู่ใต้ฝ่าเท้าเรานี่เอง


เส้นทางเดินใต้ดิน ที่ใช้ลัดเลาะไปยังตึก Tokyo Metropolitan Government มีบรรยากาศตรงข้ามกับถนนด้านบนอย่างสิ้นเชิง

.. อาจเป็นเพราะผมเดินในช่วงหัวค่ำ หรือด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่เส้นทางสายนี้ เงียบเชียบจนแทบจะปราศจากผู้คน

..

ผมเองไม่แน่ใจว่า เส้นทางลับแห่งความสงบใต้ดิน เป็นการเดินอ้อม หรือเดินไกลกว่าระยะปกติหรือเปล่า
แต่เส้นทางนั้น ก็นำผมมาถึง ตึก Tokyo Metropolitan Government จนได้


บริเวณพื้นที่รอบตึกที่ทำการบริหารเมืองโตเกียว อาจจะเป็นละแวกที่มีความคึกคักอยู่บ้าง
แต่สำหรับเวลาช่วงหัวค่ำ กลับเป็นบรรยากาศสงบๆ กว่าที่คิด
ทั้งๆที่พื้นที่แห่งนี้อยู่ห่างจากใจกลาง Shinjuku ออกมาเพียงไม่กี่ร้อยเมตร

หากตึกสูงใจกลาง Shinjuku เป็นมนุษย์ ผมคิดว่า ตึกเหล่านั้นคงเป็นคนช่างพูด กล้าแสดงออก สังคมจัด ...

เมื่อต้องยืนรวมกลุ่มกัน จึงจ้อไม่หยุด

แต่สำหรับตึก Tokyo Metropolitan Government กับ โรงแรม Hyatt Regency Tokyo
คงเป็นคนที่เงียบขรึม มีโลกส่วนตัวสูง แม้ยืนใกล้กัน ก็แค่มองหน้า
แต่ไร้สรรพเสียงใดๆให้ได้ยิน

..

จากตัวตึกทั้งสองเพียงระยะข้ามสะพานลอย เป็นที่ตั้งของ Shinjuku Central Park
สวนสาธารณะขนาดย่อมอีกแห่งของเมืองโตเกียว

ท้องฟ้าในฤดูใบไม้ร่วงนั้น มืดสนิทเร็วกว่าปกติ
บริเวณ Shinjuku Central Park จึงมีเพียงแสงไฟริมถนน ช่วยให้มองเห็น
ขณะที่ลานกว้างตรงปากทาง มีกลุ่มวัยรุ่นมาปั่นจักรยานกันอยู่ไม่กี่คน

ผมยืนมองความเป็นไปในบริเวณนั้น ...
รถราบนท้องถนนวิ่งผ่านไปมาไม่มากนัก
จักรยานคันเก่าล็อคล้อ ถูกจอดทิ้งไว้ริมฟุตบาท ใต้แสงไฟสีส้ม
ลมแห่งฤดูใบไม้ร่วงพัดใบไม้ เป็นเสียงเสียดสีอยู่รอบตัว ...

Shinjuku ช่างเงียบกว่าที่ผมเคยได้ยิน
..

เรียบง่ายอย่างที่เป็น ... Monzen-nakacho


เมื่อนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ มักจะมองภาพของโตเกียวว่าเป็นเมืองแห่งความยุ่งเหยิงวุ่นวาย
ดังนั้น ในฐานะนักท่องเที่ยวที่ชอบทั้งทำตามกระแส และปลีกตัวออกนอกกระแส
ผมจึงวางรูปแบบการท่องเที่ยวเอาไว้ให้สมดุลทั้งสองด้าน


รูปแบบแรก คือ
เลือกไปเที่ยวชมความวุ่นวายอย่างหลุดโลกของโตเกียวให้เต็มที่
... ที่ไหนฮิต ที่ไหนคนไปกันบ่อยๆ ผมต้องขอไปบ้าง


ส่วนรูปแบบที่สอง คือ
จิ้มแผนที่ และใช้เครื่องมือแห่งโลกอินเทอร์เน็ตอย่าง google ให้เป็นประโยชน์

วิธีนี้ เริ่มจากกางแผนที่โตเกียวออกมา สุ่มหาชื่อสถานที่ ละแวก ย่าน หรือสถานีรถไฟ ที่ไม่คุ้นหูคุ้นตา
จากนั้นก็พิมพ์ชื่อของสถานที่ดังกล่าวลงไปใน google เพื่อค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกหน่อยว่า มีอะไรน่าสนใจ หรือเปล่า
... ถ้ามีอะไร (น่าจะ) โดนใจ ก็ใส่เพิ่มลงในตารางการท่องเที่ยวไปเลย

แน่นอนว่า วิธีนี้อาจจะดูประหลาด คล้ายการเสี่ยงโชควัดดวง
เพราะสถานที่ซึ่งไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังตามคู่มือ อาจจะเรียบง่ายจนแทบไม่มีอะไรก็ได้


แต่ผมคิดว่า “นี่แหละ วิธีที่จะได้เห็นโตเกียว แตกต่างจากมุมของคนอื่น”
..

หากมองว่าความเรียบง่าย คือ เสน่ห์อีกอย่าง ซึ่งหลบซ่อนอยู่ในโตเกียว

ผมมองว่า วิธีการเที่ยวแบบแปลกๆของตัวเอง ก็คงไม่ใช่เรื่องเสียเวลา ...
แต่กลับเป็นการทำความรู้จักกับเมืองใหญ่แห่งนี้ ให้สนิทสนมลึกซึ้งกว่าเดิม

ผมใช้วิธีสุ่มสถานที่ จนพบ “Monzen-nakacho”ซึ่งเป็นย่านเก่าแก่น่าสนใจอีกแห่งทางทิศตะวันออกของโตเกียว

ชุมชนเล็กๆแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของศาสนสถานสำคัญ 2 แห่ง ได้แก่
วัด Fukagawa Fudoson (หรือ Fukagawa Fudo-do) วัดเก่าแก่ในพุทธศาสนาซึ่งก่อสร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1703
และศาลเจ้า Tomioka Hachimangu ซึ่งมีชื่อเสียงในย่านนี้ดี

นอกจากนั้น ยังมีร้านอาหารเจ้าเก่า ร้านขายขนมพื้นเมือง สวนสาธารณะเล็กๆ
รวมทั้งยังเป็นตลาดนัดมือสอง ทุกวันที่ 1 วันที่ 15 และวันที่ 28 ของทุกเดือน

..

เพียงก้าวเท้าออกมาจากสถานีรถไฟ Tokyo Metro - Monzen-nakacho (Tozai Line - T12) ไม่กี่ก้าว
เส้นทางสู่ความเรียบง่าย รอต้อนรับผู้มาเยือนอยู่ตรงหน้า

ถนนคนเดินระยะสั้นๆ ไม่ถึง 100 เมตร ที่นำไปสู่วัด Fukagawa Fudoson
มีเพียงร้านรวงเก่าๆเรียงราย ผู้คนผ่านมาผ่านไปบางตา ...
ตรงข้ามร้านขายขนมพื้นเมือง มีศาลเจ้าเล็กๆเงียบสงบ ที่ยังกรุ่นไปด้วยกลิ่นธูป


แม้ Monzen-nakacho เป็นชุมชนขนาดเล็ก
ที่อาจไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจเมื่อเปรียบเทียบกับสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังทั้งหลายที่ใครๆรู้จัก

แต่หากเราต้องการเดินทางไปสัมผัสสถานที่ซึ่งไม่ได้อยู่ในคู่มือเล่มไหน

ผมคิดว่า “ความเรียบง่าย” คือ ความรู้สึกที่หาไม่ได้จากแหล่งเที่ยวอื่นๆเช่นกัน

..

วัด Fukagawa Fudoson เป็นที่รู้จักกันดีในความเชื่อเกี่ยวกับการขอพรสำหรับการเดินทางบนท้องถนนโดยปลอดภัย

แต่ศาสนสถานชื่อดังในละแวกนี้ กินพื้นที่ของอาคารก่อสร้างไม่มากนัก ลานกว้างกลางวัดมีพื้นที่จำหน่ายของที่ระลึกเกี่ยวกับพุทธศาสนา และปีนักษัตร ตั้งอยู่ทั้งสองฝั่ง
โดยรอบๆวัดมีเพียงรูปปั้นเทพเจ้า และรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกผู้นำสาร

แม้จะมีชาวญี่ปุ่นเดินทางมาสักการะบ้าง แต่ถือว่าค่อนข้างเงียบเหงา ..
. ผมเดาว่า วันที่วัดแห่งนี้จะมีความคึกคักขึ้นมาได้บ้าง คงเป็นแค่ช่วงเทศกาลประจำปี หรือไม่ก็เป็นวันที่มีตลาดนัดมือสอง

แต่จะว่าไป ผมกลับชอบบรรยากาศสงบๆแบบนี้เสียอีก
เพราะความคึกคัก ก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งจำเป็นของวัดวาอาราม หรือศาลเจ้า สักเท่าไร

..

ผมไม่ได้เดินผ่านวัด เพื่อเข้าไปแวะชมศาลเจ้า Tomioka Hachimangu ต่อไป
เนื่องจากท้องเริ่มเรียกร้องหาอาหารมื้อกลางวัน

แต่ยังไม่ทันจะก้าวพ้นถนนเส้นเดิม ก็มีจุดเบี่ยงเบนความสนใจให้แวะระหว่างทางอีกจนได้

สนามเด็กเล่นเล็กๆ ห่างจากวัด Fukagawa Fudoson ไม่กี่สิบเมตร
นอกจากมีเครื่องเล่นสำหรับเด็กเล็กแล้ว ยังมีลานดินกว้าง สำหรับทำกิจกรรมได้หลายอย่าง

แต่บรรยากาศยามเที่ยงของวันธรรมดา อาจทำให้สนามเด็กเล่น ไม่คึกคักเท่าที่ควร

แต่ก็ยังมีบรรดา “เด็กน้อย” ชาวโตเกียว จับกลุ่มเล่นเปตองกันอย่างสนุกสนาน

..

Monzen-nakacho อาจเป็นย่านเก่าๆ ซึ่งเงียบเกินไป สำหรับใครที่ต้องการสีสันตามบุคลิกของเมืองหลวง

ถนนที่ปูด้วยอิฐตัวหนอนสีพื้นธรรมดาๆ
เดินเข้าไปไม่ถึงร้อยเมตรนั้น มีวัด มีสนามเด็กเล่น มีศาลเจ้า มีร้านอาหาร มีร้านค้าเก่าๆสองข้างทาง
... มีแค่นั้นจริงๆ

แต่ผมไม่รู้สึกเสียดายเวลา ... และก็ไม่ใช่อารมณ์องุ่นเปรี้ยว

ตรงกันข้าม กลับรู้สึกเหมือนกับได้เจอบางสิ่งที่กำลังค้นหาจากเมืองโตเกียว

บางสิ่งที่ไม่ต้องพยายามสร้างอะไรเพิ่มเติม
ไม่ต้องปรุงแต่งจนผิดจากธรรมชาติ
ไม่ต้องมีอะไรซับซ้อนให้มากมาย

... บางสิ่งนั้นมีเสน่ห์จากความเรียบง่าย อย่างที่ควรจะเป็น
..

“หลงรัก เมื่อแรกเห็น ... Sangen-jaya”


“Shibuya” เป็นแหล่งเที่ยวยอดนิยมของคนหนุ่มสาว ตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงวัยทำงาน

แต่ความแออัดพลุกพล่านของปริมาณผู้คนในย่านนี้ อาจไม่เหมาะนักที่จะเดินทอดน่องกินลมชมบรรยากาศกันแบบครอบครัวใหญ่
โดยเฉพาะครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ หรือเด็กอ่อน

ครั้นจะขนโขยงกันไปเดินช้าๆที่ “Sugamo” เด็กๆคงจะไม่ปลื้มนัก
หากเลือกไป “Tokyo Disneyland” คุณแม่คงต้องคิดหนัก เรื่องค่าใช้จ่าย
หรือแวะไปทักทายสาวๆย่าน “Kabukicho” คุณพ่อ ก็คง ‘สุโค่ย’ อยู่คนเดียว

แต่ในเมื่อ โตเกียวขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองซึ่งมีตัวเลือกอันหลากหลาย
... การจะหาสถานที่ท่องเที่ยวเหมาะๆสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจแบบครอบครัว คงไม่ยากเกินไป

ด้วยวิธี กางแผนที่ – นิ้วชี้สุ่ม – คลิกปุ่ม search ..

. ผมก็เจอกับสถานที่โดนใจ ห่างจาก Shibuya ไปเพียง 2 สถานีเท่านั้น


..

สถานีรถไฟ “Sangen-jaya”เป็นชื่อเดียวกันกับ ชื่อแหล่งเดินเที่ยวที่เปี่ยมเสน่ห์อีกแห่ง

แม้ว่ามีระยะทางห่างจากย่านแสงสีสุดจี๊ดอย่าง Shibuya ออกมาเพียง 2 สถานี
แต่กลับมีความแตกต่างกันราวกับเป็นคนละเมือง


เสน่ห์ของ Sangen-jaya อยู่ที่การผสมผสานระหว่างความเรียบง่าย เงียบสงบ เข้ากับความคึกคัก สีสัน สนุกสนาน

... สองสิ่งที่แลดูขัดแย้งในโตเกียว แต่ผสมกลมกล่อมได้ลงตัว ณ สถานที่แห่งนี้

แม้บริเวณทางขึ้นลงของสถานีรถไฟใต้ดิน Sangen-jaya
ผมยังเห็นความพลุกพล่านของชุมชนย่านชานเมือง ที่มีร้านค้าต่างๆละลานตา ผู้คนเดินขวักไขว่ รถรามากมายบนท้องถนน

แต่ทว่าเมื่อสังเกตรายละเอียดรอบตัวอย่างถี่ถ้วน
ร้านค้าบริเวณนี้เป็นเพียงห้างร้านเล็กๆ ไปจนถึงขนาดกลาง ที่ไม่หรูหราอลังการ แต่ก็ไม่ได้เรียบง่ายจนขาดสีสัน

ที่สำคัญ เมื่อลองลัดเลาะเลียบทางไปตามตรอกเล็กๆ ไม่ไกลจากถนนใหญ่
ก็จะเจอกับถนนสายรองที่สองข้างทางเรียงรายไปด้วยร้านค้าขนาดย่อมน่ารักๆ
โดยมีเสียงเพลงจังหวะสบายๆ รื่นหู จากลำโพงตามเสาไฟฟ้า ช่วยขับกล่อมให้บรรยากาศยิ่งน่าหลงใหลมากขึ้น

ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะวันหยุดเสาร์อาทิตย์หรือเปล่า
แต่ก็ถือว่าโชคดีที่เลือกเดินทางมาถูกวัน เพราะถนนสายรองที่ว่านั้น อนุญาตให้เพียงรถจักรยานสัญจรผ่านไปมาได้

ถนนแห่งสีสันใน Sangen-jaya
จึงกลายเป็นเส้นทางขบวนจักรยานของคุณพ่อ คุณแม่ ซึ่งปั่นจักรยานมาออกกำลังขา พาลูกน้อยเที่ยว

..

การที่ผมเลือกเดินทางมา Sangen-jaya ในบ่ายวันอาทิตย์
ยิ่งเป็นการสัมผัสวันแห่งครอบครัวได้อย่างเต็มอิ่มในบรรยากาศมากขึ้น

ดังที่ผมเกริ่นไว้ว่า ย่านนี้เป็นแหล่งเที่ยวสบายๆที่เหมาะสำหรับทุกคนในครอบครัว .

.. เส้นทางจักรยาน และถนนคนเดินแห่งนี้ จึงมีชาวโตเกียวทุกช่วงวัย

ที่นี่ไม่มีความวุ่นวายเร่งรีบให้คุณปู่ คุณย่า เหนื่อยล้าเกินกว่าจะมาเดินเล่น

และการที่ไม่มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ทันสมัย อารมณ์ฉูดฉาด ที่นี่จึงไม่มีลูกกวาดอาบยาพิษสำหรับเด็กๆ

ดังนั้น หากจะให้ผมเปรียบ Sangen-jaya เป็นบุคลิกของหญิงสาว
(ให้เปรียบอะไรทำนองนี้ ถนัดนักล่ะครับ ... ฮา //ฮ่าฮ่าฮ่า)

ผู้หญิงโตเกียวคนนี้ คงเป็นคนสุภาพเรียบร้อย รักสวยรักงาม
แต่งตัวเก่ง ทันสมัยอย่างถูกกาลเทศะ
เธอสนุกสนานร่าเริง มีดนตรีในหัวใจ แถมยังเข้ากับคนได้ง่าย ทั้งเด็กและผู้สูงวัย

ขณะที่บางอารมณ์เธออาจจะขอนั่งนิ่งๆ อยู่เงียบๆ รักความสงบ แต่ยังคงมีเสน่ห์ล้นเหลือ


หากใครได้ลองทำความรู้จัก ... ถ้าไม่หลงรักคงใจแข็งน่าดู
..

นอกจากบรรยากาศชวนให้หลงรักแล้ว ผมยังมีนาทีแห่งความทรงจำที่ Sangen-jaya

ขณะที่นั่งเก็บภาพผู้คนเดินผ่านไปมาอยู่ริมถนน
คุณยายท่านหนึ่งเดินจูงน้องหมาน่ารักมาเข้าเฟรมพอดี

เจ้าหมาน้อยหยุดชะงัก หันมามองหน้าผม
ทำเสียงฟุดฟิดๆด้วยความสงสัยว่า ตานี่มานั่งทำอะไรแถวนี้

ผมส่งยิ้มให้คุณยาย เป็นเชิงขออนุญาตถ่ายภาพ
แต่เมื่อยกกล้องขึ้นถ่าย ...
ปรากฏว่า การเคลื่อนไหวของมือ และอุปกรณ์กล้องขนาดใหญ่
คงทำให้เจ้าขนฟูตกใจ จนผงะถอยออกไป และเห่าแถมมาให้อีก 1 โฮ่ง

คุณยายหัวเราะร่า พลางเอ่ยบทสนทนาที่ผมไม่เข้าใจความหมายใดๆแม้แต่คำเดียว

คุณยายเอ่ยถ้อยคำอะไรมาบ้าง ผมไม่ทราบ ... อาจจะหมายความว่า

“สงสัยเจ้าป๊อกกี้ มันคงตกใจคนผมยาวน่ะจ้ะ” (- -)”

หรือ “ปกติ หมาของยาย มันกลัวเฉพาะคนที่หน้าตาเหมือนโจรล่ะ” (- -)”

หรือ “พ่อหนุ่ม ดูหล่อเซอร์ เหมือนหลานยายเลยนะ”


แต่ประโยคทั้งหลาย จะมีความหมายอย่างไร คงไม่สำคัญ

เพราะน้ำเสียง รอยยิ้ม สีหน้า และแววตาของคุณยาย
ล้วนเป็นอวัจนภาษา ที่กำลังสื่อสารให้ผมรับรู้ถึงความหมายของคำว่า
“มิตรภาพ”

..

เมื่อรูปแบบการเที่ยวของผมไม่ยึดติดกับตารางเวลาที่แน่นอน
โดยเฉพาะสถานที่ ที่อยากจะเดิน หรืออยากจะนั่งไปนานๆ .
.. Sangen-jaya จึงช่วงชิงเวลาของบ่ายวันอาทิตย์ไปได้มากพอสมควร


เมื่อมีเวลามาก ผมก็มีโอกาสได้เดินเล่นไปตามถนนหนทางได้ละเอียดขึ้น

ผมเดินไปจนเจอตรอกเล็กๆ ตรอกหนึ่ง ซึ่งปากทางเข้า มีคนกำลังแจกลูกโป่งให้เด็กๆ
จึงแวะเข้าไปดู และพบว่าตรอกเล็กๆนั้น เป็นทางเดินเข้าไปสู่ลานสาธารณะ

... ลานดินกว้างประมาณสนามบาสเกตบอล
แบ่งพื้นที่ออกเป็นจุดขายของตลาดนัดมือสอง
และอีกส่วนเป็นพื้นที่ให้เด็กๆได้เล่นเกม วาดรูป และทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับครอบครัว

..

กิจกรรมหนึ่งซึ่งได้รับความสนใจเป็นพิเศษ คือ การประดิษฐ์ตกแต่งกรอบรูปจากชิ้นเซรามิคขนาดเล็ก

แต่ละคนในครอบครัวต่างขะมักเขม้นอยู่กับการสร้างสรรค์ผลงานประดิษฐ์ของตัวเอง

ด้วยราคาเพียง 300 เยน อาจเป็นเพียงมูลค่าไม่มากมายอะไร
แต่ผมเชื่อว่า เด็กน้อยจะได้ของขวัญที่น่าภูมิใจที่สุดติดมือกลับบ้าน

..

Sangen-jaya ไม่ได้มีเพียงแค่ถนนสายแห่งความสุข
แต่แหล่งเที่ยวชานเมืองแห่งนี้ มีถนนสายรอง ซอยเล็ก ตรอกย่อยที่น่าสนใจ เชื่อมต่อกันมากมาย ..
. แล้วแต่ว่า “ใจเรา” อยากจะเดินไปทางไหน

จากฝั่งบริเวณที่มีความคึกคักของ Sangen-jaya
หากลองเดินข้ามถนนเส้นใหญ่มาอีกฟาก ละแวกที่มีชื่อเดียวกันนี้ จะกลายเป็นอีกอารมณ์ของเมือง

บุคลิกอีกด้านหนึ่งของ Sangen-jaya คือ ความสงบ
... ถนนใหญ่กั้นกลางนั้น เหมือนเส้นแบ่งอารมณ์ของย่านนี้

โดยฝั่งเงียบสงบนั้น ประกอบไปด้วยโรงภาพยนตร์นอกกระแส
ร้านขายดอกไม้ โรงอาบน้ำ ร้านอาหาร บาร์เล็กๆที่ยังหลับใหลในช่วงกลางวัน และบ้านเรือนที่ดูเงียบเหงา

... นานๆที ถึงจะมีใครปั่นจักรยาน หรือเดินผ่านไปมาสักคน

แต่อย่างที่ผมบอกเอาไว้ว่า แม้บางอารมณ์จะนิ่งๆ เรียบง่าย

... แต่เสน่ห์นั้นยังเต็มเปี่ยม

..

หากดูจากพิกัดแผนที่ Sangen-jaya อาจนับว่าเป็นย่านนอกเมืองสักนิด
แต่ชุมชนขนาดใหญ่แห่งนี้ ก็คุ้มค่าที่จะใช้เวลามาสัมผัส

โดยเฉพาะใครที่ไม่ยึดติดแสงสี รูปแบบความทันสมัยของเมืองใหญ่ หรือสินค้าไฮเทค
... Sangen-jaya เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้แหล่งเที่ยวในตัวเมือง
เพราะความน่ารักน่าสนใจของย่านชานเมืองแห่งนี้ คือ ความพอดีของจุดเด่นทั้งสองด้าน

“ไม่มากจนจัดจ้าน และไม่น้อยจนราบเรียบ”

..

“คืนเหงา ใต้เงา ... Tokyo Tower”


มหานครโตเกียวมีอะไรต่อมิอะไรมากมายหลายอย่างน่าจดจำ

แต่หากต้องเลือกเอาสิ่งเดียวที่เป็นตัวแทนสัญลักษณ์บ่งบอกถึงเมืองหลวงของญี่ปุ่น
เชื่อแน่ว่า “Tokyo Tower”ควรคู่กับตำแหน่งนั้นได้

ผมจึงไม่พลาดที่จะบรรจุตารางการแวะไปชมสัญลักษณ์แห่งเมืองโตเกียวเอาไว้
... แต่ด้วยความเรื่อยเปื่อยของตัวเอง บวกกับสภาพดินฟ้าอากาศไม่เป็นใจ
ตารางการเที่ยวชมซึ่งตั้งใจว่าจะไปในภาคกลางวัน จึงกระเถิบไปเรื่อย จนกลายเป็นภาคกลางคืนจนได้

แม้ผมคุ้นเคยกับ Tokyo Tower ผ่านทั้งจากการดูภาพถ่าย ดูหนัง ดูข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต ...

แต่ข้อมูลแทบทั้งหมดนั้น เป็นความสวยงามในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งให้อารมณ์สดใส ท่ามกลางไอแดด
สีแดงสดของโครงเหล็ก ตัดกับฉากหลังฟ้าครามเข้ม
และมีฝูงนกบินผ่านอีกหน่อย เพิ่มความสมบูรณ์ขององค์ประกอบศิลป์


เมื่อต้องมาเจอกับ Tokyo Tower ภาคกลางคืน จึงต้องตั้งสติ ปรับอารมณ์กันใหม่พอสมควร
เพราะบรรยากาศของสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมหลังพระอาทิตย์ตกไปกว่า 3 ชั่วโมงนั้น
ค่อนข้าง เปลี่ยว เหงา เงียบ สงบ สำหรับการเดินไปคนเดียว

โดยเฉพาะการเดินจากสถานีรถไฟ JR Hamamatsucho ไปยัง Tokyo Tower
ที่มีเพียงแสงไฟจากรถบนท้องถนนเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง

(ความจริงแล้ว การไป Tokyo Tower มีรถไฟสายเอกชนทั้ง Tokyo Metro และ Toei ที่มีระยะทางไม่ไกล

แต่วันนั้น เป็นวันที่ผมเลือกซื้อตั๋ววันของรถไฟ JR พอดี จึงได้ออกกำลังขาในยามค่ำคืน)

..

Tokyo Tower เปิดบริการให้นักท่องเที่ยวได้ชมตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึง 4 ทุ่ม

แต่กว่าผมจะเดินลากขาไปถึงใต้ฐานโครงเหล็กยักษ์สูง 333 เมตร ก็เป็นเวลา 3 ทุ่มเศษเข้าไปแล้ว
... บรรยากาศใต้แสงเงายามค่ำคืน จึงเงียบสงบกว่าที่คิด

โดยมีนักท่องเที่ยวมาเดินเล่นอยู่บ้างประปราย บ้างก็มาถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึก

ความตั้งใจ ที่อยากจะมาเก็บความสดใสของ Tokyo Tower

จึงกลายเป็นการเก็บบรรยากาศเงียบสงบ ในคืนเงียบเหงาไปแทน


..

ปัจจุบัน มีสิ่งก่อสร้าง ตึกสูง อาคารทันสมัยเพิ่มขึ้นอีกมากมายในเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่น

แต่ Tokyo Tower ก็ยังคงซึ่งความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่มีตึกใดมาเทียบเคียง

เหตุผลที่เป็นเช่นนั้น เพราะหอกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์โตเกียวแห่งนี้
ครั้งเมื่อสร้างเสร็จในปี 1958 ได้กลายเป็นหอคอยที่สูงที่สุดในโลก

และกลายเป็นสัญลักษณ์ของความอดทน ไม่ยอมแพ้ของชาวญี่ปุ่น
หลังจากได้รับความสูญเสียครั้งเลวร้ายที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สอง

ในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา ภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับ Tokyo Tower สองเรื่อง ได้แก่
Always: Sunset on Third Street
และ Tokyo Tower: Mom and Me, and Sometimes Dad

สามารถคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมจากสถาบัน Japan Academy Awards มาได้

คล้ายกับเป็นการย้ำความรู้สึกว่า แม้วันเวลาจะผ่านมากว่า 50 ปี

... ความรู้สึกผูกพันกับสัญลักษณ์ประจำเมืองแห่งนี้ ยังมีมนต์ขลังไม่เสื่อมคลาย

แท่งเหล็กนับพันที่สูงตระหง่าน อาจเป็นเพียงแค่อดีตสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลกก็จริง
... แต่ผมเชื่อว่าค่านิยมแห่งความพยายาม มุ่งมั่น เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จ
ยังคงดำรงอยู่ในจิตใจของชาวญี่ปุ่นตลอดไป


..

“กล่าวคำอำลา ที่ Narita”


สนามบินนาริตะ เปรียบได้กับประตูหลักสู่ประเทศญี่ปุ่น และเมืองโตเกียว

บรรยากาศบริเวณพื้นที่ของอาคารผู้โดยสารขาเข้า
คล้ายกับบอกเป็นนัย ถึงวิถีชีวิตในเมืองหลวงประเทศญี่ปุ่น
ซึ่งนักท่องเที่ยวกำลังจะเดินทางไปสัมผัสด้วยตัวเองในอีกไม่กี่อึดใจ

..

แต่ในเมื่อเมืองหลวงของแดนอาทิตย์อุทัย ไม่ได้มีเพียงแค่ความสับสนวุ่นวาย

ในอีกมุมหนึ่งด้านนอกอาคารผู้โดยสารสนามบินนาริตะออกไปไม่กี่เมตร
จึงมีบรรยากาศที่บอกเป็นนัย ถึงความเงียบสงบ
ความเป็นโลกส่วนตัว ของเมืองโตเกียวเช่นกัน
..

ไม่ว่าจะเป็น “ความสับสน”หรือ “ความสงบ” “โลกอันยุ่งเหยิง”หรือ “โลกส่วนตัว”
... ทุกอย่างล้วนดำรงอยู่ภายใต้โลกใบเดียว


ไม่แตกต่างจากโตเกียว ซึ่งผสมอารมณ์ทั้งสองด้าน มารวมอยู่ในมหานครแห่งเดียวกัน

บางสิ่งที่เราค้นหา จึงอาจไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อนอะไร

ตรงกันข้าม อาจจะเป็นเรื่องใกล้ตัว เป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
หรือ อยู่ในมุมที่ใครๆก็เคยเดินผ่านไป

...เพียงแต่ว่า เราจะมองเห็นหรือเปล่าเท่านั้น

..

“โตเกียว หมุนรอบตัว”



แผนการเดินทางไปท่องเที่ยวโตเกียวของผม มีระยะเวลาทั้งหมด

... 6 วัน 5 คืน


แต่เมื่อคำนวณตามความเป็นจริง
โดยตัดระยะเวลาการเดินทางไป - กลับ และจัดการธุระเรื่องต่างๆในสนามบิน ...
ก็ยิ่งทำให้ผมมีเวลาสัมผัสโตเกียวน้อยลงไปกว่านั้น

เกิดเป็นคำถามชวนคิดว่า ...

ผมจะบริหารจัดการกับข้อจำกัดเรื่องเวลานี้อย่างไร เพื่อซึมซับรู้จักกับโตเกียวให้ได้มากที่สุด

..

ควรจะต้องฟิตร่างกายก่อนล่วงหน้าสักเดือนดีไหม

... เพื่อให้มีความสมบูรณ์ในการตื่นตั้งแต่เช้า ออกไปเที่ยวได้ทั้งวันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ควรจะตามเก็บสถานที่ขึ้นชื่อทั้งหลายให้ครบดีไหม

... หากไปไม่ครบ ก็คงไม่คุ้ม กลับมาอายเพื่อนอีกต่างหาก

ผมเคยคิดจะทำ ... แต่ก็ทำได้แค่คิด

จากคำถามที่หนึ่ง เรื่องข้อจำกัดของเวลา นำมาสู่คำถามที่สองว่า
... ผมไปโตเกียวเพื่ออะไร ?

คำตอบนั้น กระชับสั้นเพียงว่า “ไปท่องเที่ยว ทำตามความฝัน”

... และเมื่อรายละเอียดความฝันของคนเราแตกต่างกัน

ผมจึงย้อนกลับไปตอบคำถามแรกได้ว่า

“จงทำในสิ่งที่เป็นตัวของตัวเอง ย่อมดีที่สุด”
..

เมื่อรสนิยมในการท่องเที่ยวของผม คือ
ปล่อยไปตามอารมณ์ ไม่รีบร้อน ชอบเก็บรายละเอียดระหว่างการเดินทาง และทำความรู้จักกับวิถีชีวิตรอบตัว

ผมจึงไม่จำเป็น ต้องหมุนไปตามจังหวะของมหานครโตเกียว


ระยะเวลาสั้นๆ ที่ผมได้ใช้ “ขีดเส้นความฝัน”

เดินเล่น “ในวันฝนพรำ”

มองดู “ความทรงจำหลากวัย”

ปล่อยใจ “ไหลเอื่อยไปกับเวลา”

และ “ค้นหาความสงบ”


ทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นได้ จากการไม่ต้องหมุนตามคนเมืองใหญ่แห่งนี้




ท่ามกลางวิถีชีวิต และความเคลื่อนไหวทุกอย่างที่รายล้อม

ผมเลือกที่จะยืนอยู่ในตำแหน่งจุดศูนย์กลาง


... ปล่อยให้โตเกียว หมุนไปรอบตัว








- จบบริบูรณ์ –

..



Create Date : 18 ธันวาคม 2552
Last Update : 18 ธันวาคม 2552 1:28:23 น. 17 comments
Counter : 4192 Pageviews.  

 
ตอนคุณไปคุณรู้สึกเหมือนผมหรือเปล่า ผมว่าน่ะประเทศเนี่ย สุดยอดที่สุดในโลกแล้วหล่ะ งุงิ อยากให้ประเทศเราเป็นแบบนี้จังเนอะ ถ่ายรูปสวยมากครับ ดุแล้วคิดถึงจังอยากกลับไปอีก


โดย: ณ.ลำต้อยติ่ง วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:5:00:52 น.  

 

สุขสันต์วันศุกร์ค่ะ


โดย: โสมรัศมี วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:8:44:04 น.  

 
ตามมาอ่าน ตั้งแต่ 1 - 5 จนจบบริบูรณ์ล่ะ

ภาพและเรื่องราวสมบูรณ์ เหมือนยังกะอยู่เป็นเดือนเลย

โตเกียวยังเป็นเมืองที่อยากกลับไปสัมผัสอีกจริงๆ


โดย: faisai วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:17:21:35 น.  

 
เอาเงินค่าแสดงเรื่อง"นางไม้"เป็นค่าเดินทางใช่ปะครับ 555+


โดย: kirofsky วันที่: 21 ธันวาคม 2552 เวลา:21:17:17 น.  

 
โดน..แทบทุกรูปเลยครับ
อยากถ่ายได้หยั่งงี้มั่งจัง


โดย: Kay75013 IP: 81.65.213.198 วันที่: 29 ธันวาคม 2552 เวลา:23:06:02 น.  

 
สุดยอด !


โดย: Cro_Magnon IP: 61.90.79.16 วันที่: 30 ธันวาคม 2552 เวลา:21:39:10 น.  

 
ถ่ายรูปสวยจังค่ะ

รู้สึกเหมือนได้อ่าน pocket book ดีดีซักเล่ม
อ่านแล้วได้ความรู้สึกอยากไป ญี่ปุ่น พอพอกับความรู้สึกอยากได้เลนส์ใหม่ดีดีซักตัว

ชอบหลายรูป แต่บอกไม่ได้ว่ารูปไหนบ้าง
เพราะมันเยอะจัดค่ะ อิอิ


โดย: ดักแด้น้อยคอยรัก วันที่: 4 มกราคม 2553 เวลา:23:07:27 น.  

 
มุมสวยมากๆ แต่ที่ชอบคือการสื่อความหมาย
จากภาพที่ถ่ายทอดออกมา ขอชมว่า เจ้าของ
ภาพสื่อสารออกมาได้ดีค่ะ


โดย: Nutsawan IP: 124.122.184.136 วันที่: 5 มกราคม 2553 เวลา:17:01:30 น.  

 
น่ารักดีค่ะ อ่านแล้วหลงรัก..โตเกียวมากขึ้นอีก ไปแพ๊คกระเป๋าเลยดีกว่า


โดย: payufon IP: 203.80.56.100 วันที่: 25 มกราคม 2553 เวลา:16:29:29 น.  

 
ตามไปเที่ยวโตเกียวด้วยคนค่ะ

ชอบสไตล์การถ่ายภาพจังค่ะ


โดย: oRanGIsM วันที่: 10 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:13:51:18 น.  

 
กลับมาอ่านอีกครั้งแบบต่อเนื่อง เพื่อบิวท์อารมณ์เขียน blog เที่ยวโตเกียวของตัวเอง ถ้านานกว่านี้เป็นของดองแน่ๆ ขอบคุณที่เขียนเรื่องราวดีๆ พร้อมรูปงามเลิศแบบนี้นะคะ


โดย: yorky วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:21:56:15 น.  

 
สวัสดีค่ะ
ขอบคุณที่เขียนเรื่อง มุมดี ภาพสวยมาก
ขออนุญาตเข้ามาบ่อยๆ นะคะ
มีความสุขมากๆ จริงๆ (^_^*)


โดย: hanamori IP: 10.14.0.11, 119.63.93.157, 117.121.208.2 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:11:09:30 น.  

 
สุดยอดเลยครับบันทึกนี้

ชอบครับ


โดย: คนขับช้า IP: 115.67.229.56 วันที่: 6 มีนาคม 2553 เวลา:4:59:55 น.  

 
ชุดปัตตานีก็สวย

ชุดโตเกียวก็ให้ความรู้สึกโหยหา

สวยทั้งเรื่องและรูปแบบนี้เค้าเรียกสวยแล้วยังจูบหอม
ฮิ้วววววววววว


โดย: เพลงฝนต้นลมหนาว วันที่: 9 มีนาคม 2553 เวลา:22:14:35 น.  

 
เป็นการเที่ยวโตเกียวแบบในฝันผมเหมือนกันเลยนะครับเนี่ย
สักวันผมจะไป "เหงา" ในโตเกียวอย่างนี้ให้ได้...คอยดู


ปล. จากบ้านเห็นด้วยกับเรื่องทางออกของหนังเรื่องท้องก่อนแต่งที่ช่างฟีลลลลล กู้ดดดดดดดตามแบบฉบับหนังค่ายนี้จนเกินไปจริงๆครับ


โดย: ไอซ์คุง (ปีศาจความฝัน ) วันที่: 26 มีนาคม 2553 เวลา:14:51:20 น.  

 
กำลังหาข้อมูลท่องเที่ยวญี่ปุ่น
มาเจอบล็อคของคุณพอดี
ภาพสวยและเขียนบรรยายได้ดีมากๆเลยคะ
อ่านแล้วเพลินเหมือนดูสารคดี
มากกว่ารีวิวอย่างเดียว

ขอบคุณนะคะที่จุดประกายความฝัน
ให้เราเช่นกัน( เราอยากไปโตเกียวโดมมากๆ)
กำลังพยายามทำให้ฝันเป็นจริงอยู่คะ


โดย: minri IP: 58.8.127.39 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2553 เวลา:16:11:09 น.  

 
ตามอ่านตั้งแต่ต้นจนจบเลยค่ะ

มีอะไรจะอธิบายนอกจากคำว่า"คุณสุดยอดจริงๆ"

ใช้ภาษาในการเล่าเรื่องได้สวยงาม สมูธ น่าติดตามมากๆเลยค่ะ เหมือนนักเขียนก็ไม่ปาน ถ่ายรูปออกมาได้งดงามมากด้วยค่ะ

เป็นได้ทั้งช่างภาพทั้งนักเขียนเลยนะคะ

เป็นรีวิวที่น่าทำเป็นหนังสือออกมาวางขาย

ชอบความรู้สึกและความคิดของคุณที่กลั่นกรองออกมาเป็นตัวหนังสือจังค่ะ เป็นความคิดที่ดีนะคะ ได้อ่านแล้วปลาบปลื้ม

ได้อ่านรีวิวแล้ว ความอยากไปโตเกียวเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัวเลยค่ะ


โดย: AK IP: 125.24.119.139 วันที่: 5 กรกฎาคม 2554 เวลา:21:05:44 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

POGGHI
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




..

บทความ และผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog นี้
สงวนลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗

ห้ามผู้ใดละเมิด ด้วยการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ และ ผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร


POGGHI

..
[Add POGGHI's blog to your web]