|
 |
| 1 | 2 | 3 |
4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 |
11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 |
18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 |
25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 |
|
|
 |
14 มกราคม 2552
|
|
|
|
ธรรมชาติงามล้น น้ำใจคนงามล้ำ ดินแดนศิลปวัฒนธรรมล้านนาตะวันออก (น่าน) ตอนที่ 1
..
ผมปั่นจักรยานไปเรื่อยๆไม่รีบร้อน มีเวลาที่จะมองวิถีชีวิต และยิ้มทักทายกับผู้คนระหว่างทาง
ความงามของสถาปัตยกรรมแบบล้านนาตามวัดวาอาราม ทำให้ผมใช้เวลากับการถ่ายภาพนานขึ้น
ความเงียบสงบ ไม่วุ่นวาย ไม่เร่งรีบ เป็นเสน่ห์อันน่าหลงใหล
แต่สิ่งตรึงใจยิ่งกว่านั้น คือ ความงดงามของน้ำจิตน้ำใจที่คนในเมืองแห่งนี้มอบให้แก่ผม
เมืองเล็กๆที่มีชื่อสั้นๆว่า น่าน ..

..
ลุ้นก่อนเดินทาง
ด้วยภารกิจหน้าที่การงานไม่ค่อยเป็นเวลาที่แน่นอน ทำให้ผมไม่สามารถวางแผนการเดินทางล่วงหน้าได้เหมือนเคย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตั้งใจแน่วแน่ คือ ผมอยากไปเที่ยวจังหวัดน่าน ในช่วงรอยต่อระหว่างปี 51-52
เหตุผลที่ผมเลือก น่าน ไม่มีอะไรไปมากกว่าการเปิดหนังสือท่องเที่ยว แล้วชอบวัดวาอารามที่สวยงาม แถมยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติให้เลือกมากมาย
แต่ความไม่แน่นอนจากเวลาทำงาน ทำให้ผมต้องลุ้นระทึก เสี่ยงโชคตั้งแต่เริ่มต้นการเดินทางอีกครั้ง
.
วันที่ 30 ธันวาคม ผมทำงานครึ่งวัน แล้วรีบดิ่งไปหมอชิตในช่วงบ่าย หาซื้อตั๋วรถเสริมเอาวันนั้นแหละ
ปรากฏว่าเมื่อไปถามบริษัทแรก หมดค่ะ
บริษัทที่สอง มีแต่รถ ปอ.2 แล้วค่ะ
แต่จนแล้วจนรอด ผมมาได้รถ ปรับอากาศชั้น 1 ของบริษัทที่สามจนได้
.
ตั๋วรถเสริมที่ผมได้นั้น มีกำหนดการว่าจะออกจากกรุงเทพฯ ราว 1 ทุ่ม แต่ผู้โดยสารต้องมาพร้อมกันประมาณ 5 โมงเย็น ซึ่งเมื่อถึงเวลา 5 โมงเย็น ปรากฏว่ามีผู้โดยสารมากันครบจำนวนแล้ว จึงไม่ต้องรีรออะไรอีก ออกเดินทางมันตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ทันตกนั่นล่ะ
ได้ไปเที่ยวน่านแล้วโว้ย ... กิ๊วๆ
..

..
ชายชราผู้ตีระฆัง ยามฟ้าสาง
รถโดยสารคันนั้น ผมน่าจะเป็นคนต่างถิ่นเพียงคนเดียว จากการสังเกตว่า ผู้โดยสารคนอื่นเขาอู้ภาษาเหนือกันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้กระทั่งพนักงานบริการและคนขับ ทั้งนี้คงเป็นเพราะมีนักท่องเที่ยวน้อยคน ที่จะบ้าบิ่นมาหารถเสริมเอาดาบหน้าในช่วงวันหยุดเทศกาล
การที่รถออกจากกรุงเทพฯ มาตั้งแต่ช่วงเย็น ทำให้มาถึงขนส่งเมืองน่าน ประมาณตี 4 เมื่อรถจอดปุ๊ป ผู้โดยสารเจ้าถิ่นแต่ละคนก็แยกย้ายกันไป บ้างต่อรถออกไปต่างอำเภอ บ้างมีญาติมารอรับ บ้างนั่งรถรับจ้างกลับบ้าน
ส่วนผมเริ่มต้นภารกิจแรกในน่าน ด้วยการโทรศัพท์ไปยังโรงแรมที่ตั้งใจไว้ ทั้งนี้ผมไม่ได้จองล่วงหน้า เนื่องจาก ก่อนหน้านั้น 3 วัน โทรศัพท์ไปสอบถามแล้วพบว่า ยังมีห้องว่างเหลืออีกกว่า 30 ห้อง
แต่แล้ว ความชะล่าใจก็ทำพิษ เมื่อผมโทรศัพท์ไปถามในเช้าวันนั้น ปลายสายตอบกลับมาว่า 2 คืนนี้ เต็มหมดแล้วครับ
แม้ผมเป็นนักท่องเที่ยวที่สอบตกในเรื่องการติดต่อที่พักล่วงหน้า แต่อย่างน้อย ผมยังรอบคอบพอที่จะมีข้อมูลเบอร์โทรศัพท์โรงแรมทุกแห่งในเมืองน่าน จึงลองโทรศัพท์ไปอีกโรงแรมหนึ่ง ซึ่งพบว่ายังมีห้องว่างเหลืออยู่
แต่ทว่าหลังจากซ้อนมอเตอร์ไซค์รับจ้างเข้ามาถึงบริเวณโรงแรมแล้ว ผมพบว่าโรงแรมแห่งนั้น เป็นโรงแรมเก่าๆลักษณะเป็นห้องแถว ซึ่งแม้ไม่ได้แย่มากจนรับไม่ได้ และตัวผมเองก็เป็นคนง่ายๆสบายๆ แต่ไหนๆอุตส่าห์มาเที่ยวปีใหม่ทั้งที ก็ขอโรงแรมที่หรูกว่านี้หน่อยเถอะ ผมจึงออกมาเดินหาโรงแรมอื่น
.
เดินออกมาได้ซักพัก ผมเห็นคุณลุงคนหนึ่งปั่นจักรยานมาแต่ไกล จึงเข้าไปถาม
ลุงครับ โรงแรมฟ้าธนินไปทางไหนเหรอครับ
คุณลุง ตอบว่า อยู่ที่ถนนอีกเส้น เดี๋ยวลุงต้องปั่นจักรยานไปทางนั้นพอดี เดินไปด้วยกันเลย
คุณลุงคนนี้ ชื่อ เจริญ มีอาชีพค้าขายของแก้บน ของสะเดาะเคราะห์ แต่ที่ลุงเจริญออกมาปั่นจักรยานในเวลาตี 5 นั้น เพราะรับงานเป็นคนตีระฆังบอกเวลาของถนนสายนี้
งานตีระฆัง คล้ายกับเป็นหน้าที่ตำรวจบ้าน ลุงเจริญจะต้องปั่นจักรยานไปยังจุดต่างๆ เพื่อตีระฆังบอกเวลาแก่ผู้ที่ยังหลับใหล
เราเดินไปด้วยกัน จนถึงบริเวณโรงแรมฟ้าธนินซึ่งดูเงียบผิดปกติ แล้วเราทั้งคู่ก็ได้ทราบว่า
โรงแรมแห่งนี้ปิดกิจการไปแล้ว
..

..
ที่พักในคืนข้ามปี
ลุงเจริญเอง ก็เพิ่งทราบเช่นกันว่า โรงแรมฟ้าธนิน ได้ปิดกิจการไปแล้ว จึงแนะนำผมให้เดินย้อนกลับมายังโรงแรมอีกแห่ง คือ โรงแรมเทวราช
(ใจจริง ผมอยากพักที่ โรงแรมน่านฟ้า มากที่สุด เพราะเป็นโรงแรมไม้สักสุดคลาสสิค อยู่ติดกับเทวราชนั่นแหละ แต่เนื่องจากโรงแรมน่านฟ้า มีห้องพักไม่กี่ห้องเท่านั้น หากไม่จองล่วงหน้าในช่วงเทศกาลล่ะก็ อย่าหวังว่าจะมีห้องว่าง)
ลุงเจริญปั่นจักรยานไปเป็นเพื่อนผมจนถึงหน้าโรงแรมเทวราช ผมยกมือไหว้ พร้อมกล่าวคำขอบคุณด้วยความซึ้งใจ
.
โรงแรมเทวราช เป็นโรงแรมใหญ่ที่สุดในตัวเมือง แต่ด้วยเหตุนี้แหละ ผมจึงไม่ได้เลือกเป็นที่แรก เพราะราคาห้องพักเกินงบแบ็คแพ็คเกอร์อย่างผมไปหน่อย แต่เมื่อมีทางเลือกไม่มากนัก จึงต้องลองเข้าไปสอบถามดู
ในที่สุด โชคชะตาก็เข้าข้างเสียที เพราะมีห้องพักราคาต่ำสุด ว่างสำหรับคืนวันที่ 31 ธันวาคม และ 1 มกราคม ตามที่ผมต้องการพอดี
ผมได้ห้องพักในราคา คืนละ 600 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ทางโรงแรมลดให้จาก 700 บาท สำหรับแขกผู้มาพักคนเดียว โดยภายในห้องพัก มีสิ่งอำนวยความสะดวกตามมาตรฐานโรงแรมทั่วไป (โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น)
ผมถามพนักงานโรงแรมเทวราชว่า ทำไมโรงแรมฟ้าธนิน จึงปิดกิจการ ทั้งๆที่เป็นโรงแรมใหญ่อีกแห่งของเมืองน่าน
ได้คำตอบว่า สาเหตุน่าจะมาจากมีเกสต์เฮ้าส์ และโรงแรมลักษณะแมนชั่น เปิดกิจการมากขึ้น ทำให้เกิดการตัดราคากันเอง ประกอบกับเมืองน่าน ไม่ใช่จังหวัดใหญ่ที่นักท่องเที่ยวจะเดินทางมาเป็นจำนวนมาก
..

..
เดินชมตลาด
ความจริงแล้วห้องว่างของโรงแรมเทวราชที่ผมได้นั้น เป็นห้องในทางทฤษฎี แต่ยังไม่ว่างในทางปฏิบัติ เพราะแขกผู้มาพักก่อนหน้า จะเช็คเอาท์ประมาณ 7 โมงเช้า
แต่นั่นก็เป็นข้อดีที่ทำให้ผมมีเวลาออกไปเดินชมบรรยากาศเมืองน่านยามเช้ามืด ผมจึงฝากสัมภาระไว้กับล็อบบี้ แล้วเดินออกจากโรงแรมไปตลาดที่อยู่ห่างกันไปเพียง 50 เมตร
ตลาดที่ว่านี้ คือ ตลาดตั้งจิตนุสรณ์ เป็นตลาดเก่าใจกลางเมือง สร้างขึ้นมาตั้งแต่ปี 2518
เช้าวันนั้น ผมสังเกตเห็นมีนักท่องเที่ยวจากโรงแรมเดินออกมาใส่บาตรกันหลายคน ... คงมีแต่ผมนี่แหละ บาตรก็ไม่ใส่ มัวแต่เดินถ่ายรูป แหะๆ
..

..
แตงโม สกลนคร
ในตลาด ผมเดินผ่านไปเห็นแตงโมสีเหลืองสดใสสะดุดตา จึงแวะไปคุยกับแม่ค้า ตามประสาคนพูดมาก
คุณป้าคนขายเล่าว่า เป็นแตงโมที่ไปรับมาจากจังหวัดสกลนคร โดยสาเหตุที่ต้องขับรถไปซื้อไกลถึงต่างจังหวัด เพราะแตงโมพันธุ์นี้มีรสชาติดี หวานอร่อย
..

ไปรษณีย์ เมืองน่าน
ผมกลับมาที่โรงแรมเทวราช ประมาณ 7 โมงเศษ ห้องพักว่างแล้ว แต่พนักงานยังไม่ทันได้จัดห้อง ผมบอกพนักงานว่าไม่เป็นไร ขอแค่ผ้าขนหนูให้ผมได้อาบน้ำอาบท่าก่อน เอาไว้ช่วงสายๆค่อยมาทำความสะอาดก็ได้
หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จเรียบร้อย ผมลงมาที่ล็อบบี้โรงแรม ติดต่อเช่าจักรยานแบบเต็มวัน (จักรยานมีเกียร์ ราคา 120 บาท)
เอาล่ะ ได้เวลาตะลอนเมืองน่านของจริงสักที
.
ผมปั่นจักรยานไปเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ เมืองน่านในช่วงสายๆ วันสุดท้ายของปี 2551 ดูเงียบสงบ ไม่วุ่นวาย ระหว่างทางผมเห็นที่ทำการไปรษณีย์สีแดงสดใส จึงแวะเข้าไปถ่ายรูป
แม้วันนั้นเป็นวันหยุดทำการ แต่ผมได้เจอกับพี่พนักงานไปรษณีย์คนหนึ่งซึ่งมีบ้านพักอยู่ในนั้น พี่เขาบอกผมว่า ป้ายสวยๆด้านหน้าเนี่ย เพิ่งทำใหม่เลยนะ งบส่งท้ายปีพอดี แล้วน้องมาถ่ายภาพเหรอ ไปถ่ายที่วัดสิ เมืองน่านมีวัดสวยๆเยอะนะ...วัดนี้ วัดนั้น วัดโน้น บลาๆๆๆๆๆๆๆ
สุดท้าย ผมจึงตัดสินใจไป วัดพระธาตุแช่แห้ง เป็นที่แรก
..

..
เมืองจักรยาน
เดิมที ผมตั้งใจจะเช่ามอเตอร์ไซค์ตะลอนเที่ยวในเมืองน่าน แต่เมื่อมาเห็นบรรยากาศสงบๆ เรียบง่ายแล้ว ผมขอเลือกปั่นจักรยานแทนดีกว่า
เมืองน่าน นับเป็นเมืองที่ให้ความสำคัญกับการใช้รถจักรยาน สังเกตได้จากมีป้ายรณรงค์ให้ปั่นจักรยาน มีช่องทางเดินรถแบ่งให้สำหรับจักรยานทั่วเมือง มีที่จอดรถจักรยานโดยเฉพาะ
แม้คนน่านส่วนใหญ่ใช้รถยนต์ และมอเตอร์ไซค์ แต่ผมยังเห็นคนเมืองน่าน ปั่นจักรยานกันอยู่พอสมควร
..

..
ริมแม่น้ำ
ผมปั่นจักรยาน ขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำน่าน มองลงไปเห็นวิถีชีวิตริมฝั่ง จึงเก็บภาพอยู่บนสะพานอยู่นานสองนาน
มีเด็กๆกลุ่มหนึ่ง ปั่นจักรยานผ่านมา เมื่อเด็กๆเห็นผมกำลังถือกล้องถ่ายภาพ ก็ยิ้มให้ แล้วตะโกนทักทายด้วยภาษาเมืองน่านว่า
Hello !
..

..
วัดพระธาตุแช่แห้ง
แม้ว่าจากตัวเมืองไปวัดพระธาตุแช่แห้งจะมีระยะทางเพียงแค่ 3 กิโลเมตร แต่สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้ปั่นจักรยาน แถมยังต้องแบกอุปกรณ์การถ่ายภาพหนักๆติดตัวไปด้วย ก็ทำเอาผมลิ้นห้อยได้เหมือนกัน
แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ปั่นไปถึงที่หมายได้ โดยช่วงสุดท้ายก่อนขึ้นเนินวัด ผมขอยอมแพ้ด้วยการจูงจักรยาน แทนการปั่นขึ้นไปเอง
.
วัดพระธาตุแช่แห้งพระอารามหลวง เป็นวัดประจำคนเกิดปีเถาะ และเป็นหนึ่งในคำขวัญประจำจังหวัดน่านอีกด้วย ในประโยคสุดท้ายที่ว่า เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง
..

.

..
ผมไปถึงวัดพระธาตุแช่แห้ง เป็นเวลาเกือบ 11 โมงแล้ว ใกล้เวลาฉันเพล
สามเณรรูปนี้ เพิ่งเดินไปสมทบกับสามเณรรูปอื่น
หากประสาทการรับรู้ของจมูกผมไม่พลาด อาหารมื้อนั้น คงมีก๋วยเตี๋ยวรวมอยู่ด้วย
..

..
แต่เรื่องการดมกลิ่น ผมคงต้องขอยอมแพ้เจ้าตัวนี้
น้องหมาปุกปุยตัวนี้ ชะเง้อแหงนมองไปยังบริเวณที่พระ เณร กำลังฉันเพลกันอยู่
ผมถามไปว่า ได้กลิ่นก๋วยเตี๋ยวเหมือนผมหรือเปล่า ?
เจ้าปุกปุยทำจมูกฟุดฟิดๆสองสามครั้ง แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
..

..
มิตรภาพ จากห้อง Blue Planet
ผมถ่ายรูปไปได้พักใหญ่ บังเอิญเห็นว่าพุทธศาสนิกชนท่านหนึ่ง มีหน้าตาละม้ายคล้ายคนคุ้นเคยเหลือเกิน
หลังจากสังเกตการณ์อยู่จนแน่ใจ จึงเดินเข้าไปทักทาย เขาคนนั้น คือ น้องก้อง หรือ ikhong นั่นเอง
.
ผมรู้จักก้องจากห้อง Blue Planet ในการร่วมเดินทางไปเที่ยวทุ่งทานตะวัน เขื่อนป่าสักฯ ด้วยกัน
ก่อนเดินทางมาน่าน ผมเห็นก้องโพสต์ตามกระทู้ต่างๆว่า ปีใหม่นี้จะไปน่าน แต่ไม่คาดคิดมาก่อนว่า เมืองน่านจะกลมขนาดเดินเจอกันได้ง่ายๆ
หลังจากเข้าไปทักทายแล้ว ผมทราบว่า ก้องเดินทางมาพร้อมกับชาวน่านที่รู้จัก เขาจึงชวนผมติดรถกลับเข้าเมืองไปด้วยกัน ตอนแรกผมก็ลังเล เพราะยังถ่ายภาพไม่หนำใจเท่าไหร่
แต่นึกสภาพตัวเองต้องปั่นจักรยานกลับเข้าเมืองไปอีก 3 กิโล จึงเลิกเล่นตัว...ยกรถจักรยานขึ้นท้ายกระบะ แล้วติดรถไปด้วยแต่โดยดี ไม่มีการขัดขืน
..

..
เพื่อนใหม่ ชาวน่าน
ชาวน่านที่ผมติดรถมาด้วย คือ พี่ต้อม และ มิว ซึ่งทั้งคู่เป็นญาติกัน
เจ้าถิ่นทั้งสอง ขับรถนำผู้มาเยือนไปยัง วัดพระธาตุเขาน้อย ซึ่งเมื่อดูจากเส้นทางที่มาจากวัดพระธาตุแช่แห้งแล้ว บอกได้เลยว่า หากผมไม่ได้รู้จักเพื่อนใหม่ชาวน่านทั้งสอง คงไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปชมวัดพระธาตุเขาน้อยแน่ๆ
แต่อาจจะนั่งนวดแข้งขาตัวเองอยู่ตรงร้านกาแฟที่ไหนซักแห่งในเมือง
..

..
วัดพระธาตุเขาน้อย
จุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ และกลายเป็นมุมบังคับในการถ่ายภาพของผู้มาเยือนวัดพระธาตุเขาน้อย คือ พระพุทธรูปปางลีลาสีทองอร่ามขนาดใหญ่ ที่ประดิษฐานเด่นเป็นสง่า
มองลงไปยังเมืองน่านเบื้องล่างไกลสุดลูกหูลูกตา
..

..
อาหารเหนือ มื้อแรก
เมื่อขับรถลงมาจากวัดพระธาตุเขาน้อย พี่ต้อม และ มิว ก็พาผมและก้อง ไปทานอาหารเหนือ
ผมได้ทานขนมจีนน้ำเงี้ยว เป็นครั้งแรก รสชาติจืดไปนิด แต่ก็ทานจนหมดในเวลาอันรวดเร็ว
.
หลังอิ่มหนำสำราญกับอาหารเหนือในมื้อเที่ยงเป็นที่เรียบร้อย ผมก็ติดรถไปที่บ้านมิว ก่อนจะขอปลีกตัวไปปั่นจักรยานชมเมืองด้วยตัวเองอีกครั้ง
..

..
วัดมิ่งเมือง
ผมกลับเข้าสู่การเป็นนักปั่นน่องเหล็กอีกครั้งในช่วงบ่าย
ที่หมายแรก คือ วัดมิ่งเมือง ซึ่งเป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมปูนปั้นสมัยใหม่แห่งเดียวในเมืองน่าน และยังเป็นที่ตั้งของศาลหลักเมืองอีกด้วย
..

..
สถาปัตยกรรมในรูปแบบงานปูนปั้นสมัยใหม่ แต่ยังคงไว้ซึ่งความวิจิตรบรรจง
..

..
วัดภูมินทร์
ห่างจากวัดมิ่งเมืองเพียงนิดเดียว เป็นสถานที่ตั้งของวัดสำคัญประจำเมืองน่านอีกแห่ง คือ วัดภูมินทร์
ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ในคำขวัญของจังหวัดอีกด้วย จิตรกรรมวัดภูมินทร์
..

..
ความโดดเด่นของวัดแห่งนี้ นอกจากจิตรกรรมภายในแล้ว ยังมีความโดดเด่นของพระพุทธรูปในวิหาร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย 4 องค์ หันหลังพิงกันออกไป 4 ทิศ (แฝงนัยเรื่องอริยสัจสี่)
นอกจากนี้วิหารยังสร้างเป็นรูปแบบจัตุรมุข มีทางเข้าออก 4 ด้าน และมีพญานาค 2 ตนรองรับวิหาร
..

..
เมื่อเข้ามาในวิหาร จะพบกับภาพจิตรกรรมโบราณอันงดงาม
บอกเล่าวิถีชีวิตของชาวน่านตั้งแต่โบราณกาล ตลอดจนตำนานเรื่องเล่าต่างๆผสมผสานความเชื่อของพุทธศาสนา
..

..
ปู่ม่านย่าม่าน เป็นภาพจิตรกรรมที่นักท่องเที่ยวต่างถ่ายภาพเก็บไว้ เพราะเป็นจิตรกรรมที่งดงามโดดเด่น บอกเล่าเรื่องราวหนุ่มสาวไทลื้อสมัยก่อน
..

..
มัคคุเทศก์น้อย
ภายในวิหาร ผู้มาเยือนจะได้พบกับเด็กกลุ่มหนึ่ง ทั้งหมดเป็นน้องๆระดับประถม ชมรมมัคคุเทศก์น้อย
ผมเข้าไปพูดคุยกับน้องๆว่า พวกเค้ามาทำอะไรกันบ้าง
น้องๆบอกว่า เมื่อมีนักท่องเที่ยวมาเป็นกลุ่ม มัคคุเทศก์น้อย ก็จะเข้าไปสอบถามว่าต้องการให้อธิบายเกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆภายในวิหารหรือเปล่า
หากนักท่องเที่ยวต้องการ น้องๆประมาณ 4 -5 คน จะผลัดเปลี่ยนกัน อธิบายเรื่องราวต่างๆอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นประวัติของวัด พระพุทธรูป เรื่องเล่าจากภาพจิตรกรรม
ทั้งนี้ เรื่องค่าตอบแทนนั้น ขึ้นอยู่กับนักท่องเที่ยวว่า จะตอบแทนน้ำใจให้แก่น้องๆเท่าไหร่ ไม่ได้มีการระบุใดๆ
..

..
ร้านโปสการ์ด
ตรงข้ามวัดภูมินทร์ มีร้านขายของที่ระลึกเล็กๆอยู่ร้านหนึ่ง ผมแวะเข้าไปซื้อโปสการ์ดติดไม้ติดมือเป็นที่ระลึก
เจ้าของร้านเป็นพี่ผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อ นวรัตน์
พี่นวรัตน์บอกว่า เปิดร้านนี้มาได้ราว 3-4 ปีแล้ว ปกติมีนักท่องเที่ยวไม่มากมายนัก แต่ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลจึงคึกคักขึ้นมาหน่อย
..

..
พักจิบกาแฟ
ติดกับร้านขายของที่ระลึก มีร้านกาแฟเล็กๆให้ผมนั่งพักเหนื่อย ร้านกาแฟสดแห่งนี้ เจ้าของร้านบอกผมว่า เปิดมานานราว 7-8 ปีแล้ว
บริเวณเดียวกันกับร้านกาแฟ มีศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวสำหรับนักท่องเที่ยว สามารถแวะไปขอแผนที่ท่องเที่ยวได้
..
 ..
วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร
หากใครได้เดินทางมายังวัดแห่งนี้ คงไม่แปลกใจว่าทำไมจึงมีชื่อว่า วัดพระธาตุช้างค้ำ เพราะสถาปัตยกรรมขององค์พระธาตุ ในแต่ละด้านมีช้างค้ำเอาไว้ 5 ตัว และมีแต่ละมุมอีก 1 ตัว
ตามประวัติศาสตร์แล้ว เมืองน่าน และ สุโขทัย เป็นมิตรที่ดีต่อกัน วัดพระธาตุช้างค้ำ นับเป็นวัดหนึ่งที่ได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบสุโขทัย
..

..
ภายในพระอุโบสถ มีพุทธศาสนิกชนกลุ่มหนึ่ง กำลังสนทนาธรรมกับหลวงพี่
..

..
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน
ตรงข้ามวัดพระธาตุช้างค้ำ คือ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน
สถานที่ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ต่างๆของจังหวัด แต่ผมไปไม่ทันเวลา จึงได้แค่ถ่ายภาพบริเวณรอบๆ
หากใครอยากตามเก็บคำขวัญของน่านอีกประโยค ที่ว่า เมืองงาช้างดำ ต้องไม่พลาดในการเข้าชมพิพิธภัณฑ์
.. 
..
ถึงเวลาปิดบริการ
..
..
ต้นลีลาวดีเรียงรายอยู่บริเวณด้านหน้าพิพิธภัณฑ์
.. 
..
วัดหัวข่วง
วัดเล็กๆแห่งนี้ ไม่ได้อยู่ในแผนการเดินทางของผมในตอนแรก เพราะไม่ทราบข้อมูลมาก่อน
แต่วัดหัวข่วง ตั้งอยู่ติดกับพิพิธภัณฑ์เพียงแค่ข้ามฟากถนน ครั้นจะเดินผ่านเลยไปก็กระไรอยู่
..

..
ผมเดินชมวัดในช่วงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่เณรกำลังปฏิบัติกิจ ทำความสะอาดกวาดลานวัดอยู่พอดี
เณรรูปนี้ บอกผมว่า บวชมา 2 ปีแล้ว ส่วนกิจกวาดลานวัดนั้น ต้องทำวันละ 2 ครั้ง คือ เช้า เย็น
..

..
ส่วนเณรสองรูปนี้ ช่วยกันยกถังน้ำเพื่อไปรดน้ำต้นไม้
ต้นไม้ที่ว่าอยู่บนแนวกำแพงวัด จำเป็นต้องปีนขึ้นไปรด
ผมคงไม่ต้องบอกว่า เณรรูปไหนต้องปีนขึ้นไป และเณรรูปไหน ยืนให้กำลังใจอยู่ริมกำแพง
..

..
ถนนคนเดิน
จากวัดหัวข่วง ผมปั่นจักรยานไปชมรอบๆเมืองน่านอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะกลับไปยังโรงแรมเทวราช
หากนับระยะเวลาตั้งแต่เมื่อวาน ซึ่งแทบไม่ได้หลับตลอดการเดินทาง จนกระทั่งเย็นย่ำค่ำนี้ ผมจึงขอตัวงีบเอาแรงเสียหน่อย
.
ตื่นอีกครั้งราว 2 ทุ่ม ผมเดินเตาะแตะไปยังข่วงเมือง (บริเวณวัดพระธาตุช้างค้ำ)
ในช่วงระหว่าง 29 ธันวาคม จนถึง 3 มกราคม บริเวณข่วงเมือง มีถนนคนเดินพอดี ผมจึงมีอะไรให้ทำบ้าง ด้วยการเดินชมบรรยากาศยามค่ำคืนสุดท้ายของปี
ถนนคนเดินที่เมืองน่านนั้น มีคนไม่พลุกพล่าน ไม่ต้องเบียดเสียดกันเกินไป นับเป็นถนนคนเดินที่สงบเงียบ ไม่วุ่นวาย นอกจากนี้วัดช้างค้ำ ยังเปิดพระอุโบสถให้เข้าไปสักการะได้อีกด้วย
ผมถ่ายรูปบรรยากาศไปเรื่อยๆ เห็นหนุ่มสาวๆชาวน่านออกมาเที่ยวกันเป็นคู่ๆ มองดูแล้วอิจฉา
ที่อิจฉาน่ะ คือ อิจฉาผู้ชายมีแฟนสวยครับ ฮ่า..
..

..
คืนข้ามปีที่แสนสงบ
ผมเก็บบรรยากาศบริเวณถนนคนเดินอีกพักใหญ่ มีแผงขายส้มอยู่มากพอสมควร คำขวัญอีกประโยคของเมืองน่าน คือ ดินแดนส้มสีทอง ผมมีโอกาสได้ชิมลิ้มรส หวานอร่อยดีครับ
.
ความจริงแล้ว ผมตั้งใจว่าจะเดินโต๋เต๋แถวข่วงเมืองจนข้ามปี แต่ปรากฏว่า เวลาประมาณ 5 ทุ่ม พ่อค้าแม่ขายก็เริ่มเก็บข้าวของกันหมดแล้ว ทำให้ผมตัดสินใจเดินกลับไปยังโรงแรม
ภายในโรงแรมเทวราช จัดกิจกรรมต้อนรับปีใหม่ เฮฮาสนุกสนาน มีแขกเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก แต่ผมเลือกเดินออกมาบริเวณถนนด้านหน้าโรงแรม และใช้เวลาในนาทีข้ามปีโทรศัพท์สวัสดีปีใหม่กับพ่อแม่
เป็นคืนข้ามปีที่สงบเงียบกว่าหลายปีที่ผ่านมา นอกจากเสียงคุยโทรศัพท์ของผม มีเพียงเสียงประทัด และดอกไม้ไฟมาจากมุมถนนใกล้ๆ พอให้รู้ว่าเป็นเวลาก้าวเข้าสู่ปี 2552 แล้ว
..

..
เรื่องเศร้า วันปีใหม่
หลังจากเหน็ดเหนื่อยส่งท้ายปี ผมนอนเต็มอิ่ม ตื่นอีกครั้งเกือบ 11 โมง แม่โทรศัพท์มาแซวว่า นอนได้คุ้มค่าโรงแรมซะเหลือเกิน
วันปีใหม่แบบนี้ ผมไม่อยากเหนื่อย ไม่อยากยุ่งยาก วุ่นวายอะไรทั้งสิ้น จึงไม่รีบร้อนไปไหน แต่ตั้งใจว่าจะเก็บบรรยากาศวัดที่เหลือในตัวเมือง และไปหอศิลป์ริมน่าน แค่นั้น
.
แต่แล้ว เมื่อเปิดโทรทัศน์ดูข่าวสารต้อนรับปีใหม่ ผมก็พบกับข่าวร้าย โศกนาฏกรรมที่ซานติก้า นั่นเป็นเหตุให้ผมหมดเวลาไปกับการติดตามข่าวอีกพักใหญ่จนเวลาล่วงเลยเที่ยงวัน
ขอไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิตทุกท่าน
..

..
เดินเล่น ชมเมือง
จากการที่เมื่อวานผมได้รู้จักเพื่อนชาวน่านอย่าง มิว ทำให้ในวันนี้ผมไม่ต้องเหนื่อยด้วยการปั่นจักรยานเช่นเคย เพราะมิวบอกว่า ให้มายืมรถมอเตอร์ไซค์ที่บ้านได้เลย
ไม่ใช่ว่าอุดมการณ์การปั่นจักรยานของผมจะหดหายไปในชั่วข้ามคืน
เพียงแต่หากจะไปหอศิลป์ริมน่านนั้น ระยะทางไกลเกินกว่าจะปั่นไหวจริงๆ เพราะออกนอกตัวเมืองไปกว่า 20 กิโลเมตร
..

..
ดีBest - ดีที่สุด
ระหว่างทางไปบ้านมิว ผมมีโอกาสได้เดินเก็บภาพในตัวเมืองน่านไปพลาง
ในเมืองน่านมีห้างจำหน่ายสินค้าเล็กๆ (แต่ใหญ่ที่สุดในเมืองน่าน) ชื่อว่า ดี Best ซึ่งยังเป็นโรงภาพยนตร์ขนาดเล็กเพียงแห่งเดียวในจังหวัดด้วย
แต่คนน่านบอกผมว่า โรงนั้นจุได้ไม่เกินร้อย เพราะคนน่านนิยมซื้อ-เช่าแผ่นไปดูที่บ้านมากกว่า
อย่างไรก็ตาม แม้โรงจะเล็ก แต่ก็คงมีกลุ่มคนรักหนัง ที่อุดหนุนอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นคงปิดกิจการไปแล้ว
.
ในวันปีใหม่ที่ 1 มกราคม 52 ดี Best เพิ่งเปลี่ยนโปรแกรมต้อนรับปีใหม่เป็นภาพยนตร์เรื่อง Happy Birthday หลังจากเมื่อวานในวันส่งท้ายปี 51 ผมยังเห็นป้ายโฆษณาองค์บาก 2 อยู่แวบๆ
..

..
วัดศรีพันต้น
หลังจากเดินหลงนิดหน่อย จนไปถึงบ้านมิวได้ ผมก็กลายร่างจากนักปั่นน่องเหล็ก เป็นเด็กแว้นเมืองน่านโดยสมบูรณ์
ที่หมายแรก คือวัดศรีพันต้น
วัดอีกแห่งหนึ่งที่มีสถาปัตยกรรมสวยงาม แต่ในวันที่ไปมีการบูรณะ ทำให้เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างระเกะระกะไปบ้าง
..

..
ความโดดเด่นของวัดศรีพันต้น คงเป็นสถาปัตยกรรมบริเวณรอบๆพระอุโบสถ ที่เป็นงานปั้นสีทองเรื่องราวจากรามเกียรติ์
..

..
หลังคาบนพระอุโบสถในภาพนี้ ผมเห็นพญานาค 3 ตน ?
..

..
กำแพงเมืองน่าน
เมืองใด มีกำแพงเมืองเก่า ย่อมบ่งบอกเป็นนัยสำคัญได้ว่าเมืองนั้น เป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่ และมีอารยธรรมเก่าแก่ในอดีตมาก่อน
ปัจจุบัน กำแพงเมืองน่าน ที่ยังพอมีสภาพสมบูรณ์ มีความยาวไม่มากนัก แต่ได้รับขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
..

..
วัดสวนตาล
วัดแห่งนี้เป็นวัดสุดท้าย ก่อนที่ผมจะบึ่งมอเตอร์ไซค์ออกนอกตัวเมืองไปหอศิลป์ฯ ด้านหลังพระอุโบสถ มีเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากอาณาจักรสุโขทัย
..

..
วัดแห่งนี้มีสุนัขเยอะมาก ด้วยความที่ผมสวมเสื้อแจ็คเก็ตสีดำ กางเกงยีนส์สีดำ ไว้ผมยาวสีดำ(อย่างหลัง จะเกี่ยวไหมไม่รู้) ทำเอาบรรดาน้องหมาเห่ากันระงมลั่นวัด
แต่ด้วยความสามารถพิเศษของผม ที่สื่อสารกับสัตว์ร่วมโลกได้ จึงเข้าไปตีสนิทกันได้ในที่สุด
.
บริเวณกุฏิข้างเจดีย์ มีเณรกำลังพูดคุยกันอยู่ ผมแวะเข้าไปนมัสการ และพูดคุย
ผมสังเกตเห็นว่ามีลูกแมวตัวเล็ก อยู่ท่ามกลางฝูงลูกหมา เณร บอกผมว่า เลี้ยงมันมาด้วยกัน ตั้งแต่เกิด ว่าแล้ว เณรก็เอาลูกแมว มาเกาะหลังลูกหมาเสียอย่างนั้น
ผมกระเซ้าไปว่า แกล้งหมามันบาปนะเณร
บรรดาเณรก็หัวเราะกันคิกคักๆ ตามประสาเด็ก ส่วนผมก็ได้ภาพน่ารักๆแบบนี้มา
..

..
เดินออกมาอีกฟาก เจ้าเหมียวขี้เซา กำลังนอนกลางวัน เรียงรายอยู่รอบโบสถ์
..

..
หอศิลป์ริมน่าน
หลังจากนั้น ผมขับมอเตอร์ไซค์ออกไปยังเส้นทางอำเภอปัว เพื่อไปหอศิลป์ริมน่าน
ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตรจากตัวเมือง ถนนโล่งๆ อากาศดีๆในฤดูหนาว พร้อมด้วยทิวทัศน์เขียวขจีระหว่างทาง ทำให้การขับมอเตอร์ไซค์ครั้งนี้เพลิดเพลินยิ่งนัก
ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็ไปถึงที่หมาย
..

..
หอศิลป์ชื่อดังประจำจังหวัดแห่งนี้ ก่อตั้งโดย อาจารย์วินัย ปราบริปู ศิลปินลูกหลานชาวน่าน
น่าเสียดายที่ผมเดินทางถึงช้าไปหน่อย จึงมีเวลาเดินชมละเลียดงามศิลป์อยู่ได้เพียงชั่วโมงเศษ ..

..
เผอิญว่า อาจารย์วินัย ติดรับแขกท่านอื่นอยู่ ผมจึงไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับท่าน แต่ก็ได้คุยกับภรรยาของอาจารย์แทน
ภรรยาของอาจารย์วินัยเล่าว่า ที่ดินบริเวณหอศิลป์แห่งนี้ ซื้อมาในราคาหลักแสนเมื่อหลายปีก่อน เพราะเจ้าของที่ดินย้ายไปอยู่ต่างประเทศ
รายได้ในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งมาจากการเก็บค่าเข้าชม (20บาท) อีกส่วนมาจากการมีหน่วยงานมาเช่าใช้สถานที่บ้าง การขายผลงานของอาจารย์วินัยบ้าง
ส่วนร้านขายของที่ระลึกด้านหลังนั้น ไม่นับเป็นรายได้หลักอะไร เพราะของที่ระลึกต่างๆที่นำมาขาย เป็นสินค้าที่ผลิตโดยชาวบ้านในเมืองน่าน ถือเป็นการสร้างโอกาส สร้างรายได้ให้แก่คนท้องถิ่นมากกว่า
..

..
ผมใช้เวลาเดินชมหอศิลป์ริมน่าน ประมาณชั่วโมงเศษ
บอกได้คำเดียวว่า น่าภาคภูมิใจแทนชาวน่าน ที่มีหอแสดงศิลปวัฒนธรรมอันงดงามเช่นนี้
..

..
จุดเริ่มต้นของการเดินทางที่ลืมไม่ลง
การเดินทางมาน่านครั้งนี้ ผมวางแผนคร่าวๆว่าจะใช้เวลาเที่ยวในเมือง 2 วัน และจะใช้เวลาไปเที่ยวอำเภอปัวอีก 2 วัน
โดยผมได้ติดต่อผ่านน้องสาวคนหนึ่ง ชื่อ แจ๋ว ซึ่งเป็นสาวเมืองปัว ว่าให้เธอช่วยแนะนำเส้นทางการท่องเที่ยวในเมืองปัวให้ด้วย
ผมบอกความต้องการคร่าวๆว่า ขอแค่ยืมมอเตอร์ไซค์ขับตะลอนไปด้วยตัวเอง สำหรับวันแรก เพื่อตระเวนถ่ายภาพบรรยากาศวิถีชีวิต วัดวาอารามในเมืองปัว ส่วนวันที่สอง จะขอลุยเดี่ยวขึ้นดอยแบบไปเช้าเย็นกลับ
.
ผมรู้จักน้องแจ๋วคนนี้ จากเว็บไซต์ท่องเที่ยว น่านวันนี้
//nan2day.com/
ซึ่งมาทราบภายหลังว่า นอกจากเป็นเว็บไซต์ที่บรรจุข้อมูลเมืองน่านไว้อย่างละเอียดแล้ว ยังเป็นที่รวมของชมรม เฮาฮักน่าน ซึ่งเป็นทั้งคนในพื้นที่และคนน่านที่มาทำงานในกรุงเทพฯ กลุ่มหนึ่ง
เฮาฮักน่าน ไม่เพียงแค่แค่การรวมตัวกันของกลุ่มคนท่องเที่ยว แต่ยังมีกิจกรรมการเคลื่อนไหวเพื่อทำประโยชน์แก่ชุมชนในจังหวัดน่าน เช่น การเป็นผู้ประสานงานในการบริจาคของแก่เด็กๆตามโรงเรียนที่ห่างไกล เป็นต้น
.
ในคืนวันที่ 1 แจ๋วบอกผมว่า เธอกับเพื่อนๆกลุ่มเฮาฮักน่าน จะเอากระเป๋าผ้า และเสื้อยืดมาขายที่ถนนคนเดิน เพื่อนำรายได้ไปบริจาคแก่น้องๆผู้ด้อยโอกาสบนดอย
ผมเดินไปพบแจ๋ว และกลุ่มเฮาฮักน่านในคืนวันนั้น แจ๋วบอกผมว่า ในวันรุ่งขึ้น เธอและเพื่อนๆกลุ่มเฮาฮักน่านจะเดินทางไปบริจาคสิ่งของยังโรงเรียน 3 แห่ง และต้องไปค้างคืนบนดอยที่อำเภอบ่อเกลือ
ดังนั้น หากผมต้องการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองปัวตามที่ตั้งใจไว้แต่เดิม แจ๋วจะฝากกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ไว้กับที่บ้าน ให้ผมเอาไปใช้ได้เลยฟรีๆ 2 วัน
แต่หากสนใจที่จะเดินทางไปบริจาคสิ่งของให้เด็กๆ ก็ให้ผมร่วมเดินทางไปด้วยกันในเช้าวันรุ่งขึ้น
.
คุณคิดว่าผมจะเลือกข้อเสนอไหน ?
.
- โปรดติดตามตอนต่อไป -
..
Create Date : 14 มกราคม 2552 |
Last Update : 14 มกราคม 2552 10:31:48 น. |
|
25 comments
|
Counter : 6196 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: ณ มน วันที่: 14 มกราคม 2552 เวลา:12:50:21 น. |
|
|
|
โดย: chalawanman วันที่: 14 มกราคม 2552 เวลา:14:55:23 น. |
|
|
|
โดย: OFFBASS วันที่: 14 มกราคม 2552 เวลา:15:22:31 น. |
|
|
|
โดย: ศรทอง27 IP: 10.106.0.10, 122.154.11.66 วันที่: 23 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:51:00 น. |
|
|
|
โดย: ต๊อด IP: 58.8.51.3 วันที่: 28 สิงหาคม 2552 เวลา:17:28:44 น. |
|
|
|
โดย: น้อยหน่า IP: 58.8.231.134 วันที่: 9 ตุลาคม 2552 เวลา:12:34:28 น. |
|
|
|
โดย: ต้นน้ำน่าน IP: 118.172.127.175 วันที่: 28 ตุลาคม 2552 เวลา:14:00:58 น. |
|
|
|
โดย: ครูจุ๊บ IP: 118.172.237.0 วันที่: 9 ธันวาคม 2552 เวลา:15:29:27 น. |
|
|
|
โดย: นัน IP: 110.164.29.15 วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:15:10:57 น. |
|
|
|
โดย: คำมินทร์ IP: 118.173.86.200 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:21:00:29 น. |
|
|
|
โดย: ต้น IP: 124.120.51.151 วันที่: 14 มีนาคม 2553 เวลา:23:35:34 น. |
|
|
|
โดย: A-Z IP: 125.25.30.21 วันที่: 26 พฤษภาคม 2553 เวลา:15:16:35 น. |
|
|
|
โดย: JU ขอนแก่น IP: 125.26.195.217 วันที่: 27 กรกฎาคม 2553 เวลา:10:22:03 น. |
|
|
|
โดย: แบงค์ IP: 117.47.139.170 วันที่: 30 กรกฎาคม 2553 เวลา:8:25:05 น. |
|
|
|
โดย: คนเมืองน่าน IP: 114.128.81.176 วันที่: 10 สิงหาคม 2553 เวลา:16:54:27 น. |
|
|
|
โดย: ธิดาเทพ IP: 61.91.174.243 วันที่: 21 ตุลาคม 2553 เวลา:13:40:20 น. |
|
|
|
โดย: kikkiwww IP: 125.24.74.2 วันที่: 9 พฤศจิกายน 2553 เวลา:14:00:58 น. |
|
|
|
โดย: ทานตะวัน_ธันวา IP: 119.46.125.235 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2553 เวลา:15:05:02 น. |
|
|
|
โดย: ผึ้งน้อย IP: 10.0.3.212, 124.157.134.120 วันที่: 27 ธันวาคม 2553 เวลา:7:59:51 น. |
|
|
|
โดย: jikkoh IP: 192.22.22.202, 202.29.4.130 วันที่: 13 กันยายน 2554 เวลา:16:30:18 น. |
|
|
|
โดย: tue IP: 171.4.51.187 วันที่: 17 กันยายน 2554 เวลา:21:28:24 น. |
|
|
|
โดย: numtip IP: 49.49.147.64 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2554 เวลา:23:46:38 น. |
|
|
|
โดย: phillips IP: 118.172.121.199 วันที่: 7 มีนาคม 2555 เวลา:12:59:50 น. |
|
|
|
โดย: จุ๊บแจง IP: 110.77.238.233 วันที่: 14 พฤษภาคม 2555 เวลา:22:58:56 น. |
|
|
|
| |
|
 |
POGGHI |
|
 |
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]

|
..
บทความ และผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
ห้ามผู้ใดละเมิด ด้วยการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ และ ผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
POGGHI
..
|
|
|
โอโฮถ่ายภาพสวยมากเลยครับ
สวยทุกภาพเลย
ได้อารมณ์ความรู้สึกคล้อยตามเลยล่ะ