พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
12 พฤศจิกายน 2551

เรื่องเล่าจาก "บ้านอ้ายหล้า" (เชียงใหม่)

..

พฤหัสบดีที่ 16 ตุลาคม 2551

เหลือเวลาอีกไม่กี่นาที จะถึงเวลาที่รถไฟสายนครพิงค์ ปลายทางเชียงใหม่ เดินทางออกจากสถานีหัวลำโพง ... ผมรีบก้าวเท้าฉับๆ กระเตงเป้ใบเล็กๆ และกระเป๋ากล้องขนาดย่อมอีกใบ ตรงรี่ไปขึ้นรถไฟเป็นคนสุดท้ายของขบวน

....ผมเพิ่งทราบว่า การโดยสารรถไฟไปเหนือ ไม่มีประกาศเรียกก่อนล่วงหน้าซักครึ่งชั่วโมง เหมือนในสนามบินนะเนี่ย ....

การเดินทางครั้งนี้ เป็นครั้งแรก ที่ผมเดินทางด้วยรถไฟปรับอากาศชั้นสอง ตู้นอน เมื่อเดินเข้าไปในโบกี้ จึงออกอาการมึนๆงงๆไม่น้อยว่า ตัวเลขที่ระบุไว้ในตั๋วมันอยู่ตรงไหนหว่า ?

เมื่อหาที่นั่งเจอ ผมพบว่า เพื่อนร่วมทางที่ต้องนั่งตรงข้ามกัน (และนอนเตียงบน) เป็นน้องผู้หญิงคนหนึ่ง



ความจริงแล้วน้องผู้หญิงที่ว่านั้น เธอน่าจะเป็นทอมครับ เดินทางมากับ พี่สาว เพื่อน หรือแฟน ก็ไม่รู้ล่ะ ซึ่งต้องไปนั่งในที่นั่งตรงข้ามกัน เนื่องจากจองตั๋วช้าไปหน่อย

เริ่มแรก เธอไม่ได้ทักทายอะไรผม ด้วยเข้าใจว่าผมเป็นชาวต่างชาติ (คงเพราะผมถือ นสพ. The Nation ติดมือมาด้วย) แต่เมื่อ เรามีรอยยิ้มทักทายกัน ผมจึงได้เพื่อนใหม่มา 2 คน ตั้งแต่เริ่มต้นการเดินทางครั้งนี้

เราพูดคุยถามไถ่กันไปเรื่อย ตั้งแต่หน้าที่การงาน การศึกษา การท่องเที่ยว ... จนกระทั่งได้เวลาปูเตียง จึงเอ่ยคำร่ำลา ราตรีสวัสดิ์

.... เตียงด้านล่าง กว้าง และนอนสบายอย่างที่หลายๆคนพูดไว้จริงๆด้วย คืนนั้นผมได้ยินเสียงเด็กๆจากครอบครัวหนึ่ง คุยกันจนถึง 3 - 4 ทุ่ม เป็นครั้งแรกที่พวกเด็กๆ เดินทางมาด้วยรถไฟตู้นอน ดูพวกเขาจะตื่นเต้น และสนุกกับบรรยากาศที่แปลกใหม่ ...ไม่ต่างจากผมเลย



ผมหลับๆ ตื่นๆ ไปตลอดทาง ไม่ใช่เหตุผลว่า นอนไม่สบาย แต่เป็นเรื่องของความไม่คุ้นเคยกับเตียงนอนเคลื่อนที่มากกว่า อีกอย่าง ผมกลัวว่าจะตื่นไม่ทันชมบรรยากาศยามเช้าระหว่างทาง ... จนสุดท้ายผมตื่นมาล้างหน้าล้างตาตั้งแต่ ตี 5 มานั่งง่วงๆ ชมบรรยากาศมืดๆ ตั้งแต่สถานีลำปาง

กว่าฟ้าจะเริ่มสาง แสงอาทิตย์เข้ามาทักทายให้เห็นกันชัดๆ ขบวนก็เคลื่อนมาถึงลำพูนแล้ว

เวลารถไฟถึงสถานีเชียงใหม่ ตรงตามตารางมากครับ ประมาณ 7.15 เป๊ะ ...และเป็นบรรยากาศที่ผมแปลกใจไม่น้อย เพราะสถานีรถไฟเชียงใหม่ดูเงียบสงบดีจริงๆ แตกต่างจากสถานีใหญ่บางแห่ง ที่ดูจะจ้อกแจ้กจอแจตั้งแต่เช้า

ตื่นเต้นนิดๆครับ เพราะการเดินทางครั้งนี้ คือ การมาเชียงใหม่ครั้งแรก



ผมเดินออกมาจากสถานีรถไฟ ... ไกลพอสมควร เหตุผลเพราะอยากเดินชมบรรยากาศยามเช้าที่เชียงใหม่ว่าเป็นอย่างไร การเดินเท้าทำให้เก็บรายละเอียดได้มากกว่า

เช้าวันศุกร์ที่เชียงใหม่ ไม่วุ่นวายเหมือนกรุงเทพฯ ร้านรวงบางแห่งเพิ่งเปิด ขณะที่ส่วนใหญ่ยังปิดอยู่

หลายคนบอกไว้ว่า รถแดงที่เชียงใหม่ ค่อนข้างแพง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่า รถแดงเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเชียงใหม่ไปแล้ว ... ผมไม่คิดมาก ขอลองนั่งรถแดงดูสักครั้ง ... ก็เพลินดีนะครับ

มีเรื่องสร้างรอยยิ้มได้ บนรถแดง คือ มีพระรูปหนึ่ง โดยสารมาด้วย เมื่อหลวงพี่เห็นผมสะพายกล้อง แบกเป้ จึงทักทายว่า "What's your nationality ?"

"หลวงพี่ครับ ผมคนไทยนี่แหละ"

"อ้าว เหรอ นึกว่านักท่องเที่ยวต่างชาติ อาตมาว่าจะฝึกภาษาซักหน่อย"



รถแดงพาผมอ้อมเมืองไปส่งหลวงพี่ ทำให้ได้เห็นบรรยากาศเช้าๆ ที่แตกต่างไปจากทุกวัน

แม้เชียงใหม่เป็นเมืองที่เจริญจนแทบกลายเป็นเมืองหลวงขนาดย่อมไปแล้ว แต่ยังคงมีกลิ่นอายของความเป็นต่างจังหวัด และมีเสน่ห์น่าหลงใหลตั้งแต่แรกพบจริงๆครับ

ก่อนขึ้นรถ ผมบอกลุงคนขับรถแดงว่า "ไปโรงเรียนโสตฯ" เมื่อถึงหน้าโรงเรียนโสตฯ ลุงแกก็ถามว่า

"จะไปไหนเหรอ"
"ไปเกสต์เฮ้าส์ แถวๆนี้น่ะครับ"
"ที่ไหนล่ะ เกสต์เฮ้าส์ชื่ออะไร"
"บ้านอ้ายหล้าครับ"
"อ๋อ... ลุงรู้จัก ขึ้นมาๆ เดี๋ยวเลี้ยวไปส่งให้"

แล้วผมก็มาถึงบ้านอ้ายหล้า จ่ายค่ารถแดงไป 20 บาทเองครับ



ผมจองห้องพัดลม แบบนอนคนเดียวไว้ ราคาย่อมเยา 300 บาท แต่ห้องสวยงามเกินราคา ตามที่หลายๆคนเคยพูดไว้จริงๆ การติดต่อจอง ผมโทรศัพท์ผ่าน น้องเปิ้ล ซึ่งเป็นคนอัธยาศัยดี ไม่แพ้ พี่อ๊อฟ ผู้จัดการเกสต์เฮ้าส์เลย

พี่อ๊อฟ บอกว่า "เปิ้ลเค้าพูดได้ 3 ภาษาเลยนะ ภาษาไทย อังกฤษ แล้วก็ภาษาจีนด้วย อ้อๆๆ..ได้ภาษาเหนืออีกภาษาเนอะ"



ผมสำรวจ ตรวจตราในห้องไปเรื่อยๆ พยายามเก็บภาพในมุมที่แตกต่างไปจากคนอื่นบ้าง จะได้มีบรรยากาศของบ้านอ้ายหล้าที่หลากหลายขึ้น

สิ่งที่ผมชอบอีกอย่าง คือ สบู่สมุนไพรกลิ่นหอม แถมยังมีขันเงินให้ด้วย ...... ทำให้ย้อนนึกกลับไปสมัยเด็ก คุณยายของผมใช้ขันเงินทานน้ำ ป่านนี้คุณยายของผมจะไปอยู่ไหนเน้อ คิดถึงจัง



ไม้แขวนเสื้อ ที่บ้านอ้ายหล้า เป็นไม้เกลี้ยงๆ ให้บรรยากาศเข้ากันดีกับห้องนอน

ของตกแต่งทั้งหมดนี้ พี่อ๊อฟ บอกว่าเป็นคนเลือกเองทั้งนั้น



น้ำดื่ม บริการฟรี 2 ขวด แต่ผมดื่มไปแค่ครึ่งขวด เพราะไม่ค่อยได้อยู่ที่ห้อง พอออกไปข้างนอกก็ติดชาเขียว กาแฟ นมสด กลับมาด้วยทุกที เลยไม่ค่อยได้ดื่มน้ำในห้องเท่าไหร่



สิ่งหนึ่งที่ดูอินเทรนด์กับกระแสรักษ์โลก คือ ถังขยะรีไซเคิล

พี่อ๊อฟ บอกว่า เป็นโครงการที่เพิ่งเริ่มทำได้ไม่นาน

"ทุกวันนี้โลกมันร้อนเนอะ เรื่องขยะ ช่วยแยกกันได้ ก็ต้องช่วยๆกัน มันเห็นผลจริงๆนะ เราอยากให้แขกเค้าได้ตระหนักเรื่องนี้ด้วย จึงมีถังขยะแยกไว้ให้ 2 ใบ"



เดิม บ้านอ้ายหล้า เคยเป็นหอพักมาก่อน ซึ่งทรุดโทรมไปตามเวลา จนกระทั่งช่วงงานพืชสวนโลก จึงมีการปรับปรุงให้เป็นเกสต์เฮ้าส์อย่างที่เราเห็น

พี่อ๊อฟ เล่าว่า ตอนนั้นยังมีคนพักไม่มากเท่าไหร่ แต่ทุกวันนี้ด้วยกระแสปากต่อปาก ทำให้มีช่วงที่พักเต็มเหมือนกัน

"แม้ค่าเช่าไม่กี่ร้อยบาท จะได้กำไรไม่มาก แต่เรียกว่า พออยู่ได้ อยู่แบบพอเพียงแล้วกัน"




นอกจากพี่อ๊อฟ ผู้ใจดีแล้ว .... เอกลักษณ์อีกอย่างของ บ้านอ้ายหล้า คงเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากบรรดาน้องเหมียวทั้งหลาย ผมเชื่อว่าต้องเป็นที่ถูกใจของคนรักแมวแน่นอน

หลายคนอาจเคยเห็นเจ้าแมวอ้วน ที่นอนเอกเขนกอยู่บริเวณโถงด้านล่าง เวลานี้ เค้าเป็นคุณแม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

บรรดาเหมียวตัวเล็ก ซุกซนกันน่าดู อาจจะประหลาดใจบ้าง เมื่อเห็นกล้องของผม แต่ซักพักเมื่อเริ่มคุ้นเคย ก็จะมาคลอเคลียตามเเข้งขา แถมยังมาตีสนิทถึงขั้นกระโดดเกาะนอนบนพุงกันเลยทีเดียว

พี่อ๊อฟ บอก ยังมีแมวพันธุ์เปอร์เซีย อีก 2 ตัวอยู่ที่ห้อง ผมเห็นเเว่บๆ แต่ยังไม่ได้ไปทักทาย เพราะผมใช้เวลาอยู่ที่โถงด้านล่างมากกว่า



กองทัพแมวอ้วน นอน และเดินกันให้วุ่น เค้าถือเป็นเจ้าของบ้านนะครับ

ดังนั้น จะเดิน จะนั่ง ระวังไปทับเข้าให้ล่ะ



พี่อ๊อฟ เล่าให้ฟังครับว่า ตอนแรกมีแมวไม่กี่ตัว ตอนนี้เห็นทีต้องทำหมันแล้ว .. ที่น่าประทับใจอีกอย่าง คือ แขกที่มาพักบางคน ซื้อของฝาก มาฝากให้พี่อ๊อฟ เป็นพวกอุปกรณ์ตกแต่ง เกี่ยวกับแมว

บ้านอ้ายหล้า กับ น้องแมวเหมียว จึงเป็นของคู่กันไปแล้ว



กิจการบ้านอ้ายหล้านั้น ถือเป็นกิจการครอบครัว

พี่อ๊อฟ เล่าว่า "ตัวเองก็เคยไปเที่ยวนะ ไปโรงแรมหรูๆ ดีๆนี่แหละ ซึ่งบรรยากาศของโรงเเรม เค้าดูแลตามมาตรฐาน แต่เมื่อส่งกุญแจห้องให้แล้ว ก็ไม่มาแนะนำอะไรเราอีก เรามาคิดในมุมกลับมา ถ้าแขกมาพัก มาเที่ยวครั้งแรกไม่ค่อยรู้ข้อมูลอะไร คงรู้สึกดี ถ้าเจ้าของมาแนะนำที่เที่ยว ที่กินให้"

... พี่อ๊อฟ บอกว่า "ความสุขจากการทำงานตรงนี้ คือ การเห็นแขกที่มาพักมีความสุข"



ตรงโถงด้านล่าง นอกจากมีอินเตอร์เน็ตให้บริการฟรี 2 เครื่อง มีโต๊ะให้นั่งทำงาน นั่งจิบกาแฟสบายๆแล้ว ยังมีที่นั่งให้ดูหนัง ฟังเพลงด้วย

ผมยังไม่ได้ใช้บริการ แต่ได้เห็นหนังแต่ละเรื่องแล้ว ต้องยกนิ้วให้เลยว่า รสนิยมในการดูหนังของพี่อ๊อฟไม่ธรรมดาเลย



นอกจาก พี่อ๊อฟ และน้องเปิ้ล แล้ว ผมได้รู้จักผู้ทำงานใน บ้านอ้ายหล้า อีก 2 คน คนแรก คือ ลุงมานิตย์

ลุงมานิตย์เป็นคนขับรถ ตุ๊กตุ๊ก ประจำบ้านอ้ายหล้าแห่งนี้ นักท่องเที่ยวคนไหน จะไปจะมา หรือให้ไปรับ ส่งที่ไหน สามารถโทรผ่านบ้านอ้ายหล้า หรือ ผ่านลุงมานิตย์โดยตรงได้

แน่นอนว่า ราคาค่าโดยสาร ไม่มีการเก็บเกินจริง ผมจึงเห็นลุงมานิตย์ออกไปรับส่งแขกผู้มาพักอยู่ตลอดทั้งวัน

ลุงมานิตย์เล่าว่า "เมื่อก่อนผมเคยทำงานอยู่กรมการศาสนาในกรุงเทพฯนั่นแหละ ตอนนี้มาทำงานที่นี่ก็สบายใจดี ไม่ยุ่ง ไม่วุ่นวาย"

ผมเองมีโอกาสได้ใช้บริการรถตุ๊กตุ๊กของลุงด้วย เพราะจะไปเช่ามอเตอร์ไซต์แถวประตูท่าแพ

ความจริงแล้ว บ้านอ้ายหล้า ติดต่อร้านเช่าได้โดยตรงนะครับ แต่มีเหตุผลอะไร ผมถึงต้องไปถึงประตูท่าแพนะ ?



ย้อนอดีตกลับไปในสมัยมัธยม .. ผมเริ่มต้นฝึกขับรถมอเตอร์ไซต์ด้วยรถมอเตอร์ไซต์มีคลัทช์มือ นั่นจึงทำให้ผมคุ้นเคยกับการต้องบีบคลัทช์ก่อนรถออกตัวอยู่เสมอ

แต่ครั้งหนึ่งสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผมยืมรถมอเตอร์ไซต์ ฮอนด้า ดรีม ของเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งมาใช้ ---- ได้เรื่องครับ ... บิดทีเดียว รถพุ่งไปแฉลบรถยนต์ของอาจารย์ก่อนจะมุดลงไปใต้อาคารอีกที

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมจึงขอลาขาดจาก รถมอเตอร์ไซต์ประเภทไร้คลัทช์

ลุงมานิตย์จึงมาส่งผมแถวประตูท่าแพ บอกว่าให้เลือกหาได้เลย มีหลายร้านในละแวกนั้น ผมไปร้านแรกๆ เจอร้านประเภทที่ไม่ให้คนไทยเช่า แต่ก็เดินหาเจอจนได้ล่ะ

ค่าเช่ารถมีตามประเภท ตั้งแต่ 200 -800 บาท ผมเลือก honda phantom วันละ 600 บาท ต่อรองมาได้เป็น 2 วัน 1 พัน แต่ต้องจ่ายมัดจำไว้ 3000 แน่ะ

เอาน่ะ .. แลกกับความปลอดภัยของตัวเอง และผู้อื่น ขืนเช่า Honda Dream หรือ Wave คงไปไม่พ้นหน้าร้านแน่ๆ




อีกคนหนึ่งที่ผมรู้จัก คือ วิทย์ รปภ. ประจำเกสต์เฮ้าส์นั่นเอง

วิทย์เป็นคนเชียงราย มาทำงานเป็น รปภ. ของบ้านอ้ายหล้า ทุกๆวัน วิทย์เริ่มทำงานตั้งแต่ 2 ทุ่ม ถึง 8 โมงเช้า หน้าที่คือ คอยเดินตรวจตราความเรียบร้อย รวมทั้งฝากกุญแจไว้ให้ผู้มาเข้าพัก ในขณะช่วงที่พี่อ๊อฟปิดเคาท์เตอร์

วิทย์เป็นคนพูดน้อย เเม้ดูเหมือนว่าเขาจะชอบคุยกับคนอื่น แต่มักเป็นผู้ฟังที่ดี ... ผมนั่งคุยกับวิทย์ จึงเป็นฝ่ายเล่าอะไรต่ออะไรให้วิทย์ฟังมากกว่า

แต่ดูเขาจะชอบที่มีเพื่อนมาแวะนั่งคุยยามดึกนะครับ ใครกลับดึกๆ หรือตื่นเช้า แวะทักทาย วิทย์ บ้างแล้วกัน



กลับมาที่เรื่องราวของบ้านอ้ายหล้ากันต่อ

พี่อ๊อฟ แสดงถึงความเอาใจใส่ต่อลูกค้าตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อทราบว่า ผมไปเช่ารถมอเตอร์ไซต์มาเอง ก็เอาแผนที่มาตั้งวางให้ (ซึ่งคาดว่า น่าจะแนะนำให้กับลูกค้ามือใหม่เที่ยวเชียงใหม่ทุกคน)

พี่อ๊อฟ ใช้ปากกาไฮไลต์ ขีดบอกเส้นทางให้ผมทราบคร่าวๆ ว่าทางนี้ไปไหน จะไปที่ไหนได้บ้าง มีร้านน่ากิน น่าซื้อ สถานที่น่าสนใจ ตรงไหน ขับรถไปอย่างไร

แผนที่ช่วยผมได้มากครับ ถึงแม้ว่าผมจะขับหลงในเมืองอยู่หลายรอบก็ตาม

>

มาว่ากันที่อาหารการกิน - ราคาที่พัก บ้านอ้ายหล้า นั้น ไม่รวมอาหารเช้า ถ้าจะรับอาหารเช้า ต้องสั่งแยกต่างหาก อาหารเช้ามีทั้งหมด 3 ชุด ราคาเท่ากัน คือ 50 บาท มีอาหารที่เหมือนกัน คือ ผลไม้ และชา หรือกาแฟ

แต่จะแตกต่างกันในเมนูหลัก คือ ชุดแรก เป็น คุกกี้ ชุดที่สอง เป็น พาสต้า และชุดที่สาม เป็นข้าวต้ม

แน่นอนว่า ผมเลือกข้าวต้ม ทานอุ่นๆ ตอนเช้า อร่อยดี ชอบมาก .. ผมสังเกตเห็นลูกค้าชาวไทยหลายคนเลือกเมนูนี้กันแยะเชียว

พี่อ๊อฟ บอกว่า "อาหารเช้าที่นี่ ไม่อยากทำให้เหมือนคนอื่น ทำแบบง่ายๆนี่แหละ เป็นเอกลักษณ์ดี"



นอกจากอาหารเช้าแล้ว บ้านอ้ายหล้า มีกาแฟรสชาติกลมกล่อมให้แก่ลูกค้าปริมาณ และรสชาติ ไม่แพ้กาแฟยี่ห้อดังๆ แต่ราคาถูกกว่ากัน 3 เท่า

ผมลองไป 2 อย่าง แต่ชอบ Caramel Macchiato มากที่สุด

การได้ตื่นมาเช้าๆ (จริงๆน่ะตื่นสายนะ) จิบกาแฟ ดูคนที่ขับรถผ่านไปมาหน้าเกสต์เฮ้าส์ นับเป็นการผ่อนคลายที่ดีมาก

ดังนั้น บ้านอ้ายหล้า จึงเป็นร้านกาแฟ สำหรับคนทั่วไปด้วย.. บรรยากาศดีๆ ลูกแมวน่ารัก และอัธยาศัยของผู้ให้บริการ คงขายได้วันละหลายแก้ว





ขณะที่นั่งเล่นบริเวณโถงด้านล่าง ผมสังเกตเห็นอมยิ้มนับร้อย อยู่ในพานใบเบ้อเริ่ม ตอนแรกนึกว่า ใครจะเอาไปแจกเด็กๆที่ไหน

แต่พี่อ๊อฟบอกว่า เอาไว้ให้ลูกค้านั่นแหละ หยิบได้เลย ไม่เสียตังค์

"ลูกค้าจะได้มีรอยยิ้มไง"



การนั่งเล่นบริเวณโถงด้านล่างไปเรื่อยเปื่อย แม้จะดูใช้เวลาไม่คุ้มค่า แต่นั่นทำให้ผมได้เพื่อนใหม่อีกหนึ่งคน .. เพื่อนคนนี้เป็นชาวญี่ปุ่น ชื่อ มาสะ (Masa)

ผมนั่งจิบกาแฟอยู่ด้านใน ส่วน มาสะ นั่งดูดบุหรี่ปุ๋ยๆอยู่ด้านนอก เรายิ้มทักทายกัน และถามไถ่ว่า มาจากไหน ทำอะไร

มาสะ พูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว ทำให้การสื่อสารระหว่างเราง่ายขึ้น เขาเล่าว่า เป็นช่างตัดผมในโตเกียว แต่เลิกกิจการแล้ว ตอนนี้ยังไม่อยากคิดอะไรมาก ขอเดินทางท่องเที่ยวก่อน แต่ในอนาคต อยากลองไปทำงานในออสเตรเลีย เพราะพอจะมีเพื่อนฝูงอยู่ที่นั่น

ซึ่งไม่รู้ว่าดวงผม สมพงษ์กับ มาสะ หรือยังไง ทำให้ผมเจอเขาบ่อยมาก แทบทุกครั้งที่มานั่งตรงโถงด้านล่าง

มาสะ เองก็คุยเก่ง ถามทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องท่องเที่ยว ค่าครองชีพ เศรษฐกิจ -สังคมไทย ยันไปจนเรื่องปัญหาชายแดนระหว่างไทย - กัมพูชา

วันสุดท้าย มาสะ เดินทางออกจาก บ้านอ้ายหล้า ก่อนผม เพราะจะเดินทางไปเที่ยวปาย เมื่อรถสองแถวมารับปุ๊ป ผมเห็น เขาคุยจ้อกับฝรั่งบนรถได้ทันที ... ช่างทำผม ต้องคุยเก่งทุกคนแน่ๆเลย



วันสุดท้ายที่บ้านอ้ายหล้า ผมนึกขึ้นมาได้ว่า ยังไม่ได้ซื้อแสตมป์สำหรับปิดโปสการ์ด ส่งไปให้พ่อกับแม่ที่บ้านเลย ผมจึงเดินไปขอซื้อจากพี่อ๊อฟ

"พี่อ๊อฟ มีแสตมป์ 2 บาท ไหมครับ ผมขอซื้อหน่อยสิ"

พี่อ๊อฟ บอกว่ามี แล้วเดินไปค้นจากกระเป๋าเอามาให้

"เอาไปเลย ให้ฟรีๆ แต่เดี๋ยวนี้ ส่งโปสการ์ดเค้าใช้ 3 บาทแล้วจ้ะ"

.... โอ้ว เชยจริงเรา





เชื่อว่า บ้านอ้ายหล้า คงเป็นทางเลือกที่หลายๆคนถูกใจ แม้ไม่หรูหราขนาดโรงแรมห้าดาว แต่ก็เต็มไปด้วยมิตรภาพ และความประทับใจไม่แพ้กัน

//www.banilah.com





Create Date : 12 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 12 พฤศจิกายน 2551 17:46:07 น. 12 comments
Counter : 13582 Pageviews.  

 

:::::<>:::::
สุขสันต์วันลอยกระทงนะค่ะ
:::::<>:::::


โดย: the river of Aquarius วันที่: 12 พฤศจิกายน 2551 เวลา:22:10:02 น.  

 
อยากไปเที่ยว ว ว ว ว ว ว ....


โดย: ใสแจ๋วแหว๋ว วันที่: 13 พฤศจิกายน 2551 เวลา:1:39:28 น.  

 
จะไปเร็วๆนี้เหมือนกันค่ะ ขอถามเกี่ยวกับราคาตั๋วรถไฟหน่อยค่ะ ว่าตอนไป เป็นเที่ยวแบบไหน ราคาเท่าไหร่ค่ะ
maykhong@hotmail.com
(นี่เป็นการเดินทางครั้งแรกเลยค่ะ ไกลที่สุดในชีวิตเลยน้า)
ขอบคุณมากๆๆค่า


โดย: เมย์ IP: 119.160.212.215 วันที่: 14 พฤศจิกายน 2551 เวลา:16:56:21 น.  

 
เขียนเก่งมากๆเลยค่ะ
ลองส่งไปที่ตามหนังสือพิมพ์ หรือนิตยาสารดู
อาจได้งานโดยไม่รู้ตัว


โดย: m IP: 58.8.112.189 วันที่: 16 ธันวาคม 2551 เวลา:17:18:29 น.  

 
ชอบการเล่า และรูปของคุณ POGGHI มากค่ะ
อ่านมา 2-3 เรื่องแล้ว


วันนี้ ว่างๆ มาตามไล่อ่านเรื่องเก่าๆในบล็อกสักหน่อย

ปล.น้องเหมียวน่ารักจังค่ะ


โดย: YCL&ZXT IP: 222.123.141.27 วันที่: 17 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:39:31 น.  

 
เข้ามาอ่านแล้วชักจะอยากเปลื่ยนใจมาพักที่นี่แล้วสิ (ตอนแรกเล็งแถวท่าแพไว้) แต่เอาที่นี่ดีกว่าน้องเหมียวเยอะ ชอบ


โดย: A A IP: 118.172.172.53 วันที่: 17 ตุลาคม 2552 เวลา:10:50:26 น.  

 
ลาพักร้อนไปเชียงใหม่วันที่ 20 ม.ค. นี้ค่ะ
ตัดสินใจเลือกที่พักบ้านอ้ายหล้าจากรีวิว หลายๆ คนใน BP
แต่สิ่งที่ทำให้ตัดสินใจได้ว่าที่นี้แหละ คิดถูกแล้ว..
ก็คือ blog ของคุณ ป๊อกกี้ ^_^

อยากไปเล่นกับแมวค่ะ
.. ขอบคุณที่รีวิวบ้านน่ารักๆ ให้ได้อ่านเก็บข้อมูลในมุมที่แปลกออกไปนะคะ


โดย: ดักแด้น้อยคอยรัก วันที่: 4 มกราคม 2553 เวลา:23:28:31 น.  

 
เขียนได้น่าอ่านมาก,รูปน่ารักดี จะเข้ามาอ่านอีกคะ
ไว้จะลองไปพักดู บ้านอ้ายหล้าชื่อเมืองขนาดเจ้า


โดย: วรรณรวี IP: 10.59.161.223, 58.147.0.186 วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:37:14 น.  

 
ไปมาครั้งหนึ่งแล้วครับ ช่วงเดือน มีนา ปีที่แล้ว ประทับใจมาก ไม่ไกลจากถนนใหญ่อย่างที่มีคนเคยบอกนะ ผมลงหน้าตลาดธานินทร์ เดินดูโน่นดูนี่เรื่อยๆ ก็ถึงแล้ว ...พักห้องแอร์ 500 บาท ห้องเล็กๆ สวยงาม ....ปีนี้ ปลายเมษา...ว่าจะไปพักที่นี่อีก ( ฝากไว้ก่อนเจ้าแมวยักษ์ ครั้งที่แล้วไปไม่เห็น ฮิๆๆ )


โดย: คนปากช่อง IP: 118.174.43.194 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:0:14:28 น.  

 
น่ารักมากค่ะ ภาพสวย บรรยายเยี่ยม ^^


โดย: ไอ้หัวบุบ IP: 203.159.97.3 วันที่: 4 พฤษภาคม 2554 เวลา:11:26:52 น.  

 
ขอบคุณกับเรื่องเล่าดีดี ภาพก็สวย


โดย: หนูดี ไม่มีไม้จัตวา IP: 101.109.182.222 วันที่: 8 มกราคม 2555 เวลา:13:01:19 น.  

 
ทุกอย่างยังเหมือนเดิมเลยค่ะ ยกเว้นเด็กๆ ที่โตขึ้นมากเลยทีเดียวนะคะ


โดย: โยมากอด IP: 184.22.64.221 วันที่: 8 เมษายน 2562 เวลา:10:22:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

POGGHI
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




..

บทความ และผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog นี้
สงวนลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗

ห้ามผู้ใดละเมิด ด้วยการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ และ ผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร


POGGHI

..
[Add POGGHI's blog to your web]