|
 |
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | 31 | |
|
|
 |
18 มีนาคม 2552
|
|
|
|
อิ่มอุ่นชาชั้นดี วิถีชีวิตเรียบง่าย สุขสันต์วาเลนไทน์ ประทับใจดอยวาวี (เชียงราย) ตอนที่ 1
.
ใครหลายคนถามผมว่า ขึ้นไปทำอะไรบนดอยวาวีเพียงแห่งเดียว ตั้ง 3 วัน 2 คืน เพราะเท่าที่เคยรู้มา ดอยเล็กๆในจังหวัดเชียงรายแห่งนี้ ไม่น่าจะมีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายจนต้องใช้เวลามากมายขนาดนั้น
ผมตอบว่า ไม่ได้ขึ้นดอยเพื่อเที่ยวชมสถานที่ท่องเที่ยว แต่มีจุดมุ่งหมายของการเดินทาง คือ ต้องการไปสัมผัสกับวิถีชีวิตในชุมชนแห่งหนึ่งมากกว่า
ชุมชนที่เต็มไปด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรม ผสมผสานกันระหว่างเชื้อชาติ และประเพณี
ชุมชนที่ยังมีชีวิตเรียบง่าย สงบ และไม่มีสิ่งแปลกปลอมมาปะปนเป็นส่วนเกินมากนัก
ชุมชนที่เปี่ยมล้นไปด้วยน้ำใจไมตรีหยิบยื่นให้กับผู้มาเยือน
ชุมชนเล็กๆแห่งนั้น ชื่อว่า “วาวี”
.

.
“ก่อนถึงดอยวาวี”
หลังกลับมาจากเมืองน่าน ผมยังติดใจกับอากาศเย็นสบายของภาคเหนือ จึงตั้งใจแน่วแน่ว่า ขอทิ้งท้ายปลายฤดูหนาวที่ภาคเหนืออีกสักครั้ง
เมื่อเริ่มค้นหาข้อมูลทั้งจากหนังสือ และอินเตอร์เน็ต มีสถานที่ท่องเที่ยวในภาคเหนือที่อยากไปอีกมากมาย แต่ข้อมูลที่สะดุดใจมากที่สุด คือ เรื่องราวการเดินทางไปยังดอยวาวี-ดอยช้าง ผลงานเขียนของ “คุณธเนศ งามสม” นักเขียนชื่อดังประจำอนุสาร อ.ส.ท.
ผมสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมอีกหลายๆแหล่ง พบว่าดอยวาวี และดอยช้างเป็นพื้นที่ชุมชนเกษตรกรรมเรียบง่าย ไม่มีสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่ใครๆต้องรู้จัก ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเหมือนแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม รวมทั้งยังไม่ค่อยสะดวกสบายนักหากเดินทางไปโดยไม่มีรถส่วนตัว
แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี่เอง กลับเป็นสิ่งดึงดูดใจให้ผมอยากเดินทางไปเยือน เพราะนั่นเป็นเสน่ห์ที่ผมคงไม่อาจสัมผัสได้จากแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้นๆขึ้นชื่อทั้งหลาย
อย่างไรก็ตาม การไม่มีรถส่วนตัว ทำให้ผมจำต้องเลือกเอาที่ใดที่หนึ่ง เพื่อประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย และจะได้มีโอกาสเก็บรายละเอียดในการเดินทางให้มากขึ้น
ท้ายที่สุด ผมจึงตัดสินใจเลือกดอยวาวี ชุมชนแห่งไร่ชา
..

..
บ่อยครั้งที่การเดินทางของผม มักได้รู้จักเพื่อนใหม่ชาวต่างชาติ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
รถทัวร์มุ่งสู่เชียงรายในคืนวันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ นั้น ผู้โดยสารเกือบทั้งหมด น่าจะเป็นคนในพื้นที่ ทว่ามีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติคู่หนึ่งเดินทางไปด้วย
เราทักทายกันระหว่างพักรับประทานอาหารที่พิษณุโลก ชายหนุ่มร่างใหญ่เป็นชาวออสเตรเลีย ส่วนสาวคนรักเป็นชาวอังกฤษ ขณะที่ก่อนแนะนำตัว ผมก็กลายเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในสายตาของทั้งคู่ (ทั้งๆที่หน้าตาออกจะไท๊ยไทย)
ผมฟังเรื่องราวความรักของทั้งสองคนแล้วรู้สึกว่า พรหมลิขิตบันดาลชักพาให้ได้มาเจอกันจริงๆ ฝ่ายชายข้ามน้ำข้ามทะเลไปทำงานที่อังกฤษ ข้ามไปข้ามมา จนกระทั่งพบรักกับฝ่ายหญิงที่นั่น
การเดินทางจากอังกฤษไปออสเตรเลีย หรือออสเตรเลียไปอังกฤษ มีประเทศไทยเป็นจุดพักระหว่างทาง ทั้งคู่จึงมีโอกาสมาเที่ยวเมืองไทยด้วยกันบ่อยๆ
ฝ่ายหญิงกระซิบบอกว่า แฟนหนุ่มของเธอชอบมวยไทยมาก เธอเองลองไปฝึกด้วย จนปวดเมื่อยไปทั้งตัว แต่ยอมฝึกฝนอดทนเพื่อคนรัก - Love me Love Muay Thai
ก่อนแยกย้ายกันไปในเวลาเช้า ผมถ่ายภาพทั้งคู่เป็นที่ระลึก แล้วเพิ่งมานึกออกทีหลังว่า คุยกันตั้งนาน ดันลืมถามชื่อซะนี่ ... ไม่เป็นไร ผมจะจำคู่รักคู่นี้ไว้ในชื่อ “หนุ่มออสซี่กับสาวผู้ดีอังกฤษ”
..

..
สถานีขนส่งเชียงราย มีรถโดยสารไปยังอำเภอแม่สรวย 2 ประเภท คือ
รถเมล์ปรับอากาศ เชียงราย - เวียงป่าเป้า – เชียงใหม่ และรถเมล์ธรรมดา เชียงราย – แม่ขะจาน
สำหรับเวลาเช้าตรู่ 6 โมงเศษ มีเพียงรถเมล์ธรรมดาให้บริการ แต่ถึงจะมีรถเมล์ปรับอากาศ ผมคงไม่เลือก เพราะอุณหภูมิเช้าวันนั้น ประมาณ 15 องศา ขอสัมผัสกับแอร์ธรรมชาติดีกว่า
รถเมล์ธรรมดาจาก สถานีขนส่งเชียงราย ไปยัง ที่ว่าการอำเภอแม่สรวย ใช้เวลาประมาณ 40 นาที (ราคาค่าโดยสาร 32 บาท)
เมื่อมาถึงที่ว่าการอำเภอแม่สรวย ผมยังต้องนั่งทนหนาว รอรถสองแถวสีเหลืองอีกชั่วโมงเศษ แต่คนขับรถคันแรกที่ลงมาจากดอย ติดธุระต้องไปที่อื่นเสียอีก ต้องนั่งรอรถคันที่สอง ซึ่งกว่าจะได้ฤกษ์เดินทางขึ้นสู่ดอยวาวี ก็เป็นเวลาเกือบ 10 โมงเช้าแล้ว
. ฝั่งตรงข้าม ที่ว่าการอำเภอแม่สรวย คือ ร้านที.โอ. มินิมาร์ทขนาดใหญ่ เป็นที่จอดรถสองแถวสีเหลืองสดใส ที่จะนำผู้โดยสารขึ้นไปยังดอยวาวี ระยะทางประมาณ 55 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณเกือบชั่วโมง
.

.
“หนุ่มน้อยรถสีเหลือง”
เมื่อรถสองแถวคันที่สองมาถึง ผมเดินไปถามเด็กหนุ่มคนขับรถว่า รถจะขึ้นดอยกี่โมง ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ เด็กหนุ่มคนนั้น ตอบกลับมาด้วยอัธยาศัยที่ดี
เมื่อเห็นว่าท่าทางจะเป็นคนที่คุยกันได้ ผมจึงนั่งด้านหน้า ข้างคนขับซะเลย การนั่งข้างคนขับรถทำให้ผมมีโอกาสถ่ายรูประหว่างทางสะดวกขึ้น ถ่ายรูปไปคุยไปเกี่ยวกับหมู่บ้านดอยวาวี รวมทั้งทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่รุ่นน้องไปในตัว
เด็กหนุ่มคนนี้ ชื่อ “เป้า” (เป็นชื่อภาษาจีน มีความหมายว่า ลูกแก้ว)
เป้า เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนจีนในหมู่บ้าน อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะสำเร็จการศึกษาแล้ว ด้วยตารางเวลาเรียนที่มีเฉพาะช่วงเช้าตรู่ กับ ช่วงเย็น ทำให้ในเวลากลางวัน เป้า มีเวลาว่างที่จะหารายได้จากการขับรถสองแถว และมารับผักจากอำเภอแม่สรวยขึ้นไปขายบนดอย
“พี่รู้ไหมว่า ผมแทบไม่ได้พูดภาษาไทยมาประมาณ 2 เดือนแล้ว” เป้า บอกผมขณะที่คุยกันได้พักใหญ่
“อ้าว แล้วบนดอยวาวี เขาไม่พูดภาษาไทยกันบ้างเหรอ”
“จริงๆแล้วพูดกันได้แทบทุกคนครับ แต่ว่าจะพูดภาษาจีนกันมากกว่า หรือถ้าเป็นพวกชาวเขา ก็จะพูดภาษาของแต่ละเผ่ากันไป”
“พี่อ่านข้อมูลมา ดอยวาวีเป็นชาวจีนยูนนาน แตกต่างกับคนจีนทั่วไปยังไงเหรอ”
“ความจริงแล้วไม่ต่างกันครับ คนจีนยูนนาน คล้ายกับคนไทยภาคอีสาน ภาคเหนือ หรือภาคใต้ น่ะครับ ภาษาจีนยูนนาน ก็คือ ภาษาท้องถิ่นนั่นเอง”
..

..
แม้ว่า เป้า จะไม่ค่อยได้พูดภาษาไทยในชีวิตประจำวัน แต่หนุ่มน้อยคนนี้ชื่นชอบการดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ เขาเล่าให้ฟังว่า เคยแอบหนีแม่เข้าไปในตัวเมืองเชียงรายเพื่อดูหนังแอ็คชั่นจากฮอลลีวูดเรื่องใหม่ที่เข้าฉาย
แต่ขณะเดียวกัน เป้า ก็ไม่ทิ้งความบันเทิงภาคภาษาจีน
“บนดอยติดสัญญาณรับทีวีจากจีนได้นะครับ คนบนดอยมักจะดูหนังจีนกัน”
“แล้วดูทีวีของไทยกันบ้างไหม”
“ดูครับ โดยเฉพาะละครหลังข่าวเนี่ย ดูกันแทบทุกบ้านล่ะ”
.

.
“ข้าวซอยรสเด็ดของพี่ดารินทร์”
รถสองแถวสีเหลืองส่วนใหญ่ จอดส่งผู้โดยสารปลายทางที่ตลาดในหมู่บ้านวาวี ผมอ่านข้อมูลมาว่า ราคาค่าโดยสารจากตีนดอย ขึ้นมายังหมู่บ้าน ราคา 80 บาท แต่ เป้า เก็บผมเพียงแค่ 60 บาทเท่านั้น (หรือว่าค่ารถอาจจะปรับตัวลงตามราคาน้ำมันในตลาดโลก)
กว่าจะมาถึงหมู่บ้านวาวี ก็เป็นเวลาเกือบเที่ยง ท้องผมเริ่มร้องจ้อกๆ
“เป้า รู้ไหมว่า ร้านข้าวซอยดังๆอยู่ที่ไหน พี่อ่านมาจากหนังสือ เขาบอกว่าร้านป้าดารินทร์”
“อ๋อ รู้ครับ เดี๋ยวผมไปส่ง” เป้าตอบ ก่อนจะขอเวลาขนผักลงจากรถ
ความจริงแล้วระยะทางจากตลาดไปร้านข้าวซอย ห่างกันเพียงไม่กี่สิบเมตร แต่ เป้า คงกลัวผมหลง จึงอุตส่าห์ขับรถมาส่งถึงหน้าร้าน
.
เมื่อถึงร้านข้าวซอย ผมทักทาย แล้วถามคนขายว่า “ป้าดารินทร์ใช่ไหมครับ”
“จ้ะ อ่านจากหนังสือมาเหรอ ถึงรู้จักร้านนี้ได้”
“ใช่ครับ หนังสือของ ททท. น่ะครับ เขาเขียนว่า มาเดินในหมู่บ้าน ต้องแวะทานข้าวซอยร้านป้าดารินทร์”
“อ๋อๆ ของ ททท.ใช่ไหม เขียนให้พี่ซะแก่เป็นคุณป้าเลย จริงๆแล้วเรียกพี่ หรือเรียกเจ๊ ก็ได้” เธอพูดพร้อมด้วยเสียงหัวเราะ
ดังนั้น ผมจึงเรียกคนขายอารมณ์ดีคนนี้ว่า “พี่ดารินทร์”
.

..
พี่ดารินทร์ นับถือศาสนาอิสลาม ร้านข้าวซอยแห่งนี้ จึงเป็นข้าวซอยเนื้อไก่ นอกจากนั้นยังมีก๋วยเตี๋ยว กับซาลาเปา ขายด้วย
“วันหลัง ถ้าจะถามคนอื่น ให้ถามถึงร้านข้าวซอยอิสลามนะ รับรองว่าที่นี่รู้จักทุกคน แต่ถ้าไปถามว่าร้านข้าวซอยดารินทร์ เดี๋ยวเค้าจะงงว่าอยู่ตรงไหน” พี่ดารินทร์ บอกผมขณะที่กำลังปรุงข้าวซอยอย่างคล่องแคล่ว
พี่ดารินทร์ เล่าว่า สมัยยังเด็ก อยู่บนดอยห้วยชมพู ไกลจากวาวีขึ้นไป จนกระทั่งอายุราว 12 ปี จึงย้ายลงมาที่หมู่บ้านวาวี จนถึงปัจจุบัน และได้เปิดร้านข้าวซอยแห่งนี้มาได้ราว 10 ปีแล้ว
ข้าวซอยของพี่ดารินทร์ เป็นข้าวซอยฮ่อ ปรุงสดๆ รสชาติอร่อย แทบไม่ต้องปรุงรสใดๆเพิ่ม นอกจากนี้ยังมีซาลาเปาให้เลือกทานอีก 3 รส คือ ไส้มะพร้าว ไส้เค็ม (ไก่) และไส้หวาน (ถั่วดำ)
วันนั้นผมได้ลองซาลาเปาไส้มะพร้าวไปหนึ่งลูก รสชาติหวานมันอร่อย
“เดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาลองไส้เค็มนะครับ”
.
รูปประกอบ – ร้านข้าวซอยอิสลามของพี่ดารินทร์ เปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึงประมาณ 4 โมงเย็น
ข้าวซอยชามโต รสชาติกลมกล่อม ใส่เกี๊ยวไก่อีก 3-4 ชิ้น พร้อมผักดองเป็นเครื่องเคียง และน้ำชาร้อนๆ 1 แก้ว ราคาถูกชนิดที่หาไม่ได้ในเมือง เพราะทั้งหมดนี้เพียง 20 บาท ผมจ่ายรวมซาลาเปาอีก 1 ลูก เป็น 25 บาท อิ่มจนพุงกาง
..

“สวัสดี หมู่บ้านวาวี”
หลังจากอิ่มหมีพีมันในรสชาติข้าวซอยของพี่ดารินทร์ไปแล้ว ผมเริ่มเดินสำรวจตามเส้นทางของหมู่บ้านวาวี ซึ่งบ้านเรือนแต่ละหลังผสมผสานกันทั้งบ้านไม้ และบ้านปูนสมัยใหม่ แต่เกือบทุกบ้าน มักมีกลิ่นอายของวัฒนธรรมชาวจีนให้เห็น
บ่ายๆวันศุกร์นั้น เงียบสงบมาก ผมเดินถ่ายรูปอยู่นานสองนาน แทบไม่เจอผู้คนผ่านไปมา จนบอกกับตัวเองเหมือนกันว่า “เงียบเกินไปหรือเปล่าเนี่ย”
..

..
แต่ในความเงียบ ยังมีความเคลื่อนไหวซุกซ่อนอยู่ หากเราค้นหาอย่างใจเย็น เพราะบ่นกับตัวเองไม่ทันไร ผมเดินมาเจอสมาชิกตัวน้อยของหมู่บ้าน มะรุมมะตุ้มอยู่กับการระบายสี และประดิษฐ์ตุ๊กตาปูนปลาสเตอร์
เด็กๆ บอกกับผมว่า ไม่ได้ทำส่งเป็นการบ้าน หรือเป็นงานที่โรงเรียน แต่พวกเขาทำเอาไว้เป็นของเล่น .
 ..
ผมเดินสำรวจไปเรื่อยๆ พบร้านตัดเสื้อร้านหนึ่ง มีคุณยาย กับหลานสาวตัวน้อยวัย 2 เดือน
หลานสาวติดคุณยายมาก เพราะคุณยายวางลงบนรถเข็น แล้วขอตัวไปซื้อของร้านฝั่งตรงข้ามครู่เดียว หลานสาวตัวน้อยก็ร้องไห้จ้าทันที

..
“คุณครูยิ่งผิง”
เยื้องกับร้านตัดเย็บของคุณยาย เป็นร้านถ่ายรูป และขายของที่ระลึก ผมเห็นคุณพี่สาวในร้าน กำลังประดิษฐ์ดอกไม้สำหรับวันวาเลนไทน์ จึงแวะเข้าไปทักทาย
เมื่อแนะนำตัวกันพอเป็นพิธี ผมจึงทราบว่าพี่สาวคนนี้เป็นคุณครูสอนอยู่ในโรงเรียนภาษาจีนของหมู่บ้าน เธอชื่อ “คุณครูยิ่งผิง”
คุณครูยิ่งผิง กับสามี เปิดร้านถ่ายรูปง่ายๆ ด้วยกล้องดิจิตอลกึ่งโปร และแบ่งพื้นที่ร้านบางส่วนไว้ขายของที่ระลึก คุณครูเล่าให้ผมฟังว่า
“เมื่อก่อนเด็กๆในหมู่บ้านจะลำบากค่ะ เวลาที่จะใช้รูปถ่ายติดบัตร หรือถ่ายกันเองเล่นๆ ต้องนั่งรถลงจากดอยไปถ่ายรูป ล้างรูปในเมือง พี่กับแฟนก็เลยเปิดร้านนี้ขึ้น เรายังถ่ายไม่เก่งเท่าไหร่หรอกค่ะ อาศัยว่าฝึกฝน และอ่านจากหนังสือบ้าง ตกแต่งจากคอมพิวเตอร์เอาบ้าง ถ้าน้องมีอะไรจะแนะนำพี่ก็แนะนำได้เลยนะคะ”
.
รูปประกอบ – คุณครูยิ่งผิงง่วนอยู่กับการประดิษฐ์ดอกกุหลาบ คุณครูบอกผมว่า ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่นในหมู่บ้าน
ในวันนั้นร้านของคุณครูจึงมีทั้งดอกกุหลาบประดิษฐ์ ดอกกุหลาบจริง ช็อกโกแลต และของที่ระลึกต้อนรับวาเลนไทน์
..

ผมฝากสัมภาระไว้ที่ร้านคุณครูยิ่งผิง แล้วขอตัวไปเดินสำรวจถนนหนทางใกล้ๆ
เวลาประมาณบ่าย 2 โมง เป็นเวลาเลิกเรียนของนักเรียนระดับประถมโรงเรียนไทยพอดี บรรยากาศถนนที่เงียบไร้ผู้คน จึงเริ่มคึกคักมีชีวิตด้วยบรรดาเด็กๆที่ทยอยกันกลับบ้าน
โรงเรียนในหมู่บ้านวาวี มีโรงเรียนใหญ่ 3 แห่ง คือ
โรงเรียนประถมศึกษา (บ้านวาวี) โรงเรียนมัธยมศึกษา (วาวีวิทยาคม) ในภาคภาษาไทยตามหลักสูตรสามัญทั่วไป ส่วนโรงเรียนใหญ่อีกแห่ง คือ โรงเรียนภาษาจีน (กวงฟูวิทยาคม) ซึ่งสอนตั้งแต่ระดับเด็กเล็ก จนถึงมัธยมปลาย
..
 ..
ผมไม่รู้ภาษาจีน ไม่ค่อยรู้ขนบธรรมเนียมจีน (แต่รู้ว่าสาวชาวจีนน่ารัก)
ผมถามคุณครูยิ่งผิงว่า ป้ายสีแดงที่ปิดไว้ตามบ้านเรือนต่างๆ หมายถึงอะไร
คุณครูยิ่งผิง บอกว่า เป็นคำอวยพรต่างๆ ที่เจ้าของบ้านแต่ละหลังปิดไว้เพื่อความเป็นสิริมงคล ตามความเชื่อของชาวจีน
(ใครอ่านภาษาจีนออก ช่วยแปลให้ผมด้วย)
..
 ..
กลับมาที่ร้านคุณครูยิ่งผิงอีกรอบ ปรากฏว่า ในร้านมีลูกค้าวัยรุ่นมาอุดหนุนกันพอสมควร และนับเป็นโชคดี เมื่อลูกค้าหนุ่มคู่หนึ่ง เป็นพนักงานของ “เลาลี รีสอร์ท” ที่พักของผมในการเดินทางครั้งนี้
คุณครูยิ่งผิง จึงบอกว่า “เดี๋ยวไปส่งเพื่อนเสร็จแล้ว ลงมารับพี่เค้าด้วยนะ พี่เค้าเป็นนักท่องเที่ยว มาพักที รีสอร์ท นั่นแหละ”
เด็กหนุ่มสองคน ยิ้มตอบรับคำขอร้องของคุณครูยิ่งผิงอย่างยินดี แล้วหันมาบอกกับผมว่า “พี่รอเดี๋ยวนะครับ ไม่เกิน 15 นาที ผมขอเอาดอกไม้ไปเก็บก่อน”
ผมขอบคุณเด็กหนุ่มทั้งสองคน พร้อมแซวกลับไป “ไม่ต้องรีบร้อนนะครับ ค่อยๆขับไปก็ได้ เดี๋ยวดอกไม้เสียทรง พี่จะรู้สึกผิด”
. .
เด็กหนุ่มที่กลับมารับผมขึ้นไปยังเลาลี รีสอร์ท ชื่อ “บอย” เป็นชาวเขาซึ่งทำงานอยู่ที่นั่น ส่วนเพื่อนอีกคน ชื่อ “เฉ่าเจง” ซึ่งนอกจากจะช่วยงานที่เลาลี รีสอร์ทแล้ว ยังเป็นคุณครูสอนภาษาจีนในโรงเรียน ใกล้ๆกับรีสอร์ท
.
รูปประกอบ – นักเรียนสาววัยรุ่นอวดกล่องช็อกโกแลตใบจิ๋ว ที่ซื้อสำหรับไปแจกเพื่อนๆในวันรุ่งขึ้น ส่วนผู้ชายสองคนด้านหลังที่กำลังเลือกซื้อดอกไม้ คือ สองหนุ่มแห่งเลาลี รีสอร์ท
..
 ..
“เลาลี รีสอร์ท”
เลาลี รีสอร์ท หรือ เลาลี ฮิลล์ รีสอร์ท เป็นที่พักเพียงแห่งเดียวบนดอยวาวี ตอนแรกผมเข้าใจว่า เลาลี รีสอร์ท คงไม่ไกลจากหมู่บ้าน และอยู่ในเส้นทางของรถสองแถวสีเหลืองผ่าน แต่ความจริงแล้ว ที่พักแห่งนี้ ห่างจากหมู่บ้านวาวีไปอีกร่วม 4 กิโลเมตร
สำหรับคนที่มีรถส่วนตัว การเดินทางไป เลาลี รีสอร์ท คงไม่ใช่ปัญหา แม้สภาพถนนอาจจะเป็นหลุมเป็นบ่อบ้าง แต่ไม่คดเคี้ยว หรือลาดชันจนเกินไป
ส่วนการเดินทางสำหรับคนที่ไม่มีรถส่วนตัว มี 2 วิธีหลัก ได้แก่
วิธีแรก คือ นั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างจากตลาดในหมู่บ้าน ราคาประมาณ 40-50 บาท ถ้าไม่เจอที่ตลาด สามารถโทรศัพท์ตามตัวได้ โดยหาเบอร์โทรศัพท์ได้จากในศาลาพักผู้โดยสารตรงข้ามตลาด (วิธีนี้แน่นอนที่สุด และไม่ต้องลุ้นมาก)
วิธีที่สอง รอลุ้นโชคจากรถสองแถวสีเหลือง เพราะชาวบ้านคนหนึ่งที่ขับรถสองแถว มีบ้านอยู่ละแวกเลาลี รีสอร์ท (รถสองแถวสีเหลืองมีทั้งหมด 40 คัน ความน่าจะเป็น จึงเท่ากับ 1 ต่อ 40)
ส่วนผม โชคดีที่ได้ วิธีพิเศษ ติดรถเจ้าถิ่นขึ้นไปฟรีๆ
..
 ..
บอย มาส่งถึงที่หมาย ผมได้พบกับพนักงานสาวที่ชื่อ “อาหลิ่ง” เธอมีชื่อภาษาไทยด้วย ชื่อ “ตาหวาน”
ตาหวาน ต้องทำหน้าที่ติดต่อลูกค้า รับโทรศัพท์สารพัดอย่าง เมื่อผมไปติดต่อที่เคาท์เตอร์ เธอกำลังวุ่นอยู่กับเอกสาร .
เลาลี รีสอร์ท ไม่ใช่รีสอร์ทที่หรูหราเพียบพร้อมไปทุกอย่าง และอาจจะแพงไปสักหน่อยหากเทียบกับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆที่มี แต่จุดแข็งของที่นั่น คือ บรรยากาศที่รายล้อมไปด้วยไร่ชา สวนส้ม และบรรยากาศของวิถีชีวิตชาวบ้านบริเวณรอบๆ
(ค่าที่พักโดยประมาณ เริ่มต้นตั้งแต่ 1,000 บาท 1,200 บาท และ 1,500 บาท แต่จะถูกลงเมื่อหมดฤดูท่องเที่ยว)
แน่นอนว่า ผมเลือกห้องพักเป็นกระต๊อบไม้ทรงเอเฟรม ราคาถูกสุด ตามวิถีของแบ็คแพ็คเกอร์ คิดราคา 2 คืน ต้องจ่าย 2,000 บาท
.
แต่...ใบแฟกซ์หลักฐานการโอนเงินที่ส่งมาให้ล่วงหน้านั้น ผมเขียนทิ้งท้ายเอาไว้ว่า
“ป.ล. มาพักคนเดียวทั้งที ไม่มีโปรโมชั่นลดราคาให้หน่อยเหรอครับ ^^” แหะๆ”
ซึ่งไม่รู้ว่าผมพูดมากชวนคุยไปเรื่อยเปื่อย หรือข้อความในใบแฟกซ์ได้ผล ตาหวาน จึงลดราคาให้ เหลือคืนละ 600 บาท รวมสองคืน ผมจ่ายไป 1,200 บาทเท่านั้น
..

หลังจากจัดเก็บสัมภาระในห้องพักเรียบร้อยแล้ว ากนั้นมานั่งคุยกับ ตาหวาน และเพื่อนสาวอีกคนหนึ่งของเธอ ชื่อ “หุยยิง” (แปลว่า วีรสตรีผู้กล้าหาญ)
ทั้งสองสาว เล่าให้ฟังว่า บริเวณรีสอร์ท เรียกว่า ดอยเลาลี เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเลาลี แต่เมื่อลงจากดอยไปราว 4 กิโลเมตร จึงจะเป็นดอยวาวี หมู่บ้านวาวี
นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จึงมักเข้าใจ หรือเรียกเหมารวมว่าเป็นดอยวาวีไปทั้งหมด เพราะวาวีเป็นชุมชนที่มีขนาดใหญ่กว่า ขณะที่หมู่บ้านเลาลีนั้น ชาวบ้านยังปลูกบ้านเรือนกระจัดกระจายกันออกไปตามซอกหลืบแห่งขุนเขา
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเรียก วาวี หรือ เลาลี คนที่นี่ก็ไม่ได้สนใจ
.
คุยกันไปได้ครู่ใหญ่ หุยยิง ถามผมว่า “ทำไมพี่มาเที่ยวคนเดียวในช่วงวันวาเลนไทน์ล่ะคะ”
“คนเราออกมาเที่ยวคนเดียวแบบนี้ คงมีเหตุผลไม่กี่อย่างหรอกครับ”
ผมตอบสั้นๆ ให้ฟังดูเท่ๆไปงั้นแหละ ...ฮา
.
รูปประกอบ – ใกล้ๆกับรีสอร์ท ชาวเขาในหมู่บ้านเลาลี กำลังช่วยกันหาบคอนน้ำ เพื่อนำกลับไปใช้ในช่วงเย็น
..
 ..
เฉ่าเจง แวะมาบอกผมว่า ลงไปจากรีสอร์ทไม่ไกล มีโรงเรียนสอนภาษาจีนระดับประถมซึ่งเขาสอนอยู่ที่นั่น โรงเรียนมีการเรียนรอบค่ำในเวลาประมาณ 5 โมงเย็น หากสนใจก็แวะลงไปดูได้
แน่นอนว่าผมสนใจอยู่แล้ว แต่ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยได้หลับได้นอนมา 2 คืนติดๆกัน (สองคืนก่อน ผมสะสางงานเก่าๆจนดึกดื่น ส่วนคืนวานก็หลับๆตื่นๆบนรถทัวร์ตลอดการเดินทาง)
ผมจึงจำใจปฏิเสธ เฉ่าเจง ไปก่อน ตั้งใจว่าจะของีบเอาแรงซักชั่วโมง แล้วค่อยว่ากัน
.
แต่แล้ว 1 งีบของผม กลายเป็นหลับยาวเช่นเคย กว่าจะตื่นมาอีกครั้ง ก็เกือบ 2 ทุ่มแล้ว ได้ยินเสียงเด็กๆคุยภาษาจีนกันเซ็งแซ่แว่วมาจากถนนด้านล่าง เป็นสัญญาณว่า ได้เวลาเลิกเรียนในภาคค่ำแล้ว
แต่ไหนๆ ตื่นมาแล้วไม่ให้เสียเที่ยว ผมจึงถ่ายภาพดวงดาวบนฟ้าเอาไว้เป็นที่ระลึก ก่อนจะกลับไปนอนต่ออีกรอบ
.
อากาศคืนนั้นหนาวแค่ไหน ผมไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ ผมไม่ได้อาบน้ำ ผ้าห่ม 2 ชั้นก็ยังทานความหนาวไม่อยู่ จมูกเย็น เท้าเย็นไปหมด ต้องนอนขดตัวอยู่ค่อนคืน
..
 ..
การนอนตื่นสายในวันท่องเที่ยว นับเป็นพฤติกรรมซึ่งไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง
กระนั้นนักท่องเที่ยวอย่างผมยังแก้นิสัยแย่ๆไม่หายสักที มักพยายามเข้าข้างตัวเองว่า “เรามาพักผ่อนนี่นา ก็ต้องนอนให้มันเต็มอิ่มสิ”
เมื่อคิดแบบนี้ ผมจึงออกมาสวัสดีวันวาเลนไทน์ ปี 2552 ในเวลาเกือบ 11 โมง
. .
แต่นับว่าเป็นความโชคดีในความโชคร้ายอยู่บ้าง เมื่อผมพบว่า เครื่องทำน้ำอุ่น มันใช้การไม่ได้ แต่เพราะการตื่นซะเกือบเที่ยง ทำให้อุณหภูมิน้ำไม่เย็นจัดจนเกินไป
.
รูปประกอบ – ภาพจากระเบียงห้องพักในเวลาประมาณ 11 โมง
..
 ..
“มิตรภาพจากชาวเขาเลาลี”
อาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้ว ผมออกมาไม่เจอใครบริเวณเคาท์เตอร์ จึงเดินลงจากรีสอร์ทไปเรื่อยๆ ซึ่งโดยปกติทั่วไปแล้ว นักท่องเที่ยวที่ไม่มีรถส่วนตัว คงใช้บริการโทรตามมอเตอร์ไซค์รับจ้างให้มารับลงจากเลาลี รีสอร์ท หรืออาจจะจ้างพนักงานในรีสอร์ท ก็ตามแต่ความสะดวก
... แต่ผมไม่ได้ทำแบบนั้น
ไม่ใช่ว่าประหยัดงบเกินเหตุ แต่เป็นความต้องการของผมเอง ที่อยากเดินเท้าลงจากรีสอร์ท เพื่อเก็บภาพระหว่างทางไปเรื่อยๆ โดยตั้งใจเอาไว้ว่า จะเดินซักกิโลฯ จากนั้นค่อยโบกรถชาวบ้านลงไป น่าจะได้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากกว่านั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
. ระหว่างทางเดินลงจากรีสอร์ท เด็กน้อยชาย – หญิง ช่วยกันแบกฟืนคนละไม้คนละมือ ผมทักทายพูดคุยจนได้รู้ว่า ฟืนเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ก่อไฟกันหนาว และปรุงอาหารที่บ้านของพวกเขา
..
 ..
ระหว่างทางลงจากดอย บ้านเรือนของคนในหมู่บ้าน จะปลูกสร้างบริเวณเชิงเขาที่เต็มไปด้วยไร่ชา และพืชอื่นๆอีกเล็กน้อย
บ้านเรือนในหมู่บ้านเลาลี ค่อนข้างกระจัดกระจาย ไม่กระจุกตัวเป็นหมู่บ้านใหญ่เห็นได้ชัดเหมือนกับหมู่บ้านวาวี
ผมถ่ายรูปไป ท่ามกลางเสียงน้องหมาแถวๆนั้นเห่ากันระงม ด้วยความไม่คุ้นหน้าตา
หนุ่มๆบนดอย คงไม่มีใครไว้ผมยาวๆกันล่ะสิ ...ฮึ
..
 ..
“..ทุกวันกลายเป็นวันแห่งความรัก ฉันเลยต้องมาคอยส่งดอกไม้ เธอมาทำให้ทุกวันเป็นวันวาเลนไทน์ จะเปิดปฏิทินวันไหน ก็วาเลนไทน์ทุกวัน..”
ผมเดินลงจากที่พักมาได้เกือบกิโลฯ ก็ได้ยินเสียงเพลงรักหวานๆของนักร้องหนุ่ม บีม กวี แว่วมาแต่ไกลจากวิทยุเครื่องไหนซักเครื่อง
ผมอดไม่ได้ที่จะเดินหาที่มาของเสียงนั้น เพราะอยากรู้นักว่า บ้านหลังไหนนะ เปิดเพลงเข้ากับบรรยากาศวันแห่งความรักดีเหลือเกิน
. .
ที่มาของเสียงเพลงมาจากกระต๊อบเล็กๆหลังหนึ่ง ทันทีที่เจ้าของบ้านเห็นหน้าผม ก็ยิ้มทักทายพลางถามด้วยสำเนียงแบบชาวเขาว่า “เปน่ากท่อเที่ยวหรอ ข้าวมาน่างพัก น่างคุยก่อด้ะนะ” (เป็นนักท่องเที่ยวเหรอ เข้ามานั่งพัก นั่งคุยก่อนได้นะ)
สำเนียงเพี้ยนๆ พูดไม่ชัดของชาวเขา ที่คนเมืองอย่างเราๆมักจะนำไปเป็นมุขตลกล้อเลียน แต่ทว่าสำหรับคำทักทายในวันนั้น ผมฟังแล้วช่างเป็นสำเนียงภาษาที่งดงาม
..
 ..
เจ้าของบ้านชื่อ “พี่ว้าง” เป็นหญิงชาวเขาเผ่าม้งวัยกลางคน ซึ่งอาศัยอยู่กับลูกๆอีก 2 คน
พี่ว้างเล่าให้ผมฟังโดยไม่ปิดบังว่า อดีตสามีของเธอต้องโทษคดีเกี่ยวกับยาเสพติดเมื่อหลายปีมาแล้ว
“พี่สงสัยอยู่แล้ว เพราะมันมีพิรุธ ชอบไปต่างจังหวัดนานๆไม่ยอมบอกว่าไปทำอะไร แล้วจะขอเอารถมอเตอร์ไซค์ไปใช้ด้วย พี่ก็ไม่ยอม จนสุดท้ายมารู้อีกทีก็ไปติดคุกซะแล้ว”
ทุกวันนี้เธอบอกว่า แม้ไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไร ทำอาชีพรับจ้างทั่วไป และยังต้องเลี้ยงดูลูกๆอีก 2 คน แต่ก็มีความสุขใจที่ไม่เคยไปเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย
เมื่อผมถามถึงเรื่องงาน พี่ว้างเล่าว่า งานรับจ้างที่ทำเป็นประจำ หนีไม่พ้นเกี่ยวกับการดูแลต้นชา ว่าแล้วพี่ว้างก็นำผมไปดูแปลงเพาะของต้นชาที่ห่างจากบ้านไปไม่กี่สิบเมตร
. .
แปลงดังกล่าว คือ ต้นชาอ่อน หรือกิ่งชา ที่จะต้องตัดเอามาปักชำในแปลง เพื่อป้องกันการกลายพันธุ์ ก่อนจะนำต้นอ่อนเหล่านี้ไปปลูกในไร่ต่อไป
..
 ..
พี่ว้างปล่อยให้ผมถ่ายภาพได้อย่างอิสระในโรงเพาะต้นกล้าชา เมื่อผมออกมา พี่ว้างนำไปทำความรู้จักกับเพื่อนบ้านชาวเขา ซึ่งปลูกบ้านอยู่ติดกัน…“ลุงเล่าต๋า แซ่เจ๋า” กับ “พี่เล่าซอ แซ่หลอ” ชาวเขาเผ่าลีซอ ซึ่งมีอาชีพรับจ้างทำไร่ชาเช่นกัน
ลุงเล่าต๋า และพี่เล่าซอ เพิ่งจะทานข้าวเสร็จ จึงยังนั่งคุยให้ข้าวเรียงเม็ดอยู่ในห้องครัว พี่ว้างปล่อยให้ผมได้ทำความรู้จัก พูดคุยได้ตามสบาย และขอตัวไปสะสางงานบ้าน
ห้องครัวเล็กๆซ่อมซ่อ พื้นที่ไม่กี่ตารางเมตร กลายเป็นห้องรับแขกจำเป็น ที่ผมได้สานมิตรภาพใหม่ แม้สำเนียงภาษาไทยของลุงเล่าต๋า และพี่เล่าซอ จะฟังยากพอสมควร แต่ผมก็ยังนั่งคุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างอยู่นานสองนาน
. .
รูปประกอบ – ลุงเล่าต๋า กำลังอ่านข้อความภาษาจีนจากใบประกาศของโรงเรียน ลุงบอกผมว่า พอจะอ่านภาษาจีนได้บ้าง จึงเอามาอ่านเล่นเพื่อฝึกฝน จะไม่ได้ลืม
..
 ..
ผมคุยกับชาวเขาทั้งสองได้พักใหญ่ และถามถึงเรื่องไร่ชา ไม่ทันขาดคำ พี่เล่าซอ จึงเอาใบชาที่เก็บไว้มาให้ดู แล้วกุลีกุจอก่อไฟขึ้นอีกครั้ง เพื่อต้มน้ำ และหยิบเอาชามาต้มให้ผมลองชิมรส
กาน้ำบุบเบี้ยวที่ผ่านการใช้งานมานานจนด้านนอกไหม้เกรียมดำปี๋ กระป๋องนมซึ่งนำมาดัดแปลงเพื่อต้มใบชา ก่อนจะถูกรินลงไปในแก้วน้ำใบเก่าสีซีดๆ
..สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกรังเกียจแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ร่วมจิบชากับผู้ใหญ่ทั้งสอง
นาทีนั้นผมรับรู้ได้ถึงความกระตือรือร้น ความยินดีที่พวกเขามีโอกาสต้อนรับใครสักคนที่เดินทางมาไกล และมันเป็นนาทีเดียวกันที่ผมรู้สึกซาบซึ้งเหลือเกินกับน้ำใจที่ได้รับ
..
 ..
เมื่อสมควรแก่เวลา ผมกล่าวคำอำลา และขออนุญาตถ่ายภาพก่อนจากกันตามธรรมเนียมปฏิบัติ(ของตัวเอง) ซึ่งโดยปกติแล้ว ผมจะไม่รบกวนอะไร นอกจากจัดท่าทาง หรือองค์ประกอบภาพนิดๆหน่อยๆ
แต่เมื่อผู้ใหญ่ทั้งสองทราบว่าผมขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ลุงเล่าต๋า จึงเดินไปหยิบเสื้อ “เรารักในหลวง” สีชมพูมาสวมทับเสื้อตัวเก่าสีซีดๆ
ส่วนพี่เล่าซอ ติดกระดุมทุกเม็ด จัดเสื้อให้ดูเรียบร้อยที่สุด แล้วอุตส่าห์เดินไปปลุกลูกสาวซึ่งกำลังสบายกับการนอนกลางวัน ให้มาถ่ายรูปร่วมกัน
“มาเที่ยวครั้งหน้า อย่าลืมแวะมานั่งคุยกันอีกนะ” ลุงเล่าต๋า กล่าวคำลาสั้นๆกับผม
..
 ..
ผมเดินย้อนกลับมาที่บ้านของพี่ว้างอีกครั้ง
พี่ว้างแนะนำลูกสาววัยกำลังซนให้ผมรู้จักว่าชื่อ “รัชนี”
“ต้องตัดผมสั้นเพราะเป็นเหาน่ะ” พี่ว้างบอก
. .
ผมนั่งคุยอีกครู่หนึ่ง จนกระทั่งเป็นเวลาเกือบบ่ายโมง จึงขอตัวเดินทางต่อ พี่ว้างพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องไปโบกรถที่ไหนหรอก เดี๋ยวพี่จะขับมอเตอร์ไซค์ลงไปซื้อของที่ตลาดในหมู่บ้านพอดี ติดรถพี่ลงไปด้วยกันได้เลย”
..
 ..
“โรงเรียนกวงฟูวิทยาคม”
พี่ว้างขับมอเตอร์ไซค์มาส่งผมที่ตลาด ผมไม่รอช้า ตรงรี่ไปร้านขายขนม และซื้อให้พี่ว้างไปฝากลูกๆ ก่อนจะลากันด้วยรอยยิ้มไม่ต่างจากครั้งแรกที่เจอกัน
. .
จากนั้นผมแวะไปเติมพลังงาน ด้วยข้าวซอยร้านพี่ดารินทร์เป็นวันที่สอง พร้อมลิ้มลองซาลาเปาไส้เค็ม ตามที่สัญญาไว้เมื่อวาน
“พรุ่งนี้ผมจะมาลองไส้หวานนะครับ”
. .
ภารกิจถัดไป นับเป็นภารกิจหลักอย่างหนึ่งซึ่งผมตั้งใจ ในการเดินทางมาเยือนหมู่บ้านวาวี นั่นคือ การเยี่ยมชมโรงเรียนกวงฟูวิทยาคม (อย่าจำสับสนเป็นกังฟู) ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนภาษาจีนขนาดใหญ่ เปิดสอนตั้งแต่ระดับเด็กเล็ก จนถึงมัธยมปลาย มีจำนวนนักเรียนรวมแล้วกว่า 1,300 คน มีทั้งนักเรียนประจำ และนักเรียน ไป-กลับ
โรงเรียนแห่งนี้ เป็นโรงเรียนในสังกัดของกรมสามัญศึกษา ซึ่งสอนวิชาต่างๆด้วยภาษาจีนทั้งหมด (ยกเว้นวิชาภาษาอังกฤษ) หากเปรียบเทียบง่ายๆ กวงฟูวิทยาคม จึงเหมือนกับโรงเรียนนานาชาติภาคภาษาจีน
..
 ..
เด็กๆในเมืองเห็นตารางเรียนของโรงเรียนกวงฟูแล้วคงจะหนาว เพราะคาบเรียนช่วงเช้า เริ่มต้นตั้งแต่ตี 5 ครึ่ง นอกจากนี้ยังมีตารางเรียนเสริมในรอบค่ำ 5 โมงครึ่ง ถึงทุ่มครึ่งโดยประมาณ แม้กระทั่งวันเสาร์ ก็มีตารางเรียนจนถึงบ่ายสองโมง
วันนั้น ผมแวะเข้าไปในเวลาเลิกเรียนพอดี เด็กๆจึงมีไม่มากนัก เพราะส่วนหนึ่งทยอยกลับไปบ้างแล้ว ขณะเดียวกันช่วงนั้นมีเด็กบางส่วนไปทำกิจกรรมเข้าค่ายที่หมู่บ้านอื่น
..
 ..
“เป้า” บอกผมตั้งแต่วันแรกว่า โรงเรียนเพิ่งสร้างหอประชุมขนาดใหญ่เปิดใช้ได้ปีเศษ หากขึ้นไปบนหอประชุมจะเห็นทิวทัศน์ของหมู่บ้านได้โดยรอบ
ผมเดินดุ่มๆไปตามอาคารเรียน เพื่อมุ่งไปหอประชุม จนกระทั่งเจออาจารย์ท่านหนึ่ง จึงเข้าไปทักทาย และถามทางไปในตัว
“ขอโทษนะครับอาจารย์ ไม่ทราบว่าหอประชุมใหญ่ไปทางไหนครับ”
อาจารย์มองหน้าผม ไม่พูดอะไร และมีสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย ผมเริ่มหวั่นๆ คิดไปว่า อาจารย์อาจจะมองว่าผมเป็นคนนอกไม่ควรเข้ามาเดินยุ่มย่ามในโรงเรียน
อาจารย์ท่านนั้น ยังไม่ตอบอะไรผมซักคำ แต่กวักมือเรียกเด็กนักเรียนคนหนึ่งเข้ามา ผมเริ่มจินตนาการต่อไปว่า อาจารย์อาจจะบอกว่า “นักเรียนไปส่งผู้ชายคนนี้ที่หน้าประตูโรงเรียนนะ บอกเค้าว่าเราไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาถ่ายภาพ”
. .
แต่...ความสงสัยผมก็หมดไปเมื่ออาจารย์พูดกับเด็กว่า “#$(=’/?-o-+!^*())=#m><@”
เรื่องของเรื่อง คือ อาจารย์ท่านนี้ไม่ใช่คนไทย จึงเรียกเด็กมาเป็นล่าม เพื่อถามความต้องการของผม เมื่ออาจารย์ทราบว่า ผมเป็นนักท่องเที่ยวต้องการไปถ่ายรูปบนหอประชุม ท่านก็มีสีหน้ายิ้มแย้มทันที และนำผมไปยังทางที่จะเดินขึ้นไป ก่อนจะหันมาถามผมว่า “ลื้อ พูก ภาษา อาง กิก ล่าย ช่ายมั๊ย”
(ความจริงแล้ว ท่านถามผมเป็นภาษาอังกฤษนั่นแหละ ... ขอโทษที่แอบเขียนแซวนะครับอาจารย์ แหะๆ)
.
เมื่อทราบว่าสามารถสื่อสารกันได้ด้วยภาษาสากลได้ ผมจึงเริ่มต้นพูดคุยกับอาจารย์ท่านนี้
“อาจารย์ Peter Lo” เป็นชาวไต้หวัน ยังพูดและฟังภาษาไทยไม่ได้ เพราะเพิ่งจะมาสอนในเมืองไทยได้ไม่กี่เดือน
ที่โรงเรียนกวงฟูนั้น มีอาจารย์ชาวไทยเชื้อสายจีน และอาจารย์ชาวไต้หวันเป็นผู้สอน ทั้งนี้เพราะผู้ก่อตั้งโรงเรียนเป็นชาวไต้หวัน รวมถึงคนในหมู่บ้านวาวีเอง ก็มีเชื้อสายจีนมาจากไต้หวัน จึงไม่แปลกนัก หากจะเห็นรูปภาพของ ดร.ซุน ยัดเซ็น อยู่ในห้องต่างๆของโรงเรียน
.
..
 .
แม้โรงเรียนกวงฟูเป็นโรงเรียนบนดอย ในพื้นที่ห่างไกลจากเมือง แต่ศักยภาพด้านการเรียนการสอนภาษาจีน ไม่ได้ด้อยไปกว่าโรงเรียนแห่งอื่น
ในทุกๆปี จะมีอาจารย์ชาวไต้หวัน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาช่วยสอน และยังมีนักเรียนจากที่นี่ สอบชิงทุนของรัฐบาลไต้หวันได้อีกด้วย
นั่นจึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมโรงเรียนที่ห่างไกลเช่นนี้ มีนักเรียนมากกว่า 1,300 คน เพราะไม่เพียงเฉพาะเด็กๆในชุมชนวาวี หรือดอยใกล้เคียงเท่านั้น แต่สถานศึกษาแห่งนี้ มีเด็กๆจากพื้นที่อื่นในจังหวัดเชียงราย และจังหวัดเชียงใหม่ มาเรียนกันเป็นจำนวนมาก
. .
รูปประกอบ – ภาพหมู่บ้านวาวี ถ่ายจากบนหอประชุมโรงเรียนกวงฟู
..
 ..
เหตุผลสำคัญที่ผู้ปกครองส่งเด็กๆมาเรียนที่โรงเรียนกวงฟูเป็นจำนวนไม่น้อย เพราะชุมชนวาวี ไม่มีแสงสี หรือสิ่งยั่วยุใดๆให้เด็กๆเสียสมาธิในการเรียน บรรยากาศของพื้นที่บนดอยแห่งนี้ มีเพียงธรรมชาติ และวิถีชีวิตที่เรียบง่าย
แต่ทางโรงเรียน ไม่ได้อัดแน่นไปด้วยวิชาการเพียงอย่างเดียว บ่อยครั้งที่มีการจัดทัศนศึกษาให้เด็กๆได้ไปท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตาตามแหล่งท่องเที่ยวบ้าง และในเมืองบ้าง
.
รูปประกอบ – ภาพหมู่บ้านวาวี ในมุมที่แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม
หมู่บ้านแห่งนี้เต็มไปด้วยคนเชื้อสายจีน แต่ก็มีทั้งวัดไทย วัดจีน มัสยิด โบสถ์คริสต์ และชุมชนชาวเขา อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข
..
 ..
ผมเก็บบรรยากาศหมู่บ้านจากมุมสูงไปเรื่อยๆ และได้เจอกับนักเรียนกวงฟูกลุ่มหนึ่งโดยบังเอิญ จึงได้นางแบบมาถ่ายรูปคู่กับอาคารหอประชุม ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “อาคารเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา”
เมื่อเดินเข้าไปภายใน พบว่าเหนือเวทีของหอประชุม มีพระบรมสาทิสลักษณ์ขนาดใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลปัจจุบัน และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ รวมทั้งยังมีรูปของ ดร.ซุน ยัดเซ็น
.
บทความของ คุณธเนศ งามสม (อนุสาร อ.ส.ท. มกราคม 2551 วรรคสุดท้าย หน้า 67) เขียนจากคำบอกเล่าของ อาจารย์อำนวย ภักดีไพศาล ผู้อำนวยการโรงเรียนกวงฟูวิทยาคม เอาไว้ว่า
“กวงฟูหมายความว่า สักวันหนึ่งเราจะได้กลับคืนแผ่นดินใหญ่ แต่พอถึงวันนี้ ใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราทุกคนเลือกที่จะอยู่ที่นี่ตลอดไป” .
 ..
เด็กนักเรียนกลุ่มที่ผมเจอบนหอประชุม บอกผมว่า พวกเธอเป็นนักเรียนประจำ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และปีที่ 5 บ้านเดิมอยู่ในเชียงใหม่ และต่างอำเภอในเชียงราย
ผมถามถึงเรื่องเครื่องแบบนักเรียน น้องๆบอกว่า โดยปกติแล้ว เด็กผู้หญิงจะสวมกระโปรง แต่สำหรับฤดูหนาว ทางโรงเรียนอนุญาตให้สวมกางเกงได้ ส่วนน้องๆที่สวมเสื้อโปโลสีเขียวนั้น เป็นเสื้อประจำห้อง
คุยกันได้ครู่หนึ่ง มีอาจารย์ชาวไต้หวันเดินขึ้นมาสมทบอีกหนึ่งท่าน ชื่อ “อาจารย์ Shin”
วงสนทนาของเรา จึงกลายเป็นโรงเรียน 3 ภาษา คือ เด็กๆกับอาจารย์ Shin คุยกันด้วยภาษาจีน แต่เด็กๆจะคุยภาษาไทยกับผม ส่วนตัวผมเองก็ต้องคุยภาษาอังกฤษกับอาจารย์ Shin
.
อาจารย์ Shin เล่าว่า หลายสิบปีก่อน เธอเคยทำงานเป็นกองบรรณาธิการนิตยสารท่องเที่ยว ต้องเดินทาง ถ่ายภาพ ไปในสถานที่ต่างๆ แต่เมื่ออายุมากขึ้น จึงผันตัวเองมาเป็นครูสอนหนังสือ
ก่อนจากกล่าวคำอำลา อาจารย์ Shin มอบช็อกโกแลตแท่งเล็กๆให้ผมสำหรับวันวาเลนไทน์ ทำเอาลูกศิษย์สาวๆส่งเสียงแซววิ้ดวิ้วๆกันพอเป็นพิธี
.
 ..
บรรยากาศของโรงเรียนกวงฟูในบ่ายแก่ๆวันเสาร์ค่อนข้างเงียบสงบ เด็กๆที่อาศัยในหมู่บ้านทยอยกลับกันไปหมดแล้ว ขณะที่เด็กนักเรียนประจำส่วนใหญ่พักผ่อนกันตามหอพัก
ก่อนออกจากโรงเรียน ผมเดินมาเจอกับเจ้าถิ่นประจำโรงเรียนกวงฟูอีก 1 ตัว น่าแปลกดีว่า แม้ผมจะเป็นคนแปลกหน้า การแต่งกายก็แตกต่างจากนักเรียนหรืออาจารย์อย่างสิ้นเชิง (แถมยังพูดภาษาจีนไม่ได้อีก)
แต่เจ้าถิ่นตัวนี้กลับกระดิกหางมาแต่ไกล และนอนโพสต์ท่าให้ผมถ่ายรูปได้อย่างใกล้ชิด
..
 ..
“ตากล้องผมยาว ปะทะ สาวน้อยจอมซน”
หลังจากเยี่ยมชมโรงเรียนกวงฟูแล้ว ผมเดินย้อนกลับมาแวะทักทายคุณครูยิ่งผิงที่ร้านเหมือนเคย ซึ่งยังคงมีลูกค้าเลือกซื้อของที่ระลึกสำหรับวันแห่งความรักอยู่พอสมควร
แต่วันนี้ที่ร้านคุณครูยิ่งผิงมีสมาชิกใหม่เป็นเด็กผู้ชายวัยประถมคนหนึ่ง และสาวน้อยที่อายุอานามไม่น่าจะเกิน ป.1 อีก 2 คน
คุณครูยิ่งผิงบอกว่า “เป็นเด็กข้างๆบ้านนี่เองค่ะ ชอบแวะมาเล่นที่ประจำ”
ผมเห็นเด็กๆกำลังเล่นขายของกันอยู่ จึงเข้าไปทักทาย แต่สาวน้อยตัวเล็กทั้งสองกลับหัวเราะคึกคักๆกันใหญ่ แถมพูดภาษาจีนให้เข้าใจกันอยู่แค่สองคน
ผมเริ่มรู้สึกตัวว่า งานนี้ท่าจะโดนสองสาวน้อยซุบซิบนินทาซะแล้ว จึงถามเด็กผู้ชายว่า สาวๆเค้าพูดอะไรกัน
“อ๋อ เค้าหัวเราะกันเพราะเห็นผู้ชายไว้ผมยาวครับ” เด็กผู้ชายคนนั้นตอบ
. รูปประกอบ – ด้วยความที่สองสาวหัวเราะกันเสียงดังมาก จึงโดนไล่ให้มาเล่นกันหลังบ้าน ผมจึงเดินตามเด็กๆมาถ่ายรูปเอาไว้
.
 .
ในตอนแรกสาวน้อยชุดแดงแบบจีน วิ่งวนไปทั่ว ไม่ยอมให้ผมถ่ายรูปได้ง่ายๆ
แต่ระดับมือโปรอย่างผม ผ่านสถานการณ์จับปูใส่กระด้ง จับเด็กซนใส่กล้อง มานักต่อนักแล้ว จึงอาศัยจังหวะที่สาวน้อยกำลังทำความสะอาดรถ ก่อนที่จะออกไปซิ่ง เก็บภาพอิริยาบถน่ารักๆเอาไว้ได้
 .
ส่วนสาวน้อยเสื้อม่วง ระดับความซนไม่แพ้กัน หายเข้าไปในบ้านแวบเดียว ก็ออกมาพร้อมกับถุงไก่ทอด และไม้อัดบางๆ
มือหนึ่งถือตีนไก่ อีกมือถือไม้อัด (ฟันหลอด้วย กิ๊วๆ) ก่อนจะไล่ตีเด็กผู้ชายอย่างสนุกสนาน
ส่วนผมทำนิ่งๆไว้ จึงรอดจากการโดนทำร้ายมาอย่างหวุดหวิด แต่อาศัยความไว เก็บภาพหลักฐานเอาไว้ได้ เผื่อว่าเด็กผู้ชายจะเอาไปใช้ประกอบคำให้การอันจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี
.
 .
“ตลาดหมู่บ้านวาวี”
หลังจากรอดพ้นจากแก็งค์สาวน้อยจอมซนมาได้ ผมใช้เวลาช่วงเย็นเดินเล่นที่ตลาดวาวี
. ตลาดแห่งหมู่บ้านวาวีเป็นเพียงตลาดเล็กๆ แต่ถือเป็นแหล่งซื้อขายสินค้าขนาดใหญ่ที่สุดบนดอยแล้ว โดยส่วนมากจะขายอาหารสด พืชผัก ผลไม้ ต่างๆ
พื้นที่รอบๆตลาด ประกอบไปด้วยร้านขายของชำ และยังเป็นพื้นที่สำหรับรถสองแถวสีเหลืองในการรอรับส่งผู้โดยสารที่เดินทางขึ้น หรือลงจากดอยวาวี
.
รูปประกอบ – หลังจากที่ค่อนข้างเงียบ ไร้ผู้คนมาตลอดบ่าย บรรยากาศยามเย็นของหมู่บ้านจึงเริ่มคึกคักขึ้นมาอีกครั้งบริเวณตลาด
.
 .
ด้วยความที่เป็นตลาดใหญ่เพียงแห่งเดียวบนดอยวาวี จึงไม่เพียงแค่เฉพาะคนในหมู่บ้านเท่านั้น ที่เดินมาจับจ่ายใช้สอย
แต่ชาวเขาที่อยู่นอกหมู่บ้านออกไป ก็ได้อาศัยตลาดแห่งนี้ เป็นแหล่งซื้อข้าวปลาอาหาร
.

แม้ตลาดหมู่บ้านวาวี จะเล็กมากชนิดที่เดินได้รอบในเวลาไม่ถึง 5 นาที แต่ตลาดเล็กๆแห่งนี้ เต็มไปด้วยความหลากหลายของผู้คน โดยเฉพาะในช่วงเช้า และช่วงเย็น
.
 .
“เส้นทางแห่งชาอูหลง”
ถัดจากตลาดวาวีไปราว 10 ก้าว เป็นที่ตั้งของตึกปูนสีขาวขนาด 2 ชั้นครึ่ง ตกแต่งด้วยลวดลาย สถาปัตยกรรมแบบจีน หน้าตึกมีป้ายสีแดงสดเขียนว่า “จุดชิมชาวาวี” และมีป้ายหน้าร้านชื่อ “ร้านค้าชาวาวี”
สถานที่แห่งนี้ คือ “บริษัทใบชาศิริพรรณ” ซึ่งเป็นทั้งบ้านและร้านค้าของ “พินิจ พิทักษ์วาวี” หรือ “คุณลุงพังโก”
คุณลุงพังโก นับเป็นบุคคลสำคัญที่คนบนดอยวาวีทุกคนย่อมรู้จัก เพราะชายชราวัยเกือบ 70 ปีคนนี้ คือ คนแรกที่นำชาอูหลง หนึ่งในชาสายพันธุ์ดีระดับโลกมาปลูกที่เมืองไทย
เรื่องราวของชาอูหลง ที่คุณลุงพังโกเล่าให้ฟัง นำผมย้อนเวลากลับไปสำรวจเส้นทางแห่งชาเลิศรสก่อนจะมาถึงเมืองไทย ซึ่งนอกจากจะได้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องชาแล้ว ยังกระตุ้นต่อมจินตนาการ ให้ร่วมผจญภัยไปกับเรื่องราวในอดีตเมื่อหลายพันปีก่อน
หากชาอูหลง คือ เครื่องดื่มรสเลิศ ... เรื่องราวชีวิตและคำบอกเล่าของคุณลุงพังโก ก็คือ อุปกรณ์ชงชา ที่จะทำให้ชาชั้นดี ยิ่งมีรสชาติกลมกล่อมมากขึ้น

Create Date : 18 มีนาคม 2552 |
Last Update : 18 มีนาคม 2552 22:17:03 น. |
|
30 comments
|
Counter : 8325 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: สมัย ลาเกลี้ยง IP: 203.172.146.26 วันที่: 29 เมษายน 2552 เวลา:15:26:56 น. |
|
|
|
โดย: ฟ้าใส IP: 114.128.10.200 วันที่: 12 พฤษภาคม 2552 เวลา:20:00:37 น. |
|
|
|
โดย: mugglechompoo IP: 10.0.0.118, 202.57.134.249 วันที่: 24 มิถุนายน 2552 เวลา:13:08:59 น. |
|
|
|
โดย: caiyu IP: 202.28.45.20 วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:11:14:54 น. |
|
|
|
โดย: ฟ้าใส IP: 118.175.136.113 วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:9:58:10 น. |
|
|
|
โดย: โจว หมิน IP: 58.9.227.95 วันที่: 30 กรกฎาคม 2552 เวลา:1:02:50 น. |
|
|
|
โดย: แสง IP: 112.142.112.162 วันที่: 13 กันยายน 2552 เวลา:10:41:23 น. |
|
|
|
โดย: ครูยิ่งผิง IP: 118.172.70.54 วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:12:41:23 น. |
|
|
|
โดย: อ่าโย่ง สงเคราะห์ IP: 118.174.94.122 วันที่: 14 ตุลาคม 2552 เวลา:21:28:13 น. |
|
|
|
โดย: อัน-อัน IP: 110.164.163.178 วันที่: 1 พฤศจิกายน 2552 เวลา:1:58:35 น. |
|
|
|
โดย: อัน-อัน IP: 110.164.163.178 วันที่: 1 พฤศจิกายน 2552 เวลา:2:07:05 น. |
|
|
|
โดย: ชาช่า IP: 125.27.22.49 วันที่: 4 ธันวาคม 2552 เวลา:15:26:08 น. |
|
|
|
โดย: Mr.chanpanakrit IP: 115.67.236.242 วันที่: 13 ธันวาคม 2552 เวลา:22:05:22 น. |
|
|
|
โดย: chan IP: 124.120.143.80 วันที่: 17 กรกฎาคม 2553 เวลา:21:04:14 น. |
|
|
|
โดย: เขยวาวี IP: 203.158.208.28 วันที่: 11 กันยายน 2553 เวลา:11:46:47 น. |
|
|
|
โดย: ริน IP: 117.47.193.189 วันที่: 18 ตุลาคม 2553 เวลา:22:48:44 น. |
|
|
|
โดย: เหว่ยกัง IP: 183.89.254.161 วันที่: 2 ธันวาคม 2553 เวลา:12:24:37 น. |
|
|
|
โดย: ริน IP: 222.123.126.199 วันที่: 16 ธันวาคม 2553 เวลา:19:49:45 น. |
|
|
|
โดย: มิ้น IP: 118.172.98.173 วันที่: 22 ธันวาคม 2553 เวลา:18:48:29 น. |
|
|
|
โดย: อาข่า ปางกลาง24(อาผ่า) IP: 180.183.205.145 วันที่: 29 ธันวาคม 2553 เวลา:20:32:25 น. |
|
|
|
โดย: สุรชัย IP: 61.90.27.97 วันที่: 12 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:20:20:02 น. |
|
|
|
โดย: 金山 IP: 118.172.73.129 วันที่: 26 เมษายน 2554 เวลา:0:53:07 น. |
|
|
|
โดย: พุฒ IP: 125.27.140.121, 141.0.8.139 วันที่: 21 กันยายน 2554 เวลา:21:02:54 น. |
|
|
|
โดย: อ้อน IP: 192.168.2.18, 58.9.26.39 วันที่: 22 มีนาคม 2555 เวลา:10:51:14 น. |
|
|
|
โดย: วัฒน์ IP: 110.168.168.70 วันที่: 9 พฤษภาคม 2555 เวลา:21:48:31 น. |
|
|
|
โดย: ชาย IP: 182.52.63.123 วันที่: 9 เมษายน 2556 เวลา:17:00:39 น. |
|
|
|
โดย: ไก่ IP: 27.55.11.48 วันที่: 12 ตุลาคม 2556 เวลา:9:06:58 น. |
|
|
|
โดย: ดวงค่ะ IP: 101.109.26.220 วันที่: 12 มีนาคม 2557 เวลา:13:07:43 น. |
|
|
|
โดย: ธง เขาสาป IP: 27.55.194.132 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2558 เวลา:13:23:10 น. |
|
|
|
โดย: กุ้ยอิง IP: 49.48.55.58 วันที่: 13 ธันวาคม 2558 เวลา:20:50:55 น. |
|
|
|
| |
|
 |
POGGHI |
|
 |
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]

|
..
บทความ และผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
ห้ามผู้ใดละเมิด ด้วยการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ และ ผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
POGGHI
..
|
|
|