1 2 3 4
5 6 7 8 9 10 11
12 13 14 15 16 17 18
19 20 21 22 23 24 25
26 27 28 29 30 31
29 ธันวาคม 2553
เสพศิลป์โพธาราม เมืองคนงามราชบุรี
.. หากพูดถึง ความงามของมนุษย์ ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ ตีความหมายไปในเรื่องของรูปร่าง ลักษณะเด่น หรือสรีระใบหน้าที่มาตรฐานค่านิยมสังคมมองว่า สวย หรือ หล่อ เช่นเดียวกันกับธรรมชาติ หรือสิ่งก่อสร้างต่างๆอันยิ่งใหญ่ ชนิดที่เห็นแล้วขนลุกซู่ ตะลึงพรึงเพริด จนต้องรีบคว้ากล้องถ่ายรูปคู่กายมาบันทึกภาพ ... เราจึงจะมักเรียกสิ่งเหล่านั้นว่า ความงดงาม . ผมไม่ได้ทำตัวแปลกแยก ปฏิเสธความงามขั้นพื้นฐานอย่างที่คนส่วนใหญ่มองเห็นกัน เพียงแต่เมื่อมีประสบการณ์การเดินทางมากขึ้น มีโอกาสเจอกับผู้คนหลากหลาย ซึ่งไม่ได้มีรูปร่างหน้าตาหน้าตาหล่อเหลา สวยสดเกลี้ยงเกลาหมดจด หรือบ่อยครั้ง ที่การเดินทางดั้นด้นไปเที่ยวไกลๆ แล้วกลับต้องไปเจอกับสถานที่ที่แสนจะธรรมดาแต่ในความเรียบง่ายธรรมดาของผู้คน หรือสถานที่ ... ผมยังรับรู้ได้ถึง ความงาม เช่นกัน .หนังรอบเช้า ถ้ามีใครถามว่า ไปดูหนังรอบเช้าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ? ผมคงต้องไปค้นหาคำตอบจากกล่องเก็บตั๋วหนังในลิ้นชัก เพราะจำไม่ได้จริงๆ ชีวิตของผม ก็คล้ายชีวิตปกติของมนุษย์เงินเดือนทั่วไป จันทร์ถึงศุกร์ทำงานสายๆ (บอกว่าทำงานตั้งแต่เช้า เดี๋ยวเป็นการโกหก) ส่วนเสาร์อาทิตย์ ถ้าไม่มีธุระปะปังอะไร ก็อาจทะลึ่งนอนเลยไปจนเกือบเที่ยง การจะไปดูหนังรอบ 9 - 10 โมง ตั้งแต่โรงหนังเพิ่งเปิด คงเป็นไปได้น้อยครั้ง .. แต่แล้วการเดินทางครั้งใหม่ กลับเป็นภาคบังคับให้ผมต้องตื่นตั้งแต่เช้าออกจากกรุงเทพ เพื่อไปให้ทันการดูหนัง ... เพียงแต่ว่าคราวนี้ เป็นการดู หนังใหญ่ มรดกทางวัฒนธรรมเก่าแก่ซึ่งสืบทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา . . ปลายทางแรกในเช้าวันนั้นอยู่ที่ วัดขนอนหนังใหญ่ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นเหตุผลของการที่ผมต้องตื่นตั้งแต่เช้า เนื่องจากวัดขนอน เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวผู้สนใจการเชิดหนังใหญ่ ชมได้ฟรีในทุกวันเสาร์เวลา 10 โมงเช้า ณ โรงแสดงหนังใหญ่วัดขนอน ... ดังนั้น คำว่า ของฟรี(คุณภาพดี)ไม่มีในโลกนั้น คงไม่อาจใช้ได้กับกิจกรรมในทุกๆเช้าวันเสาร์ของวัดแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม สำหรับใครที่ไม่สะดวกในวันเวลาดังกล่าว ก็สามารถติดต่อให้ทางวัดจัดการแสดงรอบพิเศษให้ชมในวัน หรือเวลาอื่นได้ เพียงแต่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในราคาหลักพัน . .หนังใหญ่ของวัดขนอน เป็นหนึ่งในคำขวัญของจังหวัด ซึ่งจากบันทึกประวัติ หนังใหญ่ของวัดแห่งนี้ได้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โดยท่านพระครูศรัทธาสุนทร จากนั้นกาลเวลาแปรเปลี่ยนให้หนังใหญ่ซบเซาเสื่อมถอยไประยะหนึ่ง จนกระทั่งในปี 2532 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเห็นคุณค่าแห่งงานศิลป์อันทรงคุณค่า จึงทรงมีพระราชดำริให้ทางวัดขนอนฟื้นฟูหนังใหญ่ให้กลับขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง นอกจากนี้ มรดกเก่าแก่ซึ่งเพิ่งได้รับรางวัลจากองค์การยูเนสโก ไปเมื่อปี 50 ยังจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน ซึ่งเปิดให้เข้าชมฟรีตั้งแต่ 8.30-17.30 น. . . แต่ไม่ใช่เพียงแค่มรดกงานศิลป์ซึ่งเป็นวัตถุเท่านั้นที่พลิกฟื้น หากยังหมายความรวมถึง การเติบโตของงานศิลป์ ที่ถ่ายทอดสู่มนุษย์ นั่นคือ เด็กๆในชุมชนโพธาราม กับการมีส่วนร่วมสืบสานอนุรักษ์มรดกไทย โดยเฉพาะการเชิดหนังใหญ่อันเป็นศิลปะการแสดงผสมผสานระหว่างนาฏศิลป์ ดนตรีไทย การละคร งานช่างแกะสลัก ... รวมกันเป็นหนึ่งเดียว . .ทศพร แพทอง เด็กหนุ่มผู้คลุกคลีกับหนังใหญ่มาร่วม 10 ปี เล่าให้ผมฟังว่า เด็กๆที่มาเชิดหนังใหญ่นั้น เป็นเด็กนักเรียนจากโรงเรียนวัดขนอน ร่วมกับเด็กในอำเภอโพธารามอีกบางส่วน โดยโรงเรียนเปิดหลักสูตรวิชาเลือกให้นักเรียนมีโอกาสศึกษาวิชาหนังใหญ่โดยเฉพาะ เด็กๆฝึกฝนประมาณ 3 เดือน ก็พอจะมาเชิดหนังใหญ่ได้แล้ว แต่ความยากของการเชิดหนังใหญ่ อยู่ที่ความสัมพันธ์กันระหว่างบทพากย์ กับท่วงท่า ซึ่งต้องให้มีความสอดคล้องกัน เช่น หากพากย์ว่า หนุมานกำลังค่อยๆย่างเยื้องไปช้าๆ ผู้เชิดก็ต้องค่อยๆก้าวเดินเหมือนบทพากย์ ทุกอย่างต้องมีจังหวะที่สัมพันธ์กัน . . นอกจากทศพรเป็นคนเชิดเองเล่นเองแล้ว ยังรับหน้าที่สำคัญ คือ การพากย์อีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมว่า เขาเรียนรู้ด้วยวิธีครูพักลักจำจากการคลุกคลีอยู่กับศิลปะแขนงนี้มาหลายปี จนกระทั่งมารับหน้าที่สำคัญในที่สุด แม้เด็กหนุ่มจะไม่ได้เรียนหนังสือสูงๆ หรือหากจะกล่าวกันตามตรงว่า เขาเป็นเพียงเด็กวัดคนหนึ่ง ... แต่นั่นคงไม่ใช่สาระสำคัญเท่ากับ เด็กหนุ่มคนนี้มีมรดกอันทรงคุณค่าติดอยู่กับตัวและหัวใจ เหมือนกับประโยคที่เขาบอกกับผมเด็กๆที่มาเรียนหนังใหญ่ จะได้วิชาความรู้ด้านการแสดง และดนตรีไทย ติดตัวไปด้วย ซึ่งก็คงนำไปใช้ประโยชน์ในการเรียนต่อได้ ที่สำคัญเด็กๆพวกนี้จะได้ช่วยกันสืบทอดรักษาศิลปวัฒนธรรมของชาติ . .ภาพลับในงานจิตรกรรม ในภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวนของฝรั่ง เราอาจเคยผ่านตาเรื่องราวที่รูปวาดจิตรกรรมต่างๆ มีรหัสลับ หรือความหมายแฝงซุกซ่อน ตัวเอกต้องไขปริศนา ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เมืองไทยเรามีจิตรกรรมสวยๆตามวัดวาอารามต่างๆมากมาย ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ภาพอันวิจิตรตามฝาผนังของวัดต่างๆ จะบอกใบ้ลายแทงขุมทรัพย์ หรือรหัสลับอะไรไว้บ้างหรือเปล่า แต่ตามหลักความน่าจะเป็น ... จิตรกรรมไทยคงไม่ได้มีสัญลักษณ์อะไรให้ตีความไปถึงขนาดนั้น มักมีเพียงภาพสื่อถึงเรื่องราวจากวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ พุทธประวัติ หรือประวัติศาสตร์ไทยโบราณ กระนั้น ถึงจะไม่มีรหัสลับ แต่บางครั้งจิตรกรรมไทยก็อาจมีความลับซ่อนอยู่ ! . . ในอำเภอโพธาราม มีวัดที่มีชื่อเสียงด้านจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่ คือ วัดคงคาราม วัดแห่งนี้ เป็นวัดมอญโบราณ มีพระอุโบสถขนาดเล็กอยู่ด้านหน้า ซึ่งพื้นที่ภายในพระอุโบสถ ไม่ได้ใหญ่โตโอฬารใดๆเลย ... ตรงกันข้าม พื้นที่ใช้สอยอาจจะเล็กกว่าคอนโดมิเนียมหรูๆด้วยซ้ำ แต่ความงามของสิ่งที่ปรากฏ ขึ้นอยู่ที่ว่าตัวเราจะมองเห็นอย่างไรมากกว่า ... พระอุโบสถเล็กๆที่มีจิตรกรรมฝาผนังด้านใน จึงมีความขลังปนความงามให้ผมได้เดินชมเพลินๆ หรืออย่างน้อยที่สุด ถือเสียว่า แวะมาไหว้พระ นั่งพักเหนื่อย และหยอดเงินใส่ตู้บริจาคทำบุญ . . จิตรกรรมฝาผนังที่วัดคงคาราม เป็นงานเขียนที่มีความละเอียด อ่อนช้อย งดงาม และตามสันนิษฐาน น่าจะเขียนขึ้นตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น จนบางส่วนถูกลบเลือนไปตามกาลเวลา ผมเดินชมความวิจิตรเบื้องหน้า และใช้เวลาถ่ายภาพ รวมไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็เสร็จสิ้นภารกิจ (อย่างไรก็ตาม ภายในวัดคงคาราม มีพิพิธภัณฑ์พื้นบ้านให้นักท่องเที่ยวแวะไปชมได้อีกด้วย)ข้อเตือนใจอย่างหนึ่งสำหรับนักท่องเที่ยวในโลกยุค 2010 กล้องดิจิตอลครองเมือง คือ การถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนังในวัด หรือพระพุทธรูปเก่าแก่ใดๆก็ตาม ต้องงดใช้แฟลช เนื่องจากความร้อน หรือแสงจากแฟลช อาจทำปฏิกิริยาส่งผลต่อมรดกทรงคุณค่าเหล่านั้นได้ ผมมักแนะนำเทคนิคง่ายๆในการถ่ายภาพจิตรกรรมฝาผนังแก่ช่างภาพมือใหม่เสมอว่า ... ให้ตั้งค่าการทำงานของกล้องโดยปิดระบบแฟลช ปรับค่า ISO สูงๆ ใช้สปีดชัตเตอร์ต่ำ และหากไม่เป็นการรบกวนผู้อื่น หรือสถานที่นั้นไม่ได้มีข้อห้าม ก็ให้ใช้ขาตั้งกล้องในการถ่ายภาพ ... ก่อนที่จะจบลงที่กระบวนการสุดท้าย คือ โปรแกรมโฟโต้ชอป เพียงเท่านี้ ภาพที่เราได้มา ก็คงเพียงพอแล้วสำหรับการบันทึกความทรงจำ ... โดยที่จิตรกรรมล้ำค่า ก็จะคงอยู่ให้ผู้อื่นได้เชยชมต่อไปนานๆ . . เมื่อหลายปีก่อนมีนักท่องเที่ยวไปเดินชมจิตรกรรมที่วัดพระแก้ว แล้วสังเกตเห็นภาพขำๆที่ซ่อนอยู่ตามมุมต่างๆ จึงนำมาเผยแพร่ตามอินเทอร์เน็ต กลายเป็นเรื่องฮือฮา เกิดกระแสเกมจับผิดภาพตามฝาผนังวัดกันยกใหญ่ ใครจะรู้ นั่นอาจเป็นอุบายของคนโบราณ ในการดึงคนให้เข้าไปสัมผัสใกล้ชิดกับงานจิตรกรรมแห่งวิถีพุทธก็เป็นได้ ภาพขำๆเหล่านั้น เปรียบเสมือนอารมณ์ขันของศิลปินที่เจตนาวาดเอาไว้ รอเพียงให้คนตาไวอย่างเราๆ ได้ไปค้นหาว่าความลับนั้นซ่อนอยู่มุมไหน ผมยอมรับว่าเป็นคนที่ไม่ค่อยชำนาญในเรื่องพวกนี้ เล่นเกมจับผิดภาพทีไรก็แพ้คนอื่นตลอด จึงได้แค่ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ... ตามสัญชาตญาณ . .ตลาดศิลปิน ถิ่นเจ็ดเสมียน ระยะทางจากตัวอำเภอโพธาราม ห่างกันเพียง 1 สถานีรถไฟ เป็นที่ตั้งของตำบลเล็กๆตำบลหนึ่ง ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นน่าไปเยือน คือ ตำบลเจ็ดเสมียน ซึ่งเดิมเคยมีสถานะเป็นอำเภอมาก่อน ที่มาของชื่อ เจ็ดเสมียน เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพระเจ้าตากสิน ที่ทรงยกทัพผ่านมา พระองค์ทรงต้องการรวบรวมไพร่กำลังพล ก็ปรากฏว่ามีคนจำนวนมากมาสมัคร จนเสมียนที่พระองค์นำมาไม่สามารถทำงานได้ทัน แต่ก็มีเสมียน 7 นาย ในหมู่บ้านแห่งนี้ อาสามาทำหน้าที่จดทะเบียนกำลังพลดังกล่าว จนเป็นที่พอพระทัย และพระราชทานนามให้ แม้เรื่องราวประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องเล่าบอกต่อโดยไม่มีหลักฐานที่ชี้ชัด แต่ก็เป็นบทบันทึกในพิพิธภัณฑ์เจ็ดเสมียนที่ทำหน้าที่เก็บร่องรอยความทรงจำของชุมชน . . จุดขายอย่างหนึ่งของตำบลขนาดเล็กแห่งนี้ อยู่ที่ชุมชนหลังสถานีรถไฟ ซึ่งเป็นตลาดเก่าแก่ที่ชาวบ้านรู้จักกันดีในชื่อ ตลาดเก่า 119 ปี เจ็ดเสมียน ตลาดเก่าแห่งตำบลเจ็ดเสมียน มีความต่างไปจากตลาดยอดฮิตอื่นๆอย่างสิ้นเชิง และที่สำคัญความโดดเด่นแห่งตลาดชุมชนริมทางรถไฟ จะเผยโฉมให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัส เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์ สุดท้ายของแต่ละเดือนเท่านั้น . หากจะให้เปรียบเทียบบรรยากาศ หรือรูปแบบของการท่องเที่ยวแนวชมตลาดแล้วล่ะก็ ... เปรียบได้กับว่า ตลาดน้ำดำเนินสะดวก หรือ ตลาดน้ำอัมพวา คงเป็นเพลงป๊อปจากค่ายดัง ลงทุนสูง เอาใจตลาด เข้าใจง่าย ติดหูเร็ว คนก็นิยมฟังกันในวงกว้าง ... แต่ตลาดเจ็ดเสมียน น่าจะเป็นค่ายเพลงนอกกระแส มีความเรียบง่าย ทำตามใจศิลปิน ต้องอาศัยเวลาฟังอย่างตั้งใจจึงจะค้นพบเสน่ห์ และมีคนฟังเฉพาะกลุ่ม สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะหากนักท่องเที่ยวเดินทางไปถึงตลาดเก่าเจ็ดเสมียน ในประมาณ 3-4 โมงเย็น ... อาจผิดหวังกับ ความไม่มีอะไร ใน ภาพผิวเผิน ที่ปรากฏด้วยสายตา ตลาดเจ็ดเสมียนเมื่อแรกพบ เป็นเพียงตลาดสดเล็กๆริมสถานีรถไฟ ... ร้านค้าห้องแถวไม้สองชั้น บ่งบอกอายุความเก่าแก่ ตั้งหันหน้าเข้าหากัน มีตลาดอยู่ตรงกลาง กระจายไปถึงรอบๆอุโบสถ และลานกว้างของวัดเจ็ดเสมียน สินค้า ข้าวของต่างๆ ก็ไม่ต่างจากตลาดสดทั่วไปที่เห็นตามต่างจังหวัด ... ไม่เห็นจะมีสินค้า ฮิพๆ ติสต์ๆ อย่างที่เคยเจออยู่บ่อยๆตามตลาดเก่าชื่อดังแห่งอื่นแล้วเสน่ห์ของตลาดเก่าแห่งนี้ อยู่ที่ใด ? . . ผมเดินทางไปตลาดเก่าในวันเสาร์สุดท้ายของเดือน ตามข้อมูลที่ได้รับมา แต่ด้วยเหตุที่เดินทางมาเร็วไปสักหน่อย ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจึงยังไม่เกิดขึ้น ... บรรยากาศยามบ่ายแก่ๆของตลาดสดจึงยังคงดำเนินไปตามปกติ กระนั้น ตามประสานักเดินทางขี้เหงา (ปาก) ผมจึงเดินท่องสำรวจรอบตลาดว่ามีอะไรน่าสนใจบ้างหรือเปล่า แล้วก็ใช้เวลาไม่นานนัก จึงพบว่า ชุมชนเจ็ดเสมียนแห่งนี้ มีสินค้าขึ้นชื่อ และเปรียบเป็นสินค้าคู่ท้องถิ่น คือ ผักกาดหวาน หรือไชโป้ว รวมทั้งของหวานอย่าง เค้กมะพร้าว ... ซึ่งในวันที่ผมเดินทางไปเยือนเจ็ดเสมียนนั้น มีการจัดกิจกรรมข้าวต้มบุฟเฟต์ผักกาดหวานพอดิบพอดี จ่ายค่าคูปองเพียง 19 บาท ... รับถ้วย - รับช้อน - ตักข้าวต้ม แล้วเดินชิมสารพัดเมนูจากผักกาดหวาน ให้อิ่มจนพุงกาง . . การสำรวจตลาดเล็กๆของชุมชนริมทางรถไฟ ทำให้ผมสังเกตเห็นถึงความอบอุ่นเป็นกันเองของคนในชุมชนเจ็ดเสมียน เพราะสังคมขนาดเล็ก ทำให้ใครต่อใครต่างคุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดี ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างถิ่น ที่เดินหัวฟูเข้าไปในตลาด ก็ได้รับคำทักทาย ต้อนรับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม นอกจากนั้น ผมยังพบวิถีชีวิตอันน่าสนใจของชาวชุมชนหลังสถานีรถไฟอย่าง คุณตาณรงค์ ชายชราวัยเกือบ 80 ปีที่ยืนโบกรถอยู่บริเวณปากทางโรงเรียนวัดเจ็ดเสมียน ซึ่งเป็นพื้นที่ลานจอดรถสำหรับคนที่เดินทางมาตลาด คุณตาณรงค์ เล่าว่า ก่อนหน้านี้เคยเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เมื่อถึงวัยเกษียณอายุราชการ ก็ยังอยากช่วยเหลือชุมชนเท่าที่ตัวเองจะทำได้ จึงมาทำหน้าที่เป็นตำรวจสมทบ ควบคุมการจราจรจนถึงทุกวันนี้ผมอายุ 78 ปีแล้วครับ ก็อยากจะมาช่วยชุมชน อะไรที่ทำได้ก็ช่วยทำ แถวนี้คนที่ขับรถผ่านไปมา มีร้อยพ่อพันแม่ ถ้าไม่มีคนคอยมาควบคุมระเบียบวินัย มันก็คงยุ่งวุ่นวาย ... ผมทำหน้าที่ตรงนี้มา 10 ปีแล้ว เมื่อก่อนก็ทำอยู่หน้าตลาดนั่นแหละ แต่ตรงนี้มีรถเยอะกว่า ก็ต้องให้คนเก่งๆอย่างผมมาทำ พวกหนุ่มๆมายืนโบก เดี๋ยวคนไม่ฟัง คุณตาณรงค์ เล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดี . . เมื่อถึงเวลาราว 5 โมงเย็น ผมเดินเข้ามาภายในตลาดเจ็ดเสมียนอีกครั้ง เพื่อค้นหาเอกลักษณ์แห่งตลาดเก่า คราวนี้ ก็ได้เจอเสียที ... โดยเอกลักษณ์ที่ว่านั้น คือ กิจกรรม All About Arts สืบสานงานศิลป์ ภูมิปัญญาคนของแผ่นดิน ซึ่งจัดขึ้นทุกเสาร์-อาทิตย์สุดท้ายของเดือน กิจกรรมสืบสานงานศิลป์ฯ เป็นความร่วมมือกันของชาวชุมชนเจ็ดเสมียน ที่นำกลุ่มศิลปินพื้นบ้านรุ่นเก่า กับเหล่าศิลปินเยาวชนรุ่นใหม่ในตำบลเจ็ดเสมียน มาสร้างสรรค์กิจกรรมทางด้านดนตรีและการแสดง สิ่งที่น่าทึ่งและชื่นชม คือ กิจกรรมเหล่านี้ ไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายใดๆในการชม ... ราวกับว่า ชาวชุมชนเจ็ดเสมียนร่วมกันทำขึ้นมาเพื่อความสุข และสืบสานศิลปวัฒธรรมของท้องถิ่นให้คงอยู่จะมีตลาดสดสักกี่แห่งบนโลกใบนี้ ... ที่เราจับจ่ายซื้อหมูเห็ดเป็ดไก่ ท่ามกลางท่วงทำนองดนตรีไทยอันไพเราะ . . เสน่ห์ของตลาดยามเย็น เพิ่มรสกลมกล่อมด้วยบรรยากาศริมแม่น้ำแม่กลอง ที่ค่อยๆเปลี่ยนสีสันไปตามแสงสุดท้ายของวัน ริมน้ำยามโพล้เพล้ เปรียบราวกระจกบานใหญ่ ไหลเอื่อยอย่างสงบ สะท้อนเงาจากผืนฟ้า ผสานเป็นภาพเดียวกัน ขณะที่ความเคลื่อนไหวใต้ลานโพธิ์ ลานกิจกรรมบริเวณตลาดเก่า ... เหล่าศิลปินรุ่นใหญ่ รุ่นเล็ก เริ่มทยอยกันมาเตรียมตัวเปิดรอบการแสดง . . เมื่อแสงสุดท้ายลับหายไป ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีครามเข้ม ... สีสันของตลาดเก่าเจ็ดเสมียน ก็ขยับเคลื่อนเลื่อนตาม แสงไฟจากร้านรวงสว่างไสว แม้ว่าร้านค้าประเภทของสดเริ่มทยอยเก็บข้าวของ แต่ร้านค้าประเภทของกิน ยังคงเปิดรอให้ใครต่อใครได้อิ่มท้อง นักดนตรีไทยวัยใส หยุดการบรรเลงไปแล้ว แต่การแสดงชุดถัดไปกำลังจะเริ่มต้นขึ้นใต้ลานโพธิ์ . .ลานโพธิ์พันปี เป็นลานกิจกรรมใต้ต้นโพธิ์ พื้นที่ประมาณหนึ่งสนามเปตอง ก่อนการแสดงจะเริ่มขึ้น โฆษกซึ่งเป็นผู้นำชุมชน กล่าวติดตลกว่า ที่มาของลานโพธิ์พันปี หาใช่อายุต้นโพธิ์ แต่มีที่มาจากศิลปินพื้นบ้านทั้งหลาย ที่อายุรวมกันแล้วเกิน 1,000 ปี เรียกเสียงหัวเราะครืนได้ทั้งจากผู้ชม และตัวศิลปินเอง หลังจากแนะนำตัวพอเป็นพิธี บรรดาพ่อเพลง แม่เพลง รุ่นเก่า ก็ร่วมกันขับขานบทเพลงโบราณที่ตกทอดสืบต่อกันมา ประสานไปกับเสียงดนตรีไทยบรรเลงโดยเด็กรุ่นใหม่ คืนนั้น มีคณะนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งเดินทางมาชมกิจกรรมพอดี ... ลานทรายใต้ต้นโพธิ์ จึงกลายเป็นลานรำวงใต้แสงสปอร์ตไลท์ สร้างความอิ่มใจให้ทั้งแก่ผู้มาเยือนและเจ้าภาพ บทเพลงไทยเดิมที่ผมเคยได้ยิน และฝึกร้องตั้งแต่สมัยประถม ... เหล่าศิลปินชาวเจ็ดเสมียนได้ช่วยรื้อฟื้นความทรงจำอีกครั้ง ใต้ลานกิจกรรมแห่งนี้ เสียงเพลงลาวดำเนินเกวียน พร้อมลีลาศิลปินพื้นบ้านอายุกว่า 70 ปี เต็มใจถ่ายทอดไปด้วยความสุข ขณะที่ผู้ชมซึ่งเดินทางกันมาเป็นครอบครัว บางรายอาจเป็นครั้งแรกที่พ่อ แม่ ลูก ได้ร่วมร้องเพลงไทยเดิมไปด้วยกัน ถัดจากเพลงของศิลปินรุ่นใหญ่ เป็นการแสดงละครพื้นบ้านไทย ... พระรถเสนตัวน้อย เต้น- แสดงไปตามท่วงทำนองและเนื้อหา จากศิลปินรุ่นปู่ ความแตกต่างแห่งวัยจึงไม่อาจเป็นเส้นกั้นความเชื่อมโยงในหัวใจศิลปิน . . ในความสำเร็จของกิจกรรม All About Arts ณ ตำบลเจ็ดเสมียน ปฏิเสธไม่ได้ว่า จุดเริ่มต้นสำคัญมาจาก มานพ มีจำรัส ศิลปินเจ้าของรางวัล ศิลปาธร สาขาศิลปะการแสดง ปี 2548 ศิษย์เอกอีกคนที่หล่อหลอมวิชามาจากภัทราวดีเธียเตอร์ ด้วยเหตุผลว่า ตำบลเล็กๆในจังหวัดราชบุรีแห่งนี้ คือ บ้านที่ มานพ รักและเติบโต ... เขาจึงย่อมรู้ดีว่า เจ็ดเสมียน มีประวัติศาสตร์แห่งศิลปวัฒนธรรมล้ำค่าที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ แต่ทว่าหากปล่อยปละละเลย ขาดรุ่น มันก็อาจมีวันเสื่อมสลาย จากความมุ่งมั่น หวังจะพลิกฟื้น และอนุรักษ์วิถีแห่งศิลป์ท้องถิ่น มานพจึงก่อตั้ง สวนศิลป์บ้านดิน ซึ่งเป็นทั้งสถานที่พักแรม และเป็นโรงละคร - โรงเรียนสอนศิลปะแขนงต่างๆ ให้กับเยาวชน เมื่อ สวนศิลป์บ้านดิน ก่อร่างสร้างตัวเองได้พอจะมีความมั่นคง พร้อมทั้งมีเยาวชนที่ผ่านการฝึกฝนเป็นกำลังสำคัญ ... งาน All About Arts จึงเกิดขึ้น โดยผนึกความร่วมมือจากเทศบาลตำบลเจ็ดเสมียน และชาวชุมชน กิจกรรมส่งท้ายค่ำคืนแห่งการสืบสานงานศิลป์ฯ ซึ่งนับเป็นไฮไลท์ของงาน จึงเป็นการแสดงจาก มานพ และลูกศิษย์ . .ติสต์แตก ... ศัพท์คำนี้ มักใช้เป็นคำแสลงสื่อถึงคนที่มีอารมณ์ศิลปินจัดๆ โลกส่วนตัวสูง หรือทำอะไรที่ดูแปลกแหวกแนวกว่าคนทั่วไปแต่หากคำว่า ติสต์แตก ถูกนำมาใช้กับมานพ ความหมายของศัพท์คำนั้น อาจต้องหมายถึง ศิลปินตัวจริง ของจริง ด้วยประสบการณ์ ความสามารถ ในระดับประเทศ พ่วงด้วยสถานะ ศิลปินรางวัลศิลปาธร ด้านการแสดง ... เกิดเป็นคำถามว่า เราจะต้องจ้างศิลปินรายนี้ มาแสดงด้วยค่าตัวเท่าไร ? หรือ หากศิลปินคนนี้ ไปปักหลักทำมาหากินในเมืองใหญ่ ไปกอบโกยรายได้ในต่างประเทศ ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องยาก ... เขาจะได้ค่าตอบแทนเป็นจำนวนเงินมากแค่ไหน ? แต่ความสำเร็จ หรือความร่ำรวยของตัวเอง อาจไม่ใช่เป้าหมายของทุกคน มานพ จึงแบ่งเวลาส่วนหนึ่งของชีวิต มาปลูกเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งศิลปินลงไปในชุมชนเล็กๆที่เขารัก . . เหล่าศิลปินจากสวนศิลป์ ใช้ลานซีเมนต์กว้างริมน้ำแม่กลองเป็นเวทีการแสดงกลางแจ้ง สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาผู้ชม คือ การแสดง ที่ประยุกต์ศิลปะหลายแขนงในรูปแบบร่วมสมัย (โดยรวมเป็น Contemporary Dance) มานพ คือ ตัวแสดงหลัก ขณะที่ศิลปินวัยหนุ่มสาว คือ นักแสดงสมทบ และนักดนตรี อาจเป็นภาพที่ค่อนข้างเหลือเชื่ออยู่พอสมควร ว่าศิลปะการแสดงที่กลั่นกรองมาจากความรู้ ประยุกต์จากศิลป์นานาแขนง หาชมได้ยาก และอาจต้องเสียค่าเข้าชมตามโรงละครในราคาหลักหลายร้อย ไปจนถึงหลักพัน แต่สิ่งเหล่านั้น มีให้ชมฟรีที่ ตลาดแห่งศิลปิน . .สวนศิลป์ บ้านดิน... เป็นที่พักแรมสำหรับผมในค่ำคืนปลายฤดูฝน ความโดดเด่นของที่พัก ไม่ใช่ความหรูหรา ไม่ใช่ความสะดวกสบาย หรือใกล้ชิดธรรมชาติจนน่าหลงใหล แต่สวนศิลป์แห่งนี้ เป็นโรงเรียนฝึกศิลปิน ที่มีค่าเล่าเรียน คือ ใจรัก มีใบสมัคร คือ ความตั้งใจ ในวันเสาร์ อาทิตย์ (ที่ไม่ใช่สัปดาห์สุดท้ายของเดือน) ก็จะมีกิจกรรมเวิร์คชอปเกี่ยวกับศิลปะ รวมถึงการแสดงให้แขกที่มาพักได้ชม พนักงานของสวนศิลป์บ้านดิน เล่าให้ผมฟังว่า รายได้หลัก มักเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางกันมาสัมมนาคณะใหญ่ หรือใช้สถานที่จัดกิจกรรมต่างๆ ซึ่งรายได้นั้นเอง ส่วนหนึ่งก็นำมาหมุนเวียนเพื่อหล่อเลี้ยงงานศิลป์ในชุมชนต่อไป . .Cinema Paradiso แห่งโพธาราม ในปี 1988 ภาพยนตร์อิตาลีเรื่อง Nuovo Cinema Paradiso ออกฉายในประเทศตนเอง และได้เสียงตอบรับในแง่บวกเป็นวงกว้าง จากนั้นความสำเร็จของผลงานเรื่องนี้ เผยแพร่ออกสู่ตลาดยุโรป และเริ่มตระเวนกวาดรางวัลจากหลายๆเวที จนกระทั่งในที่สุด รางวัลภาพยนตร์ภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยม (Best Foreign Language Film) ในเวทีออสการ์ ปี 1990 ก็ตกเป็นของภาพยนตร์จากแดนมะกะโรนี สำหรับเมืองไทย นักดูหนังรู้จักภาพยนตร์เรื่องนี้ในชื่อสั้นๆว่า Cinema Paradiso ... แต่พลังของภาพยนตร์ก็เปล่งประกายออกมาไม่ต่างกัน และสามารถครองความเป็น หนังในดวงใจ ของชาวไทยได้หลายต่อหลายคน ภาพยนตร์เรื่องนี้ ว่าด้วยเรื่องราวของ โรงหนังประจำหมู่บ้าน . . เช้าวันรุ่งขึ้น ผมติดรถพนักงานสวนศิลป์ฯ เดินทางจากตำบลเจ็ดเสมียน กลับมาสู่ตัวอำเภอโพธารามอีกครั้ง โดยจุดหมาย คือ โรงภาพยนตร์เก่าประจำเมืองที่มีชื่อเรียกกันว่า วิกครูทวี โรงภาพยนตร์เก่า ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ มีจุดเริ่มต้นมาจาก ครูทวี หรือ ทวี แอคะรัด ผู้มีอาชีพครู แต่รักชอบการถ่ายภาพบุคคล และสนใจถ่ายภาพยนตร์ 16 มม.ได้สร้างห้องโรงหนังขึ้นที่บริเวณตลาดกลาง บริเวณตึกแถวของคุณเล็ก-เธียระ ก่อนย้ายมาตั้งอยู่ ณ ที่ปัจจุบัน โดยเริ่มแรกเป็นเพียงห้องแถวไม้ ใช้เป็นที่เล่นละครร้องมาหลายสิบปี จนกระทั่ง ปี 2501 จึงสร้างเป็นอาคารคอนกรีต (อ้างจาก กนกพร โชคจรัสกุล : กรุงเทพธุรกิจ ) . . แต่แล้วด้วยกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลงในโลกทุนนิยม ซึ่งมีทั้งโรงภาพยนตร์สมัยใหม่ ผนึกกำลังเข้ากับความบันเทิงในรูปแบบวีซีดี ซึ่งหากผมจำไม่ผิด กำลังเริ่มเป็นที่นิยมในช่วงยุค 2540 โรงหนังเก่าอย่าง วิกครูทวี ย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงที่ต้องแข่งขันอยู่ท่ามกลางกระแสทันสมัยอันเชี่ยวกรากนั้น จนกระทั่งกลางปี 2541 โรงภาพยนตร์เก่าแก่แห่งโพธาราม ก็ถึงเวลากล่าวคำอำลา ... ปิดตำนานเหลือไว้เพียงแค่ความทรงจำ . .จริงอยู่ที่ว่า โรงหนัง ไม่สามารถมีลมหายใจ ... แต่ทว่า ลมหายใจแห่งชีวิต และความผูกพันของ คน ยังคงอยู่ เมื่อกาลเวลาล่วงเลยมากว่าทศวรรษ ความเคลื่อนไหวแห่งโรงภาพยนตร์เก่า จึงเริ่มขยับเขยื้อนจากคนในโพธารามอีกครั้ง อาจเรียกว่า เป็นความโชคดี และความเป็นนักอนุรักษ์ของชาวโพธาราม ... ที่ยังเก็บรักษาอาคารเก่ารอวันทรุดโทรม จนล่วงเลยมากว่า 10 ปี ผมนึกสภาพไม่ออกเลยว่า อาคารเก่าที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ใดๆมานานหลายปี แถมยังตั้งอยู่ในทำเลดีด้านธุรกิจ ... หากอาคารนี้ตั้งอยู่ในเมืองใหญ่ จะสามารถรอดพ้นจากเงื้อมมือนายทุนได้หรือไม่ ชาวโพธารามส่วนหนึ่ง รวมตัวกันตั้งเป็นชมรม อย่าลืม โพธาราม โดยได้รับความร่วมมือจากภาคเอกชน และกลุ่มศิลปินมืออาชีพ ศิลปินอิสระ ช่างภาพกลุ่มสห+ภาพ และอีกหลายแรงกายแรงใจ ร่วมกันปลุกวิถีชีวิต ศิลปะ เอกลักษณ์ และวัฒนธรรมดั้งเดิมของท้องถิ่น วิกครูทวี ก็เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม ที่ชาวชมรมฯ ร่วมกันอนุรักษ์ แล้วใช้เป็นสถานที่หลักในการจัดกิจกรรมต่างๆ ... และกำลังเป็นจุดเริ่มต้นในการฟื้นวิถีที่เคยพร่าเลือน ให้กลับมาชัดเจน . .Cinema Paradiso เป็นมากกว่าโรงภาพยนตร์เก่าแก่ของหมู่บ้านในเมืองซิซิลี ... วิกครูทวี ก็ไม่แตกต่างกัน เพราะหากนับระยะเวลาของการทำหน้าที่ถ่ายทอดศิลปะจากแผ่นฟิล์ม แปรเป็น ความสุข รอยยิ้ม และความบันเทิงให้กับคนโพธารามมาช้านานแล้ว โรงภาพยนตร์ในย่านตลาดเก่า ไม่ได้เป็นแค่เพียงสถานบันเทิงเริงใจ ... แต่ต้องเป็นหนึ่งในวิถีชีวิตแห่งชุมชน . .โพธาราม ในความทรงจำ แม้ย่านตลาดเก่าโพธาราม จะเปลี่ยนแปลงไปตามยุค มีร้านค้า อาคารบ้านเรือนตามสมัยนิยม แต่อาคารไม้ห้องแถวเก่าๆ บ้านทรงโบราณ ยังคงหยัดยืนอยู่ร่วมกันจนถึงยุคปัจจุบัน ผมยอมรับว่า ขณะที่เดินเก็บภาพไปเรื่อยๆนั้น ยังไม่รู้สึกว่า มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจนัก เนื่องจากบ้านเรือนสมัยเก่า ก็เป็นเพียงที่พักอาศัยธรรมดาๆ ที่ค่อนข้างดูเงียบสงบในวันหยุด แต่เมื่อกลับมาดูภาพทั้งหมดจากในกล้อง จึงเห็นเสน่ห์งดงามของความเป็นอดีตที่อยู่ร่วมกับปัจจุบันอย่างกลมกลืน . . ผมใช้เวลาเดินเล่นชมชุมชนโพธารามไปเพลินๆ จนออกไปสู่ริมแม่น้ำแม่กลอง สายเดียวกันกับที่ตำบลเจ็ดเสมียน ซึ่งยังคงไหลเอื่อยไปช้าๆในวันอาทิตย์ ในความเงียบของแม่น้ำ ... ชาวบ้านบางคนมานั่งตกปลา บ้างก็มาใช้ประโยชน์จากสายน้ำ ขณะที่กลุ่มวัยรุ่นใช้เป็นสถานที่พักผ่อนนั่งคุย วิถีชีวิตแห่งชุมชนโพธาราม ที่ดูผ่อนคลาย ไม่วุ่นวาย คงไม่ต่างจากสายน้ำแม่กลองในวันนั้น . .เฮ่งกี่ บะหมี่เส้นแบน บริเวณที่ว่าการอำเภอโพธาราม มีร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆร้านหนึ่ง ชื่อว่า เฮ่งกี่ ซึ่งเป็นร้านที่ผมแวะไปเติมพลัง ช่วงพักครึ่งเวลา สำหรับนักตระเวนชิมในเมืองกรุงทั้งหลายอาจคุ้นหูผ่านตามาบ้าง เพราะก๋วยเตี๋ยวเฮ่งกี่นั้น มีสาขาที่สำราญราษฏร์ ย่านของกินอร่อยในกรุงเทพฯ นั่นเอง คุณกำเนิดสุข เจ้าของร้านเฮ่งกี่ แห่งโพธาราม เล่าให้ผมฟังว่า เปิดกิจการที่นี่มาราว 70-80 ปีแล้ว ตั้งแต่รุ่นเตี่ย ส่วนสาขาที่กรุงเทพฯนั้นเป็นของพี่ชาย ปัจจุบัน เธอยังดูแลกิจการด้วยตัวเอง โดยเริ่มมีทายาทรุ่นที่ 3 คือ ลูกๆหลานๆมาช่วยงานเป็นลูกมือบ้าง ส่วนจุดขายของบะหมี่เฮ่งกี่ที่ขึ้นชื่อ คือ เป็นบะหมี่ทำเอง มีเส้นแบน นิ่ม และหอม เมื่อทานร่วมกับหมูแดงฝานบางๆ โรยด้วยความหวานจากหมูหวานชิ้นเล็ก ก็ซึมซับความอร่อยนั้นได้โดยแทบไม่ต้องปรุง . .โพธาราม ราชบุรี ถัดจากร้านเฮ่งกี่ ไปประมาณ 100 เมตร คือ สถานีรถไฟโพธาราม ... สถานีขนาดเล็กที่แม้ไม่คึกคัก แต่ก็ยังมีความเคลื่อนไหวอย่างสม่ำเสมอ เมื่อจุดหมายถัดไปของผมในช่วงบ่าย คือ เดินทางเข้าสู่ตัวเมืองราชบุรี ดังนั้นสำหรับคนที่ไม่มีรถส่วนตัว การเดินทางด้วยรถไฟ จึงเป็นตัวเลือกที่สะดวกรวดเร็ว ประหยัด เพราะเป็นรถไฟฟรี เพียงแต่ต้องตรวจสอบตารางการเดินรถล่วงหน้า เพื่อจะไม่ไม่เสียเวลา หรือ พลาดขบวน (รถไฟธรรมดา ระหว่างสถานี โพธาราม ราชบุรี มีให้บริการวันละ 4 เที่ยว ใช้เวลาเดินทางประมาณ 25 นาที) เมื่อเสียงหวูดดัง เป็นสัญญาณว่าขบวนรถไฟกำลังเคลื่อนสู่ชานชาลา ก็ถึงเวลา กล่าวอำลา โพธาราม . .ก๋วยเตี๋ยวไข่คุณแหม่ม แจ่มๆด้วยไข่ยางมะตูม ด้วยพื้นฐานของผมเป็นคนชอบทานก๋วยเตี๋ยว ... ทานไปได้เรื่อยๆ ไม่มีเบื่อ จนกว่าจะอิ่ม (หรือ ตังค์หมด) ดังนั้นหลังจากชิมบะหมี่เฮ่งกี่ของเมืองโพธารามไปแล้ว เมื่อมาถึงตัวเมืองราชบุรีทั้งที ... ก็ต้องลองมองหาร้านที่จะมาประฝีมือดูสักหน่อยก๋วยเตี๋ยวไข่คุณแหม่ม เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเก่าแก่ของเมืองราชบุรี แถมยังมี 2 สาขาเหมือนกันอีกด้วย โดยสาขาที่ผมเดินทางแวะชิม ตั้งอยู่ติดกับโรงพยาบาลพร้อมแพทย์ และเป็นสาขาที่คุณแหม่ม เจ้าของร้านประจำอยู่ (ส่วนอีกสาขา ตั้งอยู่แถววัดเขาวัง) เคล็ดลับ สูตรเด็ดของก๋วยเตี๋ยวไข่ฯ คือ ไข่ต้มยางมะตูมของร้าน ที่เมื่อทานเข้ากับก๋วยเตี๋ยวหมูแดง ซดน้ำซุปร้อนๆที่ต้มด้วยเตาถ่านแล้ว รสชาติก็อร่อยล้ำโดนใจ คุณแหม่มบอกว่า น้ำต้มยำที่นี่ ใช้น้ำมะนาวคั้นสด ใช้น้ำตาลปี๊บ และยังคั่วถั่วเองอีกด้วย เมื่อทานจนหมดเกลี้ยงชาม ... กรรมการแบบผมจึงให้คะแนนทั้งสองร้านเสมอกัน และยกให้เป็นเมนูแนะนำที่นักชิมไม่ควรพลาดทั้งคู่ . .ราชบุรี เมืองโอ่ง หลังบ้านผม มีโอ่งมังกรอยู่หลายใบ แม่ของผมจะลากสายยางรองน้ำในโอ่งเอาไว้ใช้ เผื่อเวลาที่น้ำไม่ไหล ส่วนผม มักใช้โอ่งเป็นที่หลบภัย เวลาผีปอบออกอาละวาด ... (ล้อเล่นนะครับ) ผมจำความไม่ได้แล้วว่า โอ่งแต่ละใบมีที่มายังไง คลับคล้ายคลับคลา ว่ามีรถบรรทุกใหญ่ วิ่งผ่านมาขายถึงหน้าบ้าน แต่ไม่ว่าโอ่งนั้นจะมาจากแหล่งใด ... คำว่า โอ่ง ราชบุรี มันก็เป็นคำคุ้นหูมานานแสนนาน คำว่า เมืองโอ่งมังกร เป็นอีกหนึ่งในคำขวัญของจังหวัดราชบุรี และดูเหมือนจะเป็นคำที่เราคุ้นเคยกับจังหวัดนี้มากที่สุด ดังนั้น เมื่อมาเยือนถึงถิ่นโอ่งดัง ผมจึงไม่พลาดที่จะออกตามหาประวัติศาสตร์ของโอ่งมังกรหลังบ้านตัวเองดูสักหน่อย (ทั้งๆที่โอ่งที่แม่ซื้อไว้ อาจจะเป็นของอาแปะแถวนั้นก็ได้) ในตัวเมืองราชบุรี มีโรงงานโอ่งที่น่าสนใจแวะเข้าชม เช่น โรงโอ่งเถ้าฮงไถ่ และโรงโอ่งรัตนโกสินทร์ ... แต่ด้วยข้อจำกัดในการเดินทาง และเวลา ... ผมจึงเลือกไปชมโรงโอ่งได้เพียงแห่งเดียว คือ โรงโอ่งเถ้าฮงไถ่ . .โรงงานโอ่ง เถ้าฮงไถ่ ตั้งอยู่ที่ถนนเจดีย์หัก นับเป็นโรงงานเครื่องปั้นดินเผาเก่าแก่ของจังหวัดราชบุรี มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2476 จาก ซ่งฮง แซ่เตีย และ จือเหม็ง แซ่อึ้ง สองหนุ่มจากแดนมังกรเดินทางมาตั้งรกรากในเมืองไทย และพบแหล่งดินดีในพื้นที่ราชบุรี จึงนำตัวอย่างดินไปทดลองเผาที่เตาของเจ้าสัวฮะลิ้ม สามเสน ชวนสมัครพรรคพวกตั้งเป็นโรงงาน เถ้าเซ่งหลีเรื่องราวต่อมา ก็ไม่ต่างจากละครแนวคนจีนสู้ชีวิตที่เราคุ้นเคย เพราะในปี พ.ศ. 2486 ซ่งฮง กับ จือเหม็ง ได้ออกมาตั้งโรงงาน เถ้าแซ่ไถ่ เป็นของตัวเอง และเริ่มผลิตโอ่งมีลายมังกรเป็นครั้งแรก จากนั้นในปี พ.ศ. 2497 ก็ได้แยกสาขา ขยายกิจการ โดย ซ่งฮง แซ่เตีย ตั้งโรงงานใหม่เป็น เถ้าฮงไถ่ จนถึงปัจจุบัน ในวันนี้ โรงโอ่งเถ้าฮงไถ่ ไม่เพียงแต่ผลิตโอ่งใบเขื่องอย่างที่เราเห็นกันทั่วไป เพราะด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนผ่าน บวกกับความต้องการของตลาดทั้งในและนอกประเทศ ผลิตภัณฑ์ปั้นดิน งานศิลป์แห่งคนเมืองโอ่ง จึงแตกแขนงออกไปอย่างหลากหลาย ทั้งงานโอ่งดั้งเดิม งานเครื่องปั้นดินเผา และงานเซรามิกส์ ... กลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ ให้คนทั่วโลกได้รู้จัก ผลิตภัณฑ์เมืองราชบุรี . .สิ่งเล็กๆที่เรียกว่า กาแฟโอ่งมังกร ผมเริ่มดื่มกาแฟมาตั้งแต่สมัยมัธยม ... แรกๆก็ดื่มแก้ง่วง แต่หลังจากดื่มไปเรื่อยๆหลายปี ก็กลายเป็นความเคยชิน ติดรสกาแฟกลายเป็นดื่มเพื่อความอร่อยแต่แม้จะติดกาแฟมากแค่ไหน ผมก็เป็นเพียง นักดื่มกาแฟแบบบ้านๆ คือ ไม่ติดกับรสชาติว่าจะต้องดื่มเฉพาะกาแฟหรูหรา ราคาแพง ... ไม่ว่าจะเป็นกาแฟสด กาแฟสำเร็จรูป กาแฟต่างประเทศ กาแฟต่างจังหวัด กาแฟบราซิล กาแฟอาร์เจนตินา กาแฟริมถนน กาแฟในเซเว่น ฯลฯ ... ขอให้มีส่วนผสมของคาเฟอีน ผมก็ดื่มได้หมด จึงเป็นเรื่องที่เข้าทางนักดื่มกาแฟแบบผมเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเพราะเมืองเล็กๆอย่างราชบุรี ที่มีร้านกาแฟน่านั่งกระจายไปทั่ว แต่ครั้นจะตระเวนชิมลิ้มรสกาแฟให้ครบทุกร้านภายในครึ่งวัน คาดว่า คาเฟอีนคงบีบหัวใจให้เต้นผิดจังหวะไปเสียก่อน ผมจึงเลือกไว้พอเป็นพิธี จำนวน 2 ร้าน ร้านแห่งแรก คือ กาแฟโอ่งมังกร ที่มาของชื่อกาแฟโอ่งมังกร ไม่ได้หมายความว่าร้านนี้จะเสิร์ฟกาแฟด้วยโอ่ง เพียงแต่ คุณที เจ้าของร้าน เล่าให้ผมฟังว่า อยากตั้งชื่อที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดราชบุรีเท่านั้นเอง เริ่มแรกร้านกาแฟเล็กๆ ตรงข้ามโรงเรียนสุริยวงศ์ มีกลุ่มลูกค้าเป็นผู้ใหญ่ แต่ด้วยทำเลที่ตั้ง และเมนู ที่ไม่ได้มีแค่กาแฟ ก็ทำให้มีลูกค้าหลากหลายในที่สุด โดยเฉพาะจุดขาย อย่างมุมอ่านหนังสือ ที่คุณที นำหนังสือของตัวเองซึ่งอ่านจบแล้ว ทั้งวรรณกรรมไทย นิยายจีน มาจัดวางอย่างเป็นระเบียบให้ลูกค้าได้อ่านต่อ ก็คงเป็นมุมโปรดของใครต่อใครได้ไม่ยาก รวมถึงเหตุผลสำคัญอีกข้อ คือ การที่ร้านใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำหนังฮิต สิ่งเล็กๆที่เรียกว่า รัก ... ก็ยิ่งทำให้นักเดินทางตามรอยภาพยนตร์หลายๆคน แวะเวียนมาสัมผัสบรรยากาศนอกจอด้วยตัวเอง . .อาตี๋ โกปี๊ รสดีแบบโบราณ บนถนนวรเดช ริมแม่น้ำแม่กลอง มีร้านกาแฟขนาด 1 คูหา ที่สะดุดตาด้วยการตกแต่ง และรูปลักษณ์ คือ อาตี๋ โกปี๊ มิก - สรายุทธ์ หลายพูนสวัสดิ์ เจ้าของร้านบอกผมว่า อาตี๋ โกปี๊ เป็นร้านน้องใหม่ ที่ตกแต่งในสไตล์ย้อนยุค แต่กระนั้นในเรื่องรสชาติ มิก ยืนยันว่า รับประกันสูตรดั้งเดิมจากทั่วสารทิศความจริงแล้วครอบครัวผมทำเบเกอรี่มาหลายปี แต่ผมก็อยากทำธุรกิจของตัวเองบ้าง ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากเพื่อนของคุณพ่อ ซึ่งมีร้านกาแฟโบราณที่นครศรีธรรมราช ผมจึงทำร้านนี้ขึ้นมา โดยนำสูตรกาแฟจากหลากหลายที่มารวมกัน เช่น โกปี๊ที่นครฯ ชานมจากลพบุรี ชาชักจากภูเก็ต นมสดจากเชียงใหม่ รวมถึงกาแฟโบราณแบบเวียดนาม ที่ลงทุนไปซื้ออุปกรณ์ เครื่องชงถึงที่นั่นเลย แม้ อาตี๋ โกปี๊ เป็นร้านน้องใหม่ ที่ไม่ใช่ร้านเจ้าเก่าดั้งเดิมชนิดที่มีแต่กลุ่มอาแปะมาตั้งวงนั่งคุย ... แต่หนุ่มเจ้าของร้านไฟแรง ก็ใส่ใจกับทุกขั้นตอนรายละเอียด ในการทำร้านใหม่ให้มีกลิ่นอายแห่งอดีต สังเกตได้จากการหาของสะสมเก่าๆมาตกแต่งร้าน การใช้เครื่องชงกาแฟโบราณ รวมถึงเติมบรรยากาศเก่าๆด้วยโต๊ะ ม้านั่ง และภาชนะแบบเมืองจีน ผมนั่งจิบกาแฟเวียดนามรสเข้ม ไม่คุ้นลิ้น (แต่อร่อย) พร้อมเก็บบรรยากาศรอบโต๊ะ ... พบว่ามีทั้งวัยรุ่นหนุ่มสาว และกลุ่มผู้สูงวัย แวะเวียนเข้ามาเป็นลูกค้าไม่ขาดสาย บางครั้ง ความใหม่ ความเก่า จึงไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้ง แตกต่าง ... หากเป็นเรื่องของการผสมผสานที่ลงตัว . . ยามเย็น ริมแม่กลอง หลังจากเดินพุงป่อง ออกมาจากร้านอาตี๋ฯ ผมใช้เวลาย่อยขนมปังด้วยการเดินเล่น ชมบรรยากาศบนถนนวรเดช บรรยากาศยามเย็นวันอาทิตย์ บนถนนเส้นนี้ มีเอกลักษณ์พิเศษอย่างหนึ่ง คือ ภาพเหล่าทหารเดินกันขวักไขว่ มายังท่าน้ำ เพื่อนั่งเรือข้ามฟาก บรรดาเด็กหนุ่มกองทัพไทยทั้งหลาย ไม่ได้จะรวมพลไปกระชับวงล้อม ขอคืนพื้นที่ ที่ไหน เพียงแต่เป็นการกลับเข้ากรมกองในฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นที่ตั้งของค่ายภาณุรังสี กรมการทหารช่าง เหล่าทหารคงได้พักผ่อน สนุกสนานกันเต็มอิ่ม แต่เมื่อครบกำหนดเวลา หน้าที่ก็ย่อมสำคัญที่สุด ... เพราะระเบียบวินัย คือ หัวใจของชายชาติทหาร . .ถนนวรเดช เป็นที่ตั้งของตลาดใหญ่ประจำเมืองราชบุรี คือ ตลาดราชพัสดุ หรือตลาดสนามหญ้า (บ้างก็เรียก ตลาดโต้รุ่ง) ยามเย็น ชาวเมืองโอ่งค่อยๆทยอยกันมาจับจ่าย ซื้อสินค้า หาของกิน สร้างความเคลื่อนไหวให้ตลาดแห่งนี้มีชีวิต แต่เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตลาดแห่งนี้ต้องทำการปิดปรับปรุง โดยมีกำหนดการเป็นระยะเวลานานร่วมปี และในอนาคตก็ไม่รู้ว่า ตลาดใหม่จะมีสภาพเปลี่ยนโฉมไปเช่นไร ในวันนั้น มีแม่ค้าเปรยให้ผมฟังถึงความกังวลกับอนาคตที่ไม่แน่นอน ในการต้องย้ายไปขายสินค้าที่อื่นชั่วคราว ซึ่งผมก็เข้าใจในความรู้สึกนั้น ... แต่ทว่า หากเข็มนาฬิกา ยังเดินไป ความเปลี่ยนแปลง ย่อมเป็นสิ่งที่แน่นอน . . บนถนนเส้นเดียวกัน และริมแม่น้ำสายเดียวกัน ตลาดเก่าโคยกี๊ ซึ่งมีความหมายว่า ริมแม่น้ำ ... เริ่มมีสีสัน และความคึกคัก ตลาดโคยกี๊ ต่างจากตลาดสนามหญ้า เพราะเป็นตลาดเฉพาะกิจ ในเย็นวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ โดยเทศบาลเมืองราชบุรี ต้องการกระตุ้นการท่องเที่ยว และปลุกบรรยากาศตลาดริมแม่น้ำย้อนยุคขึ้น จึงปิดถนนวรเดช ประมาณ 1 กิโลเมตร เพื่อใช้เป็นพื้นที่ถนนคนเดิน และเปิดตลาดครั้งแรกเมื่อ 24 เมษายน 2553 แม้บรรยากาศย้อนยุค ถวิลหาอดีตตามวัตถุประสงค์ที่เทศบาลต้องการนั้น ยังไม่โดดเด่นเพียงพอ ... แต่เอกลักษณ์ของตลาดโคยกี๊ ก็มีอยู่ในตัวเอง ถึงจะมีสินค้าทันสมัย ของกินของใช้ทั่วไปมาขาย แต่ถนนคนเดินแห่งนี้ ยังไง๊ยังไง ก็ต้องมีความแตกต่างจากถนนคนเดินที่เชียงใหม่ ขอนแก่น หรือสงขลา ... เพราะไม่ว่าจะเก่า หรือจะใหม่ สินค้าจะเป็นอะไร แต่ตลาดโคยกี๊ จังหวัดราชบุรี มีอยู่ที่เดียวในประเทศไทย . . เมืองคนงาม นิยามใน ความงาม ของนักท่องเที่ยวนั้นหลากหลาย อาจหมายถึง ผืนป่าเขียวขจีกว้างไกลสุดสายตา ไอหมอกขาวพริ้วปกคลุมยอดดอย สถาปัตยกรรมย้อนยุคแสดงความยิ่งใหญ่แห่งอารยธรรม ทะเลใสฟ้าครามชายหาดขาว(หมวย) ฯลฯ แต่บางครั้ง ในความงดงามก็มีแง่มุมมากกว่านั้นอำเภอโพธาราม คือ ความเรียบง่ายของชีวิตที่ดำเนินไปตามครรลองแห่งวิถีชุมชน ผสมผสานคุณค่าความงามแห่งงานศิลป์ ซึ่งสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ส่วนตัวเมืองเล็กๆอย่างราชบุรี ไม่หวือหวา ไม่จัดจ้าน ทว่าเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของชาวเมืองโอ่ง แทรกซึมอยู่ตามร้านค้า แหล่งท่องเที่ยว และสำคัญที่สุด คือ น้ำใจไมตรีของเจ้าบ้านที่แสนงดงาม ซึ่งนักเดินทางต่างถิ่นสามารถสัมผัสรับรู้ . . คนบางคน สถานที่บางแห่ง ... คล้ายผลงานศิลปะบางชิ้นที่เรียบง่าย ไม่ฉูดฉาด ไม่ตามแนวนิยม ... เมื่อมองผิวเผินเพียงผ่านสายตา เราอาจดูว่าธรรมดาๆ ไม่ค่อยมีอะไร แต่หากอาศัยเวลาทำความเข้าใจ มองให้ลึกซึ้ง สัมผัสให้ถึงความหมายที่ศิลปินสร้างสรรค์ คุณค่าความงดงาม ของผลงานชิ้นนั้น ... ไม่ได้ด้อยไปกว่างานศิลป์ชิ้นใด ..
Create Date : 29 ธันวาคม 2553
Last Update : 29 ธันวาคม 2553 20:05:26 น.
5 comments
Counter : 6419 Pageviews.
โดย: yyswim วันที่: 29 ธันวาคม 2553 เวลา:23:51:17 น.
โดย: panida IP: 61.19.221.10 วันที่: 21 มกราคม 2554 เวลา:14:50:09 น.
โดย: ดร.โอสธี พุทธเมธี( แป้นกลัด ) IP: 111.84.27.218 วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:15:33:41 น.
โดย: inny@2505hotmail.com IP: 192.168.12.94, 110.77.146.17 วันที่: 13 พฤษภาคม 2554 เวลา:20:23:31 น.
POGGHI
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [? ]
.. บทความ และผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗ ห้ามผู้ใดละเมิด ด้วยการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ และ ผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร POGGHI ..
อ่านแล้วภูมิใจมากค่ะ
เป็นคนสวยโพธารามค่ะ
แต่ไม่ได้พำนักอยู่ถาวร
ได้อ่านแล้วรู้สึกดีจังเลยค่ะ
อย่างน้อยก็เคยได้เข้าวิกครูทวีมาตั้ง1ครั้ง
และยังมีอีกหลายๆที่ไม่เคยได้ไปมาก่อน
สงสัยต้องรีบกลับไปดูแล้ว