|
 |
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
 |
17 ธันวาคม 2551
|
|
|
|
เที่ยวเมืองลาวม่วนหลาย ไปที่ไหนก็ "สะบายดี" (เวียงจันทน์ -วังเวียง) ภาค 2
..
ถนนลูกรัง ยาวไกล สุดลูกหูลูกตา ในเมืองแห่งขุนเขา และสายน้ำ ที่เงียบสงบ แต่ซุกซ่อนความน่าหลงใหลเอาไว้
รอให้นักเดินทางมาค้นหา
ผมมีโอกาสได้ใช้เวลาสั้นๆประมาณ 2 วัน กับเมืองเล็กๆแห่งนี้
แต่เพียงแค่ 2 วัน ก็สร้างความผูกพันหลายสิ่งหลายอย่างเอาไว้มากมาย
. .
แม้ไม่รู้ว่าอีกเนิ่นนานแค่ไหน
แต่ผมสัญญาว่าจะกลับมาเยือน "วังเวียง" อีกครั้ง
..

.
. .
เมื่อได้ รถจักร (มอเตอร์ไซค์) มาแล้ว ผมข้ามสะพานกลับมาทางเดิมอีกครั้ง
บรรยากาศแม่น้ำซองยามบ่าย ดูมีชีวิตชีวา ไม่แพ้ช่วงเช้าครับ
ไหนๆก็มีมอเตอร์ไซค์แล้ว ผมจึงรู้สึกว่าไม่ต้องรีบร้อนมากนัก แวะถ่ายภาพไปเรื่อยเปื่อย ตามอารมณ์
..

.
แม่น้ำซอง ช่วงหน้าร้อน และหน้าหนาว สามารถเดินข้ามมาได้เอง
แต่ถ้าเป็นช่วงน้ำหลาก ฤดูฝน คงต้องใช้เรือเท่านั้นครับ
ส่วนรถราต่างๆ ก็ต้องจ่ายค่าผ่านสะพานตามระเบียบ เพราะลุยน้ำไม่ได้อยู่แล้ว
.

.
.
ผมเดินลงไปริมแม่น้ำอีกครั้ง แม่น้ำซองเย็นจับใจมากครับ จนอดไม่ได้ที่จะลองล้างหน้าล้างตาดูบ้าง สดชื่นมากๆ^^
. .
เห็นสาวๆกำลังขะมักเขม้นกับการซักผ้ากันอยู่จึงแวะเข้าไปทักทาย
หนึ่งในสองสาว พูดภาษาไทยได้ชัดเจนครับ เธอเป็นสาว bank ทำงานธนาคารอยู่ในเมืองวังเวียงนั่นล่ะ
วันนี้เป็นวันเสาร์ จึงไม่ต้องทำงาน
ส่วนสาวอีกหนึ่งคนเป็นแม่บ้านแล้วครับ เธอจึงเงียบๆ ไม่ค่อยพูดจากับคนแปลกหน้าเท่าไหร่ ก้มหน้าก้มตาซักผ้าอย่างเดียว
..  .
จากนั้น ผมขับมอเตอร์ไซค์ กลับมาเส้นทางเดิมอีกครั้ง ด้วยอัตราความเร็วมากกว่าจักรยานแม่บ้านหลายเท่า
ระหว่างทาง ขับผ่านทุ่งนาเรือกสวน บังเอิญเห็นควันไฟอยู่ลิบๆ แวะจอดดูซักนิดดีกว่า .
 .
.
เดินตามควันไฟไป ก็เจอะกับเด็กๆ กำลังเข็นรถขึ้นเนินกันอย่างสนุกสนาน
. .
แต่ละคนแอ็คท่าถ่ายรูปได้เท่เหลือเกิน มีหนูเสื้อแดงคนเดียวที่อาย ขอแอบไปหลบหลังเพื่อนๆ
ส่วนหนุ่มน้อยเสื้อเขียวซ้ายสุด ดูท่าทางมาดนักเลงนิดๆ แต่อัธยาศัยดีมาก
..  .
..
เดินลงไปตามคันนา ก็เดินมาให้ผมถ่ายรูปอีก 2คน
เด็กกลุ่มนี้ ใสๆ ซื่อๆ น่ารักทุกคนเลยครับ
..

.
เดินเข้าไปใกล้อีกนิด ผมก็พบว่า ควันไฟ นั้นมาจากบริเวณสวนแถวนี้แหละ
เป็นเหมือนแปลงเกษตร ปลูกพืชอะไรซักอย่าง มีคนทำงานกันอยู่ประมาณ 10 คน
..  .
เดินไปเจอคุณป้า กำลังขนกระสอบอะไรซักอย่าง จึงเอ่ยคำทักทาย "สะบายดีครับ" นำร่องไปก่อน
ซึ่งที่มาของ หัวข้อ "ไปที่ไหนก็ สะบายดี" เป็นเช่นนี้แหละครับ .
คนลาวร้อยละ 90 ทักทายกับผมด้วยคำคำนี้ ทุกครั้งที่เห็นหน้ากัน
.

..
ส่วนน้องสาว คนนี้ ก็กำลังวุ่นอยู่กับการโกยแกลบลงกระสอบ
..

.
คุณป้าอีกท่าน กำลังขุดหลุม พรวนดิน อย่างขะมักเขม้น
.. 
..
ความประทับใจอีกครั้ง
.
.
ผมถ่ายรูปการทำสวนของชาวบ้านไปเรื่อยเปื่อย จนไปสะดุดตากับสาวน้อยเสื้อชมพูคนหนึ่ง
เธอเองหันมามองผมด้วยความสนใจ อาจเพราะไม่บ่อยนักที่นักท่องเที่ยว จะออกนอกเส้นทาง มาถ่ายรูปละแวกนี้
เราทักทาย แนะนำตัวกัน เธอบอกว่า เธอชื่อ "มัยหวัง"
มัยหวัง และครอบครัว เป็นชาวลาวเชื้อสาย ละมุง หรือ ม้ง นี่แหละ (ผมฟังไม่ถนัด) ... นั่นจึงไขข้อข้องใจผมได้ว่า ทำไมผมได้ยินกลุ่มชาวสวนเมื่อครู่พูดภาษาแปลกๆกัน
มัยหวัง ขนกองฟางไป และแวะมาคุยกับผมริมรั้ว เป็นพักๆ ผมสังเกตว่า เวลาที่เราคุยกัน มัยหวังจะยืนหัก ยืนบิดฟางไปเรื่อย ^^"
มีคำถามหนึ่ง ทำเอาผมอดยิ้มในความจริงใจของเด็กสาวคนนี้ไม่ได้ เพราะเธอถามผมว่า
"มีเมียหรือยัง"
ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีใครถามคำถามนี้เล๊ยย ฮ่าๆ
ผมเอง ยอมรับว่า ด้วยความจริงใจ ใสซื่อแบบชาวบ้านๆ และรอยยิ้มเขินอายของมัยหวัง ทำให้เธอดูน่ารักขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า ... แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าน้องสาวที่น่ารักครับ ... เธอเป็นเด็ก ม. 4 เท่านั้นเอง ^^
..

..
มัยหวัง ชวนผมว่า ให้มาที่นี่อีกในช่วงปีใหม่ เพราะหมู่บ้านมีการทำงานบุญ
ผมบอกไปว่า ปีนี้ผมไม่ว่าง แต่ถ้ามีโอกาส คงได้มาร่วมงานบุญซักครั้ง
เราคุยกันอีกครู่ใหญ่ แล้วร่ำลากันด้วยรอยยิ้ม
..

..
ผมกลับมาที่มอเตอร์ไซค์ ขับต่อไปอย่างสบายใจ
การได้พบปะผู้คนระหว่างทาง ให้ความรู้สึกดีจริงๆครับ
ส่วนเรื่องทิวทัศน์ ยังคงมีความสวยงามตลอดการเดินทาง
..

.
ระหว่างทาง มีปั๊มน้ำมันชาวบ้านด้วย
.

..
ผมหยุดแวะถ่ายรูปไปเรื่อย กลุ่มจักรยานเสือภูเขาของฝรั่ง ปั่นกันอย่างเมามัน
แทบทุกคนต่างยิ้ม และเอ่ยคำทักทายให้กับช่างภาพริมทางอย่างผม
..

.
..
ไปเรื่อยๆ ก็เจอหมู่บ้าน และโรงเรียน
โรงเรียนที่ว่านี้ เป็นโรงเรียนของเด็กกลุ่มนี้แหละครับ แต่วันนี้เป็นวันหยุด จึงมานั่งเล่นกันอยู่ละแวกนั้น
..
 .
..
ขับมอเตอร์ไซค์มาได้อีกหน่อย ผมเจอกับ สาวน้อย 3 คน
จึงจอดลงไปแวะถามดูว่า ไปขนอะไรกันมา
พวกเธอบอกว่า ไปเก็บผักที่สวน มาทำกับข้าวมื้อค่ำ
.. 
. .
เมื่อขับข้ามธารน้ำเล็กๆไป เราจะเจอป้ายนี้ครับ เลือกเอาเองว่าจะไปเที่ยวไหนดี
..

..
ธารน้ำที่ว่าเมื่อครู่ น้ำใสแจ๋วเชียว
..

..
แล้วผมก็เดินทางมาถึงถ้ำปูคำ ภูคำ หรือพูคำ นั่นแหละ
ก่อนผ่าน จ่าย 10000 กีบ ให้เจ้าถิ่นก่อน ^^
เจ้าถิ่นเป็นแผลที่หน้า เพราะเป็นฝีครับ
..

.
..
ก่อนถึงถ้ำ คงเป็นภาพที่ชินตาเมื่อเห็นนักท่องเที่ยวเล่นน้ำอยู่อย่างสบายอารมณ์
..

..
ถ้ำ ปูคำ มีไม้ไผ่ เป็นแนวให้จับในบางช่วงครับ
แต่บางช่วงก็โหดหินพอสมควร หากใครแข้งขาไม่ดี หน้ามืดง่าย อย่าขึ้นไปเลยครับ ผมคิดว่า อันตรายอยู่เหมือนกัน
..

..
ภายในถ้ำ มีพระพุทธรูปนอน อยู่ด้านล่าง
ผมถ่ายเก็บไว้ไม่มาก และไม่ได้เดินเข้าไปในด้านในสุดของถ้ำ เพราะแสงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าไปเต็มที
..

. .
ขากลับ ผมเพิ่งรู้ว่า รถมอเตอร์ไซค์ ไฟหน้าเสีย - -" จึงไม่ค่อยได้เก็บตกอะไรระหว่างทางมากนัก
แต่ก็อดแวะมาทักทายเด็กๆกลุ่มนี้ไม่ได้ ซึ่งเพิ่งมาอาบน้ำที่บ่อน้ำริมทาง และกำลังขนน้ำกลับไปใช้ที่บ้าน
..

..
กลับมาถึงฝั่งแม่น้ำซอง ก็พลบค่ำพอดี
อากาศกลางคืนเริ่มเย็นอีกครั้ง
แสงไฟกระทบผิวน้ำไหลเอื่อยไปเรื่อย ดูสวยดี
ผมถ่ายแบบไม่มีขาตั้งกล้อง ภาพจึงเบลอไปหน่อย - -"
.. 
..
สะพานเมื่อกลางวัน เปลี่ยนสีสันเป็นกลางคืน
..

..
ผมขับรถกลับมาในเมือง ลมเย็น ทำให้ขับเพลินไปทั่วเมือง ดูวิถีชีวิตยามค่ำคืน
ขับไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอสาวๆกำลังนั่งผิงไฟกันอยู่
จึงแวะไปทักทาย ตามระเบียบ
เหตุที่สาวๆ มานั่งกันตรงนี้กัน เพราะกำลังทานมื้อค่ำ และผิงไฟ ไล่ความหนาวไปในตัว
.. 
..
หลังจากผิงไฟจนอุ่น ^^"
ผมเอารถไปคืน แล้วกลับมาอาบน้ำอาบท่า ที่สวนธรรมชาติ
อาบน้ำ สบายตัวเสร็จแล้ว ตั้งใจจะออกไปหาอะไรทานซักหน่อย บังเอิญว่า เจอเด็กๆในร้านแถวนั้น ตั้งวงจกข้าวเหนียวกันอย่างเอร็ดอร่อย จึงขอเข้าไปถ่ายไว้ 1 แชะ
.. 
..
ความประทับใจ ในค่ำคืนที่ 2
. .
ผมตั้งใจจะออกไปทานข้าว แต่ระหว่างทาง ผมเดินผ่านร้านของ "ตานิด" อีกครั้ง (ความจริงก็ตั้งใจจะเดินผ่านไปด้วยนั่นแหละ)
ผมจึงแวะทักทายตรงหน้าร้าน คุยกันครู่หนึ่ง ตานิดก็ชวนให้มานั่งคุยตรงหน้าร้านที่เดิมเหมือนคืนวาน
เราพูดคุยกันยาวนานเช่นเดิม เธอหยิบน้ำจากในตู้แช่มาให้ผมดื่ม ไม่คิดราคา ... ผมยังไม่ได้ทานข้าว จึงซื้อมาม่าในร้าน แล้วทานตรงหน้าร้านนั่นแหละ บอกตานิดว่า ปรุงให้ด้วย ^^
ตานิด เป็นคนเดียวที่เรียกผมว่า อ้ายป๊อกกี้ เธอบอกว่า ที่คนลาวเรียกผมว่า พี่ คงเพราะกลัวว่าเรียก อ้ายแล้วจะไม่รู้เรื่อง
เรานั่งคุยกันไปหลายเรื่องเช่นเคย ถามโน่นนี่นั่นไปเรื่อย แลกเปลี่ยนเรื่องราวระหว่างเมืองไทย และเมืองลาว
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายที่ผมจะอยู่ที่วังเวียงแล้ว เวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็วจนเที่ยงคืนครึ่ง
คงถึงเวลาที่ต้องร่ำลากันจริงๆ
. .
"อ้ายไปก่อนนะ" คำลาสั้นๆ และรอยยิ้มที่มีให้แก่กัน
แค่นั้นก็มากเกินพอแล้ว ที่จะจดจำไปอีกนาน
..

.
ผมกลับมาหลับสนิทที่ สวนธรรมชาติ ตื่นมาอีกครั้งก็ 7 โมงเช้า
ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ริมแม่น้ำซองให้เต็มปอด ก่อนจะเดินทางกลับในช่วงสาย
..

..
ผมมีเวลาอีกประมาณ 30 นาที ในการรอรถตู้ กลับไปเวียงจันทน์ จึงเดินไปแค่โรงเรียน ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน
ออกมาที่ถนนก็เจอ โอ กับ วิ อีกรอบ คู่หนุ่มสาว จะไปหลวงพระบาง ส่วนผมขอตัวกลับไปเที่ยวเวียงจันทน์
เมื่อร่ำลา น้องๆ ที่ขึ้นรถไปแล้ว ผมก็เดินเข้าไปชมในโรงเรียน . .
โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนศิลปะ เหมือนกับเป็นศูนย์สอนพิเศษครับ เด็กๆจึงมาเรียนกันในวันเสาร์ อาทิตย์
..

..
ห้องเรียน งานประดิษฐ์ อยู่ด้านนี้
คุณครูยังสาวอยู่เลยครับ อายุ คงราว 20 ต้นๆ เธอออกมาทักทายพูดคุยกับผมและอธิบายให้ฟังว่า โรงเรียนที่นี่เป็นโรงเรียนด้านศิลปะ ทั้งงานประดิษฐ์ งานเขียน ดนตรี
.. 
.
แต่สาวน้อยบางคน ขอออกกำลังกายยามเช้าด้วยการกระโดดยางก่อน
.. 
..
ส่วนกลุ่มนี้ ขอจับกลุ่มนั่งเม้าท์กันอย่างเดียว
เข้าไปทักทายว่าทำอะไรกัน ก็คิกคักๆ อย่างเดียว
..

.
..
แล้วก็ถึงเวลาที่รถตู้มารับ
ผมจองรถตู้ขากลับ แพงกว่า ขามา - -" ที่ราคา 75000 กีบ แต่ก็เพื่อความสะดวก เพราะติดต่อจากสวนธรรมชาติได้เลย
ตอนแรกก็นึกเคือง คุณวรรณนิดๆ เพราะเป็นรถตู้แบบเก่า แอร์ธรรมชาติ
แต่พอได้นั่งด้านข้างคนขับแล้วเปิดหน้าต่างเท่านั้นแหละ ลมเย็นสบายกว่าแอร์จริงๆซะอีก
... แถมถ่ายรูปได้มันส์มากๆ
..

..
รถตู้แอร์ธรรมชาติ ทำให้ผมถ่ายรูปวิถีชีวิต ระหว่างทางได้อย่างสนุกขึ้น
รูปนี้ คุณป้ากำลังหิ้วไก่ (ซึ่งยังดิ้นอยู่ - -") ไปทำอะไรน๊า Y__Y
.. 
..
ชาวลาว นิยมกระเตงเด็กอ่อนแบบนี้ครับ
..

..
แม้รถจะไม่ใหม่เอี่ยม แต่ซิ่งเหลือหลาย
เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ผมก็เข้าสู่เขตเมืองเวียงจันทน์อีกครั้ง
..
..
รถตู้มาปล่อยคนลงที่ถนนริมแม่น้ำโขง
ผมเดินตรงดิ่งไปเรื่อยแบบไร้ทิศทาง (เพราะไม่มีแผนที่ และแผนการใดๆ - -")
จำได้แค่ว่า เกสต์เฮ้าส์ จำนวนมากอยู่แถวน้ำพุ หรือ แคมของ อะไรแนวๆนั้น
เดินไปเดินมาอยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง ผมก็มาเจอ เกสต์เฮ้าส์เล็กๆ แถวน้ำพุจนได้
การเดินทางของผมจากวังเวียง สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการ
. .
 .
โปรดติดตามตอนต่อไป
Create Date : 17 ธันวาคม 2551 |
Last Update : 17 ธันวาคม 2551 19:42:27 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1575 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: chalawanman วันที่: 19 ธันวาคม 2551 เวลา:11:30:15 น. |
|
|
|
โดย: นารีสราญ IP: 124.121.11.188 วันที่: 21 ธันวาคม 2551 เวลา:15:06:38 น. |
|
|
|
โดย: กบน้อยคอยรัก IP: 125.27.113.224 วันที่: 29 มกราคม 2552 เวลา:17:03:16 น. |
|
|
|
| |
|
 |
POGGHI |
|
 |
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]

|
..
บทความ และผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
ห้ามผู้ใดละเมิด ด้วยการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ และ ผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
POGGHI
..
|
|
|
เรื่องราวน่าติดตามมากๆๆ