<<
เมษายน 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
21 เมษายน 2552

ปล่อยสมองว่าง ปล่อยหัวใจวาง ที่เกาะลันตา (กระบี่) ตอนที่ 1

..

มหานครที่เต็มไปด้วยประชากรนับล้าน เต็มไปด้วยสิ่งปลูกสร้างสูงระฟ้า เต็มไปด้วยรถราติดขัดเต็มท้องถนน เต็มไปด้วยผู้คนหลากชนชั้นและอาชีพ ล้วนเป็นภาพที่ชินตาในเมืองใหญ่

เราทุกคนต่างทราบกันดีว่า การกระจุกตัวของความเจริญนั้นเป็นปัญหาที่สั่งสมมานานแสนนาน จนนำไปสู่แนวคิดกระจายความเจริญออกไปสู่ภูมิภาคต่างๆ

แต่มองในมุมกลับ ผมคิดว่า การที่คนหลั่งไหลเข้าไปเบียดเสียดช่วงชิงทรัพยากรในสังคมเมืองใหญ่ๆ ก็พอจะมีข้อดีอยู่บ้างเหมือนกัน

เพราะอย่างน้อย โลกของเราจะได้เหลือสังคมเล็กๆ เหลือพื้นที่ว่างๆ ให้เรามีเวลาปล่อยวาง หลบหนีจากความวุ่นวาย ไปเติมกำลังให้กับชีวิต


อย่างที่ผมได้สัมผัสมาจาก “เกาะลันตา”



..

“ทำไม ไปลันตา ?”


โดยธรรมเนียมปฏิบัติของทุกปี ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ผมมักจะส่งเสียงอวยพร และสอบถามสารทุกข์สุขดิบของบรรดาเพื่อนๆซึ่งอยู่ไกลห่างกัน ผ่านทางโทรศัพท์

ปีนี้ก็ไม่แตกต่างไปจากเดิม ผมโทรศัพท์ทักทายรุ่นน้องคนหนึ่งซึ่งสนิทสนมกันมานานตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม

รุ่นน้องคนนี้ ชื่อ “กิ๊ฟ”

กิ๊ฟ เป็นน้องสาว ซึ่งได้ดิบได้ดีในหน้าที่การงาน ด้วยความที่ครอบครัวลงทุนในธุรกิจโรงแรม เมื่อเรียนจบทางด้านบริหารมาโดยตรง น้องสาวคนนี้จึงกลายเป็น Resident Manager ดูแลกิจการรีสอร์ทของพ่ออยู่ที่เกาะลันตา จังหวัดกระบี่

เดิมทีการโทรศัพท์ในครั้งนั้น ผมตั้งใจโทรไปสวัสดีปีใหม่ พร้อมกับสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ แต่น้องสาวผู้ใจดี๊ใจดี ได้ชักชวนให้มาเที่ยวเกาะลันตา พร้อมกับยื่นข้อเสนอที่ผมมิอาจปฏิเสธได้ ชนิดที่โปรโมชั่นของแอร์เอเชียยังชิดซ้าย นั่นจึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง



..

แม้ผมรู้ว่า เกาะลันตา คือ เกาะเล็กๆอยู่ในจังหวัดกระบี่ แต่ก็รู้แค่นั้นจริงๆ
ผมจึงต้องทำการบ้าน สืบค้นข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างๆเพิ่มเติมอีกพอสมควร หนึ่งในนั้น คือ www.lantainfo.com ซึ่งมีข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับเกาะลันตาอย่างครบครัน

นอกจากนั้น ราวกับว่า กองบรรณาธิการของ อนุสาร อสท. รู้ใจผม ว่าจะเดินทางไปยังเกาะแห่งนี้ จึงได้นำเสนอบทความ “มีอะไรในลันตา” ในฉบับเดือนมีนาคม 2552 ที่ผ่านมา

lantainfo.com ผนึกกำลังร่วมกับ อสท. มีนาคม 2552 และสำคัญที่สุด ซึ่งขาดไม่ได้เลย คือ บันทึกการเดินทางของนาย POGGHI ที่คุณกำลังอ่านอยู่ (ฮา)

เพียงเท่านี้ คุณจะได้ข้อมูลท่องเที่ยวเกาะลันตาที่สมบูรณ์ไม่เป็นรองใคร



..

“เรื่องเล่าจาก Lanta Casuarina Beach Resort”

ภาพความทรงจำในวันวาน “กิ๊ฟ” คือ เด็กผู้หญิงวัยรุ่นสวมแว่นตาหนาเตอะ อารมณ์ดี สนุกสนาน เฮฮากับเพื่อนๆพี่ๆได้เสมอ ยกเว้นเวลาร้องไห้ขี้มูกโป่งจากปัญหาความรักตามประสาเด็กวัยรุ่น

ส่วนภาพความจริงในวันนี้ “กิ๊ฟ” กลายเป็นสาวนักบริหารเต็มตัว มีหน้าที่รับผิดชอบธุรกิจรีสอร์ทระดับ 3 ดาว มีความคิดความอ่านเติบโตขึ้นไปตามประสบการณ์การทำงาน พร้อมทั้งมีคนรักเป็นกำลังใจอยู่เคียงข้าง

ตั้งแต่เรียนจบ เราสองคนต่างมีโอกาสได้เจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง การเดินทางครั้งนี้ จึงนับเป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้ไปเจอหน้าน้องสาวที่คุ้นเคยในรอบเกือบ 7 ปี


..

กิ๊ฟ ยื่นข้อเสนอพิเศษสุดแก่ผม ให้เดินทางมาพักที่ Lanta Casuarina … เป็นเวลา 4 วัน 3 คืน จึงเป็นเรื่องยากที่ผมจะปฏิเสธได้ลง เพราะด้วยกำลังทรัพย์ที่จัดงบประมาณสำหรับที่พักในการท่องเที่ยวแต่ละครั้ง ผมเน้นการเดินทางในรูปแบบสบายกระเป๋า(ตังค์)

แต่สำหรับรีสอร์ทริมชายหาดแห่งนี้ ช่วง High Season นั้น มีราคาตั้งแต่ 2,700 – 5,200 บาท

ผมจึงยินยอมทิ้งอุดมการณ์แบคแพ็คเกอร์ไว้ชั่วคราว เพราะไม่อยากขัดศรัทธาลูกสาวเจ้าของกิจการ




..

วันแรกที่ผมเดินทางไปถึงที่หมาย เรานั่งคุยกันนานนับชั่วโมง ส่วนมากผมเองเป็นฝ่ายถามรุ่นน้อง เกี่ยวกับหน้าที่การงาน รวมทั้งรูปแบบการท่องเที่ยวบนเกาะลันตา

กิ๊ฟ เล่าว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ของรีสอร์ท เป็นชาวสวีเดน นอกจากนั้นเป็นลูกค้าจากยุโรป

แต่ใช่ว่าจะไม่มีลูกค้าชาวไทย โดยน้องสาวของผมคนนี้ ยืนยันว่า “Lanta Casuarina Beach Resort” ให้การต้อนรับคนไทยเท่าเทียมกับชาวต่างชาติแน่นอน

ในวันแรกที่เดินทางไปถึง ผมยังเห็นคนไทยครอบครัวหนึ่ง ดำผุดดำว่ายในสระน้ำ ร่วมกับฝรั่งหัวทองอย่างสบายอารมณ์





..

อีกเรื่อง ที่ผมยังคงให้น้องสาวคนนี้เล่าซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น คือ เหตุการณ์ครั้งที่เกิดคลื่นยักษ์สึนามิ

ลูกค้าชาวไทยบางคน มักกลัวเรื่องผีๆสางๆ จนไม่กล้ามาพักริมทะเล แต่สำหรับ Lanta Casuarina ... มีเพียงคนแขนหัก กับ หัวแตก ไปอย่างละราย ซึ่งรายหลังนั้น ก็คือ กิ๊ฟ นี่แหละ

“ตอนนั้น น้ำในทะเลมันลดลงไป แขกก็พากันลงไปดูที่ริมหาดกันใหญ่ กิ๊ฟ ไม่รู้เรื่องหรอก ว่าจะเกิดสึนามิ สมัยนั้น สึนามิ คืออะไร ยังไม่เคยรู้เล๊ย... แต่ก็รู้สึกแล้วล่ะว่ามันแปลกๆ เพราะน้ำลดลงไปเร็วมาก จึงรีบบอกแขกว่า ไม่รู้ว่าเกิดอะไรนะ แต่มันไม่น่าไว้ใจ พวกคุณเข้ามาในรีสอร์ทกันก่อนดีกว่า”

หลังจากนั้น คลื่นยักษ์ ที่ไม่มีใครคาดคิด ก็เคลื่อนตัวซัดเข้ามาถึง 3 ระลอก แต่ยังเคราะห์ดีที่ไม่มีใครในรีสอร์ทแห่งนี้ได้รับอันตรายร้ายแรง

เหตุการณ์ร้าย ผ่านพ้นไปแล้ว แม้บางสิ่งไม่อาจเรียกกลับคืนมา แต่ชีวิตผู้คนของท้องทะเลฝั่งอันดามันยังคงต้องดำเนินต่อไปตามวิถีทางแห่งธรรมชาติ



..

“ทำความรู้จัก เกาะลันตา”

เมื่อหลายร้อยปีก่อน ชาวเลกลุ่มแรกที่ค้นพบเกาะลันตา เข้ามาปักหลักอาศัยกันอยู่ทางฝั่งตะวันออกของเกาะ บรรดาพ่อค้าอาหรับ เรียกคนกลุ่มนี้ว่า “โอรังลอนตา” ซึ่ง ลอนตา ในภาษามลายู แปลว่า คนยากจน

อย่างไรก็ตาม คำว่า ลันตา มีที่มาอย่างหลากหลาย ผมสรุปจาก lantainfo.com และ อสท. ได้ว่า

“ลานตา” มาจากชายหาดที่ละลานตาไปด้วยเปลือกหอยทั้งเกาะ

“ลุนตั๊ดซู” ในภาษาจีน หรือ “ปูเลาซาตั๊ก”ในภาษาชาวเล ต่างมีความหมายตรงกัน แปลว่า เกาะที่มีภูเขาเรียงรายเป็นแนวยาว

“ลันตาส” หรือ “ลันตัส” ภาษาชวา มลายู หมายถึง โรงเรือน ซึ่งคือ ที่ย่างปลา หรือที่ตากปลาของชาวบ้าน




..

เกาะลันตา อยู่ห่างจากตัวเมืองกระบี่ออกมาราว 70 กิโลเมตร ประกอบด้วยเกาะสองเกาะ คือ เกาะลันตาน้อย และเกาะลันตาใหญ่

เกาะลันตาน้อย เป็นที่ตั้งของชุมชนคนในพื้นที่ จึงเสมือนเป็นเพียงทางผ่านไปสู่ เกาะลันตาใหญ่ ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว

บริเวณบ้านศาลาด่าน บนเกาะลันตาใหญ่ ซึ่งไม่ไกลจากท่าเทียบเรือ และแพขนานยนต์ เต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆมากมาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างล้นเหลือ ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก รีสอร์ท ปั๊มน้ำมัน 7-11 ร้านคาราโอเกะ ATM ธนาคาร ไปจนกระทั่งร้านตัดสูท แถมยังมีการก่อสร้างรีสอร์ทใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีก

เมื่อได้เห็นสิ่งเหล่านี้ในนาทีแรก ผมรู้สึกประหลาดใจแกมผิดหวังเล็กน้อย เพราะคิดว่าเกาะลันตา จะเป็นเกาะสงบๆ มีบรรยากาศความเป็นส่วนตัวมากกว่านี้

แต่เมื่อได้ทำความรู้จักกับเกาะลันตาอย่างถี่ถ้วน ผมจึงค้นพบว่า บริเวณบ้านศาลาด่าน เป็นเพียงสีสันเล็กๆ เปรียบได้กับห้องรับแขก หรือลานหน้าบ้าน ซึ่งเต็มไปด้วยความคึกคัก บรรยากาศสนุกสนาน

ขณะที่ความสงบส่วนตัว ความสวยงามของธรรมชาติ และวิถีชีวิตดั้งเดิม ที่เปรียบเหมือนห้องนอน ห้องนั่งเล่น และห้องทำงาน ต่างพากันหลบซ่อนอยู่รอบๆบ้าน ที่มีความยาวกว่า 30 กิโลเมตรหลังนี้


รูปประกอบ : บรรยากาศยามพระอาทิตย์ตก บริเวณอุทยานแห่งชาติเกาะลันตา ในมุมมองจากที่ตั้งประภาคาร



..

ฝั่งตะวันตกของเกาะลันตาใหญ่ มีชายหาดที่สวยงามถึง 13 หาด เป็นฝั่งซึ่งเต็มไปด้วยที่พักหลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่น มีร้านค้า และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน นักท่องเที่ยวแทบทั้งหมด จึงพักอยู่ฝั่งทะเลด้านนี้

อย่างไรก็ตาม ในความคึกคักของฝั่งตะวันตก มีบางพื้นที่ ยังคงความเป็นธรรมชาติและเงียบสงบ

ส่วนทางด้านฝั่งตะวันออก ราวกับเป็นโลกอีกใบหนึ่ง ด้วยส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม การประมงพื้นบ้าน และที่อยู่อาศัยของคนท้องถิ่น

แม้บริเวณหมู่บ้านศรีรายา ซึ่งเป็นย่านเมืองเก่า ยังพอมีร้านค้า และเกสต์เฮ้าส์ รองรับนักท่องเที่ยว แต่ไม่ได้คึกคักมากมายนัก

นักเดินทางที่ชื่นชอบที่พักในรูปแบบใกล้ชิดวิถีชาวบ้าน จึงมักเลือกมาพักผ่อนทางฝั่งนี้ แต่ก็ถือเป็นส่วนน้อย

รูปประกอบ : หาดพระแอะ หรือ Long Beach หนึ่งในชายหาดสวยๆของเกาะลันตา ฝั่งตะวันตก



..

“สำรวจฝั่งตะวันตก”

ในวันแรก ผมวางแผนเอาไว้ว่า จะทำการสำรวจชายทะเลฝั่งตะวันตกของเกาะ ซึ่งประกอบไปด้วย 13 หาดสวยๆ ไล่จากบ้านศาลาด่าน ไปจนถึงที่ทำการอุทยานฯ ได้แก่

หาดคอกวาง (เป็นหาดแรก ครอบคลุมพื้นที่ทั้งสองฝั่ง) หาดคลองดาว หาดพระแอะ หาดคลองโขง หาดคลองโตบ หาดคลองนิน หาดบากันเตียง หาดนุ้ย หาดคลองจาก หาดไม้ไผ่ หาดหินงาม หาดโตนด หรือแหลมโตนด และหาดทรายขาว

แต่ด้วยที่ตั้งของ Lanta Casuarina ... อยู่บริเวณหาดพระแอะ ผมจึงเริ่มสำรวจตั้งแต่หาดนี้ไล่ไปจนสุดปลายเกาะ

รูปประกอบ : นักท่องเที่ยวคู่หนึ่ง เดินเล่นบริเวณหาดพระแอะ ฝ่ายชายสะพายกล้องทำหน้าที่ถ่ายภาพ ส่วนฝ่ายหญิงทำหน้าที่เป็นนางแบบ ส่วนผมเป็นฝ่ายแอบดู



..

บนเกาะลันตาไม่มีรถโดยสารประจำทาง ดังนั้นนักท่องเที่ยวที่ไม่มีรถส่วนตัว จึงมีตัวเลือกในการเดินทาง คือ เช่ามอเตอร์ไซค์ เช่ารถจิ๊บ และ เช่าหรือจ้างรถมอเตอร์ไซค์พ่วง

ส่วนผมเช่ามอเตอร์ไซค์จากรีสอร์ทในราคา 250 บาท ซึ่งเป็นตัวเลือกส่วนใหญ่ของนักท่องเที่ยวทั่วไป เพราะคล่องตัว สะดวกสบาย และมีอัตราค่าเช่าถูก เนื่องจากคิดระยะเวลาเช่าเป็น 24 ชั่วโมง แถมเพิ่มได้อีกนิดหน่อย

แต่สำหรับนักท่องเที่ยวครอบครัวใหญ่ที่มีเด็กเล็ก หรือนักท่องเที่ยวที่อาจจะไม่ถนัดในการขับขี่มอเตอร์ไซค์ มักเลือกการเดินทางโดยมอเตอร์ไซค์พ่วงรับจ้าง เพราะนั่งจุพร้อมกันได้คราวละหลายคน ไม่ร้อน และไม่เหนื่อย



..

การขับขี่รถมอเตอร์ไซค์บนเกาะลันตานั้น ถือว่าสะดวกสบาย เพราะไม่มีรถติดให้กวนใจ แถมยังมีบรรยากาศที่ดีมาก เพราะเป็นถนนเลียบชายฝั่ง ขับเพลินๆยามเย็น มีคนนั่งซ้อน นั่งซบ คงโรแมนติกดีไม่น้อย

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องพึงระวังมากที่สุด คือ สภาพของถนนหนทางที่มีหลุมบ่อรอต้อนรับอยู่เป็นระยะๆ โดยเฉพาะเส้นทางก่อนถึงอุทยานฯ ความหฤโหดของสภาพถนนจะทวีขึ้นไปเรื่อยๆราวกับสนามแข่งแรลลี่วิบาก

หากเปรียบถนนช่วงแรกเป็นหนังรักโรแมนติก ถนนก่อนถึงอุทยานฯ คงเปลี่ยนเป็นหนังแอ็คชั่น ผจญภัย

รูปประกอบ : ถนนเลียบชายฝั่งบริเวณหาดคลองโตบ


..

“คนแห่งท้องทะเล”

ผมขับมอเตอร์ไซค์กินลม(ร้อน)ชมวิว ไปจนถึงหาดคลองโตบ

บริเวณริมฝั่งมีเรือประมงชาวบ้านจอดนิ่งเรียงรายท่ามกลางคลื่นลมสงบในยามบ่าย ทว่ามีเรืออยู่ลำหนึ่งที่มีความเคลื่อนไหว ผมมองจากระยะไกล เห็นใครคนหนึ่งก้มๆเงยๆทำอะไรสักอย่างอยู่บนเรือ

เมื่อเดินเข้าไปใกล้ๆ ใครคนนั้นทักทายผมด้วยอัธยาศัยที่ดี เราจึงเริ่มต้นสนทนากัน



..

“บังหมาด” กำลังซ่อมแซมเรือ เพื่อเตรียมพร้อมในการออกสู่ท้องทะเลอีกครั้ง เขาเล่าว่า การออกหาปลาในฤดูนี้มักทำในเวลาเย็น หรือกลางคืน และจะกลับเข้าฝั่งอีกครั้งในช่วงดึก หรือรุ่งเช้า แต่หากเป็นหน้ามรสุม ถ้าคลื่นลมไม่แรงมากจนเกินไป จะออกไปในช่วงกลางวัน

“ได้ปลามาก็แค่พอกิน ถ้าเหลือก็เอาไปขายบ้าง นอกจากนี้ผมทำงานเป็นพนักงานโรงแรมด้วย” บังหมาด เล่าให้ผมฟังพลาง ตอกตะปูไปพลาง

“ผมเคยไปทำงานที่ภูเก็ตมาเป็นสิบปี ไปรับจ้างนำนักท่องเที่ยวออกเรือไปตกปลา เมื่อเริ่มอยู่ตัวก็กลับมาที่นี่ กลับมาเป็นชาวประมงอีกครั้ง ถึงจะมีงานที่โรงแรม แต่ผมก็ต้องออกเรือ ... เพราะเรามันโตมากับทะเล ยังไงก็ต้องออกไปอยู่กับทะเล อยู่แล้วสบายใจดีครับ”




..

“เส้นทางสู่หาดคลองนิน”

ถนนเลียบชายฝั่งทะเลตะวันตก มีทางแยกบริเวณหาดคลองนิน ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมีโอกาสขับหลงออกไปทางด้านฝั่งตะวันออกได้ง่ายๆ เนื่องจากเส้นทางเลียบทะเลนั้น มีลักษณะคล้ายกับเป็นถนนสายรอง ขณะที่ถนนสายหลัก ตัดภูเขา ผ่านเข้าไปทางหมู่บ้านคลองนิน หากใครขับเพลินๆไม่ทันสังเกต อาจจะได้ไปเที่ยวอีกฝั่งของเกาะแทน หรือไม่ก็ต้องเสียเวลาขับวนกลับมาใหม่

ดังนั้น การสังเกตป้ายระหว่างทาง อาจพอช่วยได้ หรือหากใช้วิธีง่ายที่สุด ให้สังเกตว่า ขับรถไปแล้วยังมองเห็นชายฝั่งทะเลอยู่เรื่อยๆ และหากจะสร้างความมั่นใจเพิ่มขึ้น ให้จำไว้ว่า หากเจอสถานีอุตุนิยมวิทยา ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลเมื่อใด แสดงว่าไปถูกทางแล้ว


..

ผมขับมอเตอร์ไซค์ไปจนถึงหาดคลองนิน ซึ่งเป็นชายหาดทรายขาวที่มีแนวหินกระจัดกระจาย

หาดแห่งนี้ มีที่พักไม่แออัดมากนัก ทำให้บางจุดของหาดมีความเป็นส่วนตัว แทบไร้ผู้คน


..

แต่หากสังเกตดูตามซอกหินริมทะเล ผมค้นพบว่า มีเพื่อนร่วมโลกหลบเร้น ซ่อนกาย นอนนิ่ง แช่น้ำอุ่นยามบ่ายอย่างสบายใจ


..

“วิถีชีวิต มุสลิมชาวเกาะ”

ถนนเลียบชายฝั่งของหาดคลองนิน มีร้านค้าริมทะเลอยู่ประปราย หลายๆร้านบริเวณหาดนี้เป็นร้านอาหาร หรือบาร์ริมทะเล ขายเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ เนื่องจากชาวบ้านแทบทั้งหมดเป็นชาวมุสลิม (ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจ หาก 7-11 บนเกาะแห่งนี้ จะไม่มีซาลาเปาไส้หมู)

ผมจอดรถแวะพักระหว่างทาง และได้คุยกับชาวบ้านคนหนึ่ง ชื่อ “พี่สุไล”

บ่ายวันนั้น พี่สุไล พร้อมด้วยลูกๆหลานๆ นั่งพักผ่อนบนแคร่ไม้ริมทะเล โดยไม่ได้ขายอาหารหรือเครื่องดื่มดังเช่นทุกวัน

“พอดีว่า ลูกสาวคนโตเพิ่งคลอดลูกน่ะ สัปดาห์นี้พี่เลยหยุดขาย” คุณยายคนใหม่ เล่าให้ผมฟังอย่างอารมณ์ดี

ช่วง High Season พี่สุไล มีรายได้จากการเปิดร้านเล็กๆ ริมทะเล ส่วนสามีนั้นเป็นชาวประมง แต่หากเข้าสู่ช่วง Low Season เมื่อไร ครอบครัวของพี่สุไล ก็ยังมีงานทำสวนยางของตัวเองรออยู่ ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้านส่วนใหญ่บนเกาะลันตา ที่มักมีงานรองรับในช่วงนอกฤดูกาลท่องเที่ยว



..

นั่งคุยกันได้ครู่หนึ่ง ลูกชายคนเล็กของพี่สุไลก็นำทีม ลูกพี่ลูกน้อง สาวๆตัวน้อยไปเล่นน้ำทะเล

เด็กวัยนี้ แดดร้อนแรงแค่ไหนไม่เคยกลัวอยู่แล้ว แถมยังสนุกสนานกับสิ่งรอบตัวได้หมด ท่ามกลางอากาศอบอ้าวยามบ่ายแก่ๆ

รูปประกอบ – เด็กๆกำลังสำรวจสิ่งมีชีวิตตามโขดหิน หากสังเกตดีๆเรามักพบปู ปลา ตัวเล็กตัวน้อยได้ตามซอกหินริมหาดเสมอๆ เด็กๆบอกผมว่า มีบางวันโชคดีได้เจอลูกปลาฉลามว่ายเข้ามาหลบคลื่นด้วย



..

เด็กสาวตัวเล็กๆที่นี่ ยังไม่เข้มงวดเรื่องข้อปฏิบัติในศาสนาอิสลามมากนัก ตรงกันข้าม หากเป็นชาวมุสลิมในพื้นที่ ที่ยึดถือหลักศาสนาอย่างเคร่งครัด เช่น 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สาวน้อยตัวเล็กทั้งหลายคงไม่มีโอกาสได้ถอดเสื้อลงเล่นน้ำทะเล

พวกเธอต้องสวมอาภรณ์ซึ่งเรียกว่า ฮิญาบ หรือชุดของสตรีชาวมุสลิมที่ปกปิดร่างกายมิดชิดเรียบร้อย จะถอดผ้าคลุมศีรษะออกได้เฉพาะเวลาที่อยู่ภายในเรือนของตนเท่านั้น

แต่สำหรับเด็กสาวสองคนริมหาดคลองนิน ความเป็นเด็กยังใสบริสุทธิ์เกินกว่าใครจะคิดมาก

คนแรกนั้น เรียนชั้น ป. 1 ส่วนอีกคนเรียนชั้นอนุบาล 2

“ไม่เป็นไร ยังแก้ผ้าเล่นน้ำกับพี่ๆได้อยู่” พี่สุไลแกว่าอย่างนั้น




..

“ความสงบส่วนตัว ที่หาดบากันเตียง - หาดนุ้ย”

ผมขับมอเตอร์ไซค์ไปตามเส้นทางริมทะเลต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าสู่ชายหาดอีกแห่งซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องความสงบส่วนตัว

ผมสับสนในพื้นที่ระหว่างหาดบากันเตียง กับ หาดนุ้ย เล็กน้อยว่าครอบคลุมขนาดไหน แต่ทั้งสองหาดมีพื้นที่ติดกัน และมีความสวยงาม สงบส่วนตัวพอๆกัน

แม้จะอยู่ในบริเวณที่มีโรงแรม รีสอร์ท จำนวนไม่น้อย แต่สำหรับพื้นที่ก่อสร้างที่อยู่อาศัยนั้น มีระยะห่างจากชายหาดพอสมควร ทำให้ริมชายหาดของทั้งสองแห่ง มีเพียงหาดทราย ทะเล โขดหิน ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติได้ในระดับหนึ่ง



..

หาดบากันเตียง – หาดนุ้ย เป็นหาดทรายขาวละเอียด

แต่น่าเสียดายที่หาดทรายขาวๆแบบนี้ ยังมีคนมักง่าย ทิ้งขยะกระจัดกระจายอยู่บ้าง

ในวันนั้นผมยังต้องเก็บเศษขวดแก้ว และขวดปากฉลามจากริมหาดเอาไปทิ้ง
อย่างที่ใครหลายคนกล่าวเอาไว้ว่า นักท่องเที่ยวพึงระลึกอยู่เสมอว่า สิ่งที่สามารถทิ้งไว้ได้ คือ รอยเท้า เท่านั้น

ส่วนสิ่งที่จะเก็บนำกลับมา คือ ภาพถ่าย และ ความทรงจำ



..

การนอนอาบแดดริมทะเล นับเป็นกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวต่างชาตินิยมชมชอบ ตรงข้ามกับนักท่องเที่ยวชาวไทยอย่างผม ที่ชื่นชมเดินหาร่มเงาหลบแดด

สองสาวสัญชาติเยอรมัน กำลังนอนอาบแดดร้อนๆ และเราได้ทักทาย พูดคุยกัน เพราะพวกเธอเห็นว่าผมกำลังเก็บเศษขวดแก้วอยู่นั่นแหละ

“แคโรไลน่า” กับ “แอนเทรียส” เดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทยกันสองคน พวกเธอบอกว่าชอบความสงบของทะเลทางใต้ และเบื่อกับความวุ่นวายพลุกพล่านในเมืองหลวง สองสาวผมทองย้อนถามผมว่า “แล้วคุณล่ะ รู้สึกอย่างไรกับกรุงเทพฯ บ้าง”

ครั้นจะตอบเฉพาะแง่ลบว่า อากาศเสีย ขยะล้นเมือง รถติด วุ่นวาย ฯลฯ คงใจร้ายกับเมืองหลวงของไทยไปหน่อย

ผมจึงตอบว่า “กรุงเทพ เป็นเมืองที่มีความน่าเกลียด ความสวยงาม และความน่าสนใจ ผสมผสานอยู่ร่วมกันอย่างลงตัว”

แม้ผมจะใช้ภาษาอังกฤษแบบบ้านๆไปนิด แต่สองสาวก็กรี๊ดกร๊าดกับคำตอบของผมน่าดู ...ฮา



..

ผมมุ่งหน้าเดินทางต่อไปตามถนนเลียบชายฝั่ง

ระหว่างทางริมถนนซึ่งเบื้องล่างเป็นหน้าผาสูงริมทะเล มักมีทิวทัศน์ให้นักท่องเที่ยวได้แวะเก็บภาพสวยๆอยู่เสมอ

รูปประกอบ – ทะเลสงบยามบ่ายแก่ๆ บริเวณหาดนุ้ย



..

ด้วยวัฒนธรรมตะวันตก ที่ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ริมชายหาดมากนัก บวกกับธรรมชาติที่แสนเงียบสงบ

บ่อยครั้ง ผมจึงเห็นสาวๆชาวตะวันตกบางรายปล่อยอารมณ์สบายๆ ด้วยการปกปิดเรือนร่างเพียงท่อนล่าง

ขณะที่คู่รักบางราย อาจจะนอนกอดกัน (จนหลับ) อยู่ริมหาด ในชุดว่ายน้ำตัวจิ๋ว

บรรยากาศแบบนี้ นับเป็นเรื่องธรรมดามาก สำหรับริมชายหาดบนเกาะลันตา โดยเฉพาะไล่ไปตั้งแต่หาดคลองนิน จนถึงหาดไม้ไผ่

แม้กระทั่งคนไทยอย่างผม ยังคิดอยากจะทำเซ็กซี่ริมหาดไปกับชาวตะวันตกดูบ้าง ... นัยว่าเพื่อสร้างความกลมกลืนระหว่างเชื้อชาติ



..

“ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง ช้าง You เคย เห็นช้างรึเปล่า”

ถัดจากหาดนุ้ย คือ หาดคลองจาก ซึ่งเป็นหาดที่เงียบสงบอีกแห่ง เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวผู้ชื่นชอบความเป็นส่วนตัว

ระหว่างเส้นทางถนนดินลูกรังที่เริ่มขรุขระมากขึ้น ยังคงมองเห็นทะเลอยู่ลิบๆ และผมต้องหยุดจอดรถเพื่อถ่ายภาพอีกครั้ง เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ เดินอาดๆอุ้ยอ้ายอยู่ริมชายหาดคลองจาก



..

ผมจอดรถมอเตอร์ไซค์ไว้ริมถนน แล้วค่อยๆเดินลัดเลาะจากเนินผาลงไปยังริมชายหาด

ผมพบว่าช้างตัวใหญ่ที่เดินเล่นเมื่อครู่นั้น ไม่ได้มีเพียงแค่เชือกเดียว
แต่ยังมีพรรคพวกกำลังเล่นน้ำทะเลอยู่อย่างสบายใจอีก 2 เชือก

เมื่อควาญช้าง มองเห็นผมกำลังไต่หน้าผาลงไปหา จึงโบกไม้โบกมือทักทายอย่างเป็นมิตร


..

ผมเดินลงไปจนถึงริมชายหาด และได้พบกับครอบครัวผู้เลี้ยงช้าง
ชาวบ้านบอกผมว่า ช้างทั้งสามเชือก เลี้ยงไว้สำหรับทำทัวร์เดินป่า ส่วนในเย็นวันนี้ ถือเป็นช่วงพักผ่อน พาช้างมาเล่นน้ำทะเล



..

เย็นวันนั้น เป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนของครอบครัวคนเลี้ยงช้าง
เด็กน้อยวัย 14 เดือน ชื่อ “ฮาดิส” เดินเตาะแตะๆอยู่ริมทะเล โดยมีแม่ดูแลอยู่ไม่ห่าง

ขณะที่ผู้เป็นพ่อ กำลังสนุกสนานไปกับการเตะฟุตบอลชายหาดอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ สลับไปเล่นน้ำกับสัตว์เลี้ยงตัวใหญ่ของครอบครัว


..

นับเป็นโชคดีของครอบครัวคนเลี้ยงช้างที่ในช่วงเวลาพักผ่อนยังมีรายได้พิเศษจากนักท่องเที่ยวชาวเดนมาร์คคนหนึ่ง เพราะพ่อหนุ่มจากแดนโคนม ยอมจ่ายเงินให้ สำหรับการขอขี่ช้างริมทะเล

หนุ่มเดนมาร์ครายนั้น ดูมีความสุขมากกับการได้สัมผัสใกล้ชิดช้างมากที่สุดในชีวิต ทั้งขี่เล่นริมหาด ทั้งเล่นน้ำทะเลร่วมกับช้าง ทั้งฝึกบังคับช้าง ทั้งถ่ายรูปแล้ว ถ่ายรูปอีก รวมทั้งลอดท้องช้างตามความเชื่อแบบไทย ขณะที่สาวเจ้าคู่รักนั้น ยืนมองด้วยความเข้าใจ ในความเป็นเด็กอีกครั้งของคนรัก

ส่วนช้างแสนรู้ ชื่อ “บุญมี” ก็ช่างเป็นงานเสียเหลือเกิน บุญมี ดูจะสนุกสนานไปกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้ตลอดเวลา

หนุ่มแดนโคนม คุยกับผมด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “ผมดีใจมากเลย นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ใกล้ชิดช้างขนาดนี้ ผมอยู่เดนมาร์ค เคยเห็นช้างไกลๆเวลาไปสวนสัตว์เท่านั้นเอง”

ความฝันของหนุ่มเดนมาร์คเป็นจริงได้ที่เมืองไทย !


..

“เส้นทางพิสูจน์ใจ ไปอุทยานฯ”

ถนนหนทางบนเกาะลันตานั้น ร้อยละ 95 จัดว่าอยู่ในสภาพที่ดี โดยฝั่งตะวันตกเป็นคอนกรีต ส่วนฝั่งตะวันออก มีทั้งคอนกรีต และถนนลาดยางอย่างดี
แต่ที่เหลือร้อยละ 5 ซึ่งเป็นดินลูกรัง เต็มไปด้วยหินตะปุ่มตะป่ำ ทางสูงชัน ริมหน้าผา ราวกับเส้นทางแรลลี่ปารีส-ดักการ์ คือ ถนนก่อนเข้าสู่อุทยานแห่งชาติเกาะลันตา หรือทางไปแหลมโตนด นั่นเอง

ระยะทางโหดหินราว 3 กิโลเมตร ไม่เหมาะสำหรับนักขับขี่มอเตอร์ไซค์มือใหม่อย่างยิ่ง หรือแม้จะเป็นมือเก๋า มือเก่า เด็กแว้น แต่เพื่อความไม่ประมาท ควรตรวจสอบสภาพรถ สภาพลมยางให้ดี และค่อยๆขับขี่ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบร้อน

หากใครนำรถยนต์บุกตะลุยไปเอง ขอแนะนำว่าถ้าไม่ใช่รถกระบะสมบุกสมบันแล้วล่ะก็ ยอมเช่ารถคนอื่นไป คงจะสบายใจกว่า

ที่สำคัญ สำหรับคู่รักที่อยากซึ้ง อยากผจญภัยซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปด้วยกัน ขอให้เลิกซึ้ง เลิกพิสูจน์รักกันสักชั่วขณะ เพราะถนนบางช่วงนั้น สูงชัน เต็มไปด้วยร่องหิน ... ผมขอแนะนำให้คนนั่งซ้อน ยอมเดินลงไปเอง เพื่อความปลอดภัย


รูปประกอบ – ความจริงแล้ว ในรูปประกอบนี้ คือเส้นทางบริเวณหาดบากันเตียง ซึ่งยังไม่ใช่เส้นทางหฤโหดเท่าใดนัก แต่เมื่อเข้าสู่บริเวณหาดคลองจาก ไปจนถึงก่อนอุทยานฯ เส้นทางจะเริ่มเปลี่ยนสภาพเป็นความวิบากมากกว่าในรูปประกอบหลายเท่าตัว



..

อย่างไรก็ตาม หากผ่านช่วงเส้นทางพิสูจน์ใจมาได้แล้ว ถนนอีกราว 2-3 กิโลเมตร ที่นำไปสู่อุทยานฯนั้น เป็นทางคอนกรีตสภาพดี ทิวทัศน์งดงาม ได้บรรยากาศเป็นภาพยนตร์รักโรแมนติกอีกครั้ง

เมื่อผ่านไปถึงบริเวณอุทยานแห่งชาติเกาะลันตา มีด่านเก็บค่าผ่านทางผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท แต่กว่าที่ผมจะขับมอเตอร์ไซค์ไปถึงที่นั่น ก็เป็นเวลาเกือบ 6 โมงเย็นแล้ว เจ้าหน้าที่คงกลับบ้านไปทานข้าวกันหมด ไม่เหลือใครที่ด่านเลยซักคน ผมจึงผ่านไปฟรีๆโดยไม่ตั้งใจ

(เจ้าหน้าที่ท่านใด แวะมาอ่าน ห้ามเก็บย้อนหลังนะครับ)



..

“วันที่เกาะลันตาเป็นของผมคนเดียว”

อุทยานแห่งชาติเกาะลันตา เป็นพื้นที่ที่ปราศจากรีสอร์ท โรงแรม ร้านค้าใดๆทั้งสิ้น มีเพียงที่ทำการของอุทยาน ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถติดต่อขอพักแบบกางเต็นท์ได้

รอบๆอุทยานฯ เต็มไปด้วยป่าต้นตาล หรือทางภาคใต้เรียกว่า ต้นโตนด จึงเป็นที่มาของ แหลมโตนด

ส่วนสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ประจำเกาะลันตา คือ ประภาคารสีขาว ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาริมทะเล



..

ส่วนหาดหินงามนั้น คือ บริเวณหาดฝั่งขวาของประภาคาร ซึ่งเต็มไปด้วยก้อนหินกลมเกลี้ยงสวยงาม เรียงรายเต็มไปหมดทั้งหาด

แต่หินสวยๆทั้งหลายนี้ ห้ามเก็บเอากลับไปเป็นที่ระลึกเชียวล่ะครับ เพราะว่ากันว่า หินเหล่านี้มีการสาปเอาไว้แล้ว ใครเผลอเก็บไป มีหวังคงนอนไม่หลับกันทั้งคืน


..

แหลมโตนด และประภาคารเกาะลันตา งดงามสมคำร่ำลือ

นอกจากความงามของธรรมชาติโดยรอบที่สัมผัสได้ด้วยตาแล้ว ยังมีเสียงคลื่น เสียงลม ผสมกลมกลืน ขับกล่อมเป็นความไพเราะให้ได้ยิน

จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกเลย เมื่อนักแสดงชื่อดังอย่าง ตุ้ย ธีรภัทร เลือกสถานที่แห่งนี้ ขอแต่งงานกับ แอน นาตาชา

(รสนิยมเลิศมากครับพี่ตุ้ย)


..

เมื่อมองไปทางฝั่งซ้ายของประภาคารบ้าง ผมได้พบกับความงามอีกด้านหนึ่ง คือ หาดทรายสีขาวละเอียดสวยงาม สมชื่อ หาดทรายขาว

น่าเสียดายที่เป็นเวลาเย็นย่ำมากไปหน่อย หากเป็นช่วงเวลากลางวันกว่านี้ ผมคงหยุดการถ่ายภาพทุกอย่างไว้ก่อน แล้วกระโดดลงเล่นน้ำทะเลใสๆให้หายอยาก

เมื่อใกล้พระอาทิตย์ตก หาดทรายสีขาวซึ่งอยู่หลังเนินเขา จึงกลายเป็นสีส้มจาง เหมือนกับแสงสุดท้ายของวัน



..

ผมเดินขึ้นไปสู่บริเวณที่ตั้งประภาคาร นับเป็นจุดชมวิวที่สวยงามที่สุดอีกแห่ง สามารถมองเห็นทะเลฝั่งตะวันตกของเกาะได้ไกลสุดลูกหูลูกตา

ณ จุดนั้น ผมรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ซึ่งมีมนุษย์ตัวกระจิริดอย่างผม ยืนชื่นชมภาพแห่งความงามอยู่คนเดียวบนเนินเขา

ภาพของพระอาทิตย์ค่อยๆซ่อนกาย หายไปในกลีบเมฆหนา ขณะที่ชาวประมงออกหาปลา เริ่มต้นวิถีชีวิตในท้องทะเลอันกว้างใหญ่อีกครั้ง



..

น่าเสียดายที่สภาพอากาศ ไม่เป็นใจให้ผมนัก

พระอาทิตย์ยามลับขอบฟ้า คงเอียงอายเกินกว่าที่จะปรากฏกายออกมาเต็มดวง จึงหายเข้าไปในม่านเมฆ

แต่อย่างน้อย แสงอาทิตย์สุดท้ายในเย็นวันนั้น ยังพอแต้มเติมท้องฟ้าเหนือประภาคาร ให้มีสีสันสดใสสะดุดตา



..

ฟ้าเริ่มมืดลงทีละนิด ผมเดินลงมาจากประภาคาร ไปริมหาดหินงามอีกครั้ง
พระอาทิตย์หลบหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เหลือเพียงแสงสีส้มอมชมพูกระจัดกระจายไปทั่วฟ้าสีคราม สะท้อนลงมาเป็นสีเดียวกันกับผืนน้ำทะเล

ผมนั่งเงียบๆอยู่คนเดียว มองเรือประมงลำเล็ก ที่เริ่มทยอยออกจากฝั่ง ปล่อยจิตใจให้ว่าง สงบนิ่ง ราวกับทะเลที่ปรากฏตรงหน้า


..

เวลาพลบค่ำ ของวันศุกร์ที่ 20 มีนาคม 2552

อาจมีใครหลายคน เผชิญกับสภาพรถติดบนถนนที่ไหนสักแห่ง

อาจมีใครหลายคน กำลังทานข้าวอยู่กับครอบครัว คนรัก หรือเพื่อนฝูง ในคืนสุดสัปดาห์

อาจมีใครหลายคน เตรียมตัวไปสนุกสุดเหวี่ยงในแหล่งเที่ยวยามค่ำคืน

อาจมีใครหลายคน ยังต้องสะสางงานกองโตที่คั่งค้าง

ส่วนผมไม่ได้ทำอะไร นอกจากนั่งเฉยๆ สูดลมหายใจลึกๆเข้าปอด

ฟังเสียงคลื่น ฟังเสียงลม มองท้องฟ้า มองก้อนเมฆ มองทะเล ... ที่เกาะลันตา



- โปรดติดตามตอนต่อไป –

.




..






Create Date : 21 เมษายน 2552
Last Update : 21 เมษายน 2552 11:46:20 น. 10 comments
Counter : 9124 Pageviews.  

 
เขียนบล้อคได้ดีจังเลยค่ะ อ่านแล้วเพลินดี ได้เกร็ดความรู้เยอะแยะไปหมดเลยค่ะ


โดย: ตะไคร้หอม วันที่: 21 เมษายน 2552 เวลา:13:33:19 น.  

 
เนตช้ามากเลยค่ะ เดี๋ยวจะเข้าไปอ่านบล็อคเก่า ๆ ของที่นี่ดูนะคะ ชอบวิธีการเขียนและนำเสนอมากเลย


โดย: ตะไคร้หอม วันที่: 21 เมษายน 2552 เวลา:13:34:28 น.  

 
วะ วู้ :]


ชอบ พี่ปํอกกี้ ถ่ายรูป มาก
สุดๆเลยเอ๊าะ

ห้า ห้า ห้า~


โดย: อ้อมแอ้ม IP: 117.47.121.126 วันที่: 21 เมษายน 2552 เวลา:23:23:33 น.  

 
ไปลันตามาแล้วเหมือนกันค่ะ สวยมากๆ
ตอนที่ไปประภาคาร นั่งรถไปค่ะ ทางชันมากนั่งกันตัวเกรงเลย แต่พอไปถึงหายตัวเกรงเลยค่ะ ประทับใจสุดๆ

ถ้าจะไปให้ถึงลันตาก็ต้องไปกินโรตีร้านเทียมฟ้านะคะอร่อยอย่างนี้เลย ร้านอาหารเขาใหญ่ วิวดีมากๆ มองเห็นทะเลยเลย ร้านครัวลันตาอันนี้ขอแนะนำติดทะเลเลยค่ะยื่นไปในทะเลเลย บรรยากาศดีมากๆ ถ้ามีโอกาสไปอีกก็ลองแวะดูนะคะ ไปมาแล้ว 2 รอบ เจ้าของร้านใจดีมากๆ


โดย: จิงจิง IP: 202.44.35.15 วันที่: 29 ตุลาคม 2552 เวลา:11:11:03 น.  

 
เข้ามาเก็บข้อมูล
กำลังจะไปลันตา


โดย: faisai วันที่: 4 ธันวาคม 2552 เวลา:9:38:17 น.  

 
อ่านแล้วเห็นภาพเลย ขอตอนต่อไปเร็ว ๆ นะคะ


โดย: เพื่อนกิ๊ฟด้วย IP: 61.19.78.5 วันที่: 14 พฤษภาคม 2553 เวลา:15:44:59 น.  

 
กำลังเล็งๆที่พักที่ Lanta Casuarina Beach Resort พอดีเลยค่ะ


โดย: น้าปังปอนด์ วันที่: 16 มีนาคม 2554 เวลา:1:00:57 น.  

 
สวยมาก


โดย: LoveOnly วันที่: 16 พฤษภาคม 2554 เวลา:23:15:43 น.  

 
คนไทยมั๊ย?.....ถ้าคนไทยเที่ยวไทยกันดีกว่า


โดย: Kakai IP: 223.205.107.48 วันที่: 24 พฤษภาคม 2554 เวลา:17:13:37 น.  

 
อยากไปจังเลย


โดย: Chainirun Khonkaen IP: 203.172.217.9 วันที่: 20 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:15:25:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

POGGHI
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




..

บทความ และผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog นี้
สงวนลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗

ห้ามผู้ใดละเมิด ด้วยการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ และ ผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร


POGGHI

..
[Add POGGHI's blog to your web]