|
 |
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
 |
1 กรกฏาคม 2552
|
|
|
|
ปล่อยสมองว่าง ปล่อยหัวใจวาง ที่เกาะลันตา (กระบี่) ตอนจบ
..
นักท่องเที่ยวแต่ละคน มีรูปแบบการเดินทางที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละบุคคล
บางคน อาจชอบตระเวนเที่ยว วันเดียวต้องให้คุ้ม ครอบคลุมทุกแห่ง
บางคน อาจชอบเดินทางไปเรื่อยๆ เมื่อเหนื่อย ก็หยุดพัก
บางคน อาจชอบอยู่นิ่งๆ ปล่อยอารมณ์อ้อยอิ่งไปกับบรรยากาศรอบตัว
.
ผมหันมามองตัวเอง แล้วถามว่า ชอบการเดินทางแบบไหน
คำตอบที่ได้น่าจะเป็นการผสมผสานครบทั้ง 3 รูปแบบ
เพราะการท่องเที่ยวในแต่ละครั้ง ผมวางแผนคร่าวๆไว้บ้างเหมือนกัน ว่าจะต้องไปเที่ยวชมที่ใด แวะกินอะไร สถานที่ไหนห้ามพลาด
แต่หากทำตามรูปแบบแรก แล้วเริ่มเหนื่อย หรือเจออะไรระหว่างทางที่น่าสนใจ ผมก็พร้อมที่จะหยุดพัก อยู่กับสถานที่ หรือเหตุการณ์นั้นๆได้เป็นระยะเวลานาน
ขณะเดียวกัน ผมไม่เคยกังวลว่าจะเที่ยวไม่ครบ ไม่คุ้ม เพราะการเดินทางแต่ละครั้ง ผมต้องมีเวลา สำหรับนั่งๆนอนๆ ไปเรื่อยเปื่อย
โดยส่วนตัว ผมจึงคิดว่า การท่องเที่ยวให้สนุกนั้น อย่าไปคิดอะไรให้ซับซ้อน หรือกำหนดรูปแบบไว้ตายตัว
แค่ปล่อยสมองว่าง ปล่อยหัวใจวาง ... เดี๋ยวมันจะนำทางเราไปเอง

..
มุ่งสู่ลันตา ฝั่งตะวันออก
ผมเริ่มต้นชีวิตบนเกาะลันตาในวันที่ 3 อย่างอ้อยอิ่ง ไม่เร่งรีบ กว่าจะทำธุระส่วนตัว และทานอาหารมื้อแรกของวันเสร็จ ก็เป็นเวลาเกือบ 11 โมงแล้ว
จากนั้นผมเช่ารถมอเตอร์ไซค์คันเดิม ขับบึ่งไปตามเส้นทางฝั่งตะวันออกเพื่อสำรวจอีกฟากหนึ่งของเกาะลันตา
ถนนหนทางของฝั่งตะวันออก เป็นถนนคอนกรีต สลับกับถนนลาดยาง ตลอดสาย ซึ่งมีสภาพดีกว่าทางฝั่งตะวันตกมาก ผมจึง บิด เร่ง ขับเพลินอย่างสบายใจ เพราะไม่ค่อยมีรถราร่วมถนน มองซ้าย มองขวา มีเพียงบ้านเรือนปลูกห่างๆกัน สลับไปกับเทือกเขา สวนยาง และพื้นที่เกษตรกรรม

..
ฝั่งตะวันออกของเกาะลันตา เป็นพื้นที่หมู่บ้าน เกษตรกรรม และป่าชายเลน ไม่มีหาดทรายให้นอนอาบแดดเหมือนฝั่งตะวันตก
แต่จากภูมิประเทศดังกล่าว ชาวเกาะปรับเปลี่ยนจุดขายเป็นการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และโฮมสเตย์ โดยมีหมู่บ้าน ทุ่งหยีเพ็ง เปิดรับนักเดินทางผู้ชื่นชอบศึกษาระบบนิเวศป่าชายเลน รวมถึง ศรีรายา ย่านชุมชนเมืองเก่า สำหรับนักท่องเที่ยวที่ชอบความสงบแบบชุมชนชาวบ้าน

..
View Point
ผมขับมอเตอร์ไซค์ ผ่านหมู่บ้านทุ่งหยีเพ็ง ไปถึงหมู่บ้านเจ๊ะหลี
จุดนี้มีทางแยกเลี้ยวขวา ซึ่งเป็นถนนตัดภูเขา ผ่านไปยังหมู่บ้านคลองนิน ทะเลฝั่งตะวันตก
ถนนตัดภูเขาเส้นนี้ เป็นเส้นทางแนะนำให้แวะพัก เพราะเป็นที่ตั้งของ ร้านเขาใหญ่ และ ร้าน View Point .
ร้านอาหารทั้งสองนั้น ตั้งติดกัน และมีจุดขาย คือ ทิวทัศน์สวยๆจากมุมสูง เห็นทะเลฝั่งตะวันออกของเกาะลันตา ไปไกลสุดลูกหูลูกตา จนมองเห็นแผ่นดินของจังหวัดตรังอยู่ลิบๆ
ผมตัดสินใจเลือกแวะที่ร้าน View Point ด้วยเหตุผลง่ายๆ คือ ซิ่งไปหน่อย จนขับรถเลยร้านเขาใหญ่มาแล้ว...ฮา
ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง เพราะเจ้าของร้าน View Point อัธยาศัยดีมาก เพียงก้าวแรกที่ย่างเข้าไปสู่บริเวณร้าน ผมก็ได้รับคำทักทาย สวัสดีครับ พร้อมด้วยรอยยิ้ม
รูปประกอบ กล้องโบราณผลิตในกรุงลอนดอน ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ตั้งเด่นอยู่ริมระเบียงร้าน View Point สำหรับให้นักท่องเที่ยวได้ลองสอดส่องทิวทัศน์ระยะไกล

..
เจ้าของร้านผู้รุ่มรวยด้วยรอยยิ้ม ชื่อ สำราญ หาญทะเล
พี่สำราญ เปิดร้านมากว่า 10 ปี และหากเป็นช่วง Low Season ก็ยังมีอาชีพทำสวนยางไว้อุ่นใจ
.
ร้าน View Point เป็นร้านอาหารเล็กๆบนเชิงเขา และมีเรื่องราวกลายเป็นที่จดจำแก่นักท่องเที่ยว เพราะในวันที่เกิดสึนามิ ร้านอาหารเล็กๆแห่งนี้ แปรสภาพเป็นศูนย์อพยพนักท่องเที่ยวชั่วคราว
พี่สำราญ เล่าว่า ฝั่งตะวันตกนั้นโดนคลื่นก่อน ทำให้นักท่องเที่ยวฝั่งตะวันออกพอมีเวลาเตรียมตัวอพยพกันขึ้นมาที่นี่ จนกระทั่งช่วงนาทีที่พลังธรรมชาติซัดสาดเข้าฝั่ง นักท่องเที่ยวบางคนถึงกับร่ำไห้

..
ที่ร้าน View Point ผมได้พบกับเด็กๆ 2 คน แวะมาทานมื้อกลางวันกับคุณอาวัยหนุ่ม
ผมเห็นเด็กๆทั้งคู่ พกกล้องกึ่งโปรฯขนาดพอเหมาะมือมาด้วย จึงให้เด็กๆได้ลองเล่นกล้องตัวใหญ่ๆของผมดูบ้าง เผื่อจะได้มีแรงบันดาลใจ อยากเป็นตากล้อง ผมยาว (วิธีหาแนวร่วมไว้ในอนาคต ฮ่าๆ)
เพียงแค่นี้ ผมก็ได้เพื่อนใหม่ วัยกระเตาะเพิ่มขึ้นแล้ว

..
ศรีรายา
จากหมู่บ้านเจ๊ะหลี ไปอีกไม่กี่กิโลฯ เข้าสู่เขตชุมชนเก่า หรือ หมู่บ้านศรีรายา
เหตุที่ว่าเป็นชุมชนเก่านั้น เพราะชาวเกาะลันตาดั้งเดิมตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ มาตั้งรกรากกันที่นี่ และที่ว่าการอำเภอเกาะลันตาเดิม ก็ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านศรีรายา ก่อนจะย้ายไปยังเกาะลันตาน้อย จนถึงปัจจุบัน
แม้ ศรีรายา ในวันนี้ เปลี่ยนแปลงไปตามความเจริญเติบโตของการท่องเที่ยว มีทั้งเกสต์เฮ้าส์ ร้านอาหารสมัยใหม่ รองรับผู้เดินทางมาจากแดนไกล แต่บรรยากาศของความเป็นชุมชน และวิถีชีวิตชาวบ้าน ยังไม่ถูกกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงกลืนไปทั้งหมด
เรายังคงเห็นบ้านเรือนเก่าที่ปลูกสร้างด้วยไม้ ยื่นออกไปในทะเล และยังเห็นชีวิตสงบๆเหมือนบรรยากาศตามต่างจังหวัดได้ไม่ยาก

..
บริเวณกลางหมู่บ้านศรีรายา มีสะพานคอนกรีตยาวประมาณ 100 เมตร ยื่นออกไปสู่ทะเล
สะพานแห่งนี้ สร้างขึ้นใหม่ให้แข็งแรงกว่าเดิม หลังจากโดนคลื่นยักษ์สึนามิ ซัดพังทลายไปเมื่อหลายปีก่อน
ตลอดแนวสะพานไปจนถึงสุดปลาย เป็นท่าเรือสำหรับชาวประมงขนาดเล็กได้จอดเทียบ รอเวลาออกสู่ท้องทะเล ส่วนศาลาท่าเทียบเรือเล็กๆที่ปลายสะพานนั้น ยังเป็นท่าเทียบเรือหางยาว สำหรับเดินทางไปยังเกาะแก่งต่างๆในละแวกนั้น

..
เรือสุพรรณกฤษ์
ผมเข้าไปในศาลาท่าเทียบเรือปลายสะพาน มีชาวบ้านจับกลุ่มนั่งคุยกันอยู่ 3-4 คน ขณะที่ชาวบ้านอีกกลุ่ม นั่งรอเรือหางยาวเพื่อข้ามไปยังเกาะใกล้เคียง
รอบๆศาลาท่าเทียบเรือ มีเรือประมงขนาดเล็กจอดเรียงราย นิ่งสงบ พอๆกับผืนน้ำทะเลยามบ่ายวันอาทิตย์
ผมชะโงกหน้าไปดูเรือประมงลำหนึ่งซึ่งจอดอยู่ใกล้ๆ สอดส่ายสายตาหามุมเก็บภาพสวยๆ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่ลูกเรือคนหนึ่งออกมาหลังเรือพอดี เมื่อเห็นดังนั้น ผมยิ้มทักทายแล้วขออนุญาต พี่ครับ ผมขอขึ้นไปถ่ายรูปบนเรือได้ไหมครับ
ได้เลยครับ.... ขึ้นมาเลย ลูกเรือคนนั้นกุลีกุจอ เอาไม้กระดานพาดเป็นบันไดให้ผมเดินข้ามขึ้นไปบนเรือ อยากถ่ายรูปอะไร ตรงไหน ก็ถ่ายได้เลยนะครับ
.
เรือประมงขนาดเล็ก มีชื่อว่า เรือสุพรรณกฤษ์ ประกอบไปด้วยลูกเรือทั้งหมด 3 คน และไต้ก๋งอีก 1 คน
นับเป็นประสบการณ์อีกครั้ง ที่ผมได้ใกล้ชิดกับวิถีชีวิตชาวประมง และเป็นครั้งแรกที่ผมได้ขึ้นมาสำรวจตรวจตราบนเรือหาปลาแบบทุกซอกทุกมุม

..
พี่ชัย ชาวโคราช วัยกว่า 40 ปี ลูกเรือที่ออกมาต้อนรับผมในวันนั้น บอกเล่าชีวิตคนเรือประมงขนาดเล็กว่า ต้องกิน นอน กันบนเรือ ห้องครัว ห้องเสบียง และห้องนอน คือ ห้องเดียวกัน
ส่วนเรื่องการขับถ่าย มีห้องน้ำที่ปล่อยลงไปให้ปลาเล็กปลาน้อยบางชนิดได้กินเป็นอาหาร (แล้วเราก็กินปลากันอีกทีด้วยความเอร็ดอร่อย ฮาๆ)
ใครไม่คุ้นเคยเรื่องนี้ อาจจะร้องอี๋ แต่ความเป็นจริงระบบนิเวศทางธรรมชาติ ก็เป็นไปเช่นนั้น และที่สำคัญ ของเสียของมนุษย์ ที่ปล่อยลงกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่นั้น อันตรายน้อยกว่าขยะพลาสติกเพียงหนึ่งชิ้นด้วยซ้ำ .
เมื่อเข้าไปภายในโถงเรือ ผมเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงเอ่ยทักขึ้นด้วยความชื่นชม แล้วพี่ชัยก็ตอบรับคำชมกลับมาด้วยน้ำเสียงจริงใจและหนักแน่นว่า
เราเป็นคนไทยนี่นา จะไม่มีรูปในหลวงได้ยังไง

..
ด้านหน้าเรือ บริเวณคนขับ ผมได้เจอกับลูกเรืออีกสองคน คือ บังยุทธ และบังเล็บ
ลูกเรือชาวมุสลิมทั้งสองคน เพิ่งอาบน้ำอาบท่าเสร็จหมาดๆ กำลังนั่งเอกเขนก รอเวลาออกเดินเรือ
บังยุทธ และบังเล็บ เล่าให้ฟังว่า เรือประมงขนาดเล็กใช้เวลาในทะเลแต่ละครั้ง ไม่นานนัก อย่างมากก็ไม่เกินสัปดาห์ ออกเรือช่วงบ่ายๆ เย็นๆ ตอนกลางคืน จึงค่อยเปิดไฟล่อปลา ได้ปลาพอเต็มลำเรือก็กลับ

..
ลูกเรือทั้งสามคน แสดงอัธยาศัยไมตรีดีต่อผมอย่างมาก ถามไถ่ตลอดว่า หิวข้าวหรือเปล่า เดี๋ยวจะหาข้าวปลาให้กิน ร้อนไหม จะกินน้ำมะพร้าวมั๊ย ?
แต่ผมจำต้องปฏิเสธน้ำใจไป ไม่อยากรบกวนเสบียงกรังบนเรือ เพราะคนบนบกอย่างผม หาของกินได้ง่ายกว่าคนกลางทะเลอยู่แล้ว
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ไต้ก๋งเรือ ก็เดินทางมาถึง
ไต้ก๋ง และลูกเรือทั้งสาม เอ่ยชวนว่า หากผมต้องการติดเรือออกไปถ่ายรูปในทะเลด้วยกันก็ได้ แต่เนื่องจากผมมีเวลาท่องเที่ยวจำกัด และไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนเลย จึงปฏิเสธคำเชิญที่น่าสนใจครั้งนี้ไป และเราก็ร่ำลาด้วยคำอวยพรในการเดินทางซึ่งกันและกัน
เรือสุพรรณกฤษ์ค่อยๆเคลื่อนออกไปจากท่าเทียบเรือช้าๆ เพียงครู่เดียว ก็ลับตาไปกับผืนน้ำอันกว้างใหญ่

..
วิถีชีวิต ฝั่งตะวันออก
บริเวณศาลาท่าเทียบเรือ ชาวบ้านกลุ่มที่นั่งรอเรือหางยาว ได้เวลาออกเดินทางเช่นกัน หลังจากสมาชิกคนสุดท้าย เดินทางมาสมทบ
คนขับเรือ หันมาถามผมด้วยรอยยิ้ม ด้วยเข้าใจว่าจะร่วมเดินทางไปด้วยกัน

..
เมื่อผู้โดยสารนั่งประจำที่กันเสร็จสรรพ เรือหางยาวลำเล็กก็เคลื่อนออกสู่ทะเลใหญ่ มุ่งหน้าไปยังเกาะแก่งละแวกใกล้เคียง
ผมคิดว่า เรือหางยาวโดยสารข้ามเกาะของชาวบ้าน ยังขาดความปลอดภัยพอสมควร เพราะไม่เห็นมีเครื่องป้องกันใดๆบนเรือ การเดินทางลักษณะนี้ จึงน่าจะทำได้เฉพาะช่วงคลื่นลมสงบเท่านั้น

..
เมื่อขับมอเตอร์ไซค์ต่อไปจนสุดปลายถนนในหมู่บ้านศรีรายา ผมพบกันเด็กชายวัยประถมชื่อ สิทธิ์
สิทธิ์ใช้เวลาว่างในบ่ายวันอาทิตย์ นั่งเล่น เดินเล่นอยู่ริมทะเล เมื่อรู้ว่าผมเป็นนักท่องเที่ยว แวะมาถ่ายรูป เด็กชายเจ้าถิ่นก็ต้อนรับพูดคุยอย่างเป็นกันเอง สิทธิ์เป็นลูกหลานชาวประมงแท้ๆ ผมจึงถามไปว่า เคยออกทะเลไปหาปลากับพ่อบ้างหรือเปล่า
เด็กน้อยยิ้มฟันขาว ตอบรับ พลางชี้ให้ดูเรือของพ่อซึ่งจอดนิ่งอยู่บนหาดทราย

..
หลังจากกล่าวคำอำลาเพื่อนใหม่วัยเด็กอีกคนแล้ว ผมขับวกกลับมายังถนนสายหลัก มุ่งหน้าไปสู่สุดปลายเกาะลันตาฝั่งตะวันออก ที่เรียกว่า หมู่บ้านสังกาอู้
หมู่บ้านสังกาอู้ เป็นชุมชนชาวเลดั้งเดิม ห่างจากศรีรายาไปไกลพอสมควร แต่การขับมอเตอร์ไซค์ในช่วงบ่ายแก่ๆ ชมทิวทัศน์ของถนนเลียบภูเขา ใต้เงาป่ายางร่มรื่น ฟังเสียงคลื่น สูดกลิ่นไอทะเล ก็ทำให้ระยะทางสั้นลงในความรู้สึก .
เมื่อเดินทางถึงที่หมาย ผมคิดว่าในวันนี้หมู่บ้านสังกาอู้ แทบไม่แตกต่าง หรือโดดเด่น ขนาดจะยกให้เป็นหมู่บ้านชาวเลอนุรักษ์ หรือดั้งเดิมขนานแท้ อะไรทำนองนั้น เพราะความเจริญต่างๆได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตไปบ้างตามยุคสมัย ชาวบ้านจึงไม่ได้ใช้ชีวิตแตกต่างจากคนเมืองทั่วไป มีทั้งรถ เครื่องใช้ไฟฟ้า สิ่งอำนวยความสะดวก ครบครัน
อย่างไรก็ตาม ชาวสังกาอู้ คงไม่สามารถปฏิเสธรากเหง้าแห่งชาวเลได้ บริเวณหมู่บ้าน มีหอชาติพันธุ์ ลูโม๊ะลาโว้ย แสดงประวัติความเป็นมา วัฒนธรรม และประเพณีของชาวเลดั้งเดิมเอาไว้ให้ลูกหลานได้รับรู้

..
แม้จะมีเทคโนโลยีทันสมัย และความเจริญใหม่ๆ เข้ามาคลุกคลี ทว่าจิตวิญญาณของความเป็นคนทะเล อาจยังคงฝังแน่นซึมลึกอยู่กับคนในหมู่บ้านไม่เสื่อมคลาย
ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่ถาโถม ผมจึงยังคงเห็นภาพวิถีชีวิตเดิมๆของชาวเล

..
หลังจากเดินเล่นรอบๆหมู่บ้านสังกาอู้ ได้ครู่หนึ่ง ผมขับมอเตอร์ไซค์กลับมายังหมู่บ้านศรีรายาอีกครั้ง
บรรยากาศของศรีรายายามบ่ายแก่ๆ เริ่มคึกคัก เพราะมีตลาดสดกลางหมู่บ้าน ติดกับสะพานท่าเทียบเรือ
ตลาดแห่งนี้ไม่เพียงแค่ชาวบ้านในพื้นที่ ที่มาจับจ่ายใช้สอยเท่านั้น หากยังคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสชีวิตชาวชุมชน

..
ผมชอบบรรยากาศในตลาดของชุมชนศรีรายา เพราะเป็นตลาดเล็กๆ ไม่วุ่นวาย มีชาวบ้านในพื้นที่ทั้งชาวมุสลิม และชาวพุทธ รวมถึงนักท่องเที่ยวฝรั่งหัวทอง เดินกันขวักไขว่
ผมถือกล้องเดินเก็บบรรยากาศไปเรื่อยๆ เมื่อเดินกลับไปยังที่จอดรถ ก็เจอกับคุณน้าคนหนึ่งที่เพิ่งยิ้มทักทายกันในตลาด
คุณน้าพาลูกสาวมาซื้อขนม ส่วนลูกสาวตาโตน่ารักนั้น ชื่อ น้องโซเฟีย

..
ชาวชุมชนศรีรายา ยังคงดำเนินชีวิตต่อไป
ท่ามกลางความเจริญ และการเติบโตด้านท่องเที่ยว ทำให้ชุมชนดั้งเดิม มีการปรับตัว เปลี่ยนแปลงไปบ้าง
แต่เมื่อเทียบกับเกาะลันตาฝั่งตะวันตกแล้ว ชุมชนเมืองเก่าแห่งนี้ยังเป็นพื้นที่ที่เงียบสงบ
.
หากเปรียบความเปลี่ยนแปลงของเกาะลันตาฝั่งตะวันตก เป็นการก้าวกระโดด หรือการวิ่งพุ่งทะยานไปข้างหน้า
ความเปลี่ยนแปลงของเกาะลันตาฝั่งตะวันออก คงเป็นการก้าวเดินไปช้าๆ ตามจังหวะของเวลาที่เหมาะสม ไม่เร่งรีบ

..
พระอาทิตย์ตกที่เกาะลันตา
ด้วยความตั้งใจว่า ในเย็นวันนี้ จะกลับมานั่งชมพระอาทิตย์ตกริมทะเลอีกครั้ง ผมจึงต้องเผื่อเวลาไม่ให้เย็นย่ำเกินไปนัก สำหรับเดินทางจากฝั่งตะวันออกกลับมายังชายหาดอีกด้าน
ผมใช้เส้นทางแยกตรงหมู่บ้านเจ๊ะหลี ขับมอเตอร์ไซค์ไปตามถนนผ่านร้าน View Point ตัดผ่านภูเขา ออกไปสู่หมู่บ้านคลองนิน ทะลุไปเจอกับถนนหน้ากรมอุตุนิยมวิทยา เกาะลันตา จากนั้น ขับไปตามถนนเลียบชายฝั่งอีกครั้ง จนกระทั่งไปเจอ บาร์เล็กๆ ชื่อ Simple House
ไม่ได้ตั้งใจจะหาที่จิบเบียร์ชมพระอาทิตย์ตกหรอกนะครับ เพียงแต่ว่า บาร์เล็กๆตรงนี้ ตั้งอยู่บนเนินเขาริมทะเล และมีจุดที่สามารถแวะถ่ายภาพได้ (แต่บรรยากาศของบาร์ก็ดีจริงๆนั่นแหละ)

..
ผมมาถึงฝั่งตะวันตกเร็วกว่าที่คาดไว้พอสมควร
ในเวลา 4 โมงเย็นเศษๆ พระอาทิตย์ยังส่องสว่างเต็มดวง มองจาก บาร์ลงไป ยังคงเห็นชีวิตยามเย็นวันอาทิตย์ของเด็กๆริมทะเล ซึ่งกำลังตกปลากันอยู่ท่ามกลางแดดร้อนๆ

..
Simple House ตั้งอยู่บริเวณหาดบากันเตียง บรรยากาศริมชายหาดจึงแลดูเงียบสงบ
ผมไต่ลงจากเนินเขาลงไปชายทะเล พบนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มาเล่นน้ำ และนอนอาบแดดกันอยู่ 2 ครอบครัว
ด้วยบรรยากาศคล้ายชายหาดส่วนตัว ผมตั้งใจว่าจะเล่นน้ำทะเลบ้าง แต่เดินไปเดินมาสัก 5 นาที ก็สู้ความร้อนของแสงอาทิตย์ไม่ไหว ตัดสินใจเดินกลับขึ้นมาถ่ายรูปเหมือนเดิมดีกว่า ... เดี๋ยวผิวจะเสีย ฮา

..
ผมขับมอเตอร์ไซค์กินลมชมวิวไปเรื่อยๆ ตามเส้นทางเดิมเหมือนในวันแรก จนกระทั่งผ่านไปแถวหาดนุ้ย ระหว่างทางผมสังเกตว่า มีลานกว้างคล้ายที่จอดรถอยู่ริมถนน จึงลองขับแวะไปดู
ลานที่ว่านั้น มีศาลาว่างๆ สร้างติดๆกันอยู่บนเนินเขาริมทะเล
เมื่อมองดูรอบๆแล้วไม่พบเจอใคร ทั้งๆที่สภาพ และทำเลที่ตั้งของศาลา เหมาะสำหรับเป็นร้านอาหารได้ไม่ยาก เมื่อไม่มีใครมาทำอะไรแถวนี้สักคน ผมจึงอนุมานเอาว่า น่าจะเป็นศาลาจุดชมวิว

..
แม้บริเวณนั้น ไม่มีใครสักคน แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีใครสักตัว
เพราะเมื่อเดินชมวิวริมทะเลจากมุมสูงได้เพียงครู่ ผมก็ได้ยินเสียงออดอ้อนมาแต่ไกล
เจ้าของเสียง คือ แมวหน้าตาน่ารักตัวหนึ่ง ผมพิจารณาจากผิวพรรณและรูปร่างของมันแล้ว ดูดี มีชาติตระกูล แต่แถวนี้ไม่เห็นมีบ้านคนเลยสักหลัง ... หรือแมวตัวนี้อาจเป็น นางแมวปีศาจ กลายร่างมาหลอกล่อนักท่องเที่ยวหนุ่มๆ ที่พลัดหลงเข้ามาในอาณาเขตศาลาแห่งนี้ !!
.
ก่อนที่จะฟุ้งซ่านไร้สาระไปมากกว่านั้น ผมนั่งเล่นกับเจ้าแมวอย่างเพลิดเพลิน ได้ผูกมิตรกับเพื่อนตัวน้อย นั่งชมพระอาทิตย์ตกไปด้วยกัน

..
แล้วทฤษฎีนางแมวของผมก็ผิด เพราะทันทีที่มีนักท่องเที่ยวสาวจากแดนมะกะโรนี แวะมาชมพระอาทิตย์ตก เจ้าแมวตัวน้อย ก็ตามไปคลอเคล้าสาวเจ้าทันที
หากมองแค่ในภาพถ่าย อาจเข้าใจผิดว่าสาวสวยอิตาเลียนคนนี้ มาร่วมชมพระอาทิตย์ตกกับผม เพราะความจริงแล้ว เธอมาพร้อมกับแฟนหนุ่ม แต่ผมสังเกตจากบรรยากาศรวมๆแล้ว คู่รักมะกะโรนี คงจะงอนๆกันอยู่
ฝ่ายหญิง ปลีกตัวไปชมพระอาทิตย์ตกอยู่คนเดียว (กับแมวขี้หลีอีกตัว) ฝ่ายชายก็กดชัตเตอร์ถ่ายรูปแชะๆๆ ไม่สนใจอะไร เสร็จแล้วจู่ๆก็กลับไปมอเตอร์ไซค์ สตาร์ทเครื่อง ทั้งๆที่แฟนสาวยังยืนชมวิวอยู่ในศาลาด้วยซ้ำ
(เดี๋ยวหนุ่มไทย ก็ไปส่งแทนซะหรอก หึหึ)
 ..
เดินออกไปจากศาลาชมวิว ไม่ไกลนัก คือ เนินเขากว้าง เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าแห้งๆ
ใบหญ้าสีเหลือง สลับเขียว ตัดกับสีดำของโขดหิน และสีครามเข้มของผืนน้ำเบื้องล่าง ทำให้ผมนั่งปล่อยเวลา ชมความงามนั้นอยู่นานสองนาน

..
เมื่อเดินกลับมาที่ศาลาชมวิวอีกครั้ง มีหนุ่มๆชาวเยอรมัน ตั้งวงจิบเบียร์ชมพระอาทิตย์ตกกันอยู่ 3 คน (พร้อมกับแมวเจ้าเก่า)
บรรยากาศยามเย็นเดิมๆที่คุ้นเคยกลับมาอีกครั้ง
แสงอาทิตย์ที่สว่างจนแสบตาเมื่อชั่วโมงก่อน กลายเป็นแสงสีส้มเข้ม แต่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่า
ความงามของลำแสง ทอดยาวผ่านลงไปบนผืนน้ำเป็นประกายระยิบระยับ ในขณะที่เรือประมงลำน้อย ทยอยออกจากฝั่ง ออกไปสู่ท้องทะเลกว้างใหญ่อีกครั้ง

..
แม้ดวงอาทิตย์หลบหายไปจากเส้นขอบฟ้า แต่ยังส่องประกายแสงส้มจางๆ แต่งแต้มตัดกับฟ้าครามเป็นสีสันสั่งลา
ผมนั่งมองทะเลที่เงียบสงบ มีเพียงลมพัดผ่านบางเบา ราวกับทุกอย่างกำลังจะหยุดนิ่ง เพื่อให้มนุษย์ตัวเล็กๆ ได้มีสมาธิเต็มที่ สำหรับซึมซับสัมผัสความงดงาม ยามพระอาทิตย์ตกที่เกาะลันตา

..
พิซซ่า ลันตา Lanta Pizzeria
นั่งมองพระอาทิตย์ตกจนลับฟ้าไปแล้ว ท้องก็เริ่มส่งเสียงจ้อกๆ ผมจึงขับมอเตอร์ไซค์กลับไปยังบ้านศาลาด่าน เพราะคืนนี้ตั้งใจไว้แล้วว่า จะต้องลิ้มรส พิซซ่า ลันตา ต้นตำรับให้ได้
พิซซ่า ลันตา หรือ Lanta Pizzeria คงเป็นร้านอาหารที่ชาวกรุงคุ้นเคยกันดี โดยเฉพาะใครที่เคยแวะเวียนไปเที่ยวย่านถนนข้าวสาร เพราะพิซซ่าร้านนี้ มีจุดเด่นด้วยกรรมวิธีอบในเตาถ่าน และรสชาติถูกปากโดนใจ ไม่เลี่ยน
บนเกาะลันตา ร้านพิซซ่าชื่อดัง ตั้งอยู่บริเวณบ้านศาลาด่าน สังเกตง่ายๆ คือ มีเตาถ่านขนาดใหญ่ตั้งเด่นอยู่หน้าร้าน
คืนนั้น ผมสั่งพิซซ่าขนาด 8 ชิ้น มาทานคนเดียว พร้อมน้ำแตงโมปั่น (สั่งน้ำนางเอกน่าดู) อิ่มแปล้จนแทบเดินไม่ไหว

..
บางคนเข้าใจผิดว่า ผู้ก่อตั้ง พิซซ่า ลันตา คือ คุณลุง คุณป้า ที่ร้านตรงข้ามวัดชนะสงคราม
แต่ความจริงแล้ว ต้นตำรับสูตรเด็ด คือ ลูกสาวของคุณลุง ผู้เป็นเจ้าของร้านพิซซ่า ลันตา บนเกาะลันตา นั่นเอง
ผมทานพิซซ่าเสร็จ เดินย่อยด้วยการถ่ายรูป พูดคุยกับคนในร้านไปทั่ว และได้มีโอกาสคุยกับ พี่ไก่ เจ้าของร้าน และเป็นผู้กำเนิดพิซซ่าชื่อดัง
พี่ไก่ บอกเล่าประวัติความเป็นมาให้ผมฟังตั้งแต่สมัยเรียนโน้นเลย พี่เป็นคนนครศรีธรรมราช เรียนจบด้านบรรณารักษ์ แล้วไปเป็นครูอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนสายงานไปเป็นพนักงานโรงแรมที่ภูเก็ต และสมุย เกี่ยวกับด้านอาหารและเครื่องดื่ม เริ่มแรกพี่ทำอะไรไม่เป็นหรอก แต่เพราะใจรัก จึงเรียนรู้ ฝึกฝนไปเรื่อยๆ ได้ประสบการณ์จากการทำงานมาพอสมควร จนได้รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายอาหารและเครื่องดื่ม
จากประสบการณ์การทำงานตรง ที่สั่งสมมาหลายปี พี่ไก่ จึงออกมาทำธุรกิจของตัวเอง กลายเป็นจุดเริ่มต้นของร้านอาหารสูตรอิตาเลียนอย่าง พิซซ่า ลันตา
สมัยตั้งร้านใหม่ๆ พี่ไก่ เล่าว่า ต้องถือถาดให้ลูกค้าชิมฟรี แต่ในปัจจุบันร้านพิซซ่า ลันตา กลายเป็นพิซซ่าขึ้นชื่อ โดยมีร้านต้นตำรับจริงๆ ทั้งหมด 3 สาขา คือ บนเกาะลันตา ตรงข้ามวัดชนะสงคราม และในซอยรามบุตรี

..
เอกลักษณ์ของร้านพิซซ่า ลันตา คือ เตาถ่านขนาดใหญ่ ทำพิซซ่ากันสดๆ อบให้เห็นกันจะๆ ซึ่งนับว่าสร้างความสนใจให้ลูกค้าผู้แวะเวียนผ่านไปมาได้ไม่น้อย
ค่ำคืนนั้น มีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่จากกรุงเทพฯ แวะมาสั่งพิซซ่าใส่กล่องกลับไปทาน
นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ มากันหลายครอบครัว ทั้งพ่อแม่ และเด็กๆซึ่งเป็นเพื่อนกัน แต่ละคนต่างสนอกสนใจในการทำพิซซ่า จึงเข้ามามุงดูกันใหญ่
หน้าร้านพิซซ่า ลันตา คืนนั้นจึงเต็มไปด้วยความคึกคักขึ้นถนัดตา

..
ความครึกครื้น ในคืนวันอาทิตย์
หลังจากอิ่มท้องจากพิซซ่า ลันตา ผมขับมอเตอร์ไซค์ย้อนกลับไปสู่หาดพระแอะ ที่ตั้ง Lanta Casuarina ... ตั้งใจว่า อิ่มสบายท้องแบบนี้ ต้องกลับไปตากแอร์เย็นๆ นอนตีพุง ให้สบายอุรา
แต่เมื่อขับผ่านไปได้ครึ่งทาง ผมเห็นรถมอเตอร์ไซค์จำนวนมากจอดเรียงรายอยู่ริมถนน และยังมีคนเดินกันพลุกพล่าน ทั้งชาวบ้าน และนักท่องเที่ยวต่างชาติ จึงจอดแวะเข้าไปสำรวจดูว่า มีกิจกรรมอะไรน่าสนใจหรือเปล่า
เมื่อเดินเข้าไป ผมจึงค้นพบว่า ต้นเหตุของความครึกครื้นยามค่ำคืนนั้น คือ การแข่งขันชกมวยไทย

..
การจัดชกมวยไทยบนเกาะลันตานั้น มีผู้จัดทั้งหมด 3 ราย
สำหรับเวทีมวยไทย ที่จัดในคืนวันอาทิตย์ เป็นของค่าย ลันตา ยิมส์ ซึ่งเป็นกิจการที่ครบเครื่องเรื่องมวย เพราะมีทั้งการจัดแข่งขันชกมวย รวมทั้งมีค่ายมวยเป็นของตัวเอง
ในคืนวันนั้น ผมคงไม่ได้ภาพสวยๆ มุมแปลกๆ จากการแข่งขันชกมวยไทยเลย หากไม่ได้รับการอนุเคราะห์จาก ครอบครัวรอดรักษา เจ้าของกิจการลันตายิมส์

..
การแข่งขันชกมวยไทยของค่ายลันตา ยิมส์ ในรายการหนึ่งมีทั้งหมด 8 คู่ คู่แรกเริ่มชกตั้งแต่ 3 ทุ่ม โดยเป็นมวยรุ่นเล็ก เด็กๆต่อยกัน ก่อนจะเป็นรุ่นใหญ่ขึ้นไปเรื่อยๆ และมีมวยคู่เอกเป็นคู่สุดท้าย
สนนราคาค่าเข้าชมสำหรับคนไทย ผู้ชาย 100 บาท ผู้หญิง 50 บาท ส่วนชาวต่างชาติ ราคาจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว กระนั้นผู้ชมส่วนใหญ่ ยังเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่ยอมซื้อบัตรชั้นริงไซค์ราคาสูง เพื่อที่จะได้เห็นศิลปะการต่อสู้ของไทยอย่างใกล้ชิด

..
ในการชกคู่ที่ 5 เป็นรายการที่แทรกเข้ามาเป็นคู่พิเศษประจำค่ำคืนนั้น ซึ่งนับว่าเรียกเสียงฮือฮาจากผู้ชมได้รอบเวที เพราะเป็นคู่มวยเด็ก รุ่นน้ำหนักไม่เกิน 20 กิโลกรัม และชกกันเพียง 3 ยก
ฝ่ายแดงได้แก่ มาทิส ลันตายิมส์ หนุ่มน้อยชาวฝรั่งเศส เด็กปั้นเจ้าของค่าย ร้ายบริสุทธิ์
ส่วนฝ่ายน้ำเงิน ได้แก่ โชค ศ.สิทธิโชค เด็กไทยชาวใต้ผิวเข้ม แรงเต็มพิกัด
การชกในยกแรกนั้น ยังพอสูสีคู่คี่กัน แต่เมื่อขึ้นยกที่ 2 เป็นต้นไป เด็กเจ้าถิ่นชาวไทย ก็ประเคนหมัดเท้าเข่าศอกเสียจนหนุ่มน้อยเมืองน้ำหอมตั้งหลักแทบไม่ถูก

..
ผลการชก เป็นไปตามคาด เมื่อ โชค ได้รับการชูมือให้ชนะคะแนนไปอย่างเป็นเอกฉันท์ แต่สำหรับ มาทิส เองก็ชนะใจผู้ชมรอบสนามไปไม่น้อย เพราะนักชกจากฝรั่งเศสก็กัดฟันสู้สุดใจไม่มีถอย
แต่ด้วยความเป็นเด็ก เมื่อลงจากเวที หนุ่มน้อยเมืองน้ำหอมก็ร่ำไห้ต่อหน้าครอบครัวทันที
ผมเดินเข้าไปจับมือให้กำลังใจ มาทิส พร้อมกล่าวชื่นชมถึงความเป็นนักสู้ของหนุ่มน้อยคนนี้
คุณแม่ของมาทิส เล่าว่า ครอบครัวของเราอยู่บนเกาะลันตานี่ล่ะค่ะ ทำธุรกิจรีสอร์ทอยู่ที่นี่ ส่วนมาทิสเนี่ย เค้าฝึกมวยไทยที่ค่ายลันตายิมส์มาได้ราว 3 เดือนเท่านั้นเองค่ะ

..
ค่ำคืนแห่งการต่อสู้ ยังคงดำเนินต่อไป
เหล่านักสู้บนสังเวียนผืนผ้าใบ ยังคงทำหน้าที่สร้างความสุขให้แก่ผู้ชมรอบสนาม
แม้ต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อ ความเหน็ดเหนื่อย ความเจ็บปวด หรือการบาดเจ็บ
แต่นั่นคือ การพิสูจน์ความแข็งแกร่งทั้งร่างกาย และสภาพจิตใจ ในวิถีแห่งมวยไทย ศิลปะการต่อสู้อันดับหนึ่งของโลก

..
สมองว่าง หัวใจวาง ที่เกาะลันตา
กว่าผมจะสลัดตัวขี้เกียจออกจากผ้าห่ม ในวันต่อมา ก็เป็นเวลาเกือบ 10 โมงเช้า
ความจริงแล้วผมยังมีเวลาอีกครึ่งวัน กว่าจะถึงกำหนดเวลาเดินทางกลับ แต่หลังจากบุกตะลุยจนตัวดำมา 3 วันเต็ม ผมคิดว่า วันนี้ขอเลือกนั่งพัก นอนพัก ใน Lanta Casuarina... น่าจะดี
เมื่อทานอาหารเสร็จสรรพ ผมจึงเดินทอดน่องไปปักหลักอยู่บริเวณม้านั่งริมหาด มองดูผู้คนเดินผ่านไปมา ท่ามกลางแดดจ้า ท้องฟ้าสดใส

..
มื้อเช้าในวันที่สอง ผมได้ยินพนักงาน Lanta Casuarina ... ถามนักท่องเที่ยวต่างชาติครอบครัวหนึ่งว่า วันนี้มีโปรแกรมจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง นักท่องเที่ยวต่างชาติครอบครัวนั้น ตอบสั้นๆด้วยรอยยิ้มว่า ไม่ได้ไปไหน เพราะวันนี้เป็น Relax Time
ผมจึงลองเลียนแบบโปรแกรมของนักท่องเที่ยวครอบครัวนั้นดูบ้าง ว่าช่วงเวลาแห่งการผ่อนคลาย มันจะสุขสบายแค่ไหน
.
เมื่อมองไปรอบตัว และสังเกตกิจกรรมของนักท่องเที่ยวรายอื่น ส่วนใหญ่ไม่มีอะไรไปมากกว่าการนั่งๆนอนๆอาบแดดอยู่ริมชายหาด จิบเครื่องดื่ม อ่านหนังสือ ลงไปเล่นน้ำในทะเล กลับมาล้างตัวในสระ แล้วกลับมานอนงีบบนม้านั่ง
ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องไปไหนไกล ไม่ต้องทำอะไรซับซ้อน

..
การนั่งๆนอนๆปล่อยสมองว่างเปล่า ปล่อยหัวใจวาง ล่องลอยไปกับความสงบตรงหน้า หากมองผิวเผิน มันอาจไม่สร้างมูลค่า หรือสาระใดๆนัก
แต่ผมก็ทราบดีว่า ในความว่างที่เราปล่อยวางไปทุกนาที พลังงานชีวิตของเราจะมีขีดพลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
แม้ในวันนั้นยังเหลือเวลาให้ผมไปโน้นมานี่ได้อีกหลายชั่วโมง แต่ผมไม่ขอไปไหนอีกแล้ว
.
หากใครถามว่า มีโปรแกรมทำอะไรในวันสุดท้าย ที่เกาะลันตา ผมจะตอบสั้นๆด้วยรอยยิ้มว่า
นั่งๆนอนๆริมทะเล แต้มเมฆสีขาว บนฟ้าครามใสๆ
- จบบริบูรณ์ -
..

Create Date : 01 กรกฎาคม 2552 |
Last Update : 1 กรกฎาคม 2552 10:28:22 น. |
|
22 comments
|
Counter : 7459 Pageviews. |
|
 |
|
|
โดย: เขาพิงกัน วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:33:41 น. |
|
|
|
โดย: no filling วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:10:47:29 น. |
|
|
|
โดย: กลางเขา วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:05:22 น. |
|
|
|
โดย: gs_toy วันที่: 1 กรกฎาคม 2552 เวลา:13:44:22 น. |
|
|
|
โดย: Top IP: 125.24.96.29 วันที่: 11 กรกฎาคม 2552 เวลา:1:33:39 น. |
|
|
|
โดย: YCL&ZXT IP: 222.123.141.36 วันที่: 16 กรกฎาคม 2552 เวลา:12:25:53 น. |
|
|
|
โดย: Goya_aTaan วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:2:38:03 น. |
|
|
|
โดย: นิ้ง IP: 202.91.23.3 วันที่: 25 กรกฎาคม 2552 เวลา:11:29:16 น. |
|
|
|
โดย: ทีมงาน lantainfo IP: 118.173.59.216 วันที่: 22 กันยายน 2552 เวลา:13:25:36 น. |
|
|
|
โดย: แคทลียา IP: 112.142.30.94 วันที่: 25 กันยายน 2552 เวลา:17:24:04 น. |
|
|
|
โดย: หนุ่ย IP: 125.26.113.101 วันที่: 23 ตุลาคม 2552 เวลา:11:08:32 น. |
|
|
|
โดย: keroe IP: 124.120.228.192 วันที่: 1 พฤศจิกายน 2552 เวลา:7:59:54 น. |
|
|
|
โดย: ละมุนใจ IP: 118.173.229.82 วันที่: 18 พฤศจิกายน 2552 เวลา:16:17:59 น. |
|
|
|
โดย: คนใกล้ลันตา IP: 124.121.177.208 วันที่: 14 ตุลาคม 2553 เวลา:17:11:43 น. |
|
|
|
โดย: มินิ IP: 172.16.5.33, 115.31.176.130 วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:16:02:53 น. |
|
|
|
โดย: เด็กตรัง IP: 223.205.200.115 วันที่: 26 มีนาคม 2554 เวลา:13:40:17 น. |
|
|
|
โดย: LoveOnly วันที่: 21 พฤษภาคม 2554 เวลา:15:37:07 น. |
|
|
|
โดย: ชลสิทธิ์ วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:10:38:28 น. |
|
|
|
โดย: tarzankku IP: 180.180.30.150 วันที่: 24 มีนาคม 2555 เวลา:14:00:02 น. |
|
|
|
โดย: เเพท IP: 49.230.189.221 วันที่: 20 ตุลาคม 2556 เวลา:12:16:10 น. |
|
|
|
โดย: tweetynok IP: 49.230.146.74 วันที่: 1 กันยายน 2557 เวลา:23:57:53 น. |
|
|
|
| |
|
 |
POGGHI |
|
 |
|
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]

|
..
บทความ และผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog นี้ สงวนลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
ห้ามผู้ใดละเมิด ด้วยการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความ และ ผลงานภาพถ่าย โดย เจ้าของ Blog ไปใช้ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร
POGGHI
..
|
|
|